https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/issue/feed Journal Of Health Consumer Protection 2024-10-17T17:34:05+07:00 เภสัชกรสมสุข สัมพันธ์ประทีป suk_ar@yahoo.com Open Journal Systems <p><strong>เป็นวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ใช้เป็นสื่อกลางและเป็นเวทีทางวิชาการ ในการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ บทเรียนการทำงาน เกร็ดกฎหมาย เรื่องเล่าชาวฟาร์ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตราย วัตถุเสพติด สถานพยาบาล สถานบริการด้านสุขภาพ และด้านการแพทย์ ของนักวิชาการ ภาครัฐ องค์กรเอกชน และประชาชน รับตีพิมพ์บทความคุณภาพในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และด้านการแพทย์ กำหนดตีพิมพ์วารสารปีละ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับ เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับ เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</strong></p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/271082 ระบาดวิทยาของการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ (กรณีศึกษา:ผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร) 2024-09-13T09:06:47+07:00 ภควดี ศรีภิรมย์ pspakawadee@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรที่รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ฯเข้ามาในระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ระหว่างปี 2562-2566 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้รับรายงานการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรจากสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสถานพยาบาลเอกชนทั้งสิ้น 785 ราย เป็นผู้ป่วยหญิงมากกว่าชาย ในสัดส่วน 1.42:1 &nbsp;อายุเฉลี่ยเท่ากับ 43.36±16.61 ผู้ได้รับผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 18-65 ปี ผู้ป่วยที่ได้รับผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร ร้อยละ 71.02 ไม่มีโรคประจำตัว เป็นผู้ที่ไม่มีประวัติแพ้ยาเท่ากับร้อยละ 88.66 ผู้ป่วยที่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฯที่ร้ายแรงจำนวน 192 ราย มีอายุระหว่าง 18-65 ปี มากที่สุด (ร้อยละ 76.04) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฯที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ภาวะ maculopapular rash (ร้อยละ 12.36) รองลงมาคือ urticaria (ร้อยละ 12.10) &nbsp;ภาวะ rash (ร้อยละ 10.06) ภาวะ angioedema (ร้อยละ 18.98) และภาวะ anaphylactic reaction (ร้อยละ 6.24) มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร จำนวน 2 ราย เมื่อวิเคราะห์ชนิดของผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฯ ผลิตภัณฑ์ที่เกิดเหตุการณ์ไม่ถึงประสงค์ฯมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจร รองลงมาคือผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากกัญชา และผลิตภัณฑ์สมุนไพรเถาวัลย์ปรียงตามลำดับ ผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจร จำนวน 100 ราย (ร้อยละ 27.73) มีอาการร้ายแรง พบผู้ป่วยที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาจากฟ้าทะลายโจร ทั้งสิ้น 372 ราย สัดส่วนหญิงเท่ากับชาย อายุที่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฯ มากที่สุดอยู่ระหว่าง 18-65 ปี เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฯที่พบมากที่สุดจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจร คือ ภาวะ maculopapular rash จำนวน 52 ราย รองลงมาคือภาวะ urticaria จำนวน 50 ราย ผลการศึกษาพบว่าการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยังคงพบอาการแพ้ หรืออาการแพ้ที่รุนแรงได้เช่นเดียวกับการศึกษาที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระบบผิวหนัง อาจมีอาการที่ร้ายแรง และผู้ป่วยไม่มีประวัติแพ้มาก่อน ทำให้การจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญ</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/269253 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมโครงการ “ร้านยารูปแบบใหม่ Common Illness” ของร้านขายยาแผนปัจจุบันในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2024-05-21T07:16:20+07:00 สุชาติ ถนอมวราภรณ์ suchart-tha@hotmail.com <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสนใจและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมโครงการ“ร้านยารูปแบบใหม่ COMMON ILLNESS” ของร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.1) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ Google form สอบถามผู้รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันที่ยังไม่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 266 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้รับอนุญาตฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 4 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้รับอนุญาตฯ มีการตอบกลับมา (ร้อยละ 87.60) อายุเฉลี่ยเท่ากับ 43.99 ปี สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี 6 ปี (ร้อยละ 74.68) ประสบการณ์ในการทำร้านขายยาเฉลี่ยเท่ากับ 10.29 ปี ส่วนใหญ่เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบันทั่วไป (ไม่ใช่ร้านยาคุณภาพ) (ร้อยละ 94.85) มีลักษณะเป็นร้านขายยาเดี่ยว (ร้อยละ 90.13) ได้รับใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยเท่ากับ 11.93 ปี จำนวนเภสัชกรและพนักงานประจำทั้งหมดในร้านขายยามี 1 คน (ร้อยละ 42.06) รู้จักโครงการฯ (ร้อยละ 51.07) โดยรู้จักผ่านสภาเภสัชกรรมร้อยละ 100 และส่วนใหญ่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยความสนใจเท่ากับ 2.94 คะแนน</p> <p>ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมโครงการฯ ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุ พบว่าตัวแปรอิสระร่วมกันอธิบายระดับความสนใจในการเข้าร่วมโครงการฯ ได้ร้อยละ 89.3 (R<sup>2</sup> = 0.893) โดยตัวแปรความจำเป็นในการเข้าร่วมโครงการฯ สามารถอธิบายความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ผลการสัมภาษณ์พบว่า ขั้นตอนและระเบียบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องมีความยุ่งยากและมีภาระงานเพิ่มขึ้น ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างและเผยแพร่นโยบายการปฏิบัติให้ เป็นรูปธรรม พร้อมสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเพิ่มขึ้น</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270362 ผลของระบบการติดตามดูแลความปลอดภัยจากการใช้ยา Warfarin ในระดับปฐมภูมิ อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ 2024-08-11T22:31:46+07:00 พีระพงศ์ ภูบาล kacha_nun@hotmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อประเมินผลระบบการติดตามดูแลความปลอดภัยจากการใช้ยา Warfarin ในระดับปฐมภูมิ <strong>วิธีการวิจัย</strong>: การวิจัยแบบกึ่งทดลองโดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลปัญหาเกี่ยวกับยา Warfarin จากการเยี่ยมบ้านและเปรียบเทียบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา Warfarin การควบคุม INR และความปลอดภัยในผู้ป่วยจำนวน 100 ราย ก่อนและหลังนำระบบการติดตามดูแลความปลอดภัยจากการใช้ยา Warfarin ในระดับปฐมภูมิไปดำเนินการเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยใช้สถิติ Paired t-test, Wilcoxol signed rank test และ McNemama’s test <strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ยา Warfarinเหลือใช้ลดลงจาก 46.46% เป็น 7% (p&lt;0.001) การเก็บรักษายาไม่เหมาะสมลดลงจาก37.37% เป็น6% (p&lt;0.001) การใช้สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดลงจาก 17.31% เป็น 2% (p&lt;0.001) ปัญหาโอกาสเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาลดลงจาก 84.85% เป็น 71%(p=0.187) ผู้ป่วยมาผิดนัดลดลงจาก 33.65% เป็น 9% (p&lt;0.001) ความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้นจาก 91.14% <u>+</u> 21.28% เป็น 93.75% <u>+</u> 5.92% (p=0.165) ผลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการใช้ยา Warfarin พบว่าค่า INR ล่าสุดอยู่ในเป้าหมายเพิ่มจาก 62.5% เป็น 63% (p=0.844) %Time in therapeutic range ไม่แตกต่างจากเดิม 48.48% <u>+</u> 24.31% เป็น 48.29% <u>+</u> 20.91% (p=0.960) การเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Warfarin ลดลงจาก 13.14% เป็น 5% (p=0.045) <strong>สรุป</strong> : หลังจากมีการพัฒนาระบบการติดตามดูแลความปลอดภัยจากการใช้ยา Warfarin ในระดับปฐมภูมิและนำมาใช้ในการดูแลผู้ป่วย สามารถลดปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับยา Warfarin และเพิ่มความปลอดภัยจากการใช้ยา warfarin</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270383 สถานการณ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรผิดกฎหมายที่ขายบนแพลตฟอร์ม ตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย กรณีศึกษายาผงจินดามณี 2024-08-11T22:37:12+07:00 นัทธินี วัฒนวราสันติ์ fdachiangmai@gmail.com ภาณุพงศ์ พุทธรักษ์ panupong.p@psu.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาผงจินดามณีบนแพลตฟอร์มตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 4 แพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์นโยบายและคุณลักษณะของเว็บเพจ กลุ่ม หรือร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงการตรวจสอบความครบถ้วนของฉลาก และความถูกต้องด้านการโฆษณาตามกฎหมาย การศึกษาดำเนินการในช่วงวันที่ 25 – 29 ธันวาคม 2566 โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมผ่านระบบแอปพลิเคชันตาไวฟอร์เฮลท์ (TaWai for Health)</p> <p>ผลการศึกษาพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาผงจินดามณีทางสื่อออนไลน์ทั้งหมด 130 เว็บเพจ (เพจ/บัญชี) บนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ 2 แพลตฟอร์ม (A และ B) แต่ไม่พบบนแพลตฟอร์ม C และ D เนื่องจากมีการจำกัดการค้นคำกรณีชื่อผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย บนแพลตฟอร์ม A พบ 106 เพจ มีจำนวนผู้ติดตามทั้งหมด 143,715 บัญชี ช่วงราคาต่ำสุด-สูงสุดต่อชิ้น 35 – 150 บาท นอกจากนี้ บนแพลตฟอร์ม A พบ 15 กลุ่ม (4 กลุ่มส่วนตัว, 11 กลุ่มสาธารณะ) มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 12,627 บัญชี ส่วนบนแพลตฟอร์ม B พบ 24 บัญชี มีช่วงราคาต่ำสุด-สูงสุดต่อชิ้น 38.80 – 137.50 บาท และมียอดขายทั้งหมด 1,400 ชิ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 67,527.10 บาท การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ยาผงจินดามณี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและมีการปลอมปนสารสเตียรอยด์ ยังคงพบการจำหน่ายบนแพลตฟอร์มตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และพบความผิดในด้านการแสดงฉลากและการโฆษณา ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรเพิ่มมาตรการในการกำกับดูแลและเสริมกลไกที่ช่วยคุ้มครองผู้บริโภคบนอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/268313 คุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภค ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดสกลนคร 2024-05-17T23:04:00+07:00 นุสรา อุตรนคร nusara.u@kkumail.com ประจักร บัวผัน osodsamran@gmail.com นครินทร์ ประสิทธิ์ osodsamran@gmail.com <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 134 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนาประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด และสถิติอนุมาน ประกอบด้วย การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จและระดับการปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.07 (S.D.=0.47) และ 4.10 (S.D.=0.49) ตามลำดับ ปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดสกลนคร (r=0.803, p-value&lt;0.001) และตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปร ด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือด้านการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความพร้อมและสมัครใจในการมีส่วนร่วม และด้านการพัฒนาภาพลักษณ์ของสถานบริการ สามารถร่วมกันในการพยากรณ์การปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดสกลนคร ได้ร้อยละ 70.6 (R<sup>2</sup>= 0.706, p-value&lt;0.001)</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/269642 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต 2024-08-11T22:27:57+07:00 รุ่งทิพย์ ตั้งสง่าศักดิ์ศรี rtangsagha@gmail.com <p>ภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตเป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ภาวะโภชนาการมีผลกระทบต่ออัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยวิกฤต วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต และหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา ภาคตัดขวางแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อในกระแสโลหิต และได้รับการคัดกรองภาวะโภชนาการ ระหว่างปี พ.ศ. 2562 ในโรงพยาบาลราชวิถี ผล: ผู้ป่วยจำนวน 808 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต เสียชีวิตรวม 400 ราย (49.5%) พบว่าภาวะโภชนาการไม่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต ภาวะทุพโภชนาการไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิด ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุ &gt;60 ปี มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มที่มีอายุ≤40 ปีมากกว่า 2 เท่า ผู้ป่วยที่มีภาวะ septic shock มีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 4 เท่า ผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำและผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารทั้งจากทางสายยางและทางหลอดเลือดดำมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับสารอาหารเกือบ 4 เท่า ผู้ป่วยโรคไตมีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 เท่า ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยา vancomycin, colistin มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยา 1.67 และ 1.9 เท่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยา quinolone, metronidazole มีโอกาสเสียชีวิตลดลงร้อยละ 40 และ 51 การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต ดังนั้นการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยควรพิจารณาให้กรณีมีความจำเป็น มีข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน ในช่วงเวลาที่เหมาะสม</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270658 การพัฒนาระบบเฝ้าระวังการจำหน่ายยาในร้านชำผ่านนโยบายส่งเสริมการใช้ยา อย่างสมเหตุผลในชุมชนตำบลส้มป่อย อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 2024-08-26T09:50:16+07:00 จินดาพร อุปถัมภ์ preang3@hotmail.com สิรีธร เดชาศิลปชัยกุล osodsamran@gmail.com พัทยา โพธิวัฒน์ osodsamran@gmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบเฝ้าระวังการจำหน่ายยาในร้านชำผ่านนโยบายส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชนตำบลส้มป่อย อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษใช้กระบวนการตามหลักการของ RDU Community ได้แก่ 1) การประเมินปัญหาในพื้นที่ 2) การคืนข้อมูลการเฝ้าระวังและผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากยาในชุมชนโดยเภสัชกร 3) การร่วมกันวิเคราะห์และร่วมวางแผนจัดกิจกรรม 4) การออกแบบระบบเฝ้าระวังฯ โดยเครือข่าย บวร.ร. ชุมชนส้มป่อย5) การสร้างข้อตกลงร่วมกัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาระบบประกอบด้วย เครือข่าย บวร.ร. <br />ตำบลส้มป่อย จำนวน 57 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ ร้านชำทุกร้านในตำบลส้มป่อยจำนวน 45 ร้าน ผู้ประกอบการร้านชำทุกร้าน จำนวน 45 คน และประชาชนตัวแทนครัวเรือน จำนวน 362 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม เครื่องมือสำรวจร้านชำแบบ ออนไลน์ ร้านชำ GIS แบบทดสอบความรู้ผู้ประกอบการร้านชำเกี่ยวกับพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 (พ.ร.บ. ยา) และแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการบริโภคยาอย่างปลอดภัยของประชาชน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ paired t – test กำหนดนัยสำคัญที่ p &lt; 0.05</p> <p>ผลการศึกษาหลังดำเนินกิจกรรม พบว่าสัดส่วนของร้านชำที่จำหน่ายยาที่ห้ามจำหน่ายลดลงจากการสำรวจในครั้งแรก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) คือ ลดจากร้อยละ 13.3 เหลือร้อยละ 0 ยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จลดลงจากร้อยละ 13.3 เหลือร้อยละ 0 และยาอันตรายที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะลดลงจากร้อยละ 6.7 เหลือร้อยละ 0 คะแนนความรู้ของผู้ประกอบการและประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 8.11 ± 2.28 คะแนน เป็น 13.02 ± 2.74 คะแนน (p&lt;0.001) (คะแนนเต็ม 16 คะแนน) และจาก 5.99 ± 1.11 เป็น 8.70 ± 1.07 (p&lt;0.001) (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ตามลำดับ สรุปได้ว่าการพัฒนาระบบเฝ้าระวังฯ ผ่านนโยบาย RDU Community ทั้ง 5 กิจกรรม ทำให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลและชุมชนภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ระบบฝ้าระวังฯ ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนเกิดความรอบรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและส่งเสริมให้ตำบลส้มป่อยเป็นชุมชนต้นแบบปลอดยาที่ห้ามจำหน่ายในร้านชำได้</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270646 การพัฒนาระบบงานคลังบริหารเวชภัณฑ์ยา โรงพยาบาลบ้านฉางให้มีมาตรฐานและปลอดภัย 2024-08-26T09:48:36+07:00 จารุภา ตั้งก่อพันธุ์ noofairx@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาระบบงานคลังบริหารเวชภัณฑ์ยาของโรงพยาบาลให้มีมาตรฐานและปลอดภัย ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลการจัดซื้อยาในปีงบประมาณ 2566 โดยนำมาจัดกลุ่มยาตามวิธี ABC analysis แบ่งกลุ่มยาตามมูลค่าต้นทุนของยา และ VEN analysis แบ่งกลุ่มยาตามความสำคัญและความจำเป็นของยา จากนั้นใช้วิธีวิเคราะห์ ABC-VEN matrix สร้างตารางความสัมพันธ์ร่วมกันในรูปแบบเมตริกซ์ แบ่งกลุ่มยาออกเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 หมวดที่ 2 และหมวดที่ 3 เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ คือ โปรแกรม Microsoft Excel วิเคราะห์โดยแจกแจงความถี่ คำนวณค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า ยากลุ่ม A มีมูลค่าต้นทุนสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 79.91 แต่มีจำนวนรายการยาคิดเป็นร้อยละ 20.99 ยากลุ่ม B มีมูลค่าต้นทุนปานกลางคิดเป็นร้อยละ 15.03 มีจำนวนรายการยาคิดเป็นร้อยละ 24.76 ในขณะที่ยากลุ่ม C มีมูลค่าต้นทุนน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 5.06 แต่มีจำนวนรายการยาสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 54.25 ยากลุ่ม V มีจำนวนรายการยาน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 8.73 มีมูลค่าต้นทุนคิดเป็นร้อยละ 7.54 กลุ่ม E มีจำนวนรายการยามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 80.89 มีมูลค่าต้นทุนสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 90.08 และกลุ่ม N มีจำนวนรายการยา คิดเป็นร้อยละ 10.38 มีมูลค่าต้นทุนน้อยที่สุดคิดเป็นร้อยละ 2.38 และเมื่อวิเคราะห์ตามแบบวิธี ABC-VEN matrix พบว่า ยากลุ่ม AV, AE, BV, BE, CV และ CE ต้องให้ความสำคัญ เอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการสำรองยาที่เหมาะสม ไม่ขาดแคลน และเมื่อนำข้อมูลยาในกลุ่ม CN และ AN เสนอให้คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดพิจารณา โดยมติที่ประชุมพิจารณาตัดรายการยากลุ่ม CN ออกจากเภสัชตำรับของโรงพยาบาล 10 รายการและกำหนดแนวทางควบคุมการสั่งใช้ยากลุ่ม AN ให้เหมาะสม นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ในการจัดทำแผนการจัดซื้อที่รัดกุม สำรองยาที่เหมาะสม และออกแบบกระบวนการตรวจสอบคลังยาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงานคลังบริหารเวชภัณฑ์ยาให้มีมาตรฐานและปลอดภัย</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/269628 ปัจจัยทำนายความความตั้งใจในการเริ่มใช้ยาเอชไอวีเพร็พของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ 2024-08-11T22:20:52+07:00 โกวิทย์ ทองละมุล kovitwpunya@gmail.com บรรณสรณ์ เตชะจำเริญสุข kovitwpunya@gmail.com ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ kovitwpunya@gmail.com ตุลาการ นาคพันธ์ kovitwpunya@gmail.com <p>การติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มวัยรุ่นส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในระยาวดังนั้นการใช้ยาเอชไอวีเพร็พจะเป็นแนวทางหนึ่งเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ <sup> </sup>วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการรับรู้ข้อมูล ด้านแรงจูงใจ และด้านการมีทักษะเชิงพฤติกรรมที่มีผลต่อการเริ่มใช้ยาเอชไอวีเพร็พ ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ศึกษาโดยการวิจัยเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 267 คน โดยใช้การสุ่มตามความสะดวก เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่าง 1 ธันวาคม พ.ศ.2564 -31 มกราคม พ.ศ.2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์สถิติเชิงอ้างอิงโดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ <strong>ผลจากการศึกษา</strong> พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคะแนนความตั้งใจที่จะเริ่มใช้ยาเอชไอวีเพร็พ 2.83±1.17 ปัจจัยที่มีอิทธิพลด้านบวก 2 ปัจจัยที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ทักษะเชิงพฤติกรรมด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองที่มีผลต่อการใช้ยาเอชไอวีเพร็พ (β = 0.55) และ ทักษะเชิงพฤติกรรมด้านการวางแผนการแก้ไขปัญหามีผลต่อการใช้ยาเอชไอวีเพร็พ (β = 0.28) ทั้งสองปัจจัยสามารถทำนายการเริ่มใช้ยาเอชไอวีเพร็พของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายได้ร้อยละ 53.80 (R<sup>2</sup> = .54, p &lt;0.05) ส่วนตัวแปรอื่นๆ ได้แก่ การรับรู้ข้อมูลด้านข้อมูลเชิงอัตนัย แรงจูงใจการยอมรับความเสี่ยง ทัศนคติส่วนบุคคล ความตั้งใจส่วนบุคคล และการวางแผนแก้ไขปัญหา รับรู้ข้อมูลด้านข้อมูลเชิงวัตถุ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ <strong>อภิปรายผลการศึกษา</strong> ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการเสริมเนื้อหาในหลักสูตรเพื่อส่งเสริมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายให้มีระดับการรับรู้ความสามารถตนเองและระดับการวางแผนการดำเนินการในใช้ยาเอชไอวีเพร็พ เพื่อป้องกันเชื้อเอชไอวีก่อนสัมผัส</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/271681 บทบรรณาธิการ 2024-10-16T11:16:23+07:00 สมสุข สัมพันธ์ประทีป osodsamran@gmail.com 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270103 เมื่อหมอปลอมเจอครูปลอม 2024-07-06T14:20:57+07:00 ตุลาภรณ์ รุจิระยรรยง fdachiangmai@gmail.com 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270104 พริ๊ตตี้หน้าซ้ำ 2024-07-06T14:25:03+07:00 ฐิติพร อินศร fdachiangmai@gmail.com 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270105 "ไปกินไอติมเซเวนเซ่นกัน!!!" 2024-07-06T14:29:07+07:00 อังศุรัตต์ ยิ้มละมัย fdachiangmai@gmail.com 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/270951 บทสรุปความร่วมมือเพื่อสร้างกลไกการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยาประเทศไทย - สปป.ลาว 2024-09-03T22:02:32+07:00 สุภนัย ประเสริฐสุข spras77@hotmail.com <p>ภาคีหุ้นส่วน(Boundary partners) หนึ่งที่สำคัญคือเครือข่ายองค์กรระหว่างประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันกับประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ได้แก่ สปป.ลาว และกัมพูชา โดย Outcome Challenge หรือได้กำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการดำเนินงาน เครือข่ายความร่วมมือจัดการปัญหายาชายแดน จะรวมตัวกันโดยมีหน่วยงานประสาน กำหนดประเด็น แผนการจัดการ ทำระบบร่วมกัน ซึ่งหนึ่งใน Boundary partners ที่สำคัญคือเครือข่ายระหว่างประเทศ โดยเริ่มต้นที่ความร่วมมือทางวิชาการภายใต้ข้อตกลงร่วมทางวิชาการ โดยบันทึกความเข้าใจ MOU - Memorandum of Understanding ระหว่าง University of Health Sciences, Lao PDR and Mahasarakham University, Thailand และร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ภาคอีสาน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยการสนับสนุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมความร่วมมือเพื่อสร้างกลไกการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยาไทย - สปป.ลาว ขึ้น โดยกำหนด 3 ประเด็นแลกเปลี่ยน ดังนี้<br>1. ระบบการเฝ้าระวังและเชื่อมต่อข้อมูลยาและผลิตภัณฑ์ <br>2. การเข้าถึงยาที่ปลอดภัยและหลักประกันสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ ผ่านกลไก อสม.ชายแดน <br>3. ยาปลอดภัยในชุมชนพื้นที่ชายแดนทั้ง2ประเทศ <br>นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนประเด็นยาในฟาร์ม เชื้อดื้อยา RDU และบทบาทเภสัชกรในหน้าที่ต่างๆรวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการเฝ้าระวังข้อมูลยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ </p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/271074 เมื่อเภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในร้านขายยา ผู้รับอนุญาตต้องแสดงเจตนาว่าไม่ขายยา 2024-09-11T23:01:55+07:00 ราชัน คงชุม rachan.k@gmail.com 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Journal Of Health Consumer Protection