วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm <p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล หรือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> jongkolnee@knc.ac.th (จงกลณี ตุ้ยเจริญ (Mrs. Jongkolnee Tuicharoen)) piyapruek@knc.ac.th (ปิยะพฤกษ์ พฤกษชาติ (Mr. Piyapruek Prueksachat))) Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจชุมชนต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์และพระสงฆ์ เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพระสงฆ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262517 <p>พระสงฆ์ได้รับการถวายอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพและมีการออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม ส่งผลทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง งานวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดซ้ำกลุ่มเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์ในการเลือกถวายอาหารเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพระสงฆ์ และเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของพระสงฆ์ในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยวัดก่อนเริ่มโปรแกรม หลังเสร็จสิ้นโปรแกรมทันทีและหลังเสร็จสิ้นโปรแกรมแล้ว 3 เดือน ผู้เข้าร่วมการวิจัยได้รับการเสริมสร้างศักยภาพตามรูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจชุมชน โดยเป็นแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์จำนวน 32 คน และพระสงฆ์ที่ได้รับการดูแลสุขภาพจากแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์จำนวน 30 รูป เครื่องมือที่ใช้คือ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจชุมชน แบบประเมิน “บาตรไทย ไกลโรค สำหรับฆราวาส” ได้ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.85 และแบบประเมิน “พินิจ โภชนา ปานะ กายะ กิจกรรม” สำหรับพระสงฆ์ ได้ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมของแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์ในการเลือกถวายอาหารเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพระสงฆ์เพิ่มขึ้นจากก่อนเริ่มโปรแกรม หลังเสร็จสิ้นโปรแกรมทันที และหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม 3 เดือน (<em>p</em> = .002) เช่นเดียวกับคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมของพระสงฆ์เพิ่มขึ้นทั้งก่อนเริ่มโปรแกรม หลังเสร็จสิ้นโปรแกรมทันทีและหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม 3 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> = .014) ดังนั้น โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจชุมชน สามารถใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกถวายอาหารของแกนนำผู้ดูแลสุขภาพพระสงฆ์และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกฉันอาหารและเพิ่มกิจกรรมทางกายของพระสงฆ์ได้</p> ขนิษฐา วิศิษฏ์เจริญ, วิไลวรรณ ปะธิเก, หทัยรัตน์ ชลเจริญ, เพ็ญประภา สุธรรมมา Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262517 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้และการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาของ บุคลากรวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/261369 <p>การประกันคุณภาพการศึกษา เป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของสถาบันการศึกษา ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของบุคลากรทุกระดับในสถาบัน การศึกษาเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ จำแนกตามสายการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหาร อาจารย์และบุคลากรสายสนับสนุนของวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ จำนวน 61 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงสิงหาคมถึงกันยายน 2565 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษา 3 ส่วน ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามการรับรู้การประกันคุณภาพการศึกษา 3) แบบสอบถามการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษา ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน วิเคราะห์หาความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.87-0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ผลการวิจัย พบว่าการรับรู้ในการประกันคุณภาพการศึกษาของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.29, <em>SD</em> = 0.32) การมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ อยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.11, <em>SD</em> = 0.75) และบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ มีการรับรู้ในการประกันคุณภาพการศึกษา จำแนกตามสายการปฏิบัติงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>F</em> (2, 58) = 3.873, <em>p</em> = .026) จากผลการวิจัยผู้บริหารสถาบันควรมีแนวทางเสริมสร้างการรับรู้ในงานประกันคุณภาพการศึกษาให้แก่บุคลากรสายสนับสนุนซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาต่อไป</p> จิรภิญญา คำรัตน์, นิตยา สุขแสน, สิริพร บุญเจริญพานิช, ศุภิศา มาลาฝอย Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/261369 Fri, 03 May 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ออนไลน์ ต่อความรู้เกี่ยวกับ นโยบายสถาบันปลอดบุหรี่ ทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ของบุคลากรและนักศึกษา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262576 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาความชุกในการสูบบุหรี่ของบุคลากร และนักศึกษา 2) เปรียบเทียบความรู้เรื่องนโยบายสถาบันปลอดบุหรี่ และทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ของบุคลากร และนักศึกษา ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมสถาบันปลอดบุหรี่ออนไลน์ และ 3) เปรียบเทียบจำนวนผู้สูบบุหรี่ของบุคลากร และนักศึกษาก่อนและหลังการใช้โปรแกรมสถาบันปลอดบุหรี่ออนไลน์ ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากร และนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 291 คนใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย ตามสัดส่วนของประชากรแต่ละกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามวัดความรู้เรื่องนโยบายสถาบันปลอดบุหรี่ 2) แบบสอบถามวัดทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ และ3) แบบสอบถามวัดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณา และสถิติทดสอบ Paired T-Test ผลการศึกษา พบว่า 1) ความชุกของผู้มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดของวิทยาลัย จำนวน 5 คน ร้อยละ 1.74 2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เรื่องนโยบายสถาบันปลอดบุหรี่ของบุคลากรและนักศึกษา หลังการเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ของบุคลากรและนักศึกษา หลังการได้รับโปรแกรม สูงกว่าก่อน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และ 4) เปรียบเทียบจำนวนผู้สูบบุหรี่ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม คือยังคงมีผู้สูบบุหรี่ จำนวน 5 คน สรุปว่าการได้รับโปรแกรมส่งผลให้เพิ่มความรู้เกี่ยวกับนโยบายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ ทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ของกลุ่มตัวอย่างได้ แต่ไม่สามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่</p> ทัศนีย์ ทิพย์สูงเนิน, เขมิกา ณภัทรเดชานนท์, อิสราวรรณ สนธิภูมาศ, รสสุคนธ์ พิไชยแพทย์, อภิรดี สุขแสงดาว Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262576 Wed, 05 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อติดตามและเตือนอาการผิดปกติ ต่อความรู้ พฤติกรรมการปฏิบัติตัว และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262573 <p>แอปพลิเคชันเป็นช่องค้นหาความรู้ ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความรู้ในการดูแลตนเอง มีพฤติกรรมการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ ค้นหาปัญหา สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ พัฒนาแอปพลิเคชัน และนำแอปพลิเคชันไปใช้ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง เป็นผู้ป่วยเบาหวานที่มีโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ จำนวน 100 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แอปพลิเคชัน 2) แบบสอบถามความรู้ ค่าความเชื่อมั่น KR 20 เท่ากับ 0.91 และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.87 และ 3) แบบบันทึกค่าน้ำตาลในเลือด ค่าความตรงเนื้อทุกชุดเท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบทีคู่ ผลการวิจัย 1) ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ 2) พบหลักฐานเชิงประจักษ์ จำนวน 12 เรื่อง 3) พัฒนาแอปพลิเคชัน มีค่าดัชนีความสอดคล้องเนื้อหาเท่ากับ 1 และตรวจสอบสามเส้า ความพึงพอใจผู้ใช้แอปพลิเคชันอยู่ในระดับมากที่สุด 4 ) หลังใช้แอปพลิเคชันมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ (<em>M</em> = 9.50, <em>SD</em> = 0.74) สูงกว่าก่อนใช้ (<em>M</em> = 8.94, <em>SD</em> = 1.08), <em>t</em>(99) = -7.15, <em>p</em> &lt; .001, <em>d</em> = 0.60 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพหลังใช้ (<em>M</em> = 2.95, <em>SD</em> = 0.03) สูงกว่ากว่าก่อนใช้ (<em>M </em>= 2.84, <em>SD</em> = 0.02), <em>t</em>(99) = -37.80, p &lt; .001, <em>d</em> = 3.33 และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลหลังใช้ (<em>M</em> = 184, <em>SD</em> = 39.74) ต่ำกว่าก่อนใช้ (<em>M</em> = 137.46, <em>SD</em> = 34.48), <em>t</em>(99) = 14.14, <em>p </em>&lt; .001, <em>d</em> = 1.12 อย่างมีนัยสำคัญ แอปพลิเคชันนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง แนวทางการปรับพฤติกรรมและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งใช้ได้จริงกับผู้ป่วยเบาหวาน</p> สกลสุภา สิงคิบุตร, เรืองฤทธิ์ โทรพันธ์, เพชรรัตน์ พิบาลวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/262573 Wed, 19 Jun 2024 00:00:00 +0700