วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm <p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล หรือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> jongkolnee@knc.ac.th (จงกลณี ตุ้ยเจริญ (Mrs. Jongkolnee Tuicharoen)) piyapruek@knc.ac.th (ปิยะพฤกษ์ พฤกษชาติ (Mr. Piyapruek Prueksachat))) Thu, 29 May 2025 09:40:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองรุนแรงก่อนการวางแผนจำหน่าย: การศึกษาเชิงคุณภาพแบบบรรยาย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272005 <p>ผู้ป่วยบาดเจ็บสมองรุนแรงมีความจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสภาพที่เหมาะสมก่อนกลับบ้าน การประเมินความต้องการของญาติผู้ดูแลจึงเป็นสิ่งจำเป็น การวิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองรุนแรงก่อนการวางแผนจำหน่าย ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองรุนแรง จำนวน 15 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 - 18 เมษายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองรุนแรงก่อนการวางแผนจำหน่ายแยกเป็น 5 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) การเตรียมตัวของผู้ดูแล ประกอบด้วย 3 ประเด็นย่อย ได้แก่ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านฝึกทักษะการดูแลผู้ป่วย และด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ 2) การดูแลผู้ป่วย ประกอบด้วย 4 ประเด็นย่อย ได้แก่ การดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไป การทำความสะอาดแผลเจาะคอและท่อหลอดลมคอ การฟื้นฟูสภาพร่างกาย และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน 3) ผลกระทบของผู้ดูแล ประกอบด้วย 4 ประเด็นย่อย ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ 4) การสนับสนุนของบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย 3 ประเด็นย่อย ได้แก่ การติดตามเยี่ยมบ้าน การให้คำแนะนำทางแอปพลิเคชั่นไลน์ และสื่อการสอนสำหรับผู้ดูแล และ 5) การสนับสนุนทางสังคม ประกอบด้วย 3 ประเด็นย่อย ได้แก่ ด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้านค่าใช้จ่าย และด้านสวัสดิการทางสังคม ผลการวิจัยนี้ช่วยให้บุคลากรสุขภาพเข้าใจความต้องการของผู้ดูแล และสามารถนำมาพัฒนาโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายสำหรับพยาบาลในการนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับรุนแรงต่อไป</p> วราภรณ์ ศรีจันทร์พาล, อรัญญา นามวงศ์, ปภัชญา ธัญปานสิน, วาสนา กันคำ, ณัฐธิดา สุริโย Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272005 Thu, 29 May 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมสุขภาพ ผลลัพธ์ทางสุขภาพ และการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272824 <p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมสุขภาพ ผลลัพธ์ทางสุขภาพ และการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 64 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 32 ราย โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.81 และเครื่องวัดความดันโลหิตมาตรฐานชนิดปรอท ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สถิตทดสอบ Chi-Square Test สถิติทดสอบ Paired t-test และสถิติทดสอบ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมสุขภาพหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; .05) และมีค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ทางสุขภาพ และระดับโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหลังการทดลองต่ำกว่าก่อนการทดลอง และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) ดังนั้นโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน ทำให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ส่งผลให้มีผลลัพธ์ทางสุขภาพดีขึ้น และนำสู่การลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้</p> ศุภวรรน ยอดโปร่ง, ชิณกรณ์ แดนกาไสย, จันทร์จิรา อินจีน, เบญจวรรณ บุญเอี่ยม, นฤมล เปรมาสวัสดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/272824 Thu, 29 May 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะพยาบาลในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน: การวิจัยผสานวิธีแบบคู่ขนาน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271667 <p>การวิจัยผสานวิธีแบบคู่ขนานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะและคุณลักษณะของสมรรถนะพยาบาลในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน โดยมีการสำรวจสมรรถนะของพยาบาลไทยในระยะการดูแลระยะยาว แบ่งเป็นเครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามสมรรถนะด้านการพยาบาลระยะยาว ซึ่งจัดทำขึ้นกับพยาบาลดูแลเบื้องต้น 34 คนในจังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย และการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง กับกลุ่มตัวอย่าง 34 คน ข้อมูลเชิงปริมาณถูกวิเคราะห์เชิงพรรณนา ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยข้อมูลเชิงปริมาณพบว่าพยาบาลส่วนใหญ่ (82.4%) มีสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนในระดับสูง (median 118, IQR 20) มีสมรรถนะด้านจริยธรรมสูงสุดโดย 85.3% (median 12.5, IQR 2) มีเพียง 64.7% เท่านั้นที่มีสมรรถนะต่ำที่สุดในทักษะด้านนวัตกรรมและการวิจัย (median 18.79, IQR 5) การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ แบ่งเป็น 8 Theme ในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนของสมรรถนะ ได้แก่ 1) ด้านจริยธรรม 2) ด้านการปฏิบัติทางการพยาบาล 3) ด้านลักษณะการพยาบาลวิชาชีพ 4) ด้านการเป็นผู้นำ 5) ด้านทักษะด้านนวัตกรรมและการวิจัย 6) ด้านการสื่อสารและสัมพันธภาพ 7) ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ และ 8) ด้านความสามารถทางสังคม</p> รุ่งนภา เขียวชะอ่ำ, อรวรรณ ดวงใจ, นุชนาถ อารุณ, ยศพล เหลืองโสมนภา, ผกามาศ พิมพ์ธารา, สุกัญญา ขันวิเศษ, จารุวรรณ์ ท่าม่วง, ชวนชม พืชพันธ์ไพรศาล Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271667 Thu, 29 May 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะทางคลินิกด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้นโดยใช้การเรียนการสอนตามสภาพจริง สำหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271988 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนาและผลการพัฒนาทักษะทางคลินิกด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้นโดยใช้การเรียนการสอนตามสภาพจริง สำหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 123 คน ประกอบด้วย นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 102 คน อาจารย์ 7 คน อาจารย์พี่เลี้ยง 14 คน เลือกแบบเจาะจงตามเกณ์ที่กำหนด เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สถานการณ์การจัดการเรียนรู้รายวิชามุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะในการรักษาพยาบาลขั้นต้น การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงมีความเหมาะสม และวิทยาลัยมีปัจจัยพื้นฐานพร้อมในการจัดการเรียนรู้ แหล่งฝึกมีคุณภาพ และให้ความร่วมมือในการฝึกปฏิบัติอย่างเต็มที่ 2) การพัฒนาทักษะทางคลินิกด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้น มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ (1) ขั้นเตรียมการ (2) ขั้นดำเนินการ และ (3) ขั้นประเมินผลการพัฒนา 3) ผลการพัฒนา พบว่า นักศึกษามีการพัฒนาทักษะทางคลินิกด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้นโดยรวม (<em>M</em> = 3.94, <em>SD </em>= .49) และรายด้าน อยู่ในระดับมาก โดยทักษะการคัดกรอง (<em>M</em>=4.04, <em>SD</em>=.55) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ทักษะการปฏิบัติหัตถการ (<em>M</em>=4.03, <em>SD</em>=.50) และทักษะการประเมินสภาพ (<em>M</em>=3.77, <em>SD</em>=.44) มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ดังนั้น จึงควรมีการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์เสมือนกับการฝึกปฏิบัติจริง ให้เวลาเตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนฝึกปฏิบัติให้เพียงพอ โดยเน้นพัฒนาความรู้และทักษะการประเมินสภาพผู้ป่วยมากขึ้น และมีการประสานการทำงานกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย</p> รำไพ หมั่นสระเกษ, กฤตกร หมั่นสระเกษ, ณิชกานต์ วงษ์ประกอบ, วันเพ็ญ บูรณวานิช, ธิดารัตน์ กลิ่นพูน, ปิยะพฤกษ์ พฤกษชาติ Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271988 Thu, 29 May 2025 00:00:00 +0700