Journal Of Health Consumer Protection
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP
<p><strong>เป็นวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ใช้เป็นสื่อกลางและเป็นเวทีทางวิชาการ ในการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ บทเรียนการทำงาน เกร็ดกฎหมาย เรื่องเล่าชาวฟาร์ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตราย วัตถุเสพติด สถานพยาบาล สถานบริการด้านสุขภาพ และด้านการแพทย์ ของนักวิชาการ ภาครัฐ องค์กรเอกชน และประชาชน รับตีพิมพ์บทความคุณภาพในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และด้านการแพทย์ กำหนดตีพิมพ์วารสารปีละ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับ เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับ เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</strong></p>
ชมรมเภสัชสาธารณสุขจังหวัดแห่งประเทศไทย
th-TH
Journal Of Health Consumer Protection
3027-8554
<p><strong>ประกาศเกี่ยวกับลิขสิทธิ์</strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของชมรมเภสัชสาธารณสุขแห่งประเทศไทย</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับชมรมเภสัชสาธารณสุขจังหวัดแห่งประเทศไทย และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ชุดทดสอบยา....ชุดทดสอบความอดทน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/274853
อัจฉรา แสนศรีสวัสดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
203
205
-
ธันวา ราศีธนู
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/274854
พีระพล คำจันทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
206
210
-
หมูยอไส้อึ่งอ่าง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/274850
น้ำทิพย์ มุมมาลา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
211
214
-
ยา - คน - พื้นที่ชายแดน กรณีผู้อพยพลี้ภัยแห่งหนึ่งของอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/274880
<p>ปัญหายาและสุขภาพในพื้นที่ชายแดน จะเชื่อมโยงกับการเลื่อนไหลในพื้นที่ชายแดนทั้งผู้คน เงินสิ่งของ นโยบาย ความขัดแย้งสงคราม การแย่งชิงทรัพยากร มุมมองต่อเรื่องยาในพื้นที่ชายแดนในมิติเดียวจะยังไม่เพียงพอในการร่วมแก้ไขปัญหา ต้องร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียในด้านต่างๆอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วนี้</p> <p>อย่างไรก็ดีปัญหายาในพื้นที่เฉพาะ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ในค่ายผู้ลี้ภัยอพยพเป็นปัญหาที่ปลายยอดภูเขา ซึ่งสะท้อนมาให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันของคน ยาและพื้นที่ว่าไม่สามรถมองแยกขาดจากกันได้ ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบกับอีกปัญหาเมื่อเกิดการเคลื่อนเปลี่ยนเสมอ ทั้งนี้ผู้คนนอกพื้นที่ค่ายลี้ภัยอพยพ ก็ยังเป็นอีกกลุ่มคนในพื้นที่ชายแดน ที่มีผลกระทบกับปัญหายาในพื้นที่ชายแดนเช่นเดียวกัน</p>
วัชรวิชย์ กานดา
สุภนัย ประเสริฐสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
1
6
-
บทบรรณาธิการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/275576
<p> กรณีที่กองบรรณาธิการได้ประกาศเปลี่ยนเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN) จากเดิม 2773-8647 เปลี่ยนเป็น 3027-8554 โดยมีผลตั้งแต่วารสารฉบับประจำปีที่ 4 ฉบับที่ 1 เหตุผลอันเนื่องมาจากได้ผ่านการประเมินและรับรองวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล TCI ระดับ 2 ซึ่งเรายื่นขอประเมินตั้งแต่มกราคม 2567 และประกาศผลเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีผลให้วารสารทั้ง 2 ฉบับของปีที่แล้วเป็นวารสาร TCI ระดับ 2 ด้วย จึงนับเป็นความภูมิใจของพวกเราทุกคนครับ </p> <p> กลับมาที่วารสารการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพฉบับนี้ เป็นฉบับประจำปีที่ 5 ฉบับที่ 1 ที่ยังคงอัดแน่นด้วยสาระวิชาการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เริ่มด้วยบทความจำนวน 3 เรื่อง คือ “ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย” “คนพื้นที่ชายแดน กรณีผู้อพยพลี้ภัยแห่งหนึ่งของอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก” และ เกร็ดกฎหมาย เรื่อง “ผู้แจ้งความนำจับจะได้รับเงินสินบนจากการแจ้งความนำจับทุกครั้งหรือไม่” สำหรับเรื่องเล่าประจำฉบับ ฉบับนี้มีด้วยกัน 3 เรื่อง ประกอบด้วย “ชุดทดสอบยา...ชุดทดสอบความอดทน” “ธันวา ราศีธนู” และ “หมูยอไส้อึ่งอ่าง” ทั้ง 3 เรื่องเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ซึ่งยังติดตรึงในความทรงจำ นำมาดัดแปลงและเพิ่มชูรสสักเล็กน้อยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านของทุกท่าน และที่ขาดไม่ได้ฉบับนี้ยังนำเสนอบทความวิจัยอีก 13 เรื่อง ที่รับรองได้ว่าอ่านแล้วจะเป็นประโยชน์แน่นอน </p> <p> วารสารการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพฉบับนี้ ยังอัดแน่นด้วยสาระด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ อันเป็นเจตนารมย์ของกองบรรณาธิการที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ และหวังเป็นอย่างยิ่งหากท่านได้อ่านเป็นการประจำ ท่านก็จะยิ่งรู้เท่าทันการเอารัดเอาเปรียบรูปแบบต่าง ๆ สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดต่อไป ขอบคุณครับ</p>
สมสุข สัมพันธ์ประทีป
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
-
การเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะความรอบรู้เกี่ยวกับการจัดทำฉลากผลิตภัณฑ์อาหารแก่ผู้ประกอบการผลิตอาหาร:กรณีศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/271679
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของสถานที่ผลิตอาหารกับการนำแสดงข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร และศึกษาผลของการเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะความรอบรู้เกี่ยวกับการจัดทำฉลากผลิตภัณฑ์อาหารแก่ผู้ประกอบการผลิตอาหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย เป็นฉลากผลิตภัณฑ์อาหารจากสถานที่ผลิตอาหารในจังหวัดสมุทรสาครที่ยื่นประเมินในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 380 ฉลาก ใช้แบบเก็บข้อมูลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสำหรับประเมิน 2 แบบ ได้แก่ แบบรายงานการตรวจประเมินฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 367 (พ.ศ. 2557) ฉบับที่ 383 (พ.ศ. 2560) และฉบับที่ 394 (พ.ศ. 2561) และมีการกำหนดให้สผู้ประกอบการผลิตอาหารเข้ารับคำแนะนำปรึกษา 1 - 3 ครั้ง ผลการวิจัย พบว่า ประเภทของสถานที่ผลิตอาหารและการได้รับ / ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต (GMP / HACCP / GHP) มีความสัมพันธ์กับการนำแสดงข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ส่วนผลของการเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะความรอบรู้เกี่ยวกับการจัดทำฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร พบว่า ข้อบกพร่องในการนำแสดงข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนการเข้ารับคำแนะนำปรึกษาครั้งที่ 2 ทั้งนี้ ควรเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะความรอบรู้เกี่ยวกับการจัดทำฉลากผลิตภัณฑ์อาหารในแบบบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย</p>
ศีลนิตย์ พึ่งเจษฏา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
12
30
-
ผลลัพธ์การบริบาลเภสัชกรรมร่วมกับการติดตามการใช้ยาทางไกล ในผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน ในสถานบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เครือข่ายโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/271818
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> ผู้ป่วยในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการรักษาด้วยยาฉีดอินซูลิน ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเครือข่ายจังหวัดศรีสะเกษ บางส่วนมีปัญหาจากการใช้ยาและไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นไปตามเกณฑ์ได้ มีการศึกษาพบว่าการบริบาลเภสัชกรรมทางไกลมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดให้ดีขึ้นได้จึงได้พัฒนาและนำรูปแบบดังกล่าวมาช่วยแก้ปัญหาเพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปตามเกณฑ์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความร่วมมือในการใช้ยา ความสามารถในการฉีดอินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) และระดับน้ำตาลสะสมย้อนหลัง 3 เดือน (HbA1C) ก่อนและหลังการบริบาลเภสัชกรรมทางไกลวิธีวิจัยการวิจัยกึ่งทดลอง แบบไปข้างหน้า ศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับยาฉีดอินซูลิน ณโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเครือข่ายโรงพยาบาลศรีสะเกษ ระยะเวลาติดตาม 4 เดือน วิเคราะห์ผลโดยใช้โปรแกรม PSPP ใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Pair-simple t-testผลการวิจัยพบว่าหลังการบริบาลเภสัชกรรมทางไกล คะแนนความสามารถในการฉีดอินซูลินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 5.63 ± 1.29 เป็น 6.41 (±1.07) ส่วนค่าเฉลี่ยระดับ FPG มีแนวโน้มลดลงจาก 162.1 (±72.86) เป็น 143.6 (±54.35) ตามลำดับ เช่นเดียวกับค่า HbA1C ที่มีแนวโน้มลดลงจาก 9.62 (±1.68) เป็น 8.13 (±1.02) ตามลำดับ อีกทั้งพบว่าความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) </p> <p> </p> <p> </p>
อาศิรา ภูศรีดาว
ชญาณ์พิมพ์ รื่นหรรษา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
31
43
-
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดจันทบุรี กรณีศึกษาอำเภอแหลมสิงห์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/272997
<p>การคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้ทันกับสถานการณ์ปัญหาในแต่ละพื้นที่จำเป็นต้องอาศัยการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งใกล้ชิดกับประชาชน จึงจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดจันทบุรี จากกรณีศึกษาอำเภอแหลมสิงห์โดยการสัมภาษณ์และประชุมกลุ่มย่อย ตามทฤษฎี POSDCoRB เพื่อสร้างรูปแบบ (Model) การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของจังหวัดจันทบุรี ผลการศึกษาพบว่า อปท. ในอำเภอแหลมสิงห์ ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบและไม่มีการดำเนินงานในภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจาก อย. (5 แห่งจาก 6 แห่ง) ถือเป็นปัญหาสำคัญในการถ่ายโอนภารกิจงานคุ้มครองผู้บริโภคฯ แม้ อปท. มีการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคฯ บ้าง แต่อยู่ในฐานะผู้ร่วมทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหลัก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการประชุมกลุ่มย่อย ทบทวนวรรณกรรม พบว่า รูปแบบในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ของ อปท. ในจังหวัดจันทบุรี ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค หน่วยงานสาธารณสุข และอปท. และเป็นแบบสองทิศทาง (two-way communication) คือจากส่วนกลางลงไปท้องถิ่น และจากท้องถิ่นขึ้นมาส่วนกลาง โดยหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เป็นหน่วยงานเชื่อมประสาน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และลดช่องว่างในการดำเนินงาน รวมทั้งจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อให้ผู้บริหาร อปท. เห็นความสำคัญ และขับเคลื่อนการดำเนินงาน ประสาน สนับสนุนหรือผลักดันเชิงนโยบาย ให้มีการกำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วม ที่ต้องดำเนินการ สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ กำหนดเป้าหมาย สนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์ สื่อประชาสัมพันธ์ และถอดบทเรียนจาก อปท. ที่ประสบความสำเร็จ ศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จ และอุปสรรคในการดำเนินงาน</p>
อารีวัล มหาธนรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
44
57
-
ประสิทธิผลการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ จังหวัดนครพนม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273247
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการดำเนินงานกัญชาทางการแพทย์ จังหวัดนครพนม กลุ่มประชากรที่จะศึกษา คือ โรงเพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดนครพนม ในระหว่างเดือนตุลาคม 2564 - เดือนกันยายน <em>2565 โดยเก็บข้อมูลจาก</em>ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (Health Data Center ; HDC) ที่เว็บไซต์ https://hdc.moph.go.th<em> และรายงานผลการดำเนินการจาก โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดนครพนม เป็นการศึกษาแบบ Descriptive research สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด </em></p> <p><em>ผลการวิจัยพบว่า จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่ได้รับการรักษาด้วยยากัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1,888 ราย 3,029 ครั้ง สูงกว่าเป้าหมาย 510 ราย 894 ครั้ง และผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Palliative care) ที่ได้รับการรักษาด้วยยากัญชาทางการแพทย์ ร้อยละ 26.16 สูงกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ 5) และเป็นผลงานอันดับ 1 ของประเทศ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ การ</em><em>มีทีม </em><em>Service plan ในการกำกับติดตามพัฒนางานทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ การค้นหาผู้ป่วย Palliative Care เชิงรุก มีแผนปฏิบัติการตาม Service Plan และแผนการสำรองยาตำรับกัญชาเพียงพอ และมีแพทย์แผนปัจจุบัน / แผนไทย ที่เป็นผู้สั่งใช้ยากัญชาที่ครอบคลุมและให้ความร่วมมือ</em></p> <p> </p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> นโยบาย, กัญชา, ทางการแพทย์, palliative care</p>
ณรงค์ชัย จันทร์พร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
58
66
-
ผลกระทบของละอองธุลีต่อโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในจังหวัดตราด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273193
<p>การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาผลกระทบของฝุ่นละอองต่อโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในจังหวัดตราด ข้อมูลเชิงพื้นที่รายเดือนของมลพิษทางอากาศและจำนวนผู้ป่วยเป็นข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 ข้อมูลฝุ่นละอองเป็นค่าเฉลี่ยรายเดือน PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5 </sub>รวบรวมจากกรมควบคุมมลพิษ จำนวนผู้ป่วยโรคเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศรวมต่อเดือนรวบรวมจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการสร้างแบบจำลองเชิงเส้นนัยทั่วไป ประมวลผลข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์วิเคราะห์ทางสถิติ jamovi และโมดูล GAMLj ผลการวิจัยพบว่า PM10 และ PM<sub>2.5</sub> เฉลี่ยรายเดือนมีความสัมพันธ์กันสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน 0.94 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < .001 จำนวนผู้ป่วยต่อเดือนในอำเภอเมืองตราดไม่สัมพันธ์กับค่าเฉลี่ย PM<sub>10</sub> รายเดือน ค่า PM<sub>2.5</sub> เฉลี่ยรายเดือนและจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ต่อเดือนมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน 0.38 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<.05 การวิเคราะห์แบบจำลองเชิงเส้นทั่วไปควอไซปัวซงแสดงว่าเมื่อค่า PM2.5 เฉลี่ยรายเดือนเพิ่มขึ้น 1 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดตราดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากค่าเฉลี่ยของตัวแบบ กล่าวได้ว่า PM2.5 ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดตราด</p>
พันธ์วิรา เวยสาร
ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ
วัฒนา ชยธวัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
67
78
-
การศึกษาความเป็นไปได้ในการนำกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค มาเสริมการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/272623
<p>การวิจัยนี้ ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาเสริมการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น โดยรวบรวมสาระสำคัญของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ในเรื่องอำนาจการออกคำสั่งและการกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคนำมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ความแตกต่างของอำนาจการออกคำสั่งและการกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารและด้านยาตามกฎหมายเฉพาะเรื่อง เพื่อหาช่องว่างที่กฎหมายเฉพาะเรื่องไม่ได้กำหนดไว้ สังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ข้อแนะนำในการขับเคลื่อนนำบทบัญญัติในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคมาเสริมการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ <strong> </strong></p> <p>ผลการศึกษา พบว่ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค มีบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพหลังจำหน่าย (Post marketing) หลายประการที่กฎหมายว่าด้วยยาและกฎหมายว่าด้วยอาหารมิได้บัญญัติไว้ ซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค และยังพบว่ามีปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วไม่มีกฎหมายให้รัฐสามารถจัดการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้ทั้งตามกฎหมายเฉพาะเรื่องและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย </p> <p>กระทรวงสาธารณสุขควรเสนอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณามอบอำนาจให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถใช้อำนาจกำหนดมาตรการต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งไม่มีกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาและกฎหมายว่าด้วยอาหาร สำหรับกฎหมายว่าด้วยยายังมีอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มโดยไม่ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติ คือสามารถใช้บทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยยา ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยามีหน้าที่ต้องดำเนินการตามมาตรการที่รัฐกำหนดเพิ่มขึ้นก็ได้ด้วย</p>
ณัฐญา แก้วนำเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
79
87
-
ประสิทธิผลของตำรับยาเตรียมเฉพาะคราวกรดโฟลิคของโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273330
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของตำรับยาเตรียมเฉพาะคราวกรดโฟลิค เป็นการวิจัยและพัฒนา วิจัยกึ่งทดลอง และวิจัยแบบสังเกต แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พัฒนาสูตรตำรับโดยเตรียมจากยาเม็ดกรดโฟลิค 5 มิลลิกรัม 12 เม็ด บดเป็นผง ใช้ syrup USP เป็นน้ำกระสายยาปรับปริมาตรจนได้ 60 มิลลิลิตร เก็บไว้ในตู้เย็น ยาเตรียมที่ได้มีสีเหลือง รสหวาน หนืดเล็กน้อย ศึกษาความคงตัวทางกายภาพ เคมีและจุลชีวิทยา ณ วันที่ 0, 29, 59 พบว่าลักษณะทางกายภาพไม่เปลี่ยนแปลง ค่า pH เท่ากับ 6.08, 5.92, และ 5.61 ตามลำดับ ปริมาณตัวยากรดโฟลิค เท่ากับ 95.69 %LA, 98.25 %LA, และ 92.85 %LA ตามลำดับ ไม่พบการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพ ระยะที่ 2 ศึกษาประสิทธิผลการรักษาโดยเปรียบเทียบระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตของผู้ป่วยก่อนและหลังได้รับยาเตรียมในผู้ป่วยโฮโมไซกัสฮีโมโกลบินอี จำนวน 19 คน สอบถามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์และความพึงพอใจจากผู้ดูแลผู้ป่วย จำนวน 42 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติ paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตของผู้ป่วยหลังได้รับยาเตรียม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (9.72 <strong>±</strong> 1.20 g/dl vs 10.29 <strong>±</strong> 0.83 g/dl และ 29.36 ± 3.24 % vs 30.78 ± 1.84 %,</p> <p>p < 0.05) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่พบ คือ ฟันผุ ผู้ดูแลผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อตำรับยา การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าตำรับยาเตรียมเฉพาะคราวกรดโฟลิคมีความคงสภาพของยา ทั้งทางด้านเคมี กายภาพ จุลชีววิทยา มีประสิทธิผลด้านการรักษา มีความปลอดภัย ผู้ดูแลผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อตำรับยา </p>
พิมลธร วรจักร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
88
100
-
การศึกษาความรู้ และทัศนคติต่อการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมายของผู้ประกอบการผลิตอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273601
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้และทัศนคติต่อการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมายของผู้ประกอบการผลิตอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ได้รับอนุญาตแล้วในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 182 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการจัดทำฉลากอาหารเฉลี่ย 5.36 ปี เคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับการจัดทำฉลากอาหาร ร้อยละ 52.20 ทราบว่าการจัดทำฉลากต้องเป็นไปตามกฎหมาย ร้อยละ 91.21 โดยรับทราบจากพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร้อยละ 23.60 จัดทำฉลากอาหารตามที่ทีมงาน/แผนกผู้รับผิดชอบได้ตกลงกัน ร้อยละ 35.71 ไม่เคยถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีแสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง ร้อยละ 74.18 ไม่เคยถูกดำเนินคดีฐานแสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง ร้อยละ 86.26 สำหรับความรู้ในการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมาย มีคะแนนเฉลี่ย 14.02 คะแนน ทัศนคติในการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมาย มีคะแนนเฉลี่ย 4.24 คะแนน และการปฏิบัติของผู้ประกอบการในการจัดทำฉลากอาหารมีคะแนนเฉลี่ย 3.99 คะแนน โดยตัวแปรที่อธิบายการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ ความรู้ในการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมาย การถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีแสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง และทัศนคติในการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมาย โดยร่วมกันอธิบายได้ร้อยละ 11.8 (R<sup>2</sup> = 0.118) ทั้งนี้ ระเบียบและหลักเกณฑ์ตามกฎหมายเป็นปัญหาต่อการจัดทำฉลากเพราะมีจำนวนมาก เข้าใจยากและเปลี่ยนแปลงบ่อย ดังนั้น ความรู้และทัศนคติที่ดีต่อการจัดทำฉลากอาหารตามกฎหมายจะช่วยให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดทำฉลากอาหารได้ถูกต้องมากขึ้น</p>
ฐานวดี บุญพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
101
120
-
ผลการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชน ต้นแบบชุมชนปากตะโก จังหวัดชุมพร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273138
<p>การวิจัยทดลอง (Action Research) แบบกลุ่มเดียว One group pretest-posttest design นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของประชาชนในชุมชนต้นแบบ ชุมชนปากตะโก จังหวัดชุมพร ได้แก่ กิจกรรมประชุมภาคีเครือข่าย แกนนำชุมชน ที่เกี่ยวข้องในชุมชน กิจกรรมอบรมให้ความรู้ เรื่องการใช้ยาสมเหตุผลในชุมชนและผลิตภัณฑ์สุขภาพ กิจกรรมเดินรณรงค์การใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชนและติดป้ายประชาสัมพันธ์ กิจกรรมถอดบทเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง 300 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสำหรับประชาชนไทย (Rational Drug Use Litteracy tool: RDUL) ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ค่าความเที่ยงภายในของแบบสอบถาม ( Cronbach’s alpha) มีค่าเท่ากับ <strong>0.8917</strong> สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ก่อนและหลังการดำเนินการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชน โดย Wilcoxon Signed Ranks Test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ก่อนการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชน กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 50.67 มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เท่ากับ 40.37 ± 6.96 ซึ่งถือว่ามีคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลไม่เพียงพอ หลังการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชน กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 82.33 มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เท่ากับ 46.07 ± 4.46 ถือว่ามีความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพียงพอ หลังจากการดำเนินการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชน พบว่า คะแนนเฉลี่ยรวมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพิ่มขึ้นทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) </p> <p> ข้อเสนอแนะ ควรนำรูปแบบกิจกรรมการส่งเสริมสร้างความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชนไปขยายผลปรับใช้ดำเนินการในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป</p>
กฤติกา นันทประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
121
135
-
ระบบบริการสุขภาพช่องปากในหน่วยบริการปฐมภูมิภายหลังการถ่ายโอนสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนนทบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/272688
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบบริการสุขภาพช่องปากในหน่วยบริการปฐมภูมิภายหลังการถ่ายโอนสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน ปัจจัยความสำเร็จและอุปสรรค และพัฒนารูปแบบการบริการสุขภาพช่องปากที่เหมาะสม เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นนทบุรี จำนวน 29 แห่ง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และข้อมูลทุติยภูมิจากระบบคลังข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center : HDC)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หน่วยบริการที่มีความพร้อมในการจัดบริการทันตกรรมครบทั้ง 3 ด้าน มีเพียงร้อยละ 13.79 การจัดบริการทันตกรรมพื้นฐานและการส่งต่อยังคงดำเนินการได้ แต่บทบาทการเป็นด่านหน้า (Gate Keeper) ลดลง การถ่ายโอนส่งผลให้มีบุคลากรสนับสนุนเพิ่มขึ้น ทำให้ทันตบุคลากรสามารถปฏิบัติงานตามวิชาชีพได้มากขึ้น แต่ยังขาดแคลนผู้ช่วยงานทันตกรรม ระบบข้อมูลและการกำกับติดตามยังไม่มีประสิทธิภาพ อบจ.มีศักยภาพด้านงบประมาณสูงในการสนับสนุนวัสดุ ครุภัณฑ์ และการดำเนินงาน</p> <p> ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนจากผู้บริหาร ความพร้อมด้านทรัพยากร และความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ ควรกำหนดมาตรฐานการให้บริการและระบบการกำกับติดตามที่ชัดเจน พัฒนาระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และกำหนดตัวชี้วัดร่วมระหว่างท้องถิ่นและสาธารณสุข</p>
กุลภัทร แต้มสำเภาเลิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
136
155
-
การพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน โรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273588
<p>บทคัดย่อ</p> <p>วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาถึงอุบัติการณ์ของการเกิดปัญหาเกี่ยวกับยาในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน2.เพื่อประเมินผลลัพธ์ของการบริบาลทางเภสัชกรรมต่อผลการรักษาและการเกิดปัญหาจากการใช้ยาในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน3.เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน ตามแบบประเมินมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาให้ผ่านมาตรฐานในระดับที่สูงขึ้น วิธีการศึกษา การศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental study) ศึกษาในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานทุกรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคดื้อยาหลายขนานที่เข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกวัณโรค ทั้งสิ้นจำนวน 47 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมคือผู้ป่วยที่เริ่มยา 1 ตุลาคม2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 27 ราย กลุ่มทดลองคือผู้ป่วยที่เริ่มยา 1 เมษายน 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 20 รายเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมรูปแบบที่พัฒนาขึ้น เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและแบบบันทึกข้อมูลการบริบาลทางเภสัชกรรมทั้งสองกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การเปรียบเทียบข้อมูลเชิงคุณภาพระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองใช้ Fisher’s exact test เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกรณีที่ข้อมูลมีการแจกแจงปกติ ใช้สถิติ Independent sample t-test กรณีที่ข้อมูลมีการแจกแจงแบบอื่นใช้สถิติ chi-square test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษา:ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองไม่แตกต่างกันในเรื่องเพศ อายุ ค่า BMI และโรคร่วม (P > 0.05) ยกเว้น regimen มีความแตกต่างกัน (P = 0.018) พบการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในกลุ่มควบคุมร้อยละ 81.5 กลุ่มทดลองร้อยละ 85 ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P=0.754) ผลลัพธ์หลังเกิดอาการไม่พึงประสงค์พบว่ากลุ่มควบคุมยังมีอาการอยู่ร้อยละ 4.5 เสียชีวิตร้อยละ 4.5 กลุ่มทดลองหายเป็นปกติทุกราย ผลการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรม ตัวชี้วัดที่ 1 ผลการรักษา กลุ่มควบคุมรักษาสำเร็จร้อยละ 55.6 กลุ่มทดลองรักษาสำเร็จร้อยละ 80 กลุ่มควบคุมเสียชีวิตร้อยละ 29.6 กลุ่มทดลองเสียชีวิตร้อยละ 10 ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P = 0.121) ตัวชี้วัดที่ 2 การเกิดอาการไม่พึงประสงค์พบว่าไม่แตกต่างกันทางสถิติ( P = 1.000 ) สรุป:การพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมให้แนวโน้มด้านผลการรักษาสำเร็จเพิ่มขึ้น การเสียชีวิตลดลง ความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้นแม้จะไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมส่งผลให้ลดอัตราการเสียชีวิตจากการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ และผ่านเกณฑ์ตามแบบประเมินมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาให้ผ่านมาตรฐานในระดับที่สูงขึ้นจากระดับ 2 เป็นระดับ 3</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การบริบาลทางเภสัชกรรม ปัญหาการใช้ยา วัณโรคดื้อยาหลายขนาน</p>
บงกช อินทร์พิมพ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
156
170
-
การพัฒนาระบบ อสม. Delivery Drugs ของยา Favipiravir, Molnupiravir และ ฟ้าทะลายโจร ในช่วงการระบาดของโควิด โดยโรงพยาบาลกุดชุม จังหวัดยโสธร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273405
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจ่ายยา Favipiravir Molnupiravir และ ฟ้าทะลายโจร โดยอสม. Delivery Drugs ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน โดยมีการจัดส่งยาตามระบบการดูแลผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อโดยไม่ต้องมารับบริการที่โรงพยาบาลชุมชนลดความแออัดและการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้ป่วยที่มารับบริการ เป็นการประสานงานของโรงพยาบาลชุมชน หน่วยบริการปฐมภูมิและอสม.นำส่งยาแก่ผู้ป่วยโควิดในพื้นที่ของตนด้วยจักรยานยนต์ภายในวันเดียวกันกับที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 รูปแบบการศึกษาเป็นแบบ R2R โดยรวบรวมผลการปฏิบัติงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และการบันทึกข้อมูลผ่านระบบ HOSxP ติดตามผลการพัฒนาระบบการจ่ายยาเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม ถึง 20 มิถุนายน 2565 ที่มีผล ATK และ rt-PCR ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงของรพสต.ทั้ง 13 แห่ง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละความคลาดเคลื่อนด้านยา และการวิเคราะห์ Kruskal willis test, Chi-square test เพศ อายุ สิทธิ์ของการรักษาต่อการรักษาด้วยยาโควิด-19</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 48 ปี รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกทั้งหมด 4,094 คน ผู้ป่วยอายุมากกว่า 60 ปี คิดเป็นร้อยละ 26.85 ได้รับยา Favipiravir ร้อยละ 54.09 พบ ความคลาดเคลื่อนด้านยา 21 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 0.51 ผู้ป่วยได้รับยาในวันที่ตรวจพบโควิด19 4,079 คิดเป็นร้อยละ 99.63 ต้นทุนการนำส่งยาต่อคนต่อครั้ง 28.17 บาท การพัฒนาระบบจัดส่งยาโควิด-19 โดยการเชื่อมโยงในบริบทของโรงพยาบาลชุมชน หน่วยบริการปฐมภูมิ และอาสาสมัครสาธารณสุขช่วยในการนำส่งยาดังกล่าว ระบบมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นข้อดีกว่าการส่งยาทางไปรษณีย์ที่ไม่สามารถส่งยาแบบนี้ได้ จุดเด่นของการวิจัยนี้ คือเป็นการศึกษาแรก ๆ ที่พัฒนาระบบส่งยาโควิดสู่ผู้ป่วยโควิด2019 โดยทีมสหวิชาชีพ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในบริบทของโรงพยาบาลชุมชนและ รพ.สต. ซึ่งต่างจากการวิจัยที่ผ่านมาในประเทศไทยซึ่งมักศึกษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่เน้นการปรับระบบบริการเพื่อลดความแออัดของผู้ป่วย และการศึกษาครั้งนี้มีข้อเด่นโดยศึกษาด้านประสิทธิผลของยาและคนไข้ที่ติดเชื้อในพื้นที่</p>
พิชญาภา สีกา
ชาญชัย บุญเชิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
171
182
-
การศึกษาความพร้อมในการปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน ของผู้ประกอบการร้านขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จ ที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ (ขย.2) ในเขตสุขภาพที่ 11
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273400
<p>การวิจัยเชิงพรรณาเพื่อศึกษาความพร้อมในการปฏิบัติตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนของผู้ประกอบการร้านขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ (ข.ย.2) ในเขตสุขภาพที่11 จำนวน 115 คน ในช่วงวันที่ 16 มกราคม 2566 ถึง 30 เมษายน 2566 รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผลการศึกษา เป็นเพศชาย ร้อยละ 73.04 อายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 57.39 ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 61.74 รายได้ต่อเดือนอยู่ในช่วง 20,001 - 30,000 บาท ช่วงระยะเวลาเปิดร้าน 41-50 ปี ร้อยละ 46.09 ทำเลที่ตั้งร้านอยู่ในเขตเทศบาลเมือง ร้อยละ 86.96 ความพร้อมในการปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับสูง (x̅ = 4.15, S.D.= 0.52) หมวดที่มีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในการปฏิบัติตามหลักวิธีการปฏิบัติมากสุดคือ หมวดสถานที่ (x̅ = 4.53, S.D.= 0.52) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน ได้แก่ อายุ (P<0.003) ระดับการศึกษา (P=0.02) รายได้ต่อเดือน (P=0.03) ระยะเวลาที่เปิดร้าน (P<0.01) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ผู้ประกอบการร้านขายยามีแนวโน้มที่จะดำเนินกิจการต่อไปในรูปแบบเดิม(ข.ย.2) ร้อยละ 80 รองลงมาคือ ปิดกิจการหรือยกเลิกกิจการ ร้อยละ 9.56</p> <p><strong> </strong><strong> ข้อเสนอแนะ </strong>ควรส่งเสริม ให้คำแนะนำ ตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะร้านที่ผู้ประกอบการสูงอายุและผู้ประกอบการที่ไม่ได้จบการศึกษาปริญญาตรีเภสัชศาสตร์บัณฑิต และควรศึกษาตัวแปรอื่นๆเพิ่มเติม เช่น การรับรู้ เจตคติ ที่มีผลต่อความพร้อมในการปฏิบัติตามหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชนของผู้ประกอบการร้านขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ</p> <p>คำสำคัญ : ร้านขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ หลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน</p> <p> </p> <p><strong><sup>1</sup></strong><strong>เภสัชกรชํานาญการพิเศษ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงา</strong></p> <p><strong>Pharmacist, </strong><strong>Senior Professional</strong> <strong>Level. Division of Consumer Protection and Public Health Pharmacy, Phangnga Provincial Public Health Office. E-mail : sakfda@outlook.co.th</strong></p>
พรศักดิ์ มธุรส
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
183
198
-
ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/273638
<p>ปัจจุบันมีการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มมากขึ้น ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการผลิตยาสมุนไพรสำหรับการดูแลสุขภาพ การส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ สร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำในอาเซียน และเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบ สมุนไพรไทย ประกอบกับกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในการดูแลสุขภาพประชาชน ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ใช้วัตถุดิบที่มีในประเทศมาใช้ผลิตยารักษาโรค เกิดการพึ่งพาตนเองในระบบสุขภาพ ช่วยสนับสนุนเกษตรกรในการผลิตวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้ทำยาสมุนไพร รวมทั้งต้องการให้ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว อีกทั้งในช่วงสถานการณ์โควิด – 19 การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีความจำเป็นและมีประสิทธิภาพในการบรรเทารักษาได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ประชาชนสนใจและศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มมากขึ้น การได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนถูกต้อง อาจทำให้มองข้ามเรื่องความปลอดภัยในการเลือกใช้ให้ถูกวิธี ถูกขนาด เช่น กระแสข่าวโซเชียลของการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 ด้วยการรับประทาน ฟ้าทะลายโจร โดยข้อเท็จจริงนั้น ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ได้รับการศึกษาว่ามีฤทธิ์ในการรักษาไข้หวัดธรรมดา (common cold) อาการไอ เจ็บคอในโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ ไม่แนะนำให้นำมารับประทานเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือรับประทานติดต่อกันเกิน7 วัน ไม่ควรซื้อหายาสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรมารับประทานเองจากสื่อออนไลน์ อาจเสี่ยงต่อการได้รับ สารปนเปื้อน ไม่มีมาตรฐานในการผลิต ทำให้เสียโอกาสในการรักษาอย่างเหมาะสม และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ฉะนั้นการใช้ยาสมุนไพรเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษา และมีความปลอดภัย ควรใช้ให้ถูกโรค ถูกขนาด ถูกวิธี และได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ โดยคำนึงถึงภาวะโรคเดิม ยาแผนปัจจุบันหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้ร่วมกัน เนื่องจากยาสมุนไพรมีข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังในผู้ป่วยบางโรคและการเกิดอันตรกิริยากับยาแผนปัจจุบัน</p>
พรชนก เจนศิริศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
7
11
-
ผู้แจ้งความนำจับจะได้รับเงินสินบนจากการแจ้งความนำจับทุกครั้งหรือไม่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JOHCP/article/view/274301
ราชัน คงชุม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal Of Health Consumer Protection
2025-05-22
2025-05-22
5 1
199
202