วารสารวิชาการเขต 12
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj
<p><strong>วารสารวิชาการเขต 12</strong> ISSN: 0858-4370 Online ISSN: 2730-292X รับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ แพทย์ พยาบาล นักวิชาการ และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p> </p> <p> </p>
สำนักงานเขตสุขภาพที่ 12
th-TH
วารสารวิชาการเขต 12
0858-4370
-
การศึกษาปริมาณรังสีกระเจิงรอบเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปี ชนิดซี-อาร์ม สำหรับห้องผ่าตัด โรงพยาบาลหาดใหญ่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj/article/view/275963
<p><strong>บทนำ</strong>: การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะการถ่ายภาพรังสีด้วยเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปีชนิดซี-อาร์ม การทราบค่าปริมาณรังสีกระเจิงจากเครื่องมือช่วยป้องกันอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงาน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาปริมาณรังสีกระเจิงรอบเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปีชนิดซี-อาร์ม ที่ระยะ 0.5, 1.0 และ 1.5 เมตร และระดับความสูง 0.75 และ 1.45 เมตร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยเชิงสำรวจเพื่อศึกษาปริมาณรังสีกระเจิงรอบเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปีชนิดซี-อาร์ม จำนวน 6 ตำแหน่ง ได้แก่ หัวเตียงขวา, กลางเตียงขวา, ปลายเตียงขวา, ปลายเตียง, กลางเตียงซ้าย และหัวเตียงซ้าย โดยการวัดระยะ 0.5, 1.0 และ 1.5 เมตร ที่ระดับความสูง 0.75 และ 1.45 เมตร ตั้งค่าเทคนิคที่ 80 kVp, 3 mAs ในการจำลองการตรวจทางรังสีในห้องผ่าตัดโรงพยาบาลหาดใหญ่ เก็บข้อมูลตำแหน่งละ 10 ครั้ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Microsoft Excel และใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: พบว่า ปริมาณรังสีกระเจิงมีความผกผันกับระยะทางที่เพิ่มขึ้น โดยตำแหน่งที่มีปริมาณรังสีกระเจิงมากที่สุดคือที่ระยะ 0.5 เมตร ที่บริเวณกลางเตียงด้านซ้ายในระดับความสูง 0.75 และ 1.45 เมตร มีค่ารังสีกระเจิง 6.67 µSv/h และ 6.44 µSv/h ตามลำดับ ส่วนปลายเตียงที่ระยะ 1.5 เมตรมีค่ารังสีกระเจิงน้อยที่สุด คือ 0.85 µSv/h</p> <p><strong>สรุป</strong>: ค่าเฉลี่ยปริมาณรังสีกระเจิงรอบเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปี ชนิดซี-อาร์ม ที่มีปริมาณรังสีต่ำที่สุด คือ ตำแหน่งปลายเตียง เนื่องจากอยู่ไกลจากหลอดเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปีมากที่สุด ทำให้มีปริมาณรังสีกระเจิงน้อยสุด ปริมาณรังสีกระเจิงที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับต่อปีไม่เกินที่กำหนด ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากรังสี (ICRP) กำหนดไว้ที่ 20 mSv/yr เพื่อป้องกันรังสีให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้องต้องสวมใส่เสื้อตะกั่วในบริเวณที่มีการใช้รังสี</p>
วิรงรอง เฟื่องฟูขจร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเขต 12
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
35 2
27
33
-
การศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวกับเวลาในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก และผลลัพธ์ทางคลินิก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj/article/view/275964
<p><strong>บทนำ: </strong>โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก (Ruptured cerebral aneurysm) เป็นสาเหตุความพิการและเสียชีวิต การรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก ประกอบด้วย การผ่าตัด Surgical aneurysm clipping และวิธี Endovascular treatment ด้วยระยะเวลาตั้งแต่หลอดเลือดสมองโป่งพองแตกจนกระทั่งได้รับการรักษามีความแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์การรักษาได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาตั้งแต่เกิด Subarachnoid hemorrhage จนได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด กับระดับความพิการทางระบบประสาทที่ 6 เดือน (mRS)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>เป็นการศึกษาย้อนหลัง โดยทบทวนข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตกจากเวชระเบียนทั้งหมดที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหาดใหญ่ ระหว่าง มกราคม พ.ศ. 2562 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2564 จากนั้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองจำนวน 220 ราย แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ Early aneurysm treatment (ได้รับการรักษาใน 72 ชั่วโมงนับจากมี Subarachnoid hemorrhage) และกลุ่ม Late aneurysm treatment (ได้รับการรักษาเกิน 72 ชั่วโมงนับจากมี Subarachnoid hemorrhage) วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ และสถิติ Independent t-test, Chi-square test </p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ผลลัพธ์ทางคลินิกด้านการทำงานที่ดี โดยประเมินจากระดับความพิการทางระบบประสาทที่ 6 เดือน (mRS at 6 months) ระหว่างกลุ่ม Early aneurysm treatment 84 (70.0%) คน และกลุ่ม Late aneurysm treatment 61 (76.2%) คน พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.210)</p> <p><strong>สรุป: </strong>ระยะเวลาการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองจะไม่มีผลต่อผลลัพธ์การรักษาทางคลินิก แต่ควรทำการรักษา Aneurysm treatment ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อป้องกันการแตกซ้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การทุพพลภาพและเสียชีวิตได้</p>
รติกร สมรักษ์
กรกนก แก้วมณี
นฤมล อนุมาศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเขต 12
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
35 2
34
41
-
ปัจจัยพยากรณ์โรคที่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ระยะลุกลามเฉพาะที่ (IIB-IVA) ที่ได้รับการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj/article/view/275959
<p><strong>บทนำ:</strong> มะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย มีความชุกของโรคสูง การพยากรณ์โรคไม่ดี และมีความหลากหลายของปัจจัยพยากรณ์โรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยพยากรณ์โรคที่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิต ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามเฉพาะที่ (IIB-IVA) ที่ได้รับการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างแบบย้อนหลัง จำนวน 220 ราย วินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม เฉพาะที่ ที่ได้รับการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลหาดใหญ่ ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 วิเคราะห์อัตราการรอดชีวิต 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปี และหาค่ามัธยฐานของอัตราการรอดชีวิตโดยใช้วิธี Kaplan-Meier และประเมินผลกระทบของปัจจัยต่าง ๆ ต่ออัตราการรอดชีวิตโดยใช้ Cox proportional hazards models วิเคราะห์ข้อมูลตัวแปรเดียวและพหุตัวแปร</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าเฉลี่ยระยะติดตามอาการอยู่ที่ 30.5 เดือน อัตราการรอดชีวิต 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปี เป็น 74%, 46% และ 28% ตามลำดับ ค่ามัธยฐานระยะเวลารอดชีพอยู่ที่ 17 เดือน พบระยะโรค III (50.2%) และเป็นมะเร็งชนิดสความัส (80.9%) ผลวิเคราะห์ข้อมูลพหุตัวแปร พบว่า ดัชนีมวลกาย (p=0.03), ระยะโรค III (p=0.001), ระยะโรค IVA (p=0.036), อัตราส่วนนิวโทรฟิลต่อลิมโฟไซต์ (p=0.005) และอัตราส่วนเกล็ดเลือดต่อลิมโฟไซต์ (p=0.018) เป็นปัจจัยพยากรณ์โรคที่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป:</strong> ระยะโรค อัตราส่วนนิวโทรฟิลต่อลิมโฟไซต์ และอัตราส่วนเกล็ดเลือดต่อลิมโฟไซต์สูงขึ้นสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่แย่ลง การรักษาค่าดัชนีมวลกายให้ปกติเป็นปัจจัยป้องกัน</p>
อัจฉราวดี พูลสวัสดิ์
ศิชฌุพงศ์ หนูทอง
ณัฐพล ศิริมุสิกะ
วนิดา วาดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเขต 12
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
35 2
8
17
-
ความสอดคล้องกันของเทคนิค Immunohistochemistry กับ Dual in situ hybridization ในการประเมินสถานะตัวรับ HER-2 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในโรงพยาบาลหาดใหญ่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj/article/view/275967
<p><strong>บทนำ</strong>: การรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER-2 Positive ด้วยยาต้านยีนมะเร็ง Trastuzumab ทำให้ผู้ป่วยมีระยะเวลาปลอดจากโรคและลดอัตราการกลับเป็นซ้ำ แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อหัวใจ ดังนั้นการประเมินสถานะตัวรับ HER-2 ด้วย IHC เบื้องต้นโดยพยาธิแพทย์และกระบวนการย้อมที่ถูกต้องจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาความสอดคล้องกันของการตรวจสถานะตัวรับ HER-2 ด้วยเทคนิค Immunohistochemistry (IHC) และเทคนิค Dual in-situ hybridization (DISH) ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในโรงพยาบาลหาดใหญ่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: ใช้รูปแบบการวิจัยศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา ในกลุ่มผู้ป่วยผู้หญิงที่มีผลการตรวจหาสถานะตัวรับ HER-2 ด้วยเทคนิค IHC และ DISH ในโรงพยาบาลหาดใหญ่ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จำนวน 134 ราย โดยการเก็บข้อมูลผลการตรวจย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยและประเมินความสอดคล้องทางสถิติโดยใช้ kappa coefficient</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: พบความสอดคล้องกันของผลการตรวจ ร้อยละ 76.5 ค่าสถิติ kappa coefficient มีค่า 0.507 (P<0.001) ซึ่งมีระดับความสอดคล้องอยู่ในเกณฑ์ดี โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มีผลการตรวจด้วยเทคนิค IHC ที่เป็น Positive (3+) และ Equivocal (2+) มีความสอดคล้องกับผลการตรวจด้วยเทคนิค DISH ร้อยละ 98.5 และ 47.8 ตามลำดับ </p> <p><strong>สรุป</strong>: ผลการตรวจสถานะตัวรับ HER-2 ด้วยเทคนิค IHC เป็น Positive (3+) สอดคล้องกับเทคนิค DISH สูงมาก สามารถพิจารณาในการใช้ยาต้านยีนมะเร็ง Trastuzumab แก่ผู้ป่วยได้ทันที ส่วนผลที่เป็น Equivocal (2+) มีความสอดคล้องค่อนข้างต่ำ จำเป็นต้องตรวจยืนยันด้วยเทคนิค DISH ก่อนการพิจารณาในการใช้ยาต้านยีนมะเร็ง</p>
อภิราม ส่งศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเขต 12
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-28
2025-02-28
35 2
1
7
-
การศึกษาผลการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/12thrmj/article/view/275961
<p><strong>บทนำ:</strong> ปัจจุบันโรคอ้วนมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้น การรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัดมีประสิทธิภาพสูง การผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้องด้วยวิธี Laparoscopic sleeve gastrectomy (LSG) เป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐาน การศึกษานี้ได้รวบรวมข้อมูลการรักษาผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดวิธี LSG เพื่อเป็นแนวทางและพัฒนาศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนในประเทศไทย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง และผลของการลดน้ำหนักหลังการผ่าตัด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาแบบย้อนหลังจากเหตุไปหาผล โดยการทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง ในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 นำข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย รายละเอียดการผ่าตัด ผลการผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อน และผลการลดน้ำหนักหลังการผ่าตัด มาวิเคราะห์ทางสถิติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยโรคอ้วนที่ผ่านการผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้องในช่วงเวลาที่กำหนด และเข้าเกณฑ์การศึกษาทั้งหมด 21 ราย มีอายุเฉลี่ย 35.43 ± 8.18 ปี มีน้ำหนักเฉลี่ย 108.22 ± 13.89 กิโลกรัม มีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 40.9 ± 5.65 กิโลกรัม/ตารางเมตร ผลการรักษา พบว่า ค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลง และน้ำหนักส่วนเกินที่ลดลงเฉลี่ย มีร้อยละที่เพิ่มมากขึ้นหลังการติดตามการรักษาที่ระยะเวลานานขึ้น และไม่พบภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัดและหลังผ่าตัด</p> <p><strong>สรุป:</strong> การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง สามารถลดน้ำหนักผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว การติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัดไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด</p>
รณยง ถมทอง
อารยะ ไข่มุกด์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเขต 12
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
35 2
18
26