https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/issue/feed วารสารสาธารณสุขล้านนา 2025-06-30T22:54:17+07:00 ดร.นารถลดา ขันธิกุล lannadpc10@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>Focus and Scope (นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์)</strong></p> <p>วารสารสาธารณสุขล้านนา สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ยินดีรับบทความวิชาการและผลงานวิชาการที่เกี่ยวกับโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม และภัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ โดยเน้นเรื่องการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้แก่หน่วยงานด้านการแพทย์ สาธารณสุข และผู้สนใจ โดยเรื่องที่จะส่งตีพิมพ์ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรือกำลังตีพิมพ์ในวารสารใดๆ มาก่อน ทั้งนี้กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจทานแก้ไขต้นฉบับ และพิจารณาตามลำดับก่อน หลัง</p> <p> </p> <p><strong>Peer Review Process (กระบวนการพิจารณาบทความ)</strong></p> <p><span style="font-weight: 400;">บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญไม่น้อยกว่า 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</span></p> <p> </p> <p><strong>Types of articles (ประเภทของบทความ) </strong></p> <p><span style="font-weight: 400;">นิพนธ์ต้นฉบับ (Original article) บทความวิชาการทั่วไป (General article) รายงานผู้ป่วย (Case report) และการสอบสวนโรค (Outbreak investigation) </span></p> <p> </p> <p><strong>Language (ภาษาที่รับตีพิมพ์)</strong></p> <ul> <li class="show" style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;">ภาษาไทย</span></li> </ul> <p> </p> <p><strong>Publication Frequency (กำหนดออก)</strong></p> <p><span style="font-weight: 400;">วารสารตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี โดยไม่เก็บค่าธรมเนียมการตีพิมพ์</span></p> <ul> <li class="show" style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;">ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน</span></li> </ul> <ul> <li class="show" style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;">ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</span></li> </ul> <p> </p> <p><strong>Publisher (เจ้าของวารสาร)</strong></p> <ul> <li class="show" style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;">สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณาสุข</span></li> </ul> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/271006 ประสิทธิผลของโปรแกรมการรับรู้ความสามารถแห่งตน ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารและความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 2024-09-08T11:22:34+07:00 ศิริพันธ์ หอมแก่นจันทร์ siriphan.ho@gmail.com สยัมภู ใสทา sayambhu.s@fph.tu.ac.th <p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการรับรู้ความสามารถแห่งตนต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารและความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ในเขตรับผิดชอบของศูนย์บริการสาธารณสุขบ้านกล้วยม่วง เทศบาลเมืองเขลางค์นคร จังหวัดลำปาง จำนวน 33 คนเป็นกลุ่มทดลอง และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำโทก อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง จำนวน 33 คนเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการรับรู้ความสามารถแห่งตนเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป การรับรู้ความสามารถแห่งตน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และวัดค่าความเค็มในอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Independent t-test และ Paired t-test และวิเคราะห์ประสิทธิผลของโปรแกรมด้วยสถิติถดถอยพหุแบบ Gaussian ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความสามารถแห่งตน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และระดับความเค็มในอาหารลดลงเมื่อเทียบกับก่อนทดลองและกับกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>&lt;0.05) รวมทั้งมีระดับความดันโลหิตขณะกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>&lt;0.05) โดยคะแนนการรับรู้ความสามารถแห่งตนที่เพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วยสัมพันธ์กับคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่สูงขึ้น (<em>p</em>&lt;0.05) และค่าความเค็มในอาหารที่ลดลง ดังนั้นหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดการรับรู้ความสามารถแห่งตนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพและช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงระยะเริ่ม</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/274739 การแปลและตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินภาวะการทำหน้าที่ของปอดฉบับย่อ 2025-04-11T13:31:30+07:00 เจนจิรา สุขกลึง janjirasukkueng@gmail.com ศิรินภา จิตติมณี janjirasukkueng@gmail.com <p> ผู้ที่เป็นโรคปอด โดยเฉพาะโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่อาการกำเริบเฉียบพลัน มีผลต่อภาวะการทำหน้าที่ ทำกิจกรรมทางกายลดลง และอารมณ์เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันยังไม่มีแบบประเมินภาวะการทำหน้าที่ด้านร่างกายและอารมณ์ฉบับภาษาไทย อาจส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการประเมินและแก้ไขอย่างเหมาะสม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลและตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา รวมทั้งความเที่ยงของแบบประเมินภาวการณ์ทำหน้าที่ของปอดฉบับย่อ จำนวน 11 ข้อ ดำเนินการศึกษา 2 ระยะ ระยะแรก คือ การแปลเริ่มจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย และแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษ โดยผู้แปลอาชีพจากสถาบันภาษา ฉบับแปลย้อนกลับได้รับการตรวจสอบโดยเจ้าของต้นฉบับ ฉบับภาษาไทยได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน และระยะที่สอง คือ การขอจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์เพื่อทดสอบความเที่ยงกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการกำเริบเฉียบพลันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จำนวน 30 คน ณ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง จังหวัดสมุทรสาคร ในเดือนมีนาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ผลการศึกษาพบว่า ฉบับแปลย้อนกลับมีเนื้อหาเทียบเท่าต้นฉบับ ฉบับภาษาไทยมีดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.94 แสดงว่าเนื้อหาตรงตามคำนิยาม และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.97 แสดงถึงความสอดคล้องกันของข้อคำถามอยู่ในระดับดีมาก สรุปได้ว่าแบบประเมินฉบับภาษาไทยมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับใช้ประเมินภาวะการทำหน้าที่ของปอดในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่อาการกำเริบเฉียบพลัน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/271814 ปัจจัยด้านการยศาสตร์และอาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อในกลุ่มคนงานจักสานในอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา 2025-03-13T15:18:02+07:00 กิตติมา ตาลวังโปร่ง 64222208@up.ac.th ณัฐวุฒิ อินจู 64226796@up.ac.th บุญญิษา ปรีเปรม 64226897@up.ac.th ภัทราภรณ์ แดงตาศรี 64226998@up.ac.th รวิสรา คำแสน 64227012@up.ac.th ฤทธิ์ติกร สมปาน rittikorn.so@up.ac.th <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการยศาสตร์ และอาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อในกลุ่มคนงานจักสาน อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 60 คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสัมภาษณ์ฉบับภาษาไทย สำหรับเก็บข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามมาตรฐานวิเคราะห์อาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ดำเนินการประเมินท่าทางรยางค์ส่วนบนด้วย Rapid Upper Limb Assessment (RULA) และตรวจวัดความเข้มของแสงสว่างในพื้นที่ปฏิบัติงาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อในช่วง 12 เดือน และ 7 วันที่ผ่านมา ด้วยสถิติไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับอาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) ได้แก่ สถานภาพสมรส ยารักษาโรคประจำตัว ระยะเวลาการทำงาน และประสบการณ์ทำงาน โดยอวัยวะที่มีอาการผิดปกติมากที่สุดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คือ แขนส่วนบน และในช่วง 7 วันที่ผ่านมา คือ หลังส่วนล่าง การประเมินท่าทางรยางค์ส่วนบนด้วย Rapid Upper Limb Assessment (RULA) พบว่า อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ 4 ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงโดยเร่งด่วน นอกจากนี้การตรวจวัดความเข้มของแสงสว่างในพื้นที่ปฏิบัติงานพบว่า ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 61.67 ดังนั้นควรมีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงของอาการผิดปกติในระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อในกลุ่มคนงานจักสาน เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมและปลอดภัย</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/268324 ผลของการใช้นวัตกรรมทริปเปิ้ลเอส เฮชอาร์พี ต่อการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรงของจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงและ พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 2024-08-07T11:37:50+07:00 จันทร์จิรา อินจีน janjira.i@bcnb.ac.th พิชชากร อินทโชติ janjira.i@bcnb.ac.th ณัฐวดี สิทธิ์ขุนทศ janjira.i@bcnb.ac.th สุวัฒน์ชัย จันทร์หมื่น janjira.i@bcnb.ac.th วิทัต ลุยทอง janjira.i@bcnb.ac.th <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้โอกาสเสี่ยงการรับรู้ความรุนแรง และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อควบคุมภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก่อนและหลังใช้นวัตกรรม Triple S-HRP ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มารับบริการคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลวัดโบสถ์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีจับฉลาก ตามเกณฑ์คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 122 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 61 คน ระยะเวลาดำเนินการ 2 สัปดาห์ ประกอบด้วย การให้ความรู้ประกอบการใช้นวัตกรรม Triple S-HRP และการเยี่ยมติดตามทางโทรศัพท์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Paired t-test และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้นวัตกรรมกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อควบคุมภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นกว่าก่อนใช้นวัตกรรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรม Triple S-HRP สามารถนำไปเป็นสื่อการสอนให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเพิ่มความตระหนักถึงความรุนแรงของโรคและโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/271979 ประสิทธิผลของโปรแกรมประยุกต์ใช้แบบจำลองปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมร่วมกับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนพื้นที่เทศบาลตำบลดงเจน อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา 2025-04-22T10:53:12+07:00 นายพูลศักดิ์ ฉัตรชัยเจนกุล laeto299@gmail.com น้ำเงิน จันทรมณี laeto299@gmail.com <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมประยุกต์แบบจำลองปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ร่วมกับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนพื้นที่เทศบาลตำบลดงเจน อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่างคือ ตัวแทนครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของเทศบาลตำบลดงเจน อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา จำนวน 82 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 41 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมประยุกต์แบบจำลองปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริม ร่วมกับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ 2) แบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ การรับรู้ และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน ทำการเก็บข้อมูล 2 ครั้ง คือ ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Chi-square test, Independent t-test และ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่า หลังสิ้นสุดโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้ ทัศนคติ การรับรู้ และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) ดังนั้น โปรแกรมประยุกต์แบบจำลองปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริมร่วมกับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ สามารถส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ การรับรู้และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถขยายผลการดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นต่อไป</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/273514 การประเมินระบบเฝ้าระวังโรคมือ เท้า ปาก โรงพยาบาลจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2566 2025-03-18T15:55:56+07:00 อนึ่ง อนาวรรณ์ anueng.a@gmail.com ณัฐพล ใจวงศ์ anueng.a@gmail.com นัฐพนธ์ เอกรักษ์รุ่งเรือง punuttapon@gmail.com <p> จากรายงานระบบเฝ้าระวังโรคอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (รง.506) ในปี พ.ศ.2564-2566 พบอัตราป่วยด้วยโรคมือเท้าปากเท่ากับ 34.72, 252.50 และ 268.47 คนต่อแสนประชากรตามลำดับ โดยพบการระบาดในสถานศึกษาเด็กเล็กอย่างต่อเนื่อง การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อประเมินระบบเฝ้าระวังโรคมือ เท้า ปาก โรงพยาบาลจอมทองระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2566 ทำการศึกษาโครงสร้างการรายงานโรค คุณลักษณะเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ จากการทบทวนเวชระเบียนในระบบข้อมูลของโรงพยาบาล จำนวน 469 คน พบว่าระบบเฝ้าระวังโรคของโรงพยาบาลเป็นการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติจากรหัสโรค ICD10 ในระบบ HOSxP เข้าระบบรายงาน 506 การตรวจสอบข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ระบาดวิทยาก่อนการสรุปรายงาน ซึ่งมีความไวร้อยละ 50.70 ค่าทำนายผลบวกร้อยละ 92.86 คุณภาพของข้อมูลมีความถูกต้อง ครบถ้วน มีความเป็นตัวแทนของข้อมูลดีและมีความทันเวลาภายใน 3 วัน ร้อยละ 99.48 ซึ่งระบบเฝ้าระวังฯ ดังกล่าว เป็นที่ยอมรับ ง่าย ไม่ซับซ้อน มีความยืดหยุ่น และมีความมั่นคงของระบบดี แต่ควรปรับปรุงระบบการวินิจฉัยโรค และการลงรหัสโรคที่ถูกต้องรวมทั้งควรมีการทบทวนนิยามโรค ความรู้เกี่ยวกับอาการแสดง เช่น ระยะไข้ ลักษณะผื่นและการกระจายตัวของผื่น และขั้นตอนการรายงานโรคในระบบ แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความไวของระบบเฝ้าระวังโรคต่อไป</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/272215 ระบาดวิทยาของโรคลีเจียนแนร์ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2556–2567 2024-11-14T14:30:39+07:00 อ้อยทิพย์ ยาโสภา o.thippp@gmail.com รุ่งโรจน์ ใจยงค์ 6501201010@num.ac.th ณิชกุล พิสิฐพยัต pisitpayat.n@gmail.com <p> โรคลีเจียนแนร์เป็นโรคที่มีความสำคัญโรคหนึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายลักษณะทางระบาดวิทยาของโรคลีเจียนแนร์ในประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยโรคลีเจียนแนร์ทุกราย จากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด กรมควบคุมโรค ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2556-30 กันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2556 – 2567 มีรายงานโรคลีเจียนแนร์ 229 ราย เสียชีวิต 5 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 2.18 กลุ่มอายุที่พบสูงสุด คืออายุ 45 - 64 ปี (ร้อยละ 49.25) ค่ามัธยฐานอายุเท่ากับ 62 ปี ผู้ป่วยโรคลีเจียนแนร์ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่กลับไปป่วยที่ประเทศต้นทาง มีสัญชาติสหราชอาณาจักรมากที่สุด รองลงมาคือสวีเดน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก โดยผู้ป่วยให้ประวัติเดินทางก่อนป่วยส่วนใหญ่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ กรุงเทพมหานคร และชลบุรี ด้านการเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่ตรวจพบเชื้อ <em>Legionella spp.</em> สูงสุดคือ น้ำจากฝักบัว ร้อยละ 35.94 รองลงมาคือ Swab จากฝักบัว (35.00) และน้ำจากก๊อกน้ำหรืออ่างล้างหน้า (23.81) สถานที่พักมีอุณหภูมิของระบบน้ำร้อนต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส หรือมีระดับคลอรีนอิสระตกค้าง น้อยกว่า 0.02 ppm ร้อยละ 85.71 ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อโรคลีเจียนแนร์ ควรเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคลีเจียนแนร์ให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังโรคในช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวหนาแน่น รวมถึงประชาสัมพันธ์การป้องกันการติดเชื้อ <em>Legionella</em> <em>spp.</em> ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนทราบ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/article/view/272894 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีน HPV ของนักศึกษามหาวิทยาลัย 2024-12-27T16:07:02+07:00 รุจิรา ตระกูลพัว rujira0860@yahoo.com สุนันทา ยังวนิชเศรษฐ rujira0860@yahoo.com อพีริยา คำแฝง rujira0860@yahoo.com <p> การฉีดวัคซีนเอชพีวีมีผลดีในการช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้วัยรุ่นผู้หญิงได้รับการฉีดวัคซีนเอชพีวีมากขึ้นแต่อัตราการได้รับวัคซีนในกลุ่มวัยรุ่นหญิงยังค่อนข้างต่ำ การวิจัยเชิงพรรณนาและเชิงวิเคราะห์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจรับการฉีดวัคซีนเอชพีวีของนักศึกษาหญิง มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย จังหวัดปทุมธานี โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 1-2 ที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี และไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีหรือฉีดมาแล้ว 1 เข็ม จำนวน 210 ราย ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ระยะเวลาเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลโดยส่งแบบสอบถามออนไลน์(Google Form) ผ่านทางอีเมล ประกอบด้วยการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี การรับรู้ความรุนแรงของการติดเชื้อเอชพีวี การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของการฉีดวัคซีนเอชพีวี และแรงจูงใจในการตัดสินใจรับการฉีดวัคซีนเอชพีวี วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Chi-square และ Logistic Regression ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจรับการฉีดวัคซีนเอชพีวีอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>&lt;0.05) รองลงมาคือระดับชั้นปีการศึกษา โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มีสัดส่วนการสมัครใจฉีดวัคซีนมากกว่าชั้นปีที่ 1 แรงจูงใจหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ได้แก่ ความต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งปากมดลูก การได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองและครอบครัว การชักชวนจากเพื่อน และการมีนโยบายส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันโดยฉีดวัคซีนจากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขล้านนา