วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm <p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p> Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Ratchasima (วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา) th-TH วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล 2730-2598 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล หรือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> ผลของการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงต่อการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270453 <p>การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งด้านความรู้ การคิดวิเคราะห์ อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรม โดยอาศัยกระบวนการสะท้อนคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังทดลอง เพื่อศึกษาการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ จำนวน 155 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง แบบประเมินการรับรู้ทักษะทางปัญญา และแบบบันทึกประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Pair t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. การรับรู้ทักษะทางปัญญาของนักศึกษาหลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับดี (<em>M</em> = 3.33, <em>SD</em> = 0.42) และสูงกว่าก่อนเข้าร่วม (<em>M</em> = 3.09, <em>SD</em> = 0.52) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = -5.728, <em>p</em> &lt; .01) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือด้านสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูล 2. ประสบการณ์ของนักศึกษาผ่านกระบวนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง พบการเรียนรู้ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานในระยะคลอด 2) ความรู้สึกภูมิใจและมีคุณค่าต่อสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด 3) การตระหนักรู้จุดเด่นและจุดพัฒนาของตนเองในการปฏิบัติการพยาบาล และ 4) ความมั่งมุ่นและความตั้งใจดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด จากผลการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตนเองและผู้อื่น ช่วยพัฒนาทักษะการสืบค้นและการคิดวิเคราะห์ เพื่อเกิดผลลัพธ์ในการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอดที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น</p> สุภัสสร เลาะหะนะ สุนันทา ศรีมาคำ ณัฐรินทร์ สกุลนิธิวัฒน์ วรภรณ์ บุญจีม Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-14 2025-02-14 31 1 1 15 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด ตามการรับรู้ของมารดาที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268638 <p>การส่งเสริมพัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการดูแล การที่มารดามีแนวโน้มการส่งเสริมพัฒนาการบุตรได้นั้น อาจเกี่ยวข้องกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความคาดหวังในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาที่คลอดบุตรก่อนกำหนดที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของทารกและมารดา แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index : CVI) เท่ากับ 0.87 แบบสอบถามความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 และแบบสอบถามแนมโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 โดยมีความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.90, 0.94, และ 0.91 ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .209, <em>p</em> &lt; .05) ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .460, <em> p</em> &lt; .001) และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของมารดามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .191, <em>p</em> &lt; .05) ดังนั้นพยาบาลควรส่งเสริมให้มารดามีการรับรู้สมรรถนะในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรตั้งแต่ในโรงพยาบาล เพื่อให้มีพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง</p> ลัดดาพร ปานสูงเนิน อัจฉริยา วงษ์อินจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-14 2025-02-14 31 1 16 32 ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271190 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงห่องแห่ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง บันทึกภาคสนาม แบบบันทึกการถอดความและการลงรหัสข้อมูล เครื่องบันทึกเสียง เก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีของโคไลซี ผลการวิจัยพบว่า ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้านพฤติกรรมการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก 1. การกำกับตนเองในด้านต่างๆ 2. การจัดการอาการที่ผิดปกติ ด้านสิ่งที่สนับสนุนในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. มุมมองและการให้ความหมายของโรคเบาหวาน 2. แรงจูงใจ 3. แรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวและชุมชน 4. การเข้าถึงข้อมูลการดูแลตนเองจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย และด้านสิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ภาวะการเจ็บป่วยแทรกซ้อนระหว่างการรักษา 2. สถานการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะเครียด 3. อายุที่มากขึ้น ดังนั้นทีมสุขภาพสามารถนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการออกแบบระบบและรูปแบบการส่งเสริมแนวคิดมุมมองด้านบวก และพัฒนาศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย โดยเน้นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว</p> ธีราภรณ์ บุญล้อม อภิรดี เจริญนุกูล Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-14 2025-02-14 31 1 33 53 การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270030 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบปรากฎการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายและการนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการจับฉลากจากสมาชิกภายในกลุ่มเป็นตัวแทนจากกลุ่มที่ฝึกปฏิบัติงานแต่ละหอผู้ป่วย ได้ตัวแทนกลุ่มละ 5 คน รวมทั้งหมด 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำ Focus group 3 กลุ่ม เครื่องมือวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ แนวคำถามเป็นแบบกึ่งโครงสร้าง เกี่ยวกับการนำหลักจริยธรรมไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าความหมายของจริยธรรมทางการพยาบาล คือการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นด้วยความถูกต้อง มีความรับผิดชอบ ทำความดี มีความซื่อสัตย์ การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาล โดยได้นำไปใช้ดังนี้ 1.การแจ้งชื่อ สถานะของนักศึกษา อธิบายการรักษาพยาบาล และยอมรับการตัดสินใจ 2. ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ดูแลผู้ป่วยถูกเทคนิค 3. ไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย 4. ดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทุกๆเตียง 5. อธิบายอาการและการรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วย 6. ไม่เปิดเผยประวัติผู้ป่วยและไม่ปกปิดสิ่งที่กระทำไม่ดี ผลการศึกษาครั้งนี้ อาจารย์ผู้สอนในรายวิชาทฤษฎีและวิชาการปฏิบัติการพยาบาล สามารถนำไปยกตัวอย่างการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล และพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลอื่นๆและส่งเสริมความสามารถในการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล</p> ทวีพร เพ็งมาก ทิพยวรรณ นิลทยา วนิสา หะยีเซะ Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-14 2025-02-14 31 1 54 69