https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งประเทศไทย 2025-08-27T15:47:24+07:00 Bhunyabhadh Chaimay editorjhstsu@tsu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งประเทศไทย (Health Science Journal of Thailand)</strong> เป็นวารสารที่รวบรวมและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งครอบคลุมศาสตร์ทางแพทยศาสตร์ (Medicine) พยาบาลศาสตร์ (Nursing) สาธารณสุขศาสตร์ (Health professions) ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ (<a href="https://drive.google.com/file/d/1nyC3USWZkMuXpR5rUU3rX7VBSISMeJUx/view">ตามรายละเอียดสำหรับสาขาย่อยของวารสารในฐานข้อมูล TCI</a>) <br /><br /><strong>ISSN 2773-8817 (เลขใหม่)</strong></p> <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยทักษิณ (Journal of Health Science, Thaksin University: ชื่่อเดิม)<br />ISSN 2697-5807 (เลขเดิม)</strong></p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/271053 ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยก่อนเรียน 2025-04-01T15:12:01+07:00 ศุภกัญญา ชูจันทร์ suppakanya.cho@cra.ac.th กัญญพัชร พงษ์ช้างอยู่ kanyaphat.pon@cra.ac.th ขวัญฤทัย เสมพูน kwanrutai.sam@cra.ac.th จิราภรณ์ แสงพารา jiraporn.san@cra.ac.th สมพร สุนทราภา somporn.sun@cra.ac.th หทัยชนก นิติกุล somporn.sun@cra.ac.th <p>ทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหารเป็นกระบวนการคิดระดับสูงในการกำกับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญในการบรรลุเป้าหมายในชีวิต หากมีทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหารต่ำอาจส่งผลต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ และปัญหาสุขภาพจิต การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหาร และปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กวัยก่อนเรียน อายุ 2-5 ปี ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 87 คน เก็บข้อมูลจากการประเมินพัฒนาการ สังเกตพฤติกรรม และสอบถามผู้ปกครอง เครื่องมือวิจัยได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กและผู้ปกครอง 2) การประเมินการเจริญเติบโต Kotchakorn Version 2 3) คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 4) แบบประเมินทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหารในเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Spearman Rank Correlation Coefficient และสถิติ Mann Whitney U test ผลการศึกษา เด็กวัยก่อนเรียนอายุเฉลี่ย 3.21 ปี มี ทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหาร อยู่ในระดับดี (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 56.98, SD = 10.07) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะสมองด้านการคิดเชิงบริหาร ได้แก่ พัฒนาการด้านการเข้าใจภาษา (Z = -2.314, p-value &lt;0.05) และส่วนสูงเทียบกับอายุ (r = 0.266, p-value &lt;0.05) ดังนั้นควรนำผลการวิจัยนี้ไปส่งเสริมพัฒนาด้านการเข้าใจภาษา โภชนาการ ซึ่งส่งผลต่อทักษะทางสมองด้านการคิดเชิงบริหาร</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/273217 การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ต่อการรับสัมผัสความผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของพนักงานคลังสินค้า จังหวัดสมุทรปราการ 2025-03-31T09:55:53+07:00 รัฐกุล พรหมจันทร์ rattakun.pro@dome.tu.ac.th ธีรพันธ์ แก้วดอก teeraphun.k@fph.tu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ต่อการรับสัมผัสความผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของพนักงานคลังสินค้า การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้เก็บข้อมูลพนักงานคลังสินค้าจำนวน 96 คน ด้วยแบบสอบถาม แบบสำรวจอาการทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ แบบประเมิน REBA และ NIOSH Lifting วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษาพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ยืนทำงานตลอดเวลา ร้อยละ 64.60 ความชุกอาการผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของพนักงานคลังสินค้าในช่วง 7 วัน และ 12 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 81.20 และ 76.00 ตามลำดับ โดยพบอาการมากที่สุดในช่วง 7 วัน คือ ไหล่ (47.90%) หลังส่วนบน (45.80%) และหลังส่วนล่าง (41.70%) ส่วนในช่วง 12 เดือน พบว่า อาการมากที่สุดคือ หลังส่วนบน (42.70%) ไหล่ (39.60%) และหลังส่วนล่าง (37.50%) สะท้อนว่าอาการมีแนวโน้มเกิดได้ทั้งในระยะสั้นและต่อเนื่องในระยะยาว ผลการประเมิน REBA พบว่าพนักงานมีความเสี่ยงสูง ร้อยละ 51.04 ค่าดัชนีการยกสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ทั้งจุดยกและจุดวาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.27 (SD. = 0.63) และ 1.58 (SD. = 0.74) ระบุได้ว่าพนักงานมีความเสี่ยงสูงต่อการรับสัมผัสความผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงาน พนักงานคลังสินค้าต้องเผชิญความเสี่ยงทางการยศาสตร์ในระดับที่ควรได้รับการปรับปรุง จึงควรมีการออกแบบสถานีงานตามหลักการยศาสตร์และมาตรการป้องกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/271560 การพัฒนาเกณฑ์การประเมินการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม: กรณีศึกษาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนประเภทล่องแก่งของจังหวัดตรัง 2025-05-13T14:13:43+07:00 กรรณิกา เรืองเดช ชาวสวนศรีเจริญ Pulo_1999@yahoo.com อัญชลี พงศ์เกษตร Pulo_1999@yahoo.com ตรีชาติ เลาแก้วหนู Pulo_1999@yahoo.com ธนปนันท์ อัครวีรวัฒน์ Pulo_1999@yahoo.com วิทยา หลูโป Pulo_1999@yahoo.com เสาวลักษณ์ คงสนิท Pulo_1999@yahoo.com ไพบูลย์ ชาวสวนศรีเจริญ Pulo_1999@yahoo.com อดิศักดิ์ ศรีละออง Pulo_1999@yahoo.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกณฑ์การประเมินการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมสำหรับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนประเภทล่องแก่งในจังหวัดตรัง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีเกณฑ์เฉพาะสำหรับการประเมินในลักษณะดังกล่าว การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมจำนวน 22 คน ผ่านเทคนิคเดลฟาย 2 รอบ และข้อมูลเชิงปริมาณจากนักท่องเที่ยว 400 คน เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่หนึ่ง ผลการวิจัยพบว่าเกณฑ์การประเมินที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 12 หมวด รวม 131 ตัวชี้วัดย่อย โดยตัวชี้วัดในแต่ละหมวดมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.44–0.99 แสดงถึงความเหมาะสมในการจัดกลุ่มตัวชี้วัด และความตรงเชิงโครงสร้างของแบบประเมินเกณฑ์การประเมินนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในการประเมินตนเองและปรับปรุงคุณภาพด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการขอรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/272375 ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการประยุกต์ท่ารำในท้องถิ่นต่อสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 2025-05-13T14:16:16+07:00 สุภารัตน์ สุขโท suparat.s@live.ubru.ac.th จินตนา จุลทัศน์ suparat.s@ubru.ac.th วาริณี แสงประไพ suparat.s@ubru.ac.th พนิดา กมุทชาติ suparat.s@ubru.ac.th ปิยะพร ทรจักร์ suparat.s@ubru.ac.th จันทรัสม์ เกิดสุข suparat.s@ubru.ac.th เสาวคนธ์ หอมหวาน suparat.s@ubru.ac.th ณิชา ลุนบับภา suparat.s@ubru.ac.th <p>ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ประสิทธิภาพการทำงานอวัยวะต่าง ๆ ลดลง มีปัญหาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดน้อยลง ส่งผลต่อการทรงตัวไม่มีความสมดุล การวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (One group pretest-posttest design) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการประยุกต์ท่ารำในท้องถิ่นต่อสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ โดยกลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 28 คน ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่ารำท้องถิ่น จำนวน 14 ท่า เป็นเวลา 40 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ การประเมินสมรรถภาพร่างกาย จำนวน 3 ตัวแปร ได้แก่ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและต้นขาด้านหลัง และการทรงตัวขณะเคลื่อนที่ โดยประเมินก่อน หลังสัปดาห์ที่ 4 และหลังสัปดาห์ที่ 8 ผลการวิจัยพบว่า การทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและต้นขาด้านหลังดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) ที่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 สำหรับการทดสอบการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว มีแนวโน้มดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 4 และพบว่าการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) สัปดาห์ที่ 8 ดังนั้น ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการประยุกต์ท่ารำในท้องถิ่น 14 ท่า สามารถส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสมรรถภาพร่างกายที่ดีขึ้นในผู้สูงอายุ</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/272645 การวิเคราะห์ตัวแบบทางคณิตศาสตร์สำหรับการแพร่ระบาดโรคอีสุกอีใสภายหลังได้รับวัคซีน 2025-06-20T15:37:37+07:00 รัตติยา ซังชาสิทธิ์ rattiya.s@pkru.ac.th สุริณี อยู่เอี่ยม rattiya.s@pkru.ac.th กษิต สัมพันธรัตน์ rattiya.s@pkru.ac.th นที สุมงคล rattiya.s@pkru.ac.th <p>โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อเกิดจากเชื้อไวรัส วาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus – VZV) หรือ Human Herpes Virus type 3 (HHV-3) โรคชนิดนี้เป็นโรคติดต่อผ่านทางการหายใจ ไอ จาม การสัมผัสผู้ป่วยหรือใช้ของร่วมกัน ผู้วิจัยได้พัฒนาตัวแบบทางคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายการแพร่เชื้อโรคอีสุกอีใสโดยพิจารณาระยะฟักตัวของโรคและการฉีดวัคซีนในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ผู้วิจัยได้หาจุดสมดุลด้วยเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความเสถียรภาพของจุดสมดุลภายใต้สภาวะไร้โรคและสภาวะเรื้อรังแล้วนำมาแสดงในรูปแบบค่าสืบพันธ์ขั้นพื้นฐาน หลังจากนั้นได้วิเคราะห์ถึงความเสถียรภาพภายใต้สภาวะไร้โรคและสภาวะเรื้อรังผลลัพธ์ที่สอดคล้องเงื่อนไขของเร้าเฮอร์วิท (Routh – Hurwitz) ผลของการวิเคราะห์เชิงตัวเลขพบว่าค่าพารามิเตอร์ a, α, ∅ และ q จะทำให้ค่าสืบพันธ์ขั้นพื้นฐาน (Basic Reproduction Number : R<sub>0</sub>) อยู่ในสภาวะไร้โรคเมื่อ R<sub>0</sub>&lt;1 และอยู่ในสภาวะเรื้อรังเมื่อ R<sub>0</sub>&gt;1 ของการแพร่ระบาดโรค</p> 2025-09-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/273002 ความฉลาดองค์รวมและการจัดการความเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 2025-03-25T11:35:26+07:00 กมลทิพย์ สุหญ้านาง kamontip.su@kkumail.com นครินทร์ ประสิทธิ์ ประสิทธิ์ Nakapr@kku.ac.th ณัฐพล โยธา Nuttapoltap@kkumail.com ภูวนาถ ศรีสุธรรม puwanart.art@gmail.com <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความฉลาดองค์รวมและการจัดการความเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการ รพ.สต. จำนวน 195 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นด้านความฉลาดองค์รวมเท่ากับ 0.95 ด้านการจัดการความเปลี่ยนแปลงเท่ากับ 0.94 ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับความฉลาดองค์รวม ภาพรวมระดับการจัดการความเปลี่ยนแปลง และภาพรวมระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อยู่ในระดับมาก (Mean ± SD: 4.41 ± 0.38; 4.27 ± 0.43; 4.40 ± 0.45 ตามลำดับ) โดยความฉลาดองค์รวมและการจัดการความเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (r = 0.707, p-value &lt;0.001; r = 0.812, p-value &lt;0.001 ตามลำดับ) ปัจจัยทำนายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การจัดการความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม ความฉลาดทางด้านดิจิทัล การจัดการความเปลี่ยนแปลงด้านกายภาพ ความฉลาดทางอารมณ์ การจัดการความเปลี่ยนแปลงด้านบุคลากร และความฉลาดทางด้านสังคม สามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 71.7 ผลการศึกษานี้สามารถเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดใช้วางแผนและกำหนดแนวทางพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ใน รพ.สต. หลังการถ่ายโอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/269799 การเปรียบเทียบผลของการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดแบบครั้งคราวด้วยวิธีการนวดไทยราชสำนักกับนวดไทยบำบัด: การศึกษาเบื้องต้น 2024-11-22T11:26:53+07:00 พิชญาภา อินทร์พรหม pitchayapha.in@bsru.ac.th พรทิพย์ คุ้มไข่น้ำ pitchayapha.in@bsru.ac.th จิรวดี คชสาร nanannajik55@gmail.com ภานุพงศ์ มั่นหมาย ltjpanaphong0972@gmail.com กุสุมาศ ตันไชย gusumad58@gmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการนวดไทยราชสำนักและการนวดไทยบำบัดต่ออาการปวดศีรษะจากความเครียดแบบครั้งคราว ในนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพศหญิง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน แบ่งเป็น นวดไทยราชสำนัก และนวดไทยบำบัด กลุ่มละ 15 คน ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ประเมินระดับความเครียดด้วยแบบประเมินจากกรมสุขภาพจิต ระดับความปวด 10 ระดับ ระดับความรู้สึกกดเจ็บของกล้ามเนื้อด้วย และองศาการเคลื่อนไหวของคอก่อนหลังการรักษาตามลำดับ ทดสอบคุณภาพเครื่องมือโดยวิธีวัดซ้ำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired samples t-test, Independent t-test ที่นัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่าหลังการรักษา การนวดไทยราชสำนักและนวดไทยบำบัดทำให้ระดับความเครียดและระดับความปวดลดลง เพิ่มความรู้สึกกดเจ็บของกล้ามเนื้อและองศาการเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังส่วนคออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ไม่มีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างกลุ่ม จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า นวดไทยราชสำนักและนวดไทยบำบัดสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะจากความเครียดแบบครั้งคราวได้ผลดีเทียบเท่ากันจึงควรนำองค์ความรู้นี้ไปประยุกต์ในหัตถบำบัดผสมผสานระหว่างการนวดไทยราชสำนักและนวดไทยบำบัดในผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดแบบครั้งคราว</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/273009 ปัจจัยด้านผู้ดูแลที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมโรคหืดในเด็กก่อนวัยเรียน 2025-01-18T09:37:09+07:00 สุดารัตน์ วันงามวิเศษ sudarat@bcnnon.ac.th อารยา มันตราภรณ์ sudarat@bcnnon.ac.th ดวงฤทัย เสมคุ้มหอม sudarat@bcnnon.ac.th ศศิธร เลิศภิรมย์ลักษณ์ sudarat@bcnnon.ac.th <p>การวิจัยแบบตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านผู้ดูแลที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมโรคหืดในเด็กก่อนวัยเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กโรคหืด จำนวน 124 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ 3) แบบประเมินการรับรู้ภาวะสุขภาพ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการโรคหืด และ 5) แบบประเมินระดับการควบคุมโรคหืด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยโลจิสติก ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยเด็กโรคหืดสามารถควบคุมโรคหืดได้ ร้อยละ 78.20 และไม่สามารถควบคุมโรคหืดได้ ร้อยละ 21.80 และความรอบรู้ด้านสุขภาพ การรับรู้ภาวะสุขภาพ พฤติกรรมการจัดการโรคหืดของผู้ดูแลสามารถร่วมทำนายการควบคุมโรคหืดในเด็กได้ร้อยละ 86.00 (Nagelkerke R2= .86) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมโรคหืดของเด็กอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การรับรู้ภาวะสุขภาพ (OR=0.77, 95%Cl=0.58,1.02, p&lt;.05) และพฤติกรรมการจัดการโรคหืด (OR=0.86, 95%Cl = 0.74, 0.97, p&lt;.05) ดังนั้นบุคลากรทางสุขภาพควรจัดโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการโรคหืดและการรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้ดูแล เพื่อสนับสนุนให้ผู้ดูแลสามารถดูแลเด็กโรคหืดให้ควบคุมอาการของโรคหืดได้ดียิ่งขึ้น</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/270584 การเตรียมความพร้อมจำหน่ายจากโรงพยาบาลในผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 2025-03-17T11:03:54+07:00 อรรถวิทย์ จันทร์ศิริ utthawit_j@payap.ac.th <p>ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกเนื่องจากเป็นภาวะวิกฤตของผู้ป่วยเสียชีวิติอย่างกระทันหันจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ การรักษาต้องทำให้เลือดไปเลี้ยงให้เร็วที่สุดโดยใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือใช้สายสวนขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังคงมีความเสี่ยงต่อการกลับเข้ารับการรักษาซ้ำหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการรักษา ดังนั้นการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่ายจากโรงพยาบาลเป็นกระบวนการที่สำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้มุ่งเน้นความพร้อมในการจำหน่ายจากโรงพยาบาล ประกอบด้วย ความสามารถด้านร่างกายและจิตใจ การได้รับข้อมูลที่เพียงพอ การสนับสนุนทางสังคม และการเข้าถึงบริการสุขภาพในชุมชน การเตรียมความพร้อมเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจซ้ำและภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมในการจำหน่าย เช่น อายุ ระดับการศึกษา การอยู่อาศัย การให้ความหมาย การวางแผนการรักษา และคุณภาพการสอน ดังนั้น การวางแผนการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดความพร้อมในการจำหน่ายจากโรงพยาบาลของไวส์และคณะ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมความพร้อมของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตหลังการรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บทความนี้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่ายจากโรงพยาบาลในผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้รวดเร็วและปลอดภัยในระยะยาว</p> 2025-09-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/HSJT/article/view/273089 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้สิทธิการรักษาภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ 2025-02-10T10:56:13+07:00 จารุกิตต์ ยาระษี jarukit.y@kkumail.com นครินทร์ ประสิทธิ์ Nakapr@kku.ac.th ณัฐพร นิจธรรมสกุล idin2m@gmail.com ภูวนาถ ศรีสุธรรม puwanart.art@gmail.com อัมภาวรรณ นนทมาตย์ beebienonthamart@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้สิทธิการรักษาภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 215 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลทำโดยใช้แบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามีความตรงเชิงเนื้อหาทุกข้อมากกว่า 0.66 และความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งชุดเท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ประกอบด้วยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมานใช้สถิติ Multiple Logistic Regression ผลการศึกษา พบว่า การรับรู้สิทธิภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมด้านการรับรู้ถึงประโยชน์มีร้อยละมากที่สุดอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 80.00 รองลงมา คือ ด้านการรับรู้ต่ออุปสรรคอยู่ในระดับสูงร้อยละ 78.60 และด้านการรับรู้สิทธิด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองอยู่ในระดับสูงร้อยละ 73.02 และความชุกของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมีการรับรู้สิทธิอยู่ในระดับสูงร้อยละ 86.05 (95%CI: 0.80-0.90) และพบว่าด้านช่องทางการจัดบริการอยู่ในระดับสูงมีโอกาสรับรู้สิทธิการรักษามากกว่า 3.07 เท่า (AOR = 3.07, 95%CI: 1.22-7.76) ด้านบุคลากรอยู่ในระดับสูงมีโอกาสรับรู้สิทธิการรักษามากกว่า 3.20 เท่า (AOR = 3.20, 95%CI: 1.09-9.39) และด้านกระบวนการอยู่ในระดับสูงมีโอกาสรับรู้สิทธิการรักษามากกว่า 3.70 เท่า (AOR = 3.70, 95%CI: 1.60-8.54)</p> 2025-09-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ