วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH <p>วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิตเป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นโดยสมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ นวัตกรรม และผลงานวิจัยทางการพยาบาลจิตเวช สุขภาพจิต และสาขาที่เกี่ยวข้อง กำหนดออกวารสาร ปีละ 3 ฉบับที่ 1) มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2) พฤกษาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3) กันยายน - ธันวาคม</p> สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย th-TH วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต 3027-8031 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์แล้ว เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย</p> ลักษณะพฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ: มุมมองของผู้สูงอายุที่หายจากโรคซึมเศร้าและญาติ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/262534 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาลักษณะพฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีผู้เข้าร่วมวิจัย คือ ผู้สูงอายุที่หายทุเลาจากโรคซึมเศร้าและไม่กลับเป็นซ้ำ และญาติ รวมจำนวน 12 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก บันทึกขณะการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> มุมมองของผู้สูงอายุและญาติเกี่ยวกับลักษณะของพฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นซ้ำในผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้า มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ส่วนที่ 1 ระบุสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ได้แก่ 1) ลักษณะเหตุการณ์ 2) ลักษณะอาการ โดยสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่า 1 สัญญาณ ส่วนที่ 2 ดำเนินการการจัดการกับสัญญานเตือน ได้แก่ 1) สร้างทักษะการเผชิญปัญหาที่ดีต่อสุขภาพ 2) ระบุสถานการณ์ที่ตึงเครียด 3) จัดการสถานการณ์ตึงเครียด ส่วนที่ 3 ขอความช่วยเหลือจากภายนอกเมื่อจำเป็นเมื่อสัญญาณเตือนอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรืออาจรู้สึกว่าการจัดการตนเองไม่เพียงพอ การวางแผนล่วงหน้าหากมีการกำเริบของโรค และการมารับการติดตามตามนัดแพทย์</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ผลการวิจัยนี้นำมาเป็นข้อมูลในการพัฒนาเครื่องมือและโปรแกรมป้องกันการกลับเป็นซ้ำของ โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ทุเลาและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคซึมเศร้า</p> หทัยรัตน์ สายมาอินทร์ ประทีป จินงี่ อมราพร สุรการ นริสรา พึ่งโพสภ Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 1 20 ปัจจัยทำนายการปรับตัวในการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/263655 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อทำนายปัจจัยการปรับตัวในการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น ชั้นปีที่ 1 - 4</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ นักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น ชั้นปีที่ 1 - 4 จำนวน 172 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ -เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม จำนวน 4 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับทัศนคติ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนออนไลน์ ส่วนที่ 4 แบบสอบถามเกี่ยวกับการปรับตัว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามผ่านกูเกิลฟอร์ม การวิเคราะห์ข้อมูล คะแนนการปรับตัวโดยใช้ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ Pearson’s product correlation และ Stepwise Multiple Regression</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> พบว่านักศึกษาพยาบาลมีการปรับตัว อยู่ในระดับมาก (mean = 3.69, S.D. = 0.58 ) โดยด้านที่มีการปรับตัวสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ ด้านสังคม (mean = 3.98 , S.D. = 0.61) 2) ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวในการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล ได้แก่ ทัศนคติต่อตนเอง (r = .658, <em>p</em> &lt; .01) ทัศนคติต่อรายวิชา (r = .591, <em>p</em> &lt; .01) ทัศนคติต่อผู้สอน (r = .464, <em>p</em> &lt; .01) ปัญหาผู้สอน (r = - .164, <em>p</em> &lt; .05) และเมื่อนำตัวแปรวิเคราะห์ด้วยสมการ Stepwise Multiple Regression พบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติต่อรายวิชาและด้านทัศนคติต่อตนเอง มีผลต่อการปรับตัวในการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล ซึ่งมีสมการถดถอย ดังนี้ Y = 31.39+1.811(ATM)+ 1.397(ATS)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ในการเรียนระบบออนไลน์สถานศึกษาควรส่งเสริมให้นักศึกษามีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและรายวิชา เพื่อให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ด้านการวิจัย ควรมีการวิจัยเชิงคุณภาพในการปรับตัวของนักศึกษากรณีมีวิธีการเรียนแบบใหม่ หรือการปรับตัวเมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ไม่ปกติ</p> กุลนรี หาญพัฒนชัยกูร สายใจ คำทะเนตร จินดารัตน์ หมั่นมี ฐนิชา ปัญญาแก้ว ฐานมาศ วงค์ศรีชา นริศรา ชาวกุดรัง เสาวณี สาระหงส์ อิสศิริญา แอมนนท์ Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 21 36 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี (generation Z) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/264720 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาคุณลักษณะ การปรับตัว และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี (generation Z) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยพรรณนาเชิงทำนาย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาคณะต่าง ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าจำนวน 150 ราย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป 2) แบบสอบถามคุณลักษณะของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี 3) แบบสอบถามการมองโลกทางบวก 4) แบบสอบถามการตระหนักรู้ในตนเอง 5) แบบสอบถามการปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีคุณลักษณะของความเป็นนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซีในระดับปานกลางขึ้นไป และมีการปรับตัวส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี (mean = 3.59, S.D.= 0.54) ด้านที่มีการปรับตัวได้ดีที่สุดคือ ด้านความผูกพันกับสถานศึกษา (mean = 3.89, S.D.= 0.73) และด้านที่มีการปรับตัวได้น้อยที่สุดคือ ด้านอารมณ์ (mean = 3.40, S.D.= 0.77) ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่สามารถทำนายการปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้แก่ การตระหนักรู้ความมั่นใจในตนเอง มีน้ำหนักในการทำนายสูงสุด (Beta = .350) รองลงมาคือการมองโลกทางบวก (Beta = .170) และการตระหนักรู้ในการประเมินตนเองตามความเป็นจริง (Beta = .165) โดยตัวแปรทำนายทั้ง 3 ตัวแปร สามารถร่วมกันทำนายความแปรปรวนการปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ร้อยละ 25.7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> <strong>สรุป :</strong> จากผลการศึกษาสามารถนำข้อมูลที่ได้ในครั้งนี้ไปใช้ในการวางแผนและส่งเสริมเพื่อเพิ่มการตระหนักรู้ความมั่นใจในตนเอง การตระหนักรู้ในการประเมินตนเองตามความเป็นจริง และการมองโลกทางบวก ของนักศึกษา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะช่วยทำให้การปรับตัวของนักศึกษาเจนเนอเรชั่นซี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีดีขึ้น ส่งผลให้นักศึกษาเจนเนอเรชั่นซีเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพ และสามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต</p> ก้องกฤษฎากรณ์ ชนแดง สุมิศา กุมลา กานต์ตริน ศรีสุวรรณ เกษร สายธนู Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 37 54 ผลของโปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหาต่อพฤติกรรมติดเกมของวัยรุ่นตอนต้น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/263635 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหาต่อพฤติกรรมติดเกมของวัยรุ่นตอนต้น</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 24 คน ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมีพฤติกรรมติดเกม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบทดสอบการติดเกม (GAST) และ 3) โปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหา ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นตามแนวคิดการบำบัดด้วยการแก้ปัญหาของเดอ ซูริลล่า และ เนซู (D’Zurilla &amp; Nezu, 2010) ผสมผสานเทคนิคการเสริมสร้างแรงจูงใจของมิลเลอร์ และ โรลนิค (Miller &amp; Rollnick, 2002) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบค่า ที ชนิด 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน และสถิติทดสอบค่า ที ชนิด 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> 1) ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมติดเกมของกลุ่มทดลอง ในระยะ 1 เดือน หลังได้รับการบำบัดต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 2) ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการติดเกมของกลุ่มทดลอง หลังได้รับโปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหา ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการบำบัดผสมผสานของการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและการแก้ปัญหา สามารถสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมติดเกม และเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหา ซึ่งช่วยลดพฤติกรรมติดเกมของวัยรุ่นตอนต้นได้ ดังนั้นโปรแกรมนี้อาจเป็นทางเลือกในการบำบัดวัยรุ่นตอนต้นที่มีพฤติกรรมติดเกมได้</p> อารีรัตน์ บุญมาเลิศ ขวัญพนมพร ธรรมไทย หรรษา เศรษฐบุปผา Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 55 68 การพัฒนาและทดสอบประสิทธิผลเบื้องต้นการบำบัดด้วยการกระตุ้นพฤติกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/264043 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและทดสอบประสิทธิผลเบื้องต้นของการบำบัดด้วยการกระตุ้นพฤติกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย 2 ระยะ ระยะที่ 1 พัฒนาโปรแกรมการบำบัด โดยการสนทนากลุ่มในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอายุ 18 - 35 ปี จำนวน 37 คน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 4 - 10 คน ในผู้มีภาวะซึมเศร้าที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธรและศรีสะเกษ ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรม จัดทำต้นร่างโปรแกรมและวิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหาร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ระยะที่ 2 ทดสอบประสิทธิผลของโปรแกรมในรูปแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า อายุ 18 - 35 ปี ที่มารับบริการในโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ระยะที่ 1 ใช้แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 2 คือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นและแบบประเมินอาการซึมเศร้า 9 คำถาม ภาษากลางฉบับปรับปรุง ประเมินความแตกต่างของอาการซึมเศร้า เปรียบเทียบก่อนและหลังสิ้นสุดการบำบัดทันที และ 1 เดือน หลังการบำบัด จากสถิติ Repeated measures ANOVA</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> โปรแกรมการบำบัดด้วยการกระตุ้นพฤติกรรมเป็นการบำบัดรายบุคคล ประกอบด้วยกิจกรรม 9 ครั้งจาก ครั้งที่ 0-8 แต่ละ ครั้งใช้เวลา 60 นาที ผลการทดสอบเบื้องต้นในกลุ่มตัวอย่าง 13 คน มีอายุเฉลี่ย 25.62 ปี ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง 9 คน เพศชาย 4 คน หลังสิ้นสุดการบำบัด กลุ่มตัวอย่างมีอาการซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการบำบัด ทั้งในระยะหลังสิ้นสุดการทดลองทันที และ 1 เดือนหลังสิ้นสุดโปรแกรม (<em>p</em>-value = 0.001, <em>p</em>-value = 0.002) ตามลำดับ</p> <p> <strong>สรุป :</strong> โปรแกรมการบำบัดด้วยการกระตุ้นพฤติกรรม ช่วยให้ผู้มีภาวะซึมเศร้ามีอาการลดลงได้ สามารถนำไปใช้ในการบำบัดผู้มีภาวะซึมเศร้า ทั้งนี้ผู้บำบัดต้องผ่านการอบรมการใช้โปรแกรม</p> สุพัตรา สุขาวห กมลทิพย์ สงวนรัมย์ สุภาภรณ์ ทองเบ็ญจมาศ ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 69 86 การพัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ทักษะทางอารมณ์และสังคมโดยเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/261652 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ทักษะทางอารมณ์และสังคมโดยเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และศึกษาการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะทางอารมณ์และสังคมของนักเรียนและการเรียนรู้ของผู้บริหารและครูที่เข้าร่วมกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้ทักษะทางอารมณ์และสังคมโดยเพื่อนช่วยเพื่อน</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> วิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 3 ระยะ 1) เริ่มต้นการวิจัย : การวางแผน 2) ดำเนินการวิจัย : การปฏิบัติ และ 3) สิ้นสุดการวิจัย : สังเกตและสะท้อนกลับ กลุ่มเป้าหมาย คือนักเรียนแกนนำมัธยมศึกษาปีที่ 2 - 3 จำนวน 15 คน นักเรียนที่ได้รับการขยายผลชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 4 จำนวน 50 คน ผู้บริหารและครูประจำระดับชั้นจำนวน 5 คน เลือกแบบเจาะจงจากโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาแห่งหนึ่ง รวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์ การสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> รูปแบบกระบวนการเรียนรู้ทักษะทางอารมณ์และสังคมโดยเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนมีโครงสร้าง 3 กลุ่ม คือ นักเรียนแกนนำ ผู้บริหาร ครูประจำระดับชั้น ดำเนินงานร่วมกัน 3 ระยะ ระยะที่ 1 มุ่งทำความเข้าใจสถานการณ์ พัฒนาแผนการดำเนินงาน มอบหมายหน้าที่ ระยะที่ 2 พัฒนาแกนนำนักเรียนและเปิดพื้นที่ขยายผลสู่กลุ่มเพื่อนตามแผนด้วยการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการโค้ช ระยะที่ 3 การสังเกตและสะท้อนการปฏิบัติในพื้นที่ ผลการใช้รูปแบบพบว่านักเรียนแกนนำเกิดภาวะผู้นำ รู้สึกมีคุณค่าจากการส่งต่อ เพื่อนนักเรียนเกิดการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ผู้บริหารและครูยอมรับศักยภาพนักเรียน เกิดแนวทางพัฒนานักเรียนในโรงเรียน</p> <p> <strong>สรุป :</strong> กระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อนสามารถพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมของนักเรียน</p> อุษา น่วมเพชร ศิรินทรา ด้วงใส ชัดเจน จันทรพัฒน์ ธนเทพ นำพรวัฒนากุล สายฝน เอกวรางกูร เกวลี วัชราทักษิณ Copyright (c) 2024 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-03 2024-06-03 38 2 87 100