https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/issue/feed
วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
2023-08-28T13:23:52+07:00
พรรณทิพย์ โชมขุนทด เศรษฐาธนโภคิน (Mrs.Phunthip Chomkhuntod Setthathapokin)
journal@knc.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/259643
ผลกระทบของพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์การเรียนออนไลน์ในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อปัญหาทางตาของผู้เรียนระดับปริญญาตรี
2022-12-21T21:06:29+07:00
อำพร ศรียาภัย
ampsriyaphai@gmail.com
สุพิตร สมาหิโต
usst@ku.ac.th
นันทวัน เทียนแก้ว
nanthawan.t@ku.th
สรายุทธ์ น้อยเกษม
sarayut.n@ku.th
ชนานันต์ สมาหิโต
samahito.chananan@gmail.com
<p>การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้การเรียนในชั้นเรียน เปลี่ยนรูปแบบเป็นออนไลน์ทันที โดยที่ผู้เรียนไม่มีเวลาเตรียมตัวและมีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ไม่มากพอ และเป็นการใช้ดวงตาที่หนักหน่วง เสี่ยงเกิดปัญหาทางตา งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ ผลกระทบของพฤติกรรมใช้อุปกรณ์การเรียนออนไลน์และความสัมพันธ์กับปัญหาทางตาของผู้เรียนระดับปริญญาตรีในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 และเพื่อศึกษาวิธีการดูแลสุขภาพตาและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตาจากการเรียนออนไลน์ของผู้เรียนในกลุ่มตัวอย่างผู้เรียนระดับปริญญาตรีสาขาสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา จากมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่เรียนด้วยระบบออนไลน์ จำนวน 709 คน โดยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์ด้วยค่าสถิติเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาใช้โทรศัพท์มือถือเรียนออนไลน์มากที่สุด ใช้เวลาเรียนเฉลี่ยมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อครั้ง มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และ 5-6 วันต่อสัปดาห์ การเรียนออนไลน์และการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลทำให้เกิดปัญหาทางตาร้อยละ 74.5 ปัญหาที่พบมาก คือ ตาล้า ปวดตา และแสบตา พฤติกรรมใช้อุปกรณ์เรียนออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาทางตา เช่น การเรียนผ่านโทรศัพท์มือถือ การมองหน้าจอที่มีตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหวเร็วต่อเนื่องนาน แสงสว่างของจอ และระยะเวลาในการเรียน เป็นต้น การมีแนวทางดูแลสุขภาพและแนวปฏิบัติในการเรียนออนไลน์ จะช่วยลดปัญหาทางตาจากการใช้อุปกรณ์เรียนออนไลน์ได้</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/260271
สุขภาวะทางใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2023-04-01T07:38:41+07:00
จิรังกูร ณัฐรังสี
jirung1963@gmail.com
ทศา ชัยวรรณวรรต
Kuntidahappy@gmail.com
สุจิตรา กฤติยาวรรณ
kitiyawan@hotmail.com
ทัศนีย์ ทิพย์สูงเนิน
tussanee@knc.ac.th
พัชรี ใจการุณ
patcharee_jai@bcnsp.ac.th
<p>สุขภาวะทางใจเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตและบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบของบุคคล รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) การวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสุขภาวะทางใจจากระดับความเครียดและภาวะซึมเศร้า และหาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับภาวะซึมเศร้าของ อสม. ที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จำนวน 380 คน โดยใช้แบบวัดความเครียดสวนปรุงชุด 20 ข้อ และแบบประเมินภาวะซึมเศร้า 9 คำถาม ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานและมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบากเท่ากับ .92 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวม อสม. มีความเครียดระดับปานกลาง (<em>M</em> = 40.54, <em>SD</em> = 13.36) และไม่มีภาวะซึมเศร้า (<em>M</em> = 3.85, <em>SD</em> = 3.74) โดยพบ อสม. มีความเครียดระดับสูง และระดับรุนแรง ร้อยละ 32.89 และ 8.43 ตามลำดับ มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงร้อยละ 0.30 ความเครียดกับภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับต่ำ (Pearson’s <em>r</em> [378] = 0.33, <em>p</em> = .01) หน่วยงานหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องควรเฝ้าระวังและป้องกันภาวะเครียดและซึมเศร้าของ อสม. ที่ปฏิบัติงานระหว่างการมีวิกฤตด้านสาธารณสุขในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ส่วน อสม. ที่มีความเครียดหรือซึมเศร้าระดับสูงและรุนแรง ควรได้รับการตรวจเพื่อการวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/260699
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง
2023-03-02T15:19:47+07:00
ทยาวีร์ จันทรวิวัฒน์
tayawee@knc.ac.th
แสงนภา บารมี
sangnapa@knc.ac.th
<p>การระบาดของโรคโควิด-19 ในนักศึกษาพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการป้องกันโรคจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การวิจัยนี้มี<strong>วั</strong>ตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต จำนวน 110 คน ได้จากการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ในระดับสูง และ 2) ความรู้ ความเชื่อ และทัศนคติ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 (<em>r</em> (108) = .476, .339, .586, <em> p</em> < .01 ตามลำดับ) และสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ได้ร้อยละ 42 (<em>R<sup>2</sup></em> = 0.42, <em>F</em>(3, 106) = 20.59, <em>p</em> < .05) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ความเชื่อ (<em>Beta</em> = 0.41) รองลงมา คือ ความรู้ (<em>Beta</em> = 0.26) และทัศนคติ (<em>Beta</em> = 0.16) ตามลำดับ ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ ในการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/261444
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิดในสตรีตั้งครรภ์ที่มี ภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วน
2023-04-11T11:26:21+07:00
บุญมี ภูด่านงัว
bphoodaangau@gmail.com
จารุวรรณ ก้าวหน้าไกล
jaruwan.o@msu.ac.th
สุภาพร สุภาทวีวัฒน์
bphoodaangau@gmail.com
<p>ภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนในสตรีตั้งครรภ์ เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด การศึกษาแบบย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิดในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วน เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนที่มาคลอดระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2564 ณ ห้องคลอด โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จำนวน 673 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติไคสแควร์ และ Fisher Exact test ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านมารดา ได้แก่ น้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์ (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 7.19, <em>p</em> = .016) น้ำหนักสะสมตลอดการตั้งครรภ์ (<em>χ<sup>2</sup></em>[3, <em>n</em> = 673] = 18.13, <em>p</em> = .001) จำนวนครั้งของการฝากครรภ์ (<em>χ<sup>2</sup></em>[3, <em>n</em> = 671] = 19.00, <em>p</em> = .023) ภาวะน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 8.05, <em>p</em> =.019) อายุครรภ์เมื่อคลอด (<em>χ<sup>2</sup></em>[2, <em>n</em> = 673] = 49.32, <em>p</em> = .000) การชักนำการคลอด (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 9.02, <em>p</em> =.008) ปัจจัยด้านทารก ได้แก่ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 65.57, <em>p</em> = .000) ทารกที่คลอดใกล้เกินกำหนด (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 21.00, <em>p</em> = .001) และทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม (<em>χ<sup>2</sup></em>[1, <em>n</em> = 673] = 50.45, <em>p</em> = .000) มีความสัมพันธ์กับภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการศึกษา พยาบาลผดุงครรภ์สามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อหาแนวทางป้องกันภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด ตั้งแต่การประเมินปัจจัยที่เสี่ยงและลดโอกาสเกิดปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมน้ำหนักก่อนและตลอดการตั้งครรภ์ให้เหมาะสม รวมถึงการเตรียมพร้อมเพื่อดูแลสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ทั้งในระยะตั้งครรภ์และระยะคลอด ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการเกิดภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิดลดลง</p>
2023-05-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/261742
ผลของโปรแกรมการลดการสูบบุหรี่โดยใช้การรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการลดการสูบบุหรี่อย่างมีส่วนร่วมของนักศึกษาที่ติดบุหรี่
2023-05-03T18:32:40+07:00
เขมิกา ณภัทรเดชานนท์
khemika9279@gmail.com
ภัควรินทร์ ภัทรศิริสมบูรณ์
phakwarin.p@rbru.ac.th
จิรัชญา เหล่าคมพฤฒาจารย์
Jungera2520@gmail.com
<p>การสูบบุหรี่ เป็นอันตรายและส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจ และสังคม บุหรี่เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญที่สุดของโรคที่สามารถป้องกันได้ การวิจัยกึ่งทดลองแบบศึกษากลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ของนักศึกษาก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการลดการสูบบุหรี่ โดยใช้การรับรู้สมรรถนะแห่งตน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่ติดบุหรี่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 20 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการสอนตามทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา .60; 2) แบบประเมินระดับการติดนิโคติน (Fagerstrom Test for Nicotine Dependence [FTND]) ฉบับแปลเป็นภาษาไทย มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .86 และ 3) ชุดตรวจกรองสารโคตินินในปัสสาวะอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา Wilcoxon signed rank test และ McNemar test ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองนักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยระดับการติดนิโคตินลดลงจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (<em>Z</em> = -2.277, <em>p</em> = .023) และพบสารโคตินินในปัสสาวะลดลงจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 จึงสรุปได้ว่า นักศึกษามีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง ดังนั้น การศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมหรือพื้นที่อื่นเพื่อให้เกิดพฤติกรรมการลดการสูบบุหรี่ได้</p>
2023-05-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262083
การวิเคราะห์จำแนกปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้มีบุตรยากที่รับการรักษาด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก จังหวัดเชียงใหม่
2023-08-23T23:43:35+07:00
ณัฏฐ์พิมล ปิ่นไชยธนา
npinchaithana@gmail.com
วีรวรรณ วงศ์ปิ่นเพ็ชร์
veerawan.cmu@gmail.com
<p>ภาวะมีบุตรยากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคู่สมรสในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะด้านจิตใจ การช่วยเหลือผู้มีบุตรยากในทางการแพทย์คือการรักษาเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ การทำเด็กหลอดแก้วเป็นหนึ่งทางเลือกที่ได้รับการยอมรับ แต่ด้วยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่ไม่สูงมากนัก การเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จึงเป็นประเด็นสำคัญ การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จำแนกปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้มีบุตรยากที่รับการรักษาด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว กลุ่มตัวอย่าง คือ หญิงมีบุตรยากที่เข้ารักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้วในศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจังหวัดเชียงใหม่ เดือน กรกฎาคม- พฤศจิกายน 2565 จำนวน 320 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามผลการตั้งครรภ์ แบบประเมินความหวัง แบบประเมินการกำกับตนเอง แบบประเมินความไว้วางใจต่อผู้ให้การรักษา และแบบประเมินสัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาก เท่ากับ .91, .90, .92 และ .94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย และการวิเคราะห์จำแนกปัจจัย แบบขั้นตอน โดยวิธี วิลค์ แลมบ์ดา ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่ดีที่สุดในการจำแนกกลุ่มผู้มีบุตรยากที่ตั้งครรภ์สำเร็จและกลุ่มที่ตั้งครรภ์ไม่สำเร็จคือ สัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส สามารถจำแนกกลุ่มได้ถูกต้องร้อยละ 58<strong>.</strong>8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<strong> .</strong>05 <strong>(</strong><em>p</em><<strong>.</strong>05<strong>) </strong>ได้สมการจำแนกในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ Y<strong><sup>/</sup></strong><strong> =</strong><strong> </strong><strong>-</strong>11<strong>.</strong>755<strong>+</strong>2<strong>.</strong>082X4 <strong> </strong>และ Z<strong><sup>/</sup></strong><sub>Y </sub><strong>= </strong>1<strong>.</strong>0Z<sub>X4 </sub> ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคู่สมรสตลอดกระบวนการรักษาเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ต่อไป</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/264094
การประเมินผลโครงการอบรม “พระบริบาลภิกษุไข้” ประจำวัด 1 วัด 1 รูป ทั่วไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฉลองพระชนมายุครบ 8 รอบ: กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา
2023-08-26T14:04:38+07:00
จงกลณี ตุ้ยเจริญ
jongkolnee@knc.ac.th
นิสากร วิบูลชัย
nisakorn@knc.ac.th
ประทุ่ม กงมหา
pratoom@knc.ac.th
รำไพ หมั่นสระเกษ
rumpai@knc.ac.th
กัญญาณัฐ เกิดชื่น
kanyanat@knc.ac.th
ทยาวีร์ จันทรวิวัฒน์
tayawee@knc.ac.th
พรรณทิพย์ โชมขุนทด เศรษฐาธนโภคิน
phunthip@knc.ac.th
ปัญญา ฉนำกลาง
nisakorn@knc.ac.th
อิสริยา ฉนำกลาง
nisakorn@knc.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลโครงการอบรม “พระบริบาลภิกษุไข้” ประจำวัด 1 วัด 1 รูปทั่วไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฉลองพระชนมายุครบ 8 รอบ กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้การประเมินรูปแบบซิปป์ 4 ด้าน คือ บริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิต กลุ่มเป้าหมาย คือ พระภิกษุ จำนวน 159 รูป และผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 14 คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบสอบถามความคิดเห็นด้านปัจจัยนำเข้า 3) แบบวัดความรู้ 4) แบบประเมินทักษะปฏิบัติ 5) แนวคำถามสนทนากลุ่ม 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ 7) แบบวิเคราะห์เอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านบริบท ได้แก่ วัตถุประสงค์ของโครงการ มีความสอดคล้องกับนโยบาย ปัญหาสุขภาพ และความต้องการของพระภิกษุ นำไปสู่ความจำเป็นของการดำเนินโครงการ 2) ด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ คุณลักษณะของวิทยากร คุณสมบัติของพระภิกษุผู้เข้าอบรม ระยะเวลา วัสดุอุปกรณ์ ความพร้อมของสถานที่จัดอบรม และการบริหารจัดการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ มีการดำเนินงานตามแผนที่กำหนด โดยใช้รูปแบบการอบรม ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย (2) การส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ได้แก่ การเสริมสร้างความตระหนักในการดูแลสุขภาพ การให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ การฝึกทักษะปฏิบัติ และการใช้ตัวแบบ (3) การประเมินผลการเรียนรู้ และ (4) การเสริมพลัง และ 4) ด้านผลผลิต ภายหลังการอบรมพระภิกษุมีความรู้ในการดูแลสุขภาพ ระดับดีมาก มีทักษะปฏิบัติผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีความพึงพอใจ ระดับดีมาก</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262729
ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์
2023-08-23T23:47:17+07:00
จรรยา แก้วใจบุญ
Junya.k@bcnpy.ac.th
ดลฤดี เพชรขว้าง
Dolruedi.p@bcnpy.ac.th
ทิติยา กาวิละ
thitiya.k@bcnpy.ac.th
วรินทร์ธร พันธ์วงค์
Varintorn.s@bcnpy.ac.th
กัลยา จันทร์สุข
Thitiya.k@bcnpy.ac.th
<p>โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่มีการระบาดทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนตลอดจนหญิงตั้งครรภ์ในวงกว้าง การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (Correlation research) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์โรงพยาบาลพะเยา ในระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน 2565 จำนวน 152 คน รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 การรับรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 และพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันโรคโควิด-19 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s correlation) ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ต่อการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับดี ร้อยละ 75 รองลงมาคือ มีความรู้ระดับปานกลาง ร้อยละ 21.10 ด้านการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ พบว่า มีค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> =4.21, <em>SD</em> = 0.56) และค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับดี (<em>M</em>=1.73, <em>SD</em> = 0.22) สำหรับปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านความรู้ (<em>r</em> =.163, <em>p</em> < .05) และการรับรู้ (<em>r</em> = .242, <em> p</em> < .05) จากผลการศึกษาดังกล่าว หน่วยบริการด้านสูติกรรม จึงควรส่งเสริมความรู้ การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค และการดูแลตนเองให้แก่หญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/263426
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการรับรู้การตีตราของผู้ป่วยวัณโรคปอดในชุมชน
2023-08-26T13:53:29+07:00
กำทร ดานา
dkamthorn@gmail.com
นิสากร วิบูลชัย
nisakorn@knc.ac.th
มลฤดี แสนจันทร์
monruedee@smnc.ac.th
บรรจง จาดบุญนาค
Jamjbn12@gmail.com
วันสุ ทวีคณะโชติ โพธิพรณ์
nisakorn@knc.ac.th
จรัญญา จุฬารี
nisakorn@knc.ac.th
<p>การตีตราในผู้ป่วยวัณโรคปอดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการตรวจวินิจฉัย การปฏิบัติตามแผนการรักษาของผู้ป่วยและการหายจากการติดเชื้อวัณโรคด้วย การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการรับรู้การตีตราของผู้ป่วยวัณโรคปอดในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยวัณโรคปอดในชุมชนที่ผ่านการรักษาในระยะเข้มข้นแล้ว และอาศัยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 26 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลปัจจัยด้านคลินิกและจิตสังคม และแบบวัดการรับรู้ว่าตนเองถูกตีตราของผู้ที่เป็นวัณโรค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square, Odds ratio และ Multiple logistic regression ผลการศึกษาพบว่า ความชุกของการรับรู้การตีตราในในผู้ป่วยวัณโรคปอด ระดับสูง ร้อยละ 53.8 (95%CI, 3.48-7.21) และพบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการรับรู้การตีตราในผู้ป่วยวัณโรคปอดในชุมชน คือ ไม่มีผู้ดูแลในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง (<em>aOR</em> = 2.41; 95% CI: 1.27, 3.06) มีดัชนีมวลกายต่ำกว่าเกณฑ์ (<em>aOR</em> = 1.22; 95% CI: 1.01, 2.05) ความเครียดในระดับสูง (<em>aOR</em> = 1.12; 95% CI: 1.04, 2.17) และใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด (<em>aOR</em> = 1.45; 95% CI: 1.06, 3.18) ดังนั้นควรนำปัจจัยเหล่านี้เป็นข้อมูลสำหรับการจัดการดูแลและกำหนดมาตรการในการลดตีตราของผู้ป่วยวัณโรคปอดในชุมชน</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/264608
ผลของการนวดเต้านมต่อการแก้ไขปัญหาท่อน้ำนมอุดตันในมารดาระยะให้นมบุตร
2023-08-28T13:23:52+07:00
อังสนา ศิริวัฒนเมธานนท์
vannamnoi@gmail.com
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
prangthip.elter@rtu.ac.th
โสภา บุตรดา
Prangthip.elter@rtu.ac.th
<p>ท่อน้ำนมอุดตันของมารดาในระยะให้นมบุตรทำให้ปริมาณน้ำนมไหลน้อยและมารดามีอาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่ภาวะเต้านมอักเสบได้ การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิผลของวิธีการนวดเต้านมแบบพื้นฐาน 6 ท่า (Six-Step Basic Breast Massage [SBM]) กลุ่มเข้าร่วมการวิจัยจำนวน 64 คน เป็นมารดาในระยะให้นมบุตรที่มารับบริการที่คลินิกนมแม่ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับการคัดเลือกตามเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก แล้วแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบจำนวนกลุ่มละ 32 คน โดยไม่มีการสุ่ม กลุ่มทดลองได้รับการนวดเต้านมแบบ SBM ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการบีบน้ำนมตามปกติ เก็บข้อมูลด้วยแบบบันทึกประสิทธิผลการนวดเต้านม ซึ่งได้รับการตรวจความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับเท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ไคว์แสควร์ และ Mann Whitney <em>U</em> Test ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลอง ความรุนแรงของท่อน้ำนมอุดตันของทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกัน (c<sup>2 </sup>= 32.0, <em>p</em> < .001) มารดาที่ได้รับการนวดเต้านมแบบ SBM มีการไหลของน้ำนมสูงกว่า (<em>U</em> = 115.0, <em>p</em> < .01) มีความเจ็บปวดน้อย (<em>U</em> = 18.50, <em>p</em> < .001 ) และมีความพึงพอใจมากกว่า (<em>U</em> = 204.0, <em>p</em> < .001) กลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การนวดแบบ SBM มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาท่อน้ำนมอุดตัน พยาบาลจึงควรนำ SBM มาให้บริการมารดาในระยะให้นมบุตรที่มีท่อน้ำนมอุดตันอย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่วิธีการนวดให้กับผู้ดูแลมารดาในระยะให้นมบุตร รวมทั้งพัฒนาเป็นโปรแกรมและแนวปฏิบัติการดูแลมารดาหลังคลอดที่มีท่อน้ำนมอุดตันต่อไป</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/263406
การดูแลมารดาที่มีภาวะท่อน้ำนมอุดตัน
2023-08-24T07:55:14+07:00
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
prangthip.elter@rtu.ac.th
อังสนา ศิริวัฒนเมธานนท์
vannamnoi@gmail.com
อังสนา วิศรุตเกษมพงศ์
angsana@knc.ac.th
ธนตพร อ่อนชื่นชม
prangthip.elter@rtu.ac.th
ขวัญฤทัย ยิ้มเกิด
prangthip.elter@rtu.ac.th
ลินดา ข่มจิตร์
vannamnoi@gmail.com
อัญชลี ฐิตะสาร
angsana@knc.ac.th
<p>การอุดกั้นการไหลของน้ำนมเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลให้เกิดภาวะท่อน้ำนมอุดตัน ซึ่งทำให้มารดามีเจ็บปวดเต้านมและไม่สุขสบาย การดูแลภาวะท่อน้ำนมอุดตันที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ลุกลามเป็นปัญหาเต้านมที่รุนแรง เช่น เต้านมเป็นฝีหรืออักเสบจนต้องยุติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การดูแลรักษามีเป้าหมายหลักคือการระบายน้ำนม โดยอาจใช้วิธีการประคบร้อนหรือเย็น การนวดเต้านม การรักษาด้วยคลื่นเหนือเสียง และการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเลซิติน ส่วนการพยาบาลมารดาที่มีปัญหาท่อน้ำนมอุดตันจะเน้นการดูแลเต้านมก่อนหรือขณะให้นมบุตร การเปลี่ยนพฤติกรรมการให้นมบุตรของมารดา และการนวดเต้านม บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลทั่วไปของภาวะท่อน้ำนมอุดตัน การรักษา การประเมินผล และการพยาบาล เพื่อการดูแลมารดาที่มีภาวะท่อน้ำนมอุดตันอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล