วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH <p>วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิตเป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นโดยสมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ นวัตกรรม และผลงานวิจัยทางการพยาบาลจิตเวช สุขภาพจิต และสาขาที่เกี่ยวข้อง กำหนดออกวารสาร ปีละ 3 ฉบับที่ 1) มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2) พฤกษาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3) กันยายน - ธันวาคม</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์แล้ว เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย</p> Dr.jeab2509@gmail.com (ผศ.ดร.กาญจนา สุทธิเนียม) psychonursejournal@gmail.com (นางสาวสาวิตรี แสงสว่าง) Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของการพัฒนารูปแบบทุนทางสังคมต่อภาวะซึมเศร้าและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/271295 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบทุนทางสังคมต่อภาวะซึมเศร้าและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังในจังหวัดสิงห์บุรี คัดเลือกพื้นที่ในการทำวิจัยระดับอำเภอ และระดับตำบลโดยการสุ่มหลายขั้นตอน ได้ 2 อำเภอ ๆ ละ 2 ตำบล จากนั้นทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้จำนวน 31 คน เครื่องมือรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว แบบประเมินภาวะซึมเศร้า และแบบวัดคุณภาพชีวิต ทดสอบความเชื่อมั่นด้วยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.70 และ 0.92 ตามลำดับ และเครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมรูปแบบทุนทางสังคม ระยะเวลาในการทดลอง 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 3 ชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าและค่าเฉลี่ยคะแนนคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังร่วมโปรแกรมด้วยสถิติทดสอบค่า paired t-test</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าของกลุ่มตัวอย่าง หลังร่วมโปรแกรมรูปแบบทุนทางสังคม (mean = 6.77, S.D. = 4.44) ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (mean = 13.94, S.D. = 3.89) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 8.05, <em>p</em> &lt; .05) 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่าง หลังร่วมโปรแกรมรูปแบบทุนทางสังคม (mean = 104.12, S.D. = 6.81) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (mean = 96.27, S.D. = 13.47) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 3.37, <em>p</em> &lt; .05)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> โปรแกรมรูปแบบทุนทางสังคม ช่วยให้ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมีภาวะซึมเศร้าลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ดังนั้น ควรสนับสนุนรูปแบบทุนทางสังคมนี้สำหรับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังในชุมชน</p> กนกอร ชาวเวียง, ขวัญชนก ยศคำลือ, อรวรรณ แผนคง, อุทัยทิพย์ จันทร์เพ็ญ, กนกพร แก้วโยธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/271295 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/269873 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือวัยรุ่นที่ใช้บริการร้านกระท่อมในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 136 คน ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามด้านความรู้ ทัศนคติ แรงจูงใจ และการเปิดรับสื่อ และ3) แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้กระท่อม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> พฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ค่าเฉลี่ยความรู้ อยู่ในระดับปานกลาง (mean = 9.85, S.D. = 1.92) ทัศนคติ อยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.42, S.D. = 0.46) แรงจูงใจ อยู่ในระดับมาก (mean = 3.53, S.D. = 0.75) การเปิดรับสื่อ อยู่ในระดับมาก (mean = 3.60, S.D. = 0.70) และพฤติกรรมการใช้กระท่อมอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.96, S.D. = 0.97) ปัจจัยด้านทัศนคติ แรงจูงใจ และการเปิดรับสื่อ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้กระท่อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .570, .699, .519, <em>p</em> &lt; .01 ตามลำดับ) โดยปัจจัยความรู้ ทัศนคติ แรงจูงใจ และการเปิดรับสื่อ ร่วมกันทำนายพฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่นได้ร้อยละ 52.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R2 = .529, <em>p</em> &lt; .01) ปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ด้านแรงจูงใจ (Beta = 532, <em>p</em> &lt; .01) รองลงมาด้านทัศนคติ (Beta = 202, <em>p</em> &lt; .01)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ปัจจัยด้านแรงจูงใจ และปัจจัยด้านทัศนคติ มีผลต่อพฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่น หากวัยรุ่นลดแรงจูงใจและปรับทัศนคติในการใช้กระท่อม จะทำให้ลดพฤติกรรมการใช้กระท่อมตามมาได้ ซึ่งนำไปสู่การวางแผนป้องกันพฤติกรรมการใช้กระท่อมของวัยรุ่นต่อไปในอนาคต</p> ทยาวีร์ จันทรวิวัฒน์, บุปผา ใจมั่น, แสงนภา บารมี, สุวรรณา เตียประสงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/269873 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างของผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/268394 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ในประเทศไทย</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ในกลุ่มตัวอย่างผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับความร่วมมือจากสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ดำเนินการวิจัยโดยใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีตามสะดวกและแบบลูกโซ่ เก็บข้อมูลทั้งแบบออนไลน์และข้อเขียนในเดือนมีนาคม - สิงหาคม พ.ศ. 2561 และใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานตามกรอบแนวคิดแบบจำลองความเครียดของชนกลุ่มน้อยซึ่งได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ แบบสอบถามความเครียดของชนกลุ่มน้อย และแบบประเมินภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ T-test, ANOVA, Pearson Correlation และ Multiple Regression</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่าง (n = 410) มีอายุเฉลี่ย 29.5 ปี (S.D. = 7.4, range 18 - 53) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 90.5) รักเพศเดียวกัน (ร้อยละ 79.3) และรับรู้อัตลักษณ์ทางเพศตามเพศกำเนิด (ร้อยละ 76.6) โดยพบว่าภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ อยู่ในระดับปานกลางและสูงถึง 42.2% (mean = 1.93, SD = .56) และเมื่อทำการวิเคราะห์แบบพหุตัวแปร พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างในกลุ่ม LGBT ได้แก่ การถูกเลือกปฏิบัติ (ß = .03 <em>p</em> &lt; .01), ความรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเหยื่อ (ß = .14, <em>p</em> &lt; .05), การปกปิดลักษณะทางเพศของตน (ß = -.06, <em>p</em> &lt; .001), และ ความรู้สึกเกลียดตนเองที่เป็น LGBT (ß = .06, <em>p </em>&lt; .05) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบรายคู่ พบว่าภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างมีความสัมพันธ์กับหลายปัจจัย (F[12.081] = 20.48, <em>p</em> &lt; .001)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่สามารถพบได้บ่อยในกลุ่ม LGBT ในประเทศไทย ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างนั้นมีความสอดคล้องกับสาเหตุของความเครียดที่พบในชนกลุ่มน้อย ผลการศึกษาในครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวทางการดูแลกลุ่ม LGBT ที่ต้องเผชิญกับภาวะโดดเดี่ยวอ้างว้างต่อไปในอนาคต</p> ปริยศ กิตติธีระศักดิ์, พรพิมล พรมนัส, ปาณิสรา ปานมุนี, Alicia K Matthews ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/268394 Sat, 04 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการพยาบาลแบบผสมผสานต่อการป่วยซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/274289 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาโปรแกรมการพยาบาลแบบผสมผสานต่อการป่วยซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการป่วยซ้ำระหว่างผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงที่ได้รับการดูแลด้วยโปรแกรมการพยาบาลแบบผสมผสานกับที่ได้รับการพยาบาลตามปกติหลังสิ้นสุดการทดลอง และจำหน่ายเดือนที่ 1 และ 3</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา ทั้งหมด 7 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง จำนวน 24 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 12 คน และกลุ่มควบคุม 12 คน วัดผลก่อนทดลอง หลังทดลอง และติดตามหลังการทดลอง 1 และ 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการพยาบาลแบบผสมผสานต่อการป่วยซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง มีค่าความสอดคล้องหรือดัชนีของความสอดคล้องกันระหว่างกิจกรรมแต่ละข้อกับแนวคิดที่ใช้เท่ากับ 0.90 2) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป 3) แบบประเมินอาการทางจิตวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติที และการทดสอบด้วยฟิชเชอร์เอ็กแซค กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย การจัดการรายกรณีร่วมกับการบำบัดทางจิตสังคม คือ สัมพันธภาพบำบัด 4 ครั้ง สุขภาพจิตศึกษา 2 ครั้ง และสุขภาพจิตศึกษาครอบครัว 2 ครั้ง เป็นกิจกรรมกลุ่ม ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 3 สัปดาห์ โดยผลการทดลองพบว่า การติดตามที่ 1 เดือน กลุ่มทดลองกลับมาป่วยซ้ำน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value = .027) แต่เมื่อติดตามที่ 3 เดือน กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมการป่วยซ้ำไม่แตกต่างกัน</p> <p> <strong>สรุป :</strong> โปรแกรมการพยาบาลแบบผสมผสานสามารถป้องกันการป่วยซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงได้</p> ศิรภัสสร ลิมปิติเกียรติ, อนงค์นุช ศาโศรก, สิริลักษณ์ ซื่อสัตย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/274289 Sat, 04 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการดูแลด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สีต่อภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/270425 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สีต่อภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง (แบบสองกลุ่มวัดก่อน หลังการทดลอง) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน โดยกลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมฯ เป็นระยะเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามแนวทางการดูแลนักศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพจิตของวิทยาลัย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า 11Q และโปรแกรมการดูแลด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สี เครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบจากทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้นำแบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า 11Q มาหาค่าความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ .84 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนมกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> หลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีระดับความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าลดลง โดยมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้า เท่ากับ 8.24 (S.D.= 4.82) ส่วนกลุ่มควบคุมเฉลี่ยภาวะซึมเศร้า เท่ากับ 15.10 (S.D. = 7.81) กลุ่มทดลองมีคะแนนภาวะซึมเศร้าเฉลี่ย ระยะก่อนทดลอง และหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 4.95, <em>p</em> &lt; .01), และกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -3.34, <em>p</em> &lt; .01)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> โปรแกรมการดูแลด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สี มีประสิทธิผลในการลดภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล โดยเป็นการคัดกรองในระยะเริ่มต้นและให้การดูแลตามระดับความรุนแรงของภาวะซึมเศร้า โปรแกรมนี้นับเป็นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ไม่เพียงแต่สำหรับนักศึกษาพยาบาล แต่สามารถประยุกต์ใช้ในกลุ่มอื่น ๆ ได้</p> ศุกร์ใจ เจริญสุข, กัญญาวีณ์ โมกขาว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/270425 Sat, 04 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/267116 <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชน</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา :</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ ดำเนินการในกลุ่มตัวอย่าง ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชน จำนวน 70 คน มีเกณฑ์ในการคัดเลือก เป็นผู้ดูแลหลักของผู้ป่วยจิตเวชที่ได้รับการวินิจฉัยโรคจิตเวช ตามหลัก ICD-10 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบประเมินความเครียด และ 3) แบบวัดคุณภาพชีวิต มีความตรงของเนื้อหา (IOC = 0.97) มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค 0.70 และ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Correlation Coefficient (r), Chi-square และทดสอบความสัมพันธ์ด้วย Phi and Cramer's V</p> <p> <strong>ผลการศึกษา :</strong> คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชอยู่ในระดับปานกลาง (M = 88.76, SD = 12.61) โดยผู้ดูแลผู้ป่วยโรควิตกกังวลมีคุณภาพชีวิตสูงสุด (M = 97.92, SD = 10.31) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ รายได้ (r = .448**) ความเครียด (r = -.267*) และประเภทของโรคของผู้ป่วยจิตเวช (Phi and Cramer's V = .84)</p> <p> <strong>สรุป :</strong> ผลการศึกษานี้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนและพัฒนาแนวทางการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมุ่งเน้นการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ การจัดการความเครียด การให้ความรู้เฉพาะตามประเภทของโรค และการสร้างเครือข่ายสนับสนุนทางสังคม ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนให้ดีขึ้น และส่งผลต่อการดูแลผู้ป่วยที่มีคุณภาพและยั่งยืน</p> นาถนภา วงษ์ศีล, เทียนทอง หาระบุตร, ชุติมา ปัญญาพินิจนุกูร, พนิดา รัตนไพโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/267116 Sat, 04 Oct 2025 00:00:00 +0700