วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP
<p>วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์เป็นวารสารการแพทย์ของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์มีการพิมพ์เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และกรกฎาคม-ธันวาคม) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการทางการแพทย์ ผลงานวิจัย บทความฟื้นฟูวิชาการ รายงานผู้ป่วย และรายงานการสำรวจทางระบาดวิทยา รวมทั้งผลงานวิชาการด้านการศึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ นอกจากนี้วารสารยังมีการเผยแพร่บทความที่นำเสนอการดำเนินการหรือการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ของหน่วยงานหรือโรงพยาบาลเกี่ยวข้องกับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข</p> <p>*โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์กับสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง</p> <p><strong>ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</strong></p>
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
th-TH
วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
1686-8579
-
บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/272965
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ ในการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชในหลายมิติ ได้แก่ บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ ข้อจำกัดและจุดท้าทาย ทิศทางในอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชทั้งในระดับประเทศไทยและระดับสากล</p> <p><strong>วิธีดำเนินการศึกษา</strong>: ตระหนักถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในทางการแพทย์ รวมถึงทางด้านการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช จึงได้มีการศึกษาทบทวนงานวิจัย คิดวิเคราะห์และนำเสนอเป็นบทความในหลายแง่มุม เพื่อเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีผลต่อวงการแพทย์รวมถึงการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> การใช้ปัญญาประดิษฐ์ทางด้านจิตเวช ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ซึ่งปัญญาประดิษฐ์จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน โดยการเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ การเรียนรู้เชิงลึก และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ รวมถึงการสแกนสมองและข้อมูลพฤติกรรม ทำให้สามารถตรวจจับโรคในระยะเริ่มต้นและปรับปรุงผลการรักษาได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย ลดเวลาในการทำงาน และเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ ปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และลดปัญหาการตีตราทางจิตเวช อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัด เช่น คุณภาพข้อมูลที่อาจมีอคติจากกลุ่มตัวอย่างที่จำกัด และการขาดความโปร่งใสในบางชุดข้อมูลของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการนำไปใช้ในทางการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล</p> <p><strong>สรุป</strong>: ปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตเวช โดยช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อน และการตรวจจับรูปแบบที่อาจมองข้าม รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ยังสามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในทางการแพทย์ต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องคุณภาพข้อมูล ความโปร่งใสของชุดข้อมูล และข้อพิจารณาทางจริยธรรม ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขเพื่อใช้ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านจิตเวช</p>
กันตพัฒน์ ราชไชยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
162
179
-
ภาวะชั้นหินปูนในผนังหลอดเลือดในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีภาวะหมุนเวียนของกระดูกต่ำ: รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/273240
<p>ภาวะชั้นหินปูนในผนังหลอดเลือด (calciphylaxis) เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่มีอันตรายถึงแก่ ชีวิตภาวะนี้เกิดจากการสะสมของแคลเซียม (calcium) ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดขนาดเล็กบริเวณชั้นไขมันและชั้นผิวหนังแท้ มักพบในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีความผิดปกติของสมดุลแร่ธาตุและกระดูก การวินิจฉัยภาวะดังกล่าวต้องอาศัยความตระหนักจากแพทย์ผู้รักษาในอาการแรกเริ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรอยโรคนั้นก่อให้เกิดอาการปวดชนิดรุนแรงและเป็นบริเวณผิวหนังที่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังมาก เพื่อการวินิจฉัยที่ทันท่วงที รายงานผู้ป่วยฉบับนี้กล่าวถึงผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่มีการหมุนเวียนของกระดูกต่ำมาโรงพยาบาลด้วยอาการแผลเรื้อรังบริเวณต้นขาและขาซ้ายร่วมกับมีอาการปวดมากมาเป็นเวลา 2 เดือน ได้รับการรักษาโดยสหสาขาวิชาชีพและสหรูปแบบเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนชนิดรุนแรงและภาวะทุพพลภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้ปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดจนถึงแก่ชีวิต กรณีตัวอย่างนี้เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของการวินิจฉัยโดยเร็วและการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหากไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา เพื่อลดอัตราการเกิดภาวะทุพพลภาพและอัตราการเสียชีวิตจากภาวะชั้นหินปูนในผนังหลอดเลือด</p>
นิจจารีย์ จิรชีพพัฒนา
วนพล เมธาประยูร
วสกร บุณยโยธิน
วรรณสิทธิ์ วรรธนวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
180
194
-
การพบร่วมกันของเนื้องอกตับอ่อนที่สร้างอินซูลินเนื้องอกระบบประสาทต่อมไร้ท่อที่ไม่ทำงานของตับอ่อน และเนื้องอกพาราไทรอยด์ในกลุ่มอาการเนื้องอกต่อมไร้ท่อหลายต่อมชนิดที่ 1: รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/275265
<p>เนื้องอกของตับอ่อนอินซูลิโนมาเป็นเนื้องอกระบบประสาทต่อมไร้ท่อบริเวณตับอ่อนที่หลั่งฮอร์โมนอินซูลินมีอุบัติการณ์ประมาณ 1 ถึง 32 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคนต่อปี ผู้ป่วยมักมีอาการแสดงจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งสามารถมีอาการทางระบบประสาทหรืออาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ โดยอาการจะดีขึ้นหลังจากได้รับประทานอาหาร และจะมีอาการในช่วงอดอาหาร การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นพบมีภาวะน้ำตาลต่ำร่วมกับค่าอินซูลินและ c-peptide ที่สูง</p> <p>รายงานฉบับนี้นำเสนอผู้ป่วยชายอายุ 67 ปี มาด้วยพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและระดับความรู้สึกตัวลดลง การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบภาวะน้ำตาลและฟอสเฟตในเลือดต่ำ แคลเซียมในเลือดสูง การสแกนพาราไทรอยด์พบก้อนเนื้องอกที่หลั่งฮอร์โมนผิดปกติ ผลตรวจ Magnetic Resonance Imaging (MRI) และ Computed Tomography (CT) ช่องท้องส่วนบนพบเนื้องอกระบบประสาทต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อนจำนวนสองก้อน ได้แก่ เนื้องอกที่บริเวณส่วนปลายของตับอ่อนชนิดที่สร้างอินซูลินและบริเวณส่วนต้นของตับอ่อนชนิดไม่สร้างฮอร์โมน ซึ่งเข้าได้กับกลุ่มอาการเนื้องอกต่อมไร้ท่อหลายต่อมชนิดที่ 1 ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดด้วยวิธีการตัดตับอ่อนส่วนปลาย และการผ่าตัดตับอ่อนส่วนต้นกับลำไส้เล็กส่วนต้นออก ภายหลังการผ่าตัดผู้ป่วยมีภาวะรั่วของตับอ่อนซึ่งได้รับการรักษาแบบประคับประคอง และรายงานฉบับนี้ได้อภิปรายเกี่ยวกับขั้นตอนการวินิจฉัย การผ่าตัด การดูแลและติดตามหลังผ่าตัด และทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการเกิดร่วมกันของอินซูลิโนมาและเนื้องอกระบบประสาทต่อมไร้ท่อที่ไม่ทำงานของตับอ่อน</p>
สุวัจน์ เจตน์จิราวัฒน์
นุชวรา วานิชชานนท์
พีรเจษฏ์ ไชยสุข
จินตนันท์ จังศิริพรปกรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
195
204
-
การพัฒนาระบบบริหารจัดการสู่การเป็นศูนย์เครื่องมือแพทย์ต้นแบบระดับพัฒนาดีเด่น ของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/277656
กรรณิกา ธนไพโรจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
101
108
-
การศึกษาลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยเด็กติดเชื้อโควิด-19 อายุน้อยกว่า 15 ปี ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/272541
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาอาการแสดงทางคลินิก และผลการรักษาผู้ป่วยเด็กที่ติดโควิด-19 (เชื้อ SARS-CoV-2) และเปรียบเทียบระหว่าง 3 ระลอกการระบาด</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong>: ศึกษาย้อนหลังโดยรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันติดเชื้อ SARS-CoV-2 ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยจำแนกสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ตามกรมควบคุมโรค ออกเป็นระยะก่อนเดลต้า (pre-Delta), เดลต้า (Delta) และโอมิครอน (Omicron)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ผู้ป่วยเด็กทั้งหมด 895 ราย เพศชาย ร้อยละ 55.8 อายุเฉลี่ย (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) 7.35 (± 4.6) ปี มีโรคประจำตัว ร้อยละ 4.7 โดยโรคทางเดินหายใจเป็นโรคที่พบมากที่สุด ร้อยละ 2.6 พบการติดเชื้อจากคนในครอบครัว ร้อยละ 65.8 อาการทางคลินิกที่พบ ได้แก่ อาการทางเดินหายใจส่วนบน (ไอ น้ำมูก มีเสมหะ และเจ็บคอ เป็นร้อยละ 55.9, 37.8, 13.2 และ 23.1 ตามลำดับ) ไข้ ร้อยละ 57 และอาการทางระบบอื่น ๆ เช่น ระบบทางเดินอาหาร (ถ่ายอุจจาระเหลว และคลื่นไส้/อาเจียน เป็นร้อยละ 10.2 และ 8.4) ชัก ร้อยละ 3.7 และพบผู้ป่วยไม่แสดงอาการทางคลินิก ร้อยละ 13.5 ระดับความรุนแรงของโรคแบ่งเป็น ไม่มีอาการ ความรุนแรงเล็กน้อย ความรุนแรงปานกลาง และอาการรุนแรง เป็นร้อยละ 8.8, 55, 34.9 และ 1.3 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสายพันธุ์ พบว่า สายพันธุ์โอมิครอน มีไข้สูงและอาการชักเด่นชัดกว่า ขณะที่สายพันธุ์เดลต้า มีอาการสูญเสียการรับรสและกลิ่น ส่วนในช่วงก่อนเดลต้า ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ การตรวจภาพถ่ายรังสีทรวงอกพบความผิดปกติ ร้อยละ 38.5 โดยเป็นแบบระหว่างเนื้อเยื่อช่องว่างปอด (interstitial) ร้อยละ 76.8 และแบบกระจายเป็นหย่อม ๆ (patchy) หรือภาวะฝ้าหรือมัวคล้ายกระจกฝ้า (ground glass opacity) ร้อยละ 29.8 ผู้ป่วยที่มีอาการและ/หรือมีปัจจัยเสี่ยงได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ร้อยละ 83.3 ผู้ป่วยพบการดำเนินโรคที่รุนแรงขึ้น ร้อยละ 4.9 และได้รับออกซิเจนเสริม ร้อยละ 1.3 แต่ไม่มีรายใดต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ผลลัพธ์โดยรวมพบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดหายเป็นปกติ ไม่มีรายงานการเสียชีวิต</p> <p><strong>สรุป</strong>: การติดเชื้อโควิด -19 ในเด็กโดยทั่วไปมีพยากรณ์โรคที่ดี อาการทางเดินหายใจเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ในแต่ละช่วงเวลาของสายพันธุ์จะมีอาการเด่นที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการดีขึ้นเป็นปกติ</p>
ชนิกานต์ วณิชย์อนันตกุล
วาศินีย์ นรเศรษฐีกุล
ณัฐพงษ์ จิตรุ่งเรืองนิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
109
125
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสมองเสื่อมและกลุ่มอาการสูงอายุของผู้สูงอายุในคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/272868
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสมองเสื่อมและกลุ่มอาการสูงอายุของผู้สูงอายุในคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong>: เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ศึกษาจากเวชระเบียนของผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ที่เข้ารับการคัดกรองที่คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เดือนเมษายน 2567 จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบคัดกรองภาวะเปราะบาง (FRAIL scale) แบบประเมินความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis Self-Assessment Tool for Asians; OSTA index) แบบประเมินสมรรถภาพสมอง (Mini-Cog และ Thai Mental Status Examination; TMSE) แบบประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment; MNA) แบบประเมินกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แบบทดสอบภาวะหกล้ม (Time Up and Go test; TUG test) แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า (Patient Health Questionnaire-2; PHQ-2 และ Patient Health Questionnaire-9; PHQ-9) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบไค-สแควร์ (chi-square)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: จากการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุจำนวน 160 คน อายุเฉลี่ย 78.06 ปี (SD = 8.3) เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 80-89 ปี และสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 63.1, 49.4 และ 53.8 ตามลำดับ ส่วนความชุกของกลุ่มอาการสูงอายุพบมากที่สุด 2 อันดับแรก คือ ภาวะสมองเสื่อมและภาวะเปราะบาง คิดเป็นร้อยละ 23.1 และ 11.3 ซึ่งพบว่า ภาวะเปราะบางมีความสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงกว่ากลุ่มแข็งแรงถึง 30.4 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่า ดัชนีโรคร่วมชาร์ลสัน (Charlson comorbidity index) เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อมเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม (ค่าเฉลี่ย = 2.3, SD = 1.58 และ ค่าเฉลี่ย = 1.48, SD = 1.86 ) (p<0.01) รวมถึงความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อม (ค่าเฉลี่ย = 14.86, SD = 5.99 และ ค่าเฉลี่ย = 18.00, SD = 3.62 ) (p<0.01) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ภาวะสมองเสื่อมมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุที่เข้ารับการรักษาในคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โดยภาวะสมองเสื่อมและภาวะเปราะบาง พบที่ร้อยละ 23.1 และ 11.3 ซึ่งจากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงถึง 30.4 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มแข็งแรง (robust) ในขณะที่กลุ่มก่อนเปราะบาง (pre-frail) มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงถึง 14.2 เท่า</p>
วิชัยพัชร์ ไทยสุริโย
วริชา เอี่ยมจิณณสุวัฒน์
อาภา สัตยสัณห์สกุล
อารียา เกียรติก้องระบือ
มลธิรา นาคะเสงี่ยม
ปภาวรินทร์ ดาภา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
126
144
-
ผลลัพธ์ของการประเมินความสมเหตุผลของการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือดโดยตรงในผู้ป่วยนอก ณ โรงพยาบาลกลาง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JCP/article/view/272885
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือดโดยตรง (Direct Oral Anticoagulants; DOACs) เป็นยาทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิผลดีและมีความปลอดภัยในการรักษาแต่ปัจจุบันยังพบปัญหาการสั่งใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลการสั่งใช้ยา DOACs อย่างสมเหตุผลระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบประเมินความสมเหตุผล (Drug Use Evaluation; DUE) ในด้านข้อบ่งใช้ ข้อห้ามใช้ ขนาดยา และการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> รูปแบบ retrospective analytical pre-post study ในผู้ป่วยนอกที่ได้รับยา DOACs ณ โรงพยาบาลกลาง ระหว่างเดือนมีนาคม 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จำนวน 90 ราย เก็บข้อมูลผ่านเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เปรียบเทียบความสมเหตุผลของการสั่งยา DOACs ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบประเมิน DUE โดยใช้สถิติ chi-square test ที่ระดับความเชื่อมั่นทางสถิติ ร้อยละ 95</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้ป่วยได้รับยา DOACs เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่เกี่ยวข้องกับลิ้นหัวใจ คิดเป็นร้อยละ 84.5 และเพื่อรักษาและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ คิดเป็นร้อยละ 14.4 ผลการประเมินความสมเหตุผลการสั่งใช้ยา DOACs พบว่า ความสมเหตุผลในด้านข้อบ่งใช้ ข้อห้ามใช้ และการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่แตกต่างกันระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบประเมิน DUE แต่พบความแตกต่างกันในด้านขนาดยา โดยพบว่า หลังการใช้แบบประเมิน DUE มีความเหมาะสมของการสั่งขนาดยาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับ 60 (p<0.001)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การใช้แบบประเมินความสมเหตุผล (DUE) ของการสั่งยากลุ่ม DOACs ในโรงพยาบาลกลาง ทำให้มีการสั่งใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความเหมาะสมในด้านขนาดยา ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาเหมาะสมและมีความปลอดภัย นำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิผล</p>
จริยา สุภาพงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-12
2025-11-12
21 2
145
161