วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP
<p>วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์เป็นวารสารการแพทย์ของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์มีการพิมพ์เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และกรกฎาคม-ธันวาคม) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการทางการแพทย์ ผลงานวิจัย บทความฟื้นฟูวิชาการ รายงานผู้ป่วย และรายงานการสำรวจทางระบาดวิทยา รวมทั้งผลงานวิชาการด้านการศึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ นอกจากนี้วารสารยังมีการเผยแพร่บทความที่นำเสนอการดำเนินการหรือการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ของหน่วยงานหรือโรงพยาบาลเกี่ยวข้องกับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข</p> <p><strong>ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</strong></p>
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
th-TH
วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
1686-8579
-
ภาวะสายกระตุกไฟฟ้าหัวใจเลื่อนตำแหน่งร่วมกับการทะลุของหัวใจห้องล่างขวาภายหลังจากทำการฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ : รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/269501
<p>การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจแบบถาวร (permanent pacemaker) หรือเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (implantable cardioverter defibrillator) เป็นการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะวิธีหนึ่ง การทะลุของหัวใจ ห้องล่างขวา (Right Ventricle perforation หรือ RV perforation) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ของการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจแบบถาวรหรือการฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ แม้จะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นจะส่งผลร้ายแรงได้ </p> <p>บทความนี้เป็นการรายงานผู้ป่วยชายชาวออสเตรเลีย อายุ 70 ปี มีอาการเจ็บแบบไฟช็อตที่บริเวณ ชายโครงข้างซ้ายหลังจากที่ได้รับการฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจได้ 18 วัน ได้รับการตรวจด้วยการทำเอ็กซเรย์ร่วมกับการทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ระดับทรวงอก พบว่า มีการเคลื่อนที่ของสายกระตุกไฟฟ้าหัวใจออกนอกหัวใจ ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งของสาย Right Ventricular (RV) lead จาก RV septum มาวางสายที่บริเวณ RV apex แทน โดยมีการใส่สายระบายน้ำหรือของเหลวเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (catheter placement in pericardium) ก่อนทำการเปลี่ยนตำแหน่งของสาย lead เพื่อเตรียมพร้อมหากมีเหตุการฉุกเฉิน เช่น เลือดออกจากบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจมาในเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งผลของการเปลี่ยนตำแหน่งของสาย RV lead ครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี โดยไม่ได้มีผลแทรกซ้อนใด ๆ และหลังจากตรวจติดตามอาการหลังจากเปลี่ยนตำแหน่งของ สาย RV lead ได้ 3 ปี สายยังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ไม่มีการเคลื่อนที่เพิ่มเติมใด ๆ ร่วมกับการทำงานของ เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจยังทำงานได้ตามปกติ</p>
ณัฎฐ์ชญาธิปก์ กิตติจำเริญ
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
80
96
-
คลินิกทันตกรรมหลังการระบาดโควิด-19 ของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/271179
ลัดดา วัฒนาปฐิมากุล
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
1
6
-
ภาวะไม่อยากอาหารในผู้สูงอายุ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/267900
<p><strong>บทนำ</strong> <strong>:</strong> ความไม่อยากอาหารเป็นกลุ่มอาการแสดงที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ (geriatric syndrome) ซึ่งแพทย์มักมองข้าม และไม่ค้นหาสาเหตุทำให้ผู้สูงอายุมีภาวะทุพโภชนาการ และในที่สุดนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ซึ่งก่อให้เกิดภาวะทุพพลภาพและเสียชีวิตได้ในที่สุด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอสาเหตุของความไม่อยากอาหาร ทั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ตามอายุ (aging anorexia or physiologic anorexia) หรือเกิดจากโรคหรือยาประจำตัวที่ใช้ (pathologic anorexia) เพื่อนำไปสู่การรักษาสาเหตุและการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่นำไปสู่การเสียชีวิต</p> <p><strong>วิธีดำเนินการศึกษา </strong><strong>: </strong>สืบค้นเพื่อรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยต่าง ๆ ในฐานข้อมูลวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับ เรียบเรียงเนื้อหาเพื่อนำเสนอในแต่ละด้าน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ภาวะไม่อยากอาหารมักเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามในผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างทันท่วงทีจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาวะทุพโภชนาการตามมา สาเหตุของภาวะไม่อยากอาหารในผู้สูงอายุแบ่งเป็น ภาวะไม่อยากอาหารที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามอายุของผู้สูงวัย(physiologic anorexia) เช่น เกิดจากการขาดความสมดุลระหว่างสารสื่อประสาทในสมองและฮอร์โมนที่ชื่อ orexigenic กับ anorexigenic หรือเกิดการหดตัวของกระเพาะอาหารบริเวณ antrum ทำให้อิ่มเร็วกว่าปกติ เป็นต้น ส่วนความไม่อยากอาหารที่เกิดจากพยาธิสภาพอื่น ๆ (pathologic anorexia) แบ่งย่อยเป็นจากทางด้านร่างกาย (โรคประจำตัวหรือยาที่ผู้สูงอายุใช้) สภาวะทางจิต (โรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้า) และสภาพทางด้านสังคม เช่น อยู่คนเดียว เป็นต้น ภาวะไม่อยากอาหารเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการทางผู้สูงอายุ (geriatric syndrome) ที่ควรจะได้รับการตรวจหาสาเหตุและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>ความไม่อยากอาหารในผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามโดยแพทย์ทั่วไป สามารถแบ่งสาเหตุได้จาก</p> <p>ความเปลี่ยนแปลงตามวัย (physiologic anorexia) และจากพยาธิสภาพ (pathologic anorexia) ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น จากโรคประจำตัว ยา สภาพทางจิตใจ และสภาพทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการวินิจฉัยอย่างรวดเร็วและรักษาให้ตรงสาเหตุเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และลดอัตราการเกิดความพิการหรือการเสียชีวิตตามมา</p>
รวีวรรณ สุรเศรณีวงศ์
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
68
79
-
การสำรวจความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/268823
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>: เพื่อศึกษาความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย ประจำปี 2566</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong>: เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่กำลังนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ “การสำรวจความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย ประจำปี 2566” ทั้งรายเก่าและรายใหม่ที่ได้รับการรักษาโดยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 8,581 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูลการสำรวจความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย 2) แบบประเมินระดับความรุนแรงของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบของชมรมเครือข่ายพยาบาลผู้ให้สารน้ำแห่งประเทศไทย (2566) และ 3) แบบฟอร์มสรุปการสำรวจความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เครื่องมือทั้ง 3 ชุด ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพยาบาลผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ จำนวน 5 ท่าน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 0.80 ส่วนความเที่ยงของแบบประเมินระดับความรุนแรงของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบของ ชมรมเครือข่ายพยาบาลผู้ให้สารน้ำแห่งประเทศไทย (2566) ได้ทดลองใช้กับสมาชิกชมรมเครือข่ายพยาบาลผู้ให้สารน้ำแห่งประเทศไทย จำนวน 30 คน ได้ค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.91 </p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>: พบว่า เมื่อจำแนกตามขนาดโรงพยาบาล พบว่า ความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจาก การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย โรงพยาบาลขนาด 30-120 เตียง คิดเป็นร้อยละ 5.10 โรงพยาบาลขนาด 121-500 เตียง คิดเป็นร้อยละ 4.98 โรงพยาบาลขนาด 501-1,000 เตียง คิดเป็นร้อยละ 3.04 และโรงพยาบาลขนาดมากกว่า 1,000 เตียง คิดเป็นร้อยละ 1.64</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>ความชุกของการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในประเทศไทย ประจำปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 3.79 <strong> </strong></p>
ภัทรารัตน์ ตันนุกิจ
สุวดี สุขีนิตย์
จิราพร เชาว์โพธิ์ทอง
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
7
19
-
ผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดที่มีภาวะโลหิตจาง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/268746
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>: เพื่อหาผลลัพธ์การตั้งครรภ์และผลลัพธ์ของทารกในครรภ์สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong>: การศึกษานี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง โดยศึกษาในสตรีที่คลอดบุตรในโรงพยาบาลเจริญกรุง-ประชารักษ์ ในช่วงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 จำนวน 220 คน โดยศึกษาสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดที่มีภาวะโลหิตจาง จำนวน 44 คน และสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดที่ไม่มีภาวะโลหิตจาง จำนวน 176 คน ข้อมูลผลลัพธ์การตั้งครรภ์และภาวะแทรกซ้อนของด้านมารดาและทารกถูกรวบรวมและเปรียบเทียบในอัตราส่วน 1:4</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>: สตรีตั้งครรภ์ที่โลหิตจางระหว่างการตั้งครรภ์มีอัตราการผ่าตัดคลอดครั้งแรก คะแนน Apgar ที่ 1 นาทีน้อยกว่า 7 ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม และการนอนรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด </p> <p>สูงกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่มีโลหิตจางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในการศึกษานี้ยังพบว่า สตรีตั้งครรภ์ที่โลหิตจางตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก โลหิตจางในไตรมาสที่ 3 ของ การตั้งครรภ์ และโลหิตจางในวันคลอด พบอัตราการผ่าตัดคลอดครั้งแรกสูงกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่มีโลหิตจางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พบคะแนน Apgar ที่ 1 นาทีน้อยกว่า 7 สูง อย่างมีนัยสำคัญในสตรีตั้งครรภ์ที่โลหิตจางตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก (adjusted RR 5.91, 95%CI 1.82-19.11) และโลหิตจางในวันคลอด (adjusted RR 3.56, 95%CI 1.12-11.34) นอกจากนี้ อัตราการนอนรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดในมารดาที่โลหิตจาง เมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก และในวันคลอด ยังสูงกว่ามารดาที่ไม่มีโลหิตจางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับอัตราการเกิดทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม พบมีการเกิดสูงในสตรีตั้งครรภ์ที่พบโลหิตจาง ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong> : ภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดคะแนน Apgar ที่ 1 นาทีน้อยกว่า 7 การนอนรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด ภาวะน้ำหนักตัวน้อยในทารกแรกเกิด และ การผ่าตัดคลอดครั้งแรก</p>
ชลิต วงศ์ยุทธไกร
จิรพร เหลืองเมตตากุล
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
20
34
-
ประเมินผลการจัดการระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรค (cohort ward) ในสถานการณ์การระบาด ของโควิด-19 ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/268590
<p><strong>บทนำ </strong><strong>:</strong> ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ได้จัดตั้งหอผู้ป่วยแยกโรค เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยใช้แนวคิดบริหารการพยาบาลภัยพิบัติของเจนนิ่ง และแนวคิดการบริหารการพยาบาลในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>:</strong> เพื่อประเมินผลการจัดการระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรค ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 - สิงหาคม 2565 จำนวน 77 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินความพร้อมในการจัดการระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรค แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการและการบริการทั่วไป ด้านการจัดตั้งหอผู้ป่วยแยกโรค ด้านระบบการทำงานของบุคลากรการแพทย์ ด้านการดูแลคลังและอุปกรณ์สนับสนุน ด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของบุคลากร และด้านการทำความสะอาดและระบบการฆ่าเชื้อสำหรับหอผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจพยาบาลในการจัดระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรค ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้ค่า CVI 0.95 และ 1 ตามลำดับ ทดสอบหาความเที่ยงในพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรค โรงพยาบาลสิรินธร 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาคแอลฟ่า 0.97 และ 0.85 ตามลำดับ และข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานรวบรวมจากแบบรายงานอุบัติการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพของกลุ่มงานอาชีวเวชกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ความพร้อมของการจัดระบบบริการของหอผู้ป่วยแยกโรคโดยรวมอยู่ในระดับมากทั้ง 6 ด้าน ความพึงพอใจของพยาบาลผู้ปฏิบัติงานต่อการจัดระบบบริการของหอผู้ป่วยแยกโรคโดยรวม อยู่ในระดับมาก (mean = 3.54, SD = 0.73) อุบัติการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรค จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 6.02</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>:</strong> ควรมีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ระยะก่อนเกิดเหตุ มีการซักซ้อมความเข้าใจร่วมกัน ระยะเกิดเหตุต้องมีการปรับปรุงแผนการให้ทันต่อสถานการณ์ และระยะหลังเกิดเหตุมีการฟื้นฟูและถอดบทเรียน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้ออื่น ๆ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อประเมินผลการจัดการระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรคในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564-สิงหาคม 2565 จำนวน 77 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินความพร้อมในการจัดการระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการและการบริการทั่วไป ด้านการจัดตั้งหอผู้ป่วยแยกโรค ด้านระบบการทำงานของบุคลากรการแพทย์ ด้านการดูแลคลังและอุปกรณ์สนับสนุน ด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของบุคลากร ด้านการทำความสะอาดและระบบการฆ่าเชื้อสำหรับหอผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจพยาบาลในการจัดระบบบริการพยาบาลหอผู้ป่วยแยกโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้ค่า CVI เท่ากับ 0.95 และ 1 ตามลำดับ ทดสอบหาความเที่ยงในพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรค โรงพยาบาลสิรินธร 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาคแอลฟ่าเท่ากับ 0.97 และ 0.85 ตามลำดับ และข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานรวบรวมจากแบบรายงานอุบัติการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพของกลุ่มงานอาชีวเวชกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> <strong> </strong>ความพร้อมของการจัดระบบบริการของหอผู้ป่วยแยกโรคโดยรวมอยู่ในระดับมากทั้ง 6 ด้าน ความพึงพอใจของพยาบาลผู้ปฏิบัติงานต่อการจัดระบบบริการของหอผู้ป่วยแยกโรคโดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.54, SD=0.73) อุบัติการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยแยกโรค มีจำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 6.02</p> <p><strong>สรุป</strong> การจัดระบบบริการพยาบาลของหอผู้ป่วยแยกโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ควรมีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ระยะก่อนเกิดเหตุ มีการซักซ้อมความเข้าใจร่วมกัน ระยะเกิดเหตุต้องมีการปรับปรุงแผนการให้ทันต่อสถานการณ์และระยะหลังเกิดเหตุมีการฟื้นฟูและถอดบทเรียนเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้ออื่น ๆ</p>
ภัคนันท์ บุณยชิตนุกูร
เรณู วัฒนเหลืองอรุณ
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
35
51
-
ความสัมพันธ์ของสเตียรอยด์แบบพ่นละอองฝอยเพิ่มเติมจากการรักษาตามมาตรฐานกับอัตราการนอนโรงพยาบาล ในผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบเฉียบพลันระดับปานกลางที่ห้องฉุกเฉิน (โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร)
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/269876
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการให้ยา nebulized budesonide เพิ่มเติมจากการรักษาตามมาตรฐาน กับอัตราการนอนโรงพยาบาลและผลลัพธ์ทางคลินิกอื่น ๆ ในผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบเฉียบพลันระดับปานกลางที่ห้องฉุกเฉิน</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบ retrospective cohort นี้ ทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบเฉียบพลันระดับปานกลาง 106 ราย ที่ได้รับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ระหว่าง มกราคม 2564 ถึง กรกฎาคม 2566 โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐาน (n = 53) และกลุ่มที่ได้รับ nebulized budesonide เพิ่มเติม (n = 53) ผลลัพธ์หลัก คือ อัตราการนอนโรงพยาบาล ผลลัพธ์รองได้แก่ ระยะเวลานอนโรงพยาบาล ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน อัตราการกลับมารักษาซ้ำ และอาการไม่พึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ chi-square test และ multiple regression analysis</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>อัตราการนอนโรงพยาบาลทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ในกลุ่ม budesonide มีแนวโน้มต่ำกว่ากลุ่มรักษาตามมาตรฐาน (24.5% เทียบกับ 35.8%; p = 0.204) ระยะเวลานอนโรงพยาบาลไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (2.9 ± 1.1 วัน เทียบกับ 3.3 ± 2.0 วัน, p = 0.384) ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนหลังพ่นยาในกลุ่ม budesonide สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (98.0 ± 1.4 เทียบกับ 96.6 ± 3.1, p = 0.006) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของอัตราการกลับมารักษาซ้ำ</p> <p>(p = 1.000) และอาการไม่พึงประสงค์จากยา (p = 1.000)</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>การให้ nebulized budesonide 1.5 mg เพิ่มเติม ไม่ช่วยลดอัตราการนอน ระยะเวลานอนโรงพยาบาล และอัตราการกลับมารักษาซ้ำ อย่างมีนัยสำคัญ ในผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบเฉียบพลันระดับปานกลางที่ได้รับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมแบบ randomized controlled trial ขนาดใหญ่กับยา budesonide ขนาดสูงเพื่อยืนยันผลการศึกษานี้</p>
ธันยา ปิติยะกูลชร
พงศ์พิชญ์ แสนศรี
ศิริศักดิ์ สิงห์ธนะ
จิตญา สัมนิตย์
นริศรา เธียรชาติสกุล
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-18
2024-12-18
20 2
52
67