วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm
<p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p>
Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Ratchasima (วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา)
th-TH
วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
2730-2598
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล หรือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ผลของการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงต่อการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270453
<p>การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งด้านความรู้ การคิดวิเคราะห์ อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรม โดยอาศัยกระบวนการสะท้อนคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังทดลอง เพื่อศึกษาการรับรู้ทักษะทางปัญญาและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ จำนวน 155 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง แบบประเมินการรับรู้ทักษะทางปัญญา และแบบบันทึกประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Pair t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. การรับรู้ทักษะทางปัญญาของนักศึกษาหลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับดี (<em>M</em> = 3.33, <em>SD</em> = 0.42) และสูงกว่าก่อนเข้าร่วม (<em>M</em> = 3.09, <em>SD</em> = 0.52) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = -5.728, <em>p</em> < .01) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือด้านสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูล 2. ประสบการณ์ของนักศึกษาผ่านกระบวนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง พบการเรียนรู้ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานในระยะคลอด 2) ความรู้สึกภูมิใจและมีคุณค่าต่อสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด 3) การตระหนักรู้จุดเด่นและจุดพัฒนาของตนเองในการปฏิบัติการพยาบาล และ 4) ความมั่งมุ่นและความตั้งใจดูแลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอด จากผลการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตนเองและผู้อื่น ช่วยพัฒนาทักษะการสืบค้นและการคิดวิเคราะห์ เพื่อเกิดผลลัพธ์ในการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ระยะคลอดที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น</p>
สุภัสสร เลาะหะนะ
สุนันทา ศรีมาคำ
ณัฐรินทร์ สกุลนิธิวัฒน์
วรภรณ์ บุญจีม
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-14
2025-02-14
31 1
1
15
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด ตามการรับรู้ของมารดาที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268638
<p>การส่งเสริมพัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการดูแล การที่มารดามีแนวโน้มการส่งเสริมพัฒนาการบุตรได้นั้น อาจเกี่ยวข้องกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความคาดหวังในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตร และแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่เกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาที่คลอดบุตรก่อนกำหนดที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของทารกและมารดา แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index : CVI) เท่ากับ 0.87 แบบสอบถามความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 และแบบสอบถามแนมโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีค่า CVI เท่ากับ 0.83 โดยมีความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.90, 0.94, และ 0.91 ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .209, <em>p</em> < .05) ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .460, <em> p</em> < .001) และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของมารดามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับความคาดหวังในผลลัพธ์ของการส่งเสริมพัฒนาการบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em> = .191, <em>p</em> < .05) ดังนั้นพยาบาลควรส่งเสริมให้มารดามีการรับรู้สมรรถนะในการส่งเสริมพัฒนาการบุตรตั้งแต่ในโรงพยาบาล เพื่อให้มีพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการบุตรที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง</p>
ลัดดาพร ปานสูงเนิน
อัจฉริยา วงษ์อินทร์จันทร์
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-14
2025-02-14
31 1
16
32
-
ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271190
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงห่องแห่ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง บันทึกภาคสนาม แบบบันทึกการถอดความและการลงรหัสข้อมูล เครื่องบันทึกเสียง เก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีของโคไลซี ผลการวิจัยพบว่า ประสบการณ์การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้านพฤติกรรมการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก 1. การกำกับตนเองในด้านต่างๆ 2. การจัดการอาการที่ผิดปกติ ด้านสิ่งที่สนับสนุนในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. มุมมองและการให้ความหมายของโรคเบาหวาน 2. แรงจูงใจ 3. แรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวและชุมชน 4. การเข้าถึงข้อมูลการดูแลตนเองจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย และด้านสิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ภาวะการเจ็บป่วยแทรกซ้อนระหว่างการรักษา 2. สถานการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะเครียด 3. อายุที่มากขึ้น ดังนั้นทีมสุขภาพสามารถนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการออกแบบระบบและรูปแบบการส่งเสริมแนวคิดมุมมองด้านบวก และพัฒนาศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย โดยเน้นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว</p>
ธีราภรณ์ บุญล้อม
อภิรดี เจริญนุกูล
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-14
2025-02-14
31 1
33
53
-
การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270030
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบปรากฎการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายและการนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการจับฉลากจากสมาชิกภายในกลุ่มเป็นตัวแทนจากกลุ่มที่ฝึกปฏิบัติงานแต่ละหอผู้ป่วย ได้ตัวแทนกลุ่มละ 5 คน รวมทั้งหมด 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำ Focus group 3 กลุ่ม เครื่องมือวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ แนวคำถามเป็นแบบกึ่งโครงสร้าง เกี่ยวกับการนำหลักจริยธรรมไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าความหมายของจริยธรรมทางการพยาบาล คือการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นด้วยความถูกต้อง มีความรับผิดชอบ ทำความดี มีความซื่อสัตย์ การนำหลักจริยธรรมทางการพยาบาลสู่การปฏิบัติการพยาบาล โดยได้นำไปใช้ดังนี้ 1.การแจ้งชื่อ สถานะของนักศึกษา อธิบายการรักษาพยาบาล และยอมรับการตัดสินใจ 2. ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ดูแลผู้ป่วยถูกเทคนิค 3. ไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย 4. ดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทุกๆเตียง 5. อธิบายอาการและการรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วย 6. ไม่เปิดเผยประวัติผู้ป่วยและไม่ปกปิดสิ่งที่กระทำไม่ดี ผลการศึกษาครั้งนี้ อาจารย์ผู้สอนในรายวิชาทฤษฎีและวิชาการปฏิบัติการพยาบาล สามารถนำไปยกตัวอย่างการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล และพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลอื่นๆและส่งเสริมความสามารถในการใช้หลักจริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล</p>
ทวีพร เพ็งมาก
ทิพยวรรณ นิลทยา
วนิสา หะยีเซะ
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-14
2025-02-14
31 1
54
69
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่อยู่ในชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272649
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนื่อยล้า และความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่อยู่ในชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มาตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกอายุรกรรม โรงพยาบาลในเขตพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 230 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความเหนื่อยล้า อาการหายใจลำบาก อาการนอนไม่หลับ อาการซึมเศร้าและการสนับสนุนทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์สถิติถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังมีความเหนื่อยล้าอยู่ในระดับปานกลาง (<em>M</em> = 4.39, <em>SD</em> = 2.36) ปัจจัยด้านอาการหายใจลาบาก อาการนอนไม่หลับ อาการซึมเศร้าและการสนับสนุนทางสังคม สามารถร่วมกันทำนายความเหนื่อยล้าของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 66 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R<sup>2</sup>adj = .66, <em>p</em>-value < .001) ปัจจัยที่สามารถทำนายความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้มากที่สุด คือ อาการหายใจลำบาก (Beta = .45, <em>p</em> < .001) รองลงมา ได้แก่ อาการนอนไม่หลับและอาการซึมเศร้า (Beta = .35 และ Beta = .14, <em>p</em> < .01 ตามลำดับ) ส่วนการสนับสนุนทางสังคมไม่สามารถทำนายความเหนื่อยล้าในผู้สูงอายุที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Beta = .03, <em>p</em> > .05) ผลการศึกษาครั้งนี้เสนอแนะว่า ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าควรที่จะเน้นเรื่องการจัดการกับอาการหายใจลำบาก อาการนอนไม่หลับและอาการซึมเศร้า</p>
นัฐิยา เพียรสูงเนิน
จุฑามาศ วงจันทร์
เอกกวี หอมขจร
ปัณณวิชญ์ มูลแก้ว
วีรวัฒน์ ทางธรรม
บรรจง จันทวีวัฒน์
คุณัสปกรณ์ มัคคัปผลานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-24
2025-04-24
31 1
70
88
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเรียนรู้จากกรณีศึกษาและสถานการณ์จำลองเสมือนจริง การพยาบาลผู้คลอดในภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269866
<p>การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative learning) มุ่ง พัฒนาวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองและเรียนรู้ตลอดชีวิต การวิจัยกึ่งทดลอง (quasi experimental research) ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยใช้กรณีศึกษาและสถานการณ์จำลองเสมือนจริงการพยาบาลผู้คลอดในภาวะฉุกเฉิน ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 70 คน กลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน กลุ่มทดลองเป็นอาสาสมัครเข้าเรียนนอกเวลาเรียน ให้สะท้อนคิดการเรียนรู้เป็นระยะ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีโอกาสสอบผ่านความรู้รวบยอดวิชาการผดุงครรภ์สูงกว่ากลุ่มควบคุม ร้อยละ 73 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR 0.27, 95%CI 0.087 - 0.816, <em>p </em>= 0.021) และผู้เรียนสะท้อนคิดปัญหาการเรียนที่ตนเผชิญหลังเข้าฝึกสถานการณ์จำลอง โดยแสดงออกถึงความต้องการที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดทางการเรียนรู้ของตนเอง ด้วยการกำหนดวิธีการปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ในแบบของตนเอง สรุปผลการวิจัย โปรแกรมการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนจาก passive learning ไปสู่ active learning เนื่องจากการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตามผลการวิจัยแสดงผลการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้เพียง 2 ระยะแรกของกระบวนการ Transformative learning จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนากระบวนการวิจัยต่อเนื่องในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาล เพื่อ กระตุ้น ให้ผู้เรียนตรวจสอบหรือพิจารณาความรู้สึก และสะท้อนเชิงวิพากษ์ (Critical Reflection) อย่างต่อเนื่อง เพื่อการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงวิธีการเรียนและแสวงหาแนวทางการเรียนรู้ไปสู่จุดหมายได้ด้วยตนเอง (self-directed learning) จนเกิดสมรรถนะ การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life – long learning) ได้ในอนาคต โดยกระบวนการวิจัยมีข้อจำกัด ในการจัดการเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการพยาบาล ซึ่งอาจไม่สามารถพัฒนาผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ ได้อย่างชัดเจน</p>
พนิดา รัตนพรหม
นุจเรศ โสภา
สุธิดา สุปันตี
ญาณิศา เต็มพร้อม
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-24
2025-04-24
31 1
89
107
-
ผลของสถานการณ์จำลอง “Meet the PBRI President” ต่อความรู้ในการป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในนักศึกษาสถาบันพระบรมราชชนก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/273127
<p>การวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มไม่เท่ากันแบบวัดภายหลังครั้งเดียวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสถานการณ์จำลอง “Meet the PBRI President” ต่อความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขและสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก จำนวน 2,260 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ สื่อการสอนที่เป็นสถานการณ์จำลองเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งใช้เวลาในการดำเนินกิจกรรม 90 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบากเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ฯ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 55.04 มีความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระดับสูง (<em>M </em>= 15.21, <em>SD </em>= 3.86) ซึ่งกลุ่มที่เข้าร่วมกิจกรรม “Meet the PBRI President” แบบเผชิญหน้ามีคะแนนเฉลี่ยความรู้ฯ มากกว่ากลุ่มที่เข้าร่วมแบบออนไลน์และกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em> <.001 สรุปผลการศึกษาได้ว่าการใช้สื่อการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองมีประสิทธิผลต่อการเพิ่มความรู้เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยเฉพาะในกลุ่มที่เข้าร่วมกิจกรรมแบบเผชิญหน้า จึงควรประยุกต์ใช้กับการให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในหัวข้ออื่น ๆ รวมถึงการพัฒนาสื่อการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้แบบออนไลน์ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา และได้ประสิทธิผลเช่นเดียวกันกับการเรียนแบบเผชิญหน้าต่อไป</p>
เพ็ญพรรณ พิทักษ์สงคราม
ณรงค์ ใจเที่ยง
วิชัย เทียนถาวร
ดุสิต สกุลปิยะเทวัญ
จุฬารัตน์ ห้าวหาญ
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-24
2025-04-24
31 1
108
123
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลเพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับค่าไตในระยะที่ 3-4
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/273653
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลเพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับค่าไตในระยะที่ 3-4 ของศูนย์สุขภาพชุมชนดอนไพล อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ผู้ร่วมการวิจัยคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับค่าไตในระยะที่ 3-4 จำนวน 35 คน และบุคลากรผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม 2567 ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ 2) ระยะสร้างรูปแบบ ตรวจสอบคุณภาพและศึกษานำร่อง 3) ระยะนำรูปแบบไปใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิผล เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบประเมินโครงสร้างรูปแบบ แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเอง แบบบันทึกผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน paired t-test<strong> </strong>และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย ระยะศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ พบปัญหาด้านกระบวนการจัดบริการและระบบการติดตาม ระยะสร้างรูปแบบ ตรวจสอบคุณภาพและศึกษานำร่อง ได้รูปแบบการดูแล 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การจัดการรายกรณี การให้ความรู้ การสร้างเสริมทักษะการจัดการตนเอง และการสนับสนุนทางสังคม ระยะนำรูปแบบไปใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิผล พบว่า ผู้ป่วยมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองโดยรวมสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยดีขึ้น ร้อยละ 45.72 รูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้นครั้งนี้มีประสิทธิผลในการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเอง สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและชะลอการเสื่อมของไตได้</p>
สุลาวัลย์ จึงสิริเสรีพันธ์
จิดาภา จิตตะสุสุทโธ
ยุพาพร จิตตะสุสุทโธ
นิสากร วิบูลชัย
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
31 1
124
143
-
บทบาทและความต้องการของพยาบาลวิชาชีพในการจัดการดูแลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 3 เพื่อชะลอการเสื่อมของไต
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271629
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทและความต้องการของพยาบาลวิชาชีพในการจัดการดูแลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 3 เพื่อชะลอการเสื่อมของไต กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลในคลินิกโรคไตเรื้อรัง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โรงพยาบาลในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 13 ราย ระยะเวลาในการรวบรวมข้อมูลเดือนมกราคม - มีนาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างบทบาทของพยาบาลในการจัดการรายกรณีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3 แบบบันทึกข้อมูลภาคสนาม และเครื่องบันทึกเทป รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การตรวจสอบความเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีความน่าเชื่อถือ การตรวจสอบความคงที่ของข้อมูล การถ่ายโอนผลการวิจัย และการยืนยันข้อมูลที่ปราศจากจากอคติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพยาบาลวิชาชีพในการจัดการดูแลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 3 เพื่อชะลอการเสื่อมของไต มี 3 ประเด็น คือ 1. บทบาทผู้ประสานงานหลัก 2. บทบาทผู้วางแผนงาน และ 3. บทบาทผู้ให้บริการ ติดตามและประเมินผล นอกจากนี้ความต้องการของพยาบาลวิชาชีพในการจัดการดูแลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 3 เพื่อชะลอการเสื่อมของไต มี 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ต้องการพัฒนาความสามารถใช้ดิจิทัลในการทำงาน 2. ต้องการพัฒนาระบบการบริหารอัตรากำลัง 3. ต้องการพัฒนาการจัดการความรู้และวิจัยนวัตกรรม ผลการศึกษานี้ส่งผลต่อพยาบาลทั้งในด้านการพัฒนาทักษะวิชาชีพและการเสริมสร้างความสามารถในการดูแลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะ 3 เพื่อชะลอการเสื่อมของไตต่อไป</p>
เกษร วิเชียรมณีโชติ
ปาณิสรา ส่งวัฒนายุทธ
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-24
2025-04-24
31 1
144
164
-
ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กของผู้ปกครองเด็กปฐมวัย จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/274066
<p>วิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กของผู้ปกครองเด็กปฐมวัย จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย จำนวน 115 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .97 ความเชื่อมั่นเท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติ Chi-square test ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 71.3 ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กในภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับ พอใช้ (<em>M</em> = 68.81, <em>SD</em> = 13.03) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ไม่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็ก (<span class="mord mathnormal">x</span><sup><span class="msupsub"><span class="vlist-t"><span class="vlist-r"><span class="vlist"><span class="sizing reset-size6 size3 mtight"><span class="mord mtight">2</span></span></span></span></span></span></sup>= 2.109, <em>p </em>>.05) ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<span class="mord mathnormal">x</span><sup><span class="msupsub"><span class="vlist-t"><span class="vlist-r"><span class="vlist"><span class="sizing reset-size6 size3 mtight"><span class="mord mtight">2</span></span></span></span></span></span></sup>= 13.663, <em>p</em> <.05)<em> </em>ผลการศึกษาเสนอแนะให้บุคลากรทีมสุขภาพ ผู้ดูแลในสถานดูแลเด็ก ครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโรงเรียน พัฒนาแนวทางการให้ความรู้หรือฝึกทักษะในการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กแก่ผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในเด็กและสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุในเด็กได้<br />อย่างเหมาะสม</p>
ชไมพร ประคำนอก
ธณัฏฐ์ภรณ์ กุลแสนเตา
วิภารัตน์ สุวรรณไวพัฒนะ
วิรุฬจิตรา อุ่นจางวาง
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
31 1
165
181
-
ประสบการณ์การจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน ที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/273289
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชนที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ผู้ให้ข้อมูลมีจำนวน 15 คน มีระดับความดันโลหิตตัวบนมากกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือระดับความดันโลหิตตัวล่างมากกว่า 100 มิลลิเมตรปรอท เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน มิถุนายน - สิงหาคม 2567 รวบรวมข้อมูลโดยวิธี การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ตามแนวคิดของ ฮัซเซิร์ล (Husserl) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการของ จีออจี (Giorgi<sup>,</sup>s Method) และสร้างความน่าเชื่อถือของงานวิจัยตามแนวทางของลินคอนและกูบา ( Lincoln & Guba ) ผลการวิจัยพบว่า ประสบการณ์การจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชนที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ สรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้ 1. เป็นเพราะตนเอง คือ เป็นการรับรู้ ความรู้สึก ความเชื่อ วัฒนธรรมและการแสดงพฤติกรรมของผู้ป่วยที่มีผลทำให้ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ไม่ออกกำลังกาย ลืมรับประทานยา ใช้สารที่มีผลต่อการเพิ่มระดับความดันโลหิต และมีความเชื่อวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ไม่เหมาะสม 2. ครอบครัวและชุมชนมีส่วนสนับสนุนช่วยเหลือ คือ การมีบุตรหลานดูแลเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่ดีให้ผู้ป่วยรับประทาน 3. ระบบบริการดีมีมาตรฐาน คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้คำแนะนำชัดเจน และระบบบริการมีความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งผลการวิจัยเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการทำงานของระบบบริการสุขภาพเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ</p>
ฉัตรทอง จารุพิสิฐไพบูลย์
ดุษฎี ไตรยวงศ์
อารีย์รัตน์ เปสูงเนิน
เสาวลักษณ์ ทาแจ้ง
กัลยาณี สุขสุเมฆ
นฤมล เปรมาสวัสดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-24
2025-04-24
31 1
182
199
-
ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อภาวะสุขภาพ และการเกิดภาวะแทรกซ้อนในบุคคลที่เป็นเบาหวาน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271388
<p>การวิจัยเชิงกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อภาวะสุขภาพและการเกิดภาวะแทรกซ้อนในบุคคลที่เป็นเบาหวาน กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคคลที่เป็นเบาหวานในชุมชนพื้นที่ตำบลเกิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 80 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามเวชปฏิบัติปกติ เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ โดยจัดให้ทั้งสองกลุ่มมีความเท่าเทียมกันในเรื่อง ช่วงอายุ การรักษาด้วยยา และช่วงระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกภาวะสุขภาพ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ และแบบบันทึกการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ การรับประทานอาหาร การมีกิจกรรมทางกายและออกกำลังกาย การควบคุมอารมณ์ และการดูแลเท้า มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<em>p</em> < .001, <em>p</em> < .001, <em>p</em> < .001, <em>p</em> = .001, <em>p</em> = .002 ตามลำดับ) และมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<em>p</em> = .004) และ 2) กลุ่มทดลองพบภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 5 ส่วนกลุ่มควบคุมพบภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 25 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมีประสิทธิผลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้</p>
นิสากร วิบูลชัย
หฤทัย กงมหา
มลฤดี แสนจันทร์
วรรวิษา สำราญเนตร
วุฒิชัย สมกิจ
บรรจง จาดบุญนาค
วิศรุดา ตีเมืองซ้าย
นวลละออง สุขมารมย์
Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
31 1
200
222