https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/issue/feed
วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
2025-03-10T11:34:46+07:00
จงกลณี ตุ้ยเจริญ (Mrs. Jongkolnee Tuicharoen)
jongkolnee@knc.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270453
ผลของการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงต่อการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด
2024-10-06T16:36:12+07:00
สุภัสสร เลาะหะนะ
supasson.l@ubu.ac.th
สุนันทา ศรีมาคำ
sunantha@bcnsp.ac.th
ณัฐรินทร์ สกุลนิธิวัฒน์
nattarin@bcnsp.ac.th
วรภรณ์ บุญจีม
woraporn.b@ubu.ac.th
<p>การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งด้านความรู้ การคิดวิเคราะห์ อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรม โดยอาศัยกระบวนการสะท้อนคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังทดลอง เพื่อศึกษาการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ จำนวน 155 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง แบบประเมินการรับรู้ทักษะทางปัญญา และแบบบันทึกประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Pair t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. การรับรู้ทักษะทางปัญญาของนักศึกษาหลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับดี (<em>M</em> = 3.33, <em>SD</em> = 0.42) และสูงกว่าก่อนเข้าร่วม (<em>M</em> = 3.09, <em>SD</em> = 0.52) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = -5.728, <em>p</em> < .01) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือด้านสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูล 2. ประสบการณ์ของนักศึกษาผ่านกระบวนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง พบการเรียนรู้ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานในระยะคลอด 2) ความรู้สึกภูมิใจและมีคุณค่าต่อสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด 3) การตระหนักรู้จุดเด่นและจุดพัฒนาของตนเองในการปฏิบัติการพยาบาล และ 4) ความมั่งมุ่นและความตั้งใจดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด จากผลการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตนเองและผู้อื่น ช่วยพัฒนาทักษะการสืบค้นและการคิดวิเคราะห์ เพื่อเกิดผลลัพธ์ในการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอดที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น</p>
2025-02-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268638
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด ตามการรับรู้ของมารดาที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด
2025-01-07T14:09:32+07:00
ลัดดาพร ปานสูงเนิน
matladdaporn@gmail.com
อัจฉริยา วงษ์อินทร์จันทร์
watcha@kku.ac.th
<p>การส่งเสริมพัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการดูแล การที่มารดามีแนวโน้มการส่งเสริมพัฒนาการบุตรได้นั้น อาจเกี่ยวข้องกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความคาดหวังในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาที่คลอดบุตรก่อนกำหนดที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของทารกและมารดา แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index : CVI) เท่ากับ 0.87 แบบสอบถามความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 และแบบสอบถามแนมโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 โดยมีความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.90, 0.94, และ 0.91 ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .209, <em>p</em> < .05) ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .460, <em> p</em> < .001) และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของมารดามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .191, <em>p</em> < .05) ดังนั้นพยาบาลควรส่งเสริมให้มารดามีการรับรู้สมรรถนะในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรตั้งแต่ในโรงพยาบาล เพื่อให้มีพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-02-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271190
ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
2024-11-16T07:55:31+07:00
ธีราภรณ์ บุญล้อม
teeraporn@bcnsp.ac.th
อภิรดี เจริญนุกูล
apiradee@bcnsp.ac.th
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงห่องแห่ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง บันทึกภาคสนาม แบบบันทึกการถอดความและการลงรหัสข้อมูล เครื่องบันทึกเสียง เก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีของโคไลซี ผลการวิจัยพบว่า ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้านพฤติกรรมการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก 1. การกำกับตนเองในด้านต่างๆ 2. การจัดการอาการที่ผิดปกติ ด้านสิ่งที่สนับสนุนในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. มุมมองและการให้ความหมายของโรคเบาหวาน 2. แรงจูงใจ 3. แรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวและชุมชน 4. การเข้าถึงข้อมูลการดูแลตนเองจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย และด้านสิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ภาวะการเจ็บป่วยแทรกซ้อนระหว่างการรักษา 2. สถานการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะเครียด 3. อายุที่มากขึ้น ดังนั้นทีมสุขภาพสามารถนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการออกแบบระบบและรูปแบบการส่งเสริมแนวคิดมุมมองด้านบวก และพัฒนาศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย โดยเน้นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว</p>
2025-02-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270030
การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
2024-12-12T15:14:19+07:00
ทวีพร เพ็งมาก
thaweeporn.p@pnu.ac.th
ทิพยวรรณ นิลทยา
Jeabtipp@hotmail.com
วนิสา หะยีเซะ
Wanisa.H@pnu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบปรากฎการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายและการนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการจับฉลากจากสมาชิกภายในกลุ่มเป็นตัวแทนจากกลุ่มที่ฝึกปฏิบัติงานแต่ละหอผู้ป่วย ได้ตัวแทนกลุ่มละ 5 คน รวมทั้งหมด 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำ Focus group 3 กลุ่ม เครื่องมือวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ แนวคำถามเป็นแบบกึ่งโครงสร้าง เกี่ยวกับการนำหลักจริยธรรมไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าความหมายของจริยธรรมทางการพยาบาล คือการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นด้วยความถูกต้อง มีความรับผิดชอบ ทำความดี มีความซื่อสัตย์ การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาล โดยได้นำไปใช้ดังนี้ 1.การแจ้งชื่อ สถานะของนักศึกษา อธิบายการรักษาพยาบาล และยอมรับการตัดสินใจ 2. ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ดูแลผู้ป่วยถูกเทคนิค 3. ไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย 4. ดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทุกๆเตียง 5. อธิบายอาการและการรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วย 6. ไม่เปิดเผยประวัติผู้ป่วยและไม่ปกปิดสิ่งที่กระทำไม่ดี ผลการศึกษาครั้งนี้ อาจารย์ผู้สอนในรายวิชาทฤษฎีและวิชาการปฏิบัติการพยาบาล สามารถนำไปยกตัวอย่างการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล และพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลอื่นๆและส่งเสริมความสามารถในการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล</p>
2025-02-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272649
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่อยู่ในชุมชน
2025-03-10T11:34:46+07:00
นัฐิยา เพียรสูงเนิน
nuttiya@knc.ac.th
จุฑามาศ วงจันทร์
jutamast@knc.ac.th
เอกกวี หอมขจร
Princeovyeak@gmail.com
ปัณณวิชญ์ มูลแก้ว
Pannawit@gmail.com
วีรวัฒน์ ทางธรรม
weerawat@bcnnon.ac.th
บรรจง จันทวีวัฒน์
Banchong@gmail.com
คุณัสปกรณ์ มัคคัปผลานนท์
khunatpakorn@knc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนื่อยล้า และความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่อยู่ในชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มาตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกอายุรกรรม โรงพยาบาลในเขตพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 230 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความเหนื่อยล้า อาการหายใจลำบาก อาการนอนไม่หลับ อาการซึมเศร้าและการสนับสนุนทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์สถิติถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังมีความเหนื่อยล้าอยู่ในระดับปานกลาง (<em>M</em> = 4.39, <em>SD</em> = 2.36) ปัจจัยด้านอาการหายใจลาบาก อาการนอนไม่หลับ อาการซึมเศร้าและการสนับสนุนทางสังคม สามารถร่วมกันทำนายความเหนื่อยล้าของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 66 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R<sup>2</sup>adj = .66, <em>p</em>-value < .001) ปัจจัยที่สามารถทำนายความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้มากที่สุด คือ อาการหายใจลำบาก (Beta = .45, <em>p</em> < .001) รองลงมา ได้แก่ อาการนอนไม่หลับและอาการซึมเศร้า (Beta = .35 และ Beta = .14, <em>p</em> < .01 ตามลำดับ) ส่วนการสนับสนุนทางสังคมไม่สามารถทำนายความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Beta = .03, <em>p</em> > .05) ผลการศึกษาครั้งนี้เสนอแนะว่า ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าควรที่จะเน้นเรื่องการจัดการกับอาการหายใจลำบาก อาการนอนไม่หลับและอาการซึมเศร้า</p>
2025-04-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269866
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเรียนรู้จากกรณีศึกษาและสถานการณ์จำลองเสมือนจริง การพยาบาลผู้คลอดในภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์
2024-12-23T08:38:02+07:00
พนิดา รัตนพรหม
panida.r@pi.ac.th
นุจเรศ โสภา
nujares@bcnsurat.ac.th
สุธิดา สุปันตี
sutida_supantee@bcnsurat.ac.th
ญาณิศา เต็มพร้อม
yanisa@bcnsurat.ac.th
<p>การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative learning) มุ่ง พัฒนาวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองและเรียนรู้ตลอดชีวิต การวิจัยกึ่งทดลอง (quasi experimental research) ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยใช้กรณีศึกษาและสถานการณ์จำลองเสมือนจริงการพยาบาลผู้คลอดในภาวะฉุกเฉิน ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 70 คน กลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน กลุ่มทดลองเป็นอาสาสมัครเข้าเรียนนอกเวลาเรียน ให้สะท้อนคิดการเรียนรู้เป็นระยะ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีโอกาสสอบผ่านความรู้รวบยอดวิชาการผดุงครรภ์สูงกว่ากลุ่มควบคุม ร้อยละ 73 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR 0.27, 95%CI 0.087 - 0.816, <em>p </em>= 0.021) และผู้เรียนสะท้อนคิดปัญหาการเรียนที่ตนเผชิญหลังเข้าฝึกสถานการณ์จำลอง โดยแสดงออกถึงความต้องการที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดทางการเรียนรู้ของตนเอง ด้วยการกำหนดวิธีการปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ในแบบของตนเอง สรุปผลการวิจัย โปรแกรมการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนจาก passive learning ไปสู่ active learning เนื่องจากการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตามผลการวิจัยแสดงผลการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้เพียง 2 ระยะแรกของกระบวนการ Transformative learning จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนากระบวนการวิจัยต่อเนื่องในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาล เพื่อ กระตุ้น ให้ผู้เรียนตรวจสอบหรือพิจารณาความรู้สึก และสะท้อนเชิงวิพากษ์ (Critical Reflection) อย่างต่อเนื่อง เพื่อการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงวิธีการเรียนและแสวงหาแนวทางการเรียนรู้ไปสู่จุดหมายได้ด้วยตนเอง (self-directed learning) จนเกิดสมรรถนะ การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life – long learning) ได้ในอนาคต โดยกระบวนการวิจัยมีข้อจำกัด ในการจัดการเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการพยาบาล ซึ่งอาจไม่สามารถพัฒนาผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ ได้อย่างชัดเจน</p>
2025-04-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล