https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MDHJ/issue/feed
วารสารสหวิชาการเพื่อสุขภาพ
2025-10-05T15:39:29+07:00
ดร.ภญ.กมลนัทธ์ ม่วงยิ้ม
kamolnut@scphc.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>การรับบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารสหวิชาการเพื่อสุขภาพ</strong></p> <p>วารสารสหวิชาการเพื่อสุขภาพ (Multidisciplinary Journal for Health) เป็นวารสารที่รวบรวมและเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ กรณีศึกษา บทวิจารณ์ และบทความปริทัศน์ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ การแพทย์ การแพทย์แผนไทย การสาธารณสุข การพยาบาล ทันตกรรม เภสัชกรรม และการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กำหนดออก </strong><strong>2</strong><strong> ฉบับต่อปี </strong>ฉบับละ 8-10 บทความ<strong><br /></strong>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ISSN: 2673-0855</strong></p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MDHJ/article/view/275326
ประสิทธิผลของน้ำมันมหาจักรต่อผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น ศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เขตสุขภาพที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
2025-05-16T18:54:46+07:00
ศราวุฒิ อิสโร
yeye_yesung@hotmail.com
รัชฎาวรรณ อรรคนิมาตย์
ratchadawan.au@rmuti.ac.th
กมลฉัตร สุขแสน
suksankamonchat@gmail.com
สุพรรณี ศรีริรมย์
supunnee.kuk37@gmail.com
ฐิติรัตน์ เจษฎาพงศธร
jedthitirat@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของยาน้ำมันมหาจักรในการบรรเทาอาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิ โดยศึกษาในผู้ป่วยอายุ 60-69 ปี จำนวน 46 คน ณ ศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เขตสุขภาพที่ 8 จังหวัดอุดรธานี ใช้การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อคัดเลือกผู้ที่ตรงตามเกณฑ์เข้ากลุ่มตัวอย่าง รักษาด้วยการใช้น้ำมันมหาจักร (10 มิลลิลิตร/ขวด) วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน โดยหยดน้ำมันลงที่บริเวณลูกสะบ้าเข่า ข้างละ 20 หยด นวดคลึงวนตามเข็มนาฬิกา 1 นาที ประเมินระดับอาการปวดด้วย (Visual Analogue Scale: VAS) ประเมินองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าด้วย Goniometer และประเมินคุณภาพชีวิตด้วย EQ-5D-5L-score ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (76.10%) อายุเฉลี่ย 63.78 ปี หลังการรักษา ระดับอาการปวดเข่าซ้ายลดลงจาก 5.70 ± 0.22 เป็น 3.78 ± 0.19 คะแนน และเข่าขวาลดลงจาก 5.93 ± 0.25 เป็น 3.28 ± 0.18 คะแนน (p<0.05) องศาการเคลื่อนไหวในท่าเหยียดและท่างอของเข่าทั้งสองข้างดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<strong><</strong>0.05) และคะแนนคุณภาพชีวิตตาม EQ-5D-5L เพิ่มขึ้นจาก 0.57 ± 0.13 เป็น 0.97 ± 0.04 คะแนน สรุปได้ว่า ยาน้ำมันมหาจักรช่วยลดอาการปวด เพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อเข่า และปรับปรุงคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p>
2025-10-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MDHJ/article/view/277108
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
2025-08-19T15:03:15+07:00
พักตร์จิรา ไม้ทอง
66207501016@phcsuphan.ac.th
สุนิสา จันทร์แสง
sunisa@phcsuphan.ac.th
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จำนวน 272 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ โดยใช้สถิตเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 50.7) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ รายได้ของผู้ปกครอง (p < 0.05) อุปกรณ์ทำความสะอาดช่องปาก (p < 0.05) การเข้ารับบริการทันตกรรม (p < 0.01) นโยบายการป้องกันฟันผุของโรงเรียน (p < 0.01) แรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันฟันผุจากครอบครัว คุณครู เจ้าหน้าที่ทันตบุคลากร และการชักชวนจากเพื่อน (p < 0.01) ส่วนเพศ น้ำหนัก อาชีพและการศึกษาของผู้ปกครอง เงินที่ได้รับต่อวัน รสชาติอาหารที่ชอบรับประทาน ความรู้เกี่ยวกับโรคฟันผุ และทัศนคติต่อการป้องกันโรคฟันผุ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ ดังนั้นควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากครอบครัวและเพื่อนในการดูแลสุขภาพช่องปาก โดยการจัดกิจกรรมร่วมกันและให้ข้อมูลการป้องกันฟันผุในครอบครัว อีกทั้งควรพัฒนาการฝึกอบรมให้กับครู เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในโรงเรียน </p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MDHJ/article/view/274948
ความยืดหยุ่นทางจิตใจกับภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชลบุรี
2025-07-22T14:58:22+07:00
มาวัดดะห์ แวกือจิ
64201303031@scphc.ac.th
สุจิตตรา ทองแกม
64201303044@scphc.ac.th
สุดารัตน์ รังคะวงษ์
64201303045@scphc.ac.th
สุวนันท์ คำสุข
64201303046@scphc.ac.th
เพียงดาว คำนึงสิทธิ
piangdao@scphc.ac.th
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล และความยืดหยุ่นทางจิตใจกับภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จังหวัดชลบุรี ประชากร คือ ทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานใน รพ.สต. จังหวัดชลบุรี และมีประสบการณ์ทำงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จำนวน 64 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยพัฒนาจากแบบสอบถามของกรมสุขภาพจิต สถิติที่ใช้วิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติไคสแควร์ และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 32.25 ปี ส่วนใหญ่สถานภาพโสด ร้อยละ 70.31 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 92.20 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท ร้อยละ 62.50 ระยะเวลาปฏิบัติงานส่วนใหญ่ คือ 5-10 ปี และ 10 ปีขึ้นไป ร้อยละ 39.06 ดำรงตำแหน่งนักวิชาการทันตสาธารณสุข ร้อยละ 56.25 ความยืดหยุ่นทางจิตใจโดยรวมอยู่ในระดับปกติ ภาวะหมดไฟในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า อายุ และความยืดหยุ่นทางจิตใจมีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟในการทำงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( = -.262 -.665, p < 0.05) ดังนั้นการลดภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชลบุรี จึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาความยืดหยุ่นทางจิตใจให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดโอกาสการเปลี่ยนสายงาน ย้ายงาน หรือลาออก ของทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานใน รพ.สต. จังหวัดชลบุรี</p>
2025-11-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MDHJ/article/view/276447
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุ ตำบลสิงโตทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
2025-07-22T15:05:25+07:00
ปัณฑิตา เรืองฤทธิ์
fam.panthita@gmail.com
กนกวรรณ ปัญญา
zhompu45@gmail.com
ชย เชียงทอง
chayalove999@gmail.com
บุษยสิทธิ์ พงษ์พิจิตร
bussayasit@scphc.ac.th
วรยุทธ นาคอ้าย
worayuth@scphc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะสุขภาพช่องปากพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก พร้อมทั้งศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุ ตำบลสิงโตทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินการวิจัยในช่วงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 149 คน สุ่มตัวอย่างโดยบังเอิญ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลคุณลักษณะประชากร พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก (OHIP-14) และการตรวจสุขภาพช่องปาก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบไคสแคว์และสเปียร์แมน</p> <p>ผลการศึกษาสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ พบว่ามีจำนวนฟันผุอุดถอนเฉลี่ย 18.3 ซี่ต่อคน และมีการสูญเสียฟัน ร้อยละ 48.8 อยู่ในระดับที่มีความรุนแรงปานกลาง ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคในช่องปากอยู่ในระดับดี (ร้อยละ 61.8) พฤติกรรมการทำความสะอาดช่องปากอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 58.6) พฤติกรรมการเข้ารับบริการตรวจสุขภาพช่องปากอยู่ในระดับไม่ดี (ร้อยละ 77.2) คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก อยู่ในระดับดี (ร้อยละ 88.6) และพบว่าคุณลักษณะประชากร พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และสภาวะช่องปากไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต ในขณะที่พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคในช่องปากมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก (rs = .176, p-value = .032)</p>
2025-11-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก