https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/issue/feed
วารสารศาสตร์สุขภาพและการศึกษา
2025-10-08T08:40:32+07:00
อาจารย์วัลลภา ดิษสระ
journal.bcnnakhon@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารศาสตร์สุขภาพและการศึกษา รับบทความวิจัย และบทความวิชาการ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านการพยาบาล การสาธารณสุข ด้านศิลปะการสอน การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ทั้งนี้ผลงานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาตีพิมพ์ในวารสาร กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับละ 5-7 บทความ) ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/272695
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุข จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
2025-01-08T11:47:07+07:00
ซัมซุดดีน หามะ
shamsuddeanh@gmail.com
เอกพล กาละดี
akaphol.kal@stou.ac.th
วรางคณา จันทร์คง
akaphol.kal@stou.ac.th
<p> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุขจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่างจำนวน 243 คน เก็บข้อมูลช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 – มกราคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามออนไลน์ด้วยรูปแบบ Google form <br />ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความสอดคล้องเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.88 วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติถดถอยลอจิสติก</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า บุคลากรสาธารณสุขมีความเครียดในการปฏิบัติงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง <br />(ร้อยละ 61.31) เมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปรอื่น ๆ แล้ว พบว่า อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 40 ปี และสถานภาพสมรส/คู่ มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุขจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (adj.OR= 2.23, 95%CI= 1.10 – 4.53: adj.OR= 2.17, 95%CI= 1.03 – 4.58)</p> <p> ฉะนั้น กลุ่มงานสุขภาพจิตของโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ควรจัดกิจกรรมหรือโครงการเฉพาะสำหรับบุคลากรที่มีอายุน้อยและบุคลากรที่มีสถานภาพสมรส โปรแกรมฝึกการจัดการความเครียดหรือการวางแผนชีวิต</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/273235
การประเมินสมรรถนะของบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-04-25T08:37:11+07:00
เบญจวรรณ จันทระ
ben089@hotmail.com
วรพจน์ พรหมสัตยพรต
ben089@hotmail.com
สุรศักดิ์ เทียบฤทธิ์
ben089@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ประเมินความต้องการ และศึกษาความสอดคล้องของสมรรถนะในการปฏิบัติงานขอบุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในอำเภอแห่งหนึ่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานใน รพ.สต. ที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 36 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - ธันวาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามบทบาทการปฏิบัติงานสอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณลักษณะของ กพ. ในระดับสูงสุด ขณะที่สมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานก็เป็นไปตามมาตรฐานของ กพ. ได้แก่ จรรยาบรรณวิชาชีพ, การสั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ, การบริการที่ดีและการทำงานเป็นทีม โดยอยู่ในระดับสูงสุดตามลำดับ สำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.สต. ควรได้รับการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์, การประสานงาน, การวางแผน, ภาวะผู้นำและการทำงานเชิงรุกในชุมชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ, พยาบาลวิชาชีพควรพัฒนาสมรรถนะด้านมาตรฐานการพยาบาล, จริยธรรมและจรรยาวิชาชีพ พร้อมเปิดโอกาสให้มีอิสระในการพัฒนาวิชาชีพ, นักวิชาการสาธารณสุข/เจ้าพนักงานสาธารณสุขควรได้รับการเสริมสร้างทักษะด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการใช้ข้อมูลในการวางแผนทางสาธารณสุข เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขควรเพิ่มขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการและงานวิชาการ สำหรับเจ้าพนักงานธุรการ ควรพัฒนาสมรรถนะด้านความเข้าใจองค์กรและระบบงาน การให้บริการที่เป็นมิตรและการทำงานเป็นทีม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ และเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีควรได้รับการพัฒนาในด้านความซื่อสัตย์สุจริต, จริยธรรมในวิชาชีพและการปฏิบัติงานที่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ</p> <p> ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ เน้นให้มีการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสมผ่านการอบรม การพัฒนาเชิงปฏิบัติ และการสนับสนุนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและคุณภาพการให้บริการสาธารณสุขที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-09-20T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/274105
ผลของการพัฒนาระบบการประสานรายการยาสำหรับผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแว้ง
2025-05-16T08:20:28+07:00
ไลลีนา แวดือราแม
leenrx17@gmail.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบการดำเนินงานการเปรียบเทียบประสานรายการยา ประเภทผู้ป่วยใน โรงพยาบาลแว้ง การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน และปัญหาที่พบจากการดำเนินงาน MR ระยะที่ 2 พัฒนาระบบการดำเนินงานของการเปรียบเทียบประสานรายการยาประเภทผู้ป่วยใน และระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาระบบการดำเนินงานของ MR ประเภทผู้ป่วยใน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่มีการใช้ยาโรคเรื้อรังทุกรายที่เข้ารับการรักษาประเภทผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแว้ง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกการประสานรายการยา Doctor order sheet และโปรแกรม HosXp มีค่าความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติความถี่ ร้อยละ และทดสอบก่อน-หลังด้วยสถิติไคสแควร์</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า สามารถประกันเวลาการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมงได้ โดยก่อนการพัฒนาระบบ สามารถดำเนินงานเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง ได้ในผู้ป่วยร้อยละ 66.90 หลังการพัฒนาระบบ สามารถดำเนินงานเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง ได้ร้อยละ 99.66 หลังการพัฒนาระบบ สามารถวิเคราะห์ความแตกต่างของรายการยาที่พบในกระบวนงานที่เกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนทางยาได้ในผู้ป่วยทุกราย ซึ่งพบว่าเป็นความแตกต่างที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของแพทย์ ซึ่งถือเป็นความคลาดเคลื่อนทางยาร้อยละ 71.37 ของรายการยาที่เกิดความแตกต่างทั้งหมด ในด้านความรุนแรงของความคลาดเคลื่อน พบว่า อยู่ในระดับ B เนื่องจากมีการประกันเวลาในการดำเนินงาน MR ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้ความคลาดเคลื่อนไปไม่ถึงตัวผู้ป่วย ก่อนการพัฒนาระบบไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว</p> <p> แสดงให้เห็นว่า กระบวนงานการเปรียบเทียบประสานรายการยาสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยาได้ หากสามารถดำเนินงานการเปรียบเทียบประสานรายการยาได้อย่างสมบูรณ์และครอบคลุม ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสามารถลดความรุนแรงของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความปลอดภัยจากการใช้ยามากขึ้น</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/274691
ผลของกิจกรรมกลุ่มบำบัดแบบประคับประคองต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลสุรินทร์
2025-07-02T17:08:16+07:00
วันเพ็ญ ทัดศรี
thadsri.wanphen@gmail.com
รสสุคนธ์ นามวัฒน์
thadsri.wanphen@gmail.com
<p> การศึกษากึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลสุรินทร์ ระหว่างก่อนและหลังการเข้าร่วมกลุ่มบำบัด กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยโรคมะเร็ง จำนวน 27 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) กิจกรรมกลุ่มบำบัดแบบประคับประคอง ซึ่งประกอบด้วย 6 กิจกรรม ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และ 2) แบบประเมินอาการซึมเศร้า ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.738 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า หลังการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มบำบัดแบบประคับประคอง ผู้ป่วยมะเร็งมีคะแนนภาวะซึมเศร้าลดลงกว่าก่อนเข้าร่วมกลุ่มบำบัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (z = -4.544, <em>p</em> < 0.001)</p> <p> ดังนั้นกลุ่มบำบัดแบบประคับประคอง มีประสิทธิผลต่อการลดภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งบุคลากรทางการพยาบาลสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อลดภาวะซึมเศร้าได้</p>
2025-09-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/274892
ผลของการใช้โปรแกรมการให้ความรู้และกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ต่อการยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรค
2025-05-26T09:00:40+07:00
จิราภรณ์ ชูวงศ์
jirapornc@bcnt.ac.th
ดวงใจ สวัสดี
duangjai@bcnt.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้และกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือต่อการยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรค และความพึงใจต่อการใช้โปรแกรมกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยทั้งชายและหญิงที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและขึ้นทะเบียนรักษาเป็นผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่ คลินิกวัณโรค ในจังหวัดตรัง จำนวน 25 คน ที่ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้และการรักษาภายใต้การสังเกตโดยตรงโดยใช้แอปพลิเคชันมือถือ ซึ่งประยุกต์จากแนวคิด Telecare ระยะเวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามผ่านทางแอปพลิเคชันมือถือ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนการยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรคในสัปดาห์ที่ 4 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนการยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรคในสัปดาห์ที่ 1 โดยค่าเฉลี่ยความยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรคในสัปดาห์ที่ 1 อยู่ในระดับปานกลาง (M= 7.18, SD= 0.60) ส่วนค่าเฉลี่ยความยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรคในสัปดาห์ที่ 4 อยู่ในระดับมาก (M= 8.00, SD= 0.46) และค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการใช้โปรแกรมฯ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการใช้โปรแกรมกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M= 3.45, SD= 0.52) โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ โปรแกรมสามารถนำไปใช้ได้จริง (M= 3.64, SD= 0.51)</p> <p> ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการให้ความรู้และกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือที่ใช้เวลานาน 4 สัปดาห์ สามารถทำให้การยึดมั่นในการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้น ข้อเสนอแนะควรใช้โปรแกรมการให้ความรู้และกำกับการกินยาด้วยวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันมือถือโดยมีการให้ข้อมูลป้อนกลับและติดต่อสื่อสารแบบสองทาง เพื่อให้มีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยวัณโรค</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/276005
ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-07-07T13:57:22+07:00
ชุลีพร หีตอักษร
jajaann@hotmail.com
รสติกร ขวัญชุม
rostikorn@bcnsurat.ac.th
ณัฐชา บุญเพ็ง
rostikorn@bcnsurat.ac.th
พันธิภา เพชรเนียน
rostikorn@bcnsurat.ac.th
มณีญา สาบวช
rostikorn@bcnsurat.ac.th
อติกานต์ คงมี
rostikorn@bcnsurat.ac.th
อัซมี่ บินล่าเต๊ะ
rostikorn@bcnsurat.ac.th
<p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการหกล้ม 2) พฤติกรรมป้องกันการหกล้ม และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่าง 365 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.80 และ 0.82 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.86 และ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพทุกด้านอยู่ในระดับดีมาก โดยด้านความรู้และความเข้าใจในการป้องกันการหกล้ม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การรู้เท่าทันสื่อการป้องกันการหกล้ม การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพตนเอง การสื่อสารในการป้องกันการหกล้ม การตัดสินใจการป้องการหกล้ม และการเข้าถึงข้อมูลและบริการป้องกันการหกล้ม ตามลำดับผู้สูงอายุมีพฤติกรรมป้องกันการหกล้ม อยู่ในระดับดีมาก โดยความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในการป้องกันการหกล้มมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในทุกด้าน โดยด้านการสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ (r= 0.494) ด้านการจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพตนเอง (r= 0.445) ด้านการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศ (r= 0.426) ด้านความรู้และความเข้าใจทางสุขภาพ (r= 0.389) และด้านการตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง (r= 0.386) มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางทั้งหมด สำหรับด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ (r= 0.285)</p> <p> ดังนั้น ควรมีการจัดกิจกรรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ให้กับผู้สูงอายุในการสร้างความเข้าใจ การค้นหาข้อมูลทางสุขภาพ การให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง และเหมาะสมกับบริบทชีวิตของผู้สูงอายุแต่ละรายเพื่อนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ และควรมีการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการตัดสินใจเลือกปฏิบัติทางสุขภาพที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่สามารถนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันได้</p>
2025-10-20T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/274671
พฤติกรรมการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต
2025-07-07T14:34:54+07:00
ฐาปกรณ์ อินทบวร
thapakorn_ph@hotmail.com
อารยา ประเสริฐชัย
thapakorn_ph@hotmail.com
ปธานิน แสงอรุณ
Thapakorn_ph@hotmail.com
<p> การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ตรวจสอบเครื่องมือด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 ได้ค่าความเชื่อมั่น ดังนี้ ปัจจัยนำ เท่ากับ 0.87 ปัจจัยเอื้อ เท่ากับ 0.78 ปัจจัยเสริม เท่ากับ 0.86 และพฤติกรรมการดำเนินงาน เท่ากับ 0.72 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และถดถอยพหุคูณเชิงเส้น</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ปัจจัยนำ ส่วนใหญ่ความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 100.00) ปัจจัยเอื้อ ส่วนใหญ่ทักษะส่วนบุคคลเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 98.04) และปัจจัยเสริม ส่วนใหญ่การได้รับการอบรมเสริมความรู้ อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 100) ส่วนพฤติกรรมการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 90.20) และ 2) ปัจจัยนำ และปัจจัยเอื้อมีอิทธิพลสามารถทำนายพฤติกรรมการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต ได้ร้อยละ 79.9</p> <p> หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยเชิงทดลองเพื่อหาข้อมูล และควรครอบคลุมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้บริโภค หรือบุคลากรด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของระบบสุขาภิบาลอาหาร และเพื่อให้เห็นผลกระทบเชิงประจักษ์ของการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหาร ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพของการดำเนินงานกับผลลัพธ์ด้านสุขภาพ</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/276613
ปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
2025-08-29T14:43:11+07:00
ธัญรัศม์ ภุชงค์ชัย
thanyarat.ph@cpru.ac.th
ณัฐปภัสญ์ นวลสีทอง
thanyarat.ph@cpru.ac.th
บังอร ปรอยโคกสูง
thanyarat.ph@cpru.ac.th
<p> การวิจัยเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น<br />โรคความดันโลหิตสูงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 410 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามระหว่าง 0.67 – 1.00 ตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.81, 0.83 และ 0.84 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยเชิงเส้นพหุแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ (M= 50.73, SD= 14.66) การรับรู้สมรรถนะแห่งตนอยู่ระดับปานกลาง (M= 3.01, SD= 0.39)<br />แรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ระดับปานกลาง (M= 3.06, SD= 0.49) ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การรับรู้สมรรถนะแห่งตน (Beta= 0.58) แรงสนับสนุนทางสังคมจากบุคลากรสาธารณสุข (Beta= 0.39) ความคาดหวังในผลลัพธ์ (Beta= -0.265) และแรงสนับสนุนทางสังคมจากสื่อ (Beta= -0.17) ปัจจัยทั้งหมดสามารถร่วมกันพยากรณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ร้อยละ 34.40 (R² = 0.344) และมีความคลาดเคลื่อนจากการพยากรณ์ เท่ากับ 11.94 โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ การรับรู้สมรรถนะแห่งตน</p> <p> ฉะนั้น ควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลสุขภาพร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมที่เหมาะสม โดยเฉพาะจากบุคลากรสาธารณสุข และพัฒนาสื่อสุขภาพที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อใช้ในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ องค์ความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบโปรแกรมหรือกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงในบริบทของชุมชน</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/274617
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับบริการคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลคลองท่อม จังหวัดกระบี่
2025-04-21T11:33:35+07:00
อ้อมฤดี ขนานใต้
aomrudee.kt@gmail.com
สุรเดช สำราญจิตต์
aomrudee.kt@gmail.com
<p> การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับเจตคติและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และ 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับบริการคลินิกเบาหวานโรงพยาบาลคลองท่อม จังหวัดกระบี่ กลุ่มตัวอย่าง 275 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ตรวจสอบเครื่องมือด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความสอดคล้องของเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.77 และ 0.78 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เจตคติเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับดี (M= 4.29, SD = 0.54) พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับดี (M=4.68, SD = 0.59) และพบว่า เจตคติเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความสัมพันธ์เชิงบวก (r= 0.519) กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับบริการคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลคลองท่อม จังหวัดกระบี่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p> ดังนั้น จึงควรส่งเสริมเจตคติที่ดีและความตระหนักในการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ผ่านกิจกรรมที่เสริมความมั่นใจ เช่น การให้ความรู้ด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การใช้ยา การดูแลสุขภาพเท้า และการติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นความต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อสร้างพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ยั่งยืน ลดภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/275569
ประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของบุคลากรสถาบันพระบรมราชชนก (ส่วนกลาง)
2025-06-18T21:26:38+07:00
เนตรวารี ยิ้มแย้ม
sure_film@hotmail.com
เจษณี บุตรดำ
6614480005@rumail.ru.ac.th
<p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของบุคลากรสถาบันพระบรมราชชนก และ 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของบุคลากรสถาบัน<br />พระบรมราชชนก ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรภายในสถาบันพระบรมราชชนก คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 160 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ระหว่าง 0.67 -1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบโดยใชสถิติ Independent sample t-test และสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวน<br />ทางเดียว และทดสอบความแตกต่างเป็นรายคูโดยวิธีของ LSD</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) บุคลากรมีประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M= 4.32, SD= 0.57) 2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมบุคลากร พบว่า บุคลากรที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม ด้านความร่วมมือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และภาพรวมแตกต่างกัน (<em>p</em>= 0.16, < 0.01 และ 0.02) ประเภทบุคลากรต่างกันมีประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม ด้านการติดต่อสื่อสาร แตกต่างกัน (<em>p</em>= 0.02) เพศ อายุ และระยะเวลาการทำงานต่างกัน มีประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน</p> <p> ฉะนั้น สถาบันพระบรมราชชนกควรนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของบุคลากร โดยส่งเสริมและเพิ่มทักษะความร่วมมือ ด้านความคิดสร้างสสรรค์ และการติดต่อสื่อสารให้กับบุคบากรทุกระดับ</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JHSP/article/view/277617
การพัฒนาคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษในคลินิกไทรอยด์ โรงพยาบาลสะเดา
2025-10-08T08:40:32+07:00
อัมพร วรานุเศรษฐ์
asaransed@yahoo.com
กิตติพร เนาว์สุวรรณ
asaransed@yahoo.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้เพื่อศึกษาสภาพการณ์ ปัญหา ความต้องการ พัฒนาคู่มือ และประสิทธิผลของคู่มือการดูแลตนเองของผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษในคลินิกไทรอยด์ โรงพยาบาลสะเดา ดำเนินการ 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย โดยใช้วิธีทบทวนเอกสารข้อมูลทุติยภูมิและวิธีเชิงคุณภาพ ระยะที่ 2 พัฒนาคู่มือใช้ขั้นตอนตามแนวคิดการคิดเชิงออกแบบ ได้แก่ เข้าใจปัญหา กำหนดปัญหาให้ชัดเจน การระดมความคิด การสร้างต้นแบบที่เลือก และการทดสอบ ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของคู่มือ ใช้วิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ จำนวน 27 ราย เครื่องมือวิจัย เป็นคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่พัฒนาขึ้นมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาพฤติกรรมการดูแลตนเองและความพึงพอใจต่อคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ 0.86 และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.77 และ 0.71 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Dependent t-test, Wilcoxon Signed Rank test และ One sample Wilcoxon Signed Rank test ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ ปี พ.ศ. 2567 จำนวน 251 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 72.11 โดยได้รับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์แล้ว ร้อยละ 7.57 กลืนแร่ ร้อยละ 13.94 ปฏิเสธการส่งต่อเพื่อกลืนแร่ เลือกรับประทานยาต้านฮอร์โมนตลอดชีวิต ร้อยละ 3.59 แพ้ยา Methimazole ร้อยละ 0.40 Grave’disease ร้อยละ 17.93 มีโรคร่วมร้อยละ 16.73 ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่กำเริบซ้ำ ร้อยละ 4.00 ผู้ป่วยวิกฤตไทรอยด์ ร้อยละ 1.20 ปัญหาที่พบ ได้แก่ การรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ หยุดยาเอง มีอาการข้างเคียงจากยา มีการปรับการรับประทานยาเอง ไม่มาพบแพทย์ตามนัด 2) คู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ เป็นสื่อที่เข้าใจง่าย มีรูปภาพประกอบ และ 3) หลังใช้คู่มือ ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษมีพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ค่า FT3 และ FT4 ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 สำหรับค่า TSH พบว่า ก่อนหลังใช้คู่มือไม่แตกต่างกัน และความพึงพอใจต่อคู่มือในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M= 4.60, SD= 0.35)</p> <p> จากผลการศึกษาสรุปได้ว่าคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ มีประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่รักษาด้วยการรับประทานยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์</p>
2025-11-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช