วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm <p>วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาลเป็นวารสารของวิทยาลัยพยาบาลบรมราราชนนี นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในสังกัดของคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วารสารนี้ได้มีระบบการพิจารณาบทความโดยที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และได้เผยแพร่ผลบทความที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับสุขภาพ การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีละ 3 ครั้ง </p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการวารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล หรือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> jongkolnee@knc.ac.th (จงกลณี ตุ้ยเจริญ (Mrs. Jongkolnee Tuicharoen)) piyapruek@knc.ac.th (ปิยะพฤกษ์ พฤกษชาติ (Mr. Piyapruek Prueksachat))) Thu, 12 Sep 2024 13:43:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การเสริมพลังอำนาจผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะท้ายในชุมชน: กรณีศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268049 <p>ผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายเป็นภาวะวิกฤติของชีวิตและครอบครัว การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการตายดีช่วยให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบและมีสติจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ดูแลหลักเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลต่อเนื่องในชุมชน หากสูญเสียพลังอำนาจ (Powerlessness) ของผู้ดูแลหลักในการดูแลอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะท้ายในชุมชน ด้วยเทคนิคการเสริมพลังอำนาจในผู้ดูแลหลักตามแนวคิดของกิบสัน ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนได้แก่ 1) การค้นพบสภาพงานจริง (Discovering reality) 2) การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical reflection) 3) การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสม (Taking charge) 4) การคงไว้ซึ่งการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ (Holding on) ผลการศึกษา พบว่าผู้ดูแลหลักมีความมั่นใจ และทักษะการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะท้ายต่อเนื่องที่บ้านได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ และมีการติดตามเยี่ยมญาติหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิต (Bereavement Care) เสนอแนะ พยาบาลสามารถนำเทคนิคการเสริมพลังพลังอำนาจผู้ดูแลในการส่งเสริมทักษะการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะท้ายในชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และจากไปอย่างสงบ (Peaceful Death)</p> รังสันต์ ไชยคำ, ลัดดาวัล ฟองค์ , สนธิกานต์ ราชโทสี, ฉันทนา ลาดนาจันทร์, โสภา ละมัยกุล, ปัณณทัต บนขุนทด Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268049 Fri, 27 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ต่อคุณภาพชีวิตผู้ดูแลในชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268521 <p>การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย เป็นการดูแลภายใต้สภาวะความเครียด ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้ป่วย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจและเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายก่อนและหลังการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้ป่วยในชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่แพทย์วินิจฉัยให้กลับไปรักษาต่อที่บ้านแบบประคับประคอง ในเดือนตุลาคม 2566 ถึงมีนาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 23 คน โดยใช้โปรแกรม G*power ระดับความเชื่อมั่นที่ 0.05 อำนาจการทดสอบเท่ากับ 0.80 เครื่องมือที่ใช้คือโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและคู่มือการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายด้านภาระการดูแลของ Zarit ทดลองใช้กับกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน มีค่า Cronbach’s alpha coefficient เท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ paired t–test ผลการวิจัยพบว่าก่อนการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ดูแลผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตระดับไม่ดี มากที่สุดร้อยละ 43.5 ระดับดี ร้อยละ 30.4 และระดับปานกลาง ร้อยละ 26.1 ส่วนหลังการใช้โปรแกรมพบว่ามีคุณภาพชีวิตระดับดีขึ้น ร้อยละ 100 แตกต่างจากก่อนใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em>= 9.095<em>, p-value</em>&lt; 0.001) จากผลการศึกษาดังกล่าว งานการพยาบาลชุมชน ควรส่งเสริมการใช้โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายเพื่อช่วยให้ผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> พัชราภรณ์ ทะเกียง, อรอุมา อินทนงลักษณ์, ภาคิน บุญพิชาชาญ, อรัญญา นามวงศ์, จรรยา แก้วใจบุญ Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/268521 Thu, 12 Sep 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียของแรงงานข้ามชาติชาวพม่า ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270117 <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จำนวน 418 คน ใช้การสุ่มแบบไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น โดยวิธีการคัดเลือกสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามปัจจัยด้านบุคคล แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยอธิบายและชี้แจงแบบสอบถามในแต่ละข้อคำถามอย่างละเอียดแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สามารถสื่อสารภาษาพม่าได้ จำนวน 10 คน เพื่อให้มีความเข้าใจและถูกต้องในการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง และตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเนื้อหาแบบสอบถามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค 0.87 และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 10.13, <em>SD</em> = .57) มีระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียระดับเหมาะสม (<em>M</em> = 1.63, <em>SD</em> = .45) นอกจากนี้ยังพบว่าอายุ (<em>p = </em>.043) ,ระดับการศึกษา (<em>p = </em>.039), รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว(บาท) (<em>p = </em>.014), ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ (<em>p = </em>.012) และการรับรู้อุปสรรคการป้องกันโรค (<em>p = </em>.007) มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรีย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ทินมณี คฤหะมาน, นภชา สิงห์วีรธรรม, จักรกฤษณ์ วังราษฎร์ Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270117 Tue, 29 Oct 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการคัดกรองโรคความดันโลหิตสูงและการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269862 <p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั่วโลก การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการคัดกรองโรคความดันโลหิตสูงและการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิและสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแบบจับคู่ กลุ่มละ 29 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ 5 กิจกรรม คือ (1) การจัดการองค์ความรู้ (2) การเรียนรู้สู่การเป็นผู้นำ (3) การปฏิบัติสู่ความเป็นเลิศ (4) การใช้องค์ความรู้สู่ความสำเร็จ โดยจัดกิจกรรมเป็นเวลา 4 วัน วันละ 4 ชั่วโมง รวม 16 ชั่วโมง และ (5) กิจกรรมให้คำปรึกษาและติดตามผลลัพธ์ เป็นเวลา 5 สัปดาห์ แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง แบบประเมินทักษะการคัดกรอง และแบบประเมินทักษะการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น KR 20 เท่ากับ 0.81 และสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาก 0.84 และ 0.87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง (<em>M</em>=18.17, <em>SD</em>=1.79) ทักษะการคัดกรองโรคความดันโลหิตสูง(<em>M</em>=55.41, <em>SD</em>=0.83) และทักษะการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง (<em>M</em>-26.90, <em>SD</em>=0.90) ซึ่งสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังสิ้นสุดการทดลอง ผลการวิจัยนี้สนับสนุนว่าการพัฒนาสมรรถนะ อสม. โดยเสริมสร้างพลังอำนาจร่วมกับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทำให้อสม.มีความรู้ ทักษะการคัดกรองภาวะสุขภาพและความสามารถในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น</p> เกสิรินทร์ ไทยเสน, นงณภัทร รุ่งเนย Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269862 Thu, 21 Nov 2024 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานต่อ ความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269249 <p>ความฉลาดทางอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองเพื่อเปรียบเทียบระดับความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานในรายวิชาจิตวิทยาพัฒนาการและกระบวนการคิด กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2/2566 จำนวน 163 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 2) แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85 เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired sample t-test ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความฉลาดทางอารมณ์โดยรวมอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ (<em>M</em> = 172.07, <em>SD</em> = 13.31) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความฉลาดทางอารมณ์ด้านดีอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ (<em>M</em> = 61.78, <em>SD</em> = 4.50) ด้านเก่งและด้านสุขอยู่ในระดับปกติ (<em>M</em> = 56.11, <em>SD</em> = 6.13; <em>M</em> = 54.17, <em>SD</em> = 5.26) และความฉลาดทางอารมณ์ก่อนและหลังเข้าร่วมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานไม่แตกต่างกัน (<em>t </em>= 1.07, <em>p-value</em>&gt; 0.5) เมื่อพิจารณาองค์ประกอบย่อยแต่ละด้าน พบว่าด้านเก่ง ความฉลาดทางอารมณ์ด้านการรู้จักตนเองและมีแรงจูงใจในตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = 3.33, <em>p-value</em> &lt; 0.5) และด้านสุข ความฉลาดทางอารมณ์ด้านพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = 2.94, <em>p-value</em> &lt; 0.5) การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ด้านการรู้จักตนเองและมีแรงจูงใจในตนเองและด้านพึงพอใจในชีวิตของนักศึกษาพยาบาลได้</p> สมจิตต์ เวียงเพิ่ม, แสงนภา บารมี, กชกร ฉายากุล Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/269249 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271079 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง ที่เข้ารับการรักษาในแผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี สุ่มตัวอย่างแบบง่ายเข้ากลุ่มทดลอง กลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 25 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุ และโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุ ในระยะหลังการทดลองมากกว่าในระยะก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em><sub>24</sub> = -15.53, <em>p</em> &lt; .01) และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุ ในระยะหลังการทดลอง มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em><sub>48</sub> = -7.90, <em>p</em> &lt; .01) จึงสรุปได้ว่า โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพสามารถเพิ่มพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสูงอายุได้จริง ควรนำโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไป<em> </em></p> ณัฐริกา มีศรี, วารี กังใจ, พรชัย จูลเมตต์, ชลธิชา จันทคีรี Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271079 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชรา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270062 <p>ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและมีความรุนแรง อย่างไรก็ตามการศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชรามีจำกัด วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชรา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชราในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 78 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล แบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย แบบวัดความรู้สึกหว้าเหว่ UCLA แบบสอบถามความรู้สึกหลากหลายมิติเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางสังคม แบบวัดความรู้สึกต่อตนเอง และแบบสอบถามความแข็งแกร่งในชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 19.23 ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเห็นคุณค่าในตนเองและ ความแข็งแกร่งในชีวิตมีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุ (<em>r</em> = -.276, <em>r</em> =-.386 และ <em>r</em> =-.400) ความหว้าเหว่มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับภาวะซึมเศร้า (<em>r</em> = .496) นอกจากนี้ยังพบว่า ความหว้าเหว่สามารถพยากรณ์คะแนนภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุได้ (<em>beta </em>= .333, <em>p</em>= .006) ดังนั้นสถานสงเคราะห์คนชราควรให้ความสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมทางด้านสังคมเพื่อลดความหว้าเหว่และป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชรา</p> สุหทัย โตสังวาลย์, ภรณ์ทิพย์ ผลกระโทก Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/270062 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรมที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271587 <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการทางการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรมที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ดำเนินการระหว่างมีนาคม ถึง กันยายน พ.ศ. 2567 แบ่งเป็น 4 ระยะ 1) วิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางพัฒนา กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพและทีมสหสาขา รวม 165 คน วิเคราะห์เนื้อหาจากสนทนา 2) พัฒนารูปแบบฯ ผ่านการตรวจสอบ ความตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน (IOC = 0.87) 3) ทดลองใช้และปรับรูปแบบฯ และ 4) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพหอผู้ป่วยอายุรกรรม จำนวน 47 คน ใช้สถิติวิเคราะห์เชิงพรรณนา และค่าทีอิสระ ผลการวิจัยได้รูปแบบการจัดการทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า ทู-สปีด โมเดล (TO-SPEED Model) ครอบคลุม 7 องค์ประกอบ คือ 1) คิดการณ์ล่วงหน้า 2) จัดโครงสร้างคนและงาน 3) พัฒนาสมรรถนะด้วยการนิเทศ 4) มุ่งปฏิบัติงานตามมาตรฐาน 5) ความไวในการคัดกรองและดักจับ 6) ติดตามประเมินผลต่อเนื่อง และ 7) การประสานงานมุ่งผลลัพธ์ หลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า การปฏิบัติของพยาบาลตามแนวปฏิบัติการพยาบาล มีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t</em> = -39.374, <em>p</em>&lt; .001) ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดตามแนวปฏิบัติพยาบาลสมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิต และค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt; .001) ส่วนผู้ป่วย Septic shock ได้รับการเฝ้าระวังและดูแลตามแนวปฏิบัติพยาบาล การเกิดภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือดขณะอยู่ในรพ. และการเสียชีวิตไม่มีความแตกต่างกัน</p> ศิริวรรณ เมืองประเสริฐ, นริสา สะมาแอ, ทัศณียา ไข้บวช, ชฎาพร ฟองสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271587 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการจัดการตนเองในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271251 <p>การศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคร่วมเป็นโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 88 ราย ที่มารับบริการ ณ ศูนย์การสุขภาพชุมชนเมืองสามัคคี อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบวัดการรับรู้สมรรถนะแห่งตน แบบวัดการสนับสนุนจากครอบครัว แบบวัดการสนับสนุนจากบุคลลากรทางสุขภาพ และแบบวัดพฤติกรรมการจัดการตนเอง ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565-กันยายน พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สถิติวิเคราะห์ความสัมพันธ์สเปียร์แมน และสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบคัดเลือกเข้า กำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองในระดับปานกลาง (<em>M</em> = 57.89 ±9.65) โดยระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมีอิทธิพลเชิงลบต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง (Beta = -0.511, <em>p</em> &lt; 0.05) ในขณะเดียวกันยังพบว่าการรับรู้สมรรถนะแห่งตน (<em>Beta</em> = 0.299, <em>p</em> &lt; 0.05) และการสนับสนุนจากบุคลากรทางสุขภาพ (<em>Beta</em> = 0.197, <em>p</em> &lt; 0.05) มีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการจัดการตนเองได้ร้อยละ 77.20 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาโปรแกรมทางการพยาบาลเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูง โดยเน้นการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และการสนับสนุนทั้งจากครอบครัวและบุคลลากรทางสุขภาพ รวมถึงการให้ความสำคัญกับผู้ป่วยที่มีระยะเวลาการเจ็บป่วยนานและมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง</p> มลฤดี แสนจันทร์, อนุชา ไทยวงษ์ , นิสากร วิบูลชัย Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/271251 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700