https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/issue/feed วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ 2025-08-29T22:10:31+07:00 นงนุช รักชื่อดี nongnuchbr14@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารการแพทย์ MJSSBH เป็นวารสารทางวิชาการด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความที่น่าสนใจอันเป็นองค์ความรู้ใหม่ ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มค.-เมย.) ฉบับที่ 2 (พ.ค. – ส.ค.) และฉบับที่ 3 (ก.ย. – ธ.ค.) และเผยแพร่ทาง website <a href="Https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index">https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index</a></p> <p>โดยปัจจุบันวารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ได้รับการยอมรับและผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 และอยู่ในฐานข้อมูล TCI</p> <p>ISSN: 0857-2895 (print)<br />ISSN: 2730-2687 (online)</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276711 ผลของโปรแกรมพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลต่อสมรรถนะด้านการป้องกันการเกิดแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียงในตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 2025-07-23T11:52:04+07:00 ศุภรดา มั่นยืน thawatchai.yeun@gmail.com ศวิตา รุ่งพิรุณ thawatchai.yeun@gmail.com ชรินรัตน์ ศิริทวี thawatchai.yeun@gmail.com ธวัชชัย ยืนยาว thawatchai.yeun@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ผู้ดูแลผู้ป่วยในชุมชนเป็นผู้ที่ให้การดูแลด้านต่างๆ ทั้งการดูแลด้านต้องการพื้นฐานในชีวิตประจำวันจนถึงการดูแลที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย หากผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงได้รับการพัฒนาสมรรถนะด้านการดูแลจะทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดี<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลต่อสมรรถนะด้านการป้องกันการเกิดแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียง ในตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (One Group Pretest-Posttest Design) ตัวอย่างเป็นคือ ผู้ดูแลจำนวน 21 คนและผู้ป่วยติดเตียงจำนวน 21 คน คัดเลือกเป็นการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยการทดสอบ Paired T-test (Paired T-test for dependent group)<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าคะแนนความรู้การป้องกันการเกิดแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียง ทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและทักษะการปฏิบัติของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับหลังเข้าโปรแกรมเพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าโปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.001<br /><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลต่อสมรรถนะด้านการป้องกันการเกิดแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียงสามารถเป็นแนวทางในการนำไปปรับใช้ในการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276714 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2025-07-23T12:04:55+07:00 นิธินันท์ อาจพินิจนันท์ thawatchai.yeun@gmail.com ธวัชชัย ยืนยาว thawatchai.yeun@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อในหลายๆ ตำแหน่ง ทำให้ทรงตัวลำบากและอวัยวะผิดรูป ซึ่งอาการ ความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนจะแตกต่างกันตามช่วงอายุของผู้ป่วย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสังขะ จังหวัดสุรินทร์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง ใช้แบบสอบถาม 4 ส่วน คือ 1. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2. แบบสอบถามความรู้ในการดูแลตนเอง 3. แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง 4. แบบประเมินระดับความปวดของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ตัวอย่างในการศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสังขะ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 36 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติทดสอบที (Paired t-test) <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าคะแนนความรู้ในการดูแลตนเองและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าโปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;0.001 ระดับคะแนนความปวดของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ลดลงจากก่อนเข้าโปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;0.001 <br /><strong>สรุปผล:</strong> โปรแกรมการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อทำให้ความรู้ในการดูแลตนเองและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เพิ่มขึ้นและคะแนนความปวดของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ลดลง</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273659 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะไส้ติ่งแตกในผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ 2025-02-15T13:34:52+07:00 พีรกูล ธวัชพงศ์ธร fan_gpi@hotmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดท้องเฉียบพลันที่ทำให้ผู้ป่วยเข้ามารับบริการที่แผนกฉุกเฉินและต้องได้รับการผ่าตัด<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการเกิดภาวะไส้ติ่งแตกในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งโรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษา Retrospective study โดยศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบและได้ผ่าตัดในโรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567 โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งอักเสบ และกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก ทั้งสองกลุ่มได้มีการศึกษาข้อมูลทั้ง ข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ข้อมูลทางคลินิก ข้อมูลระหว่างผ่าตัด รวมถึงข้อมูลหลังการผ่าตัด และมีการศึกษาหาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะไส้ติ่งแตก<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากกลุ่มประชากรทั้งหมด 237 คน พบภาวะไส้ติ่งธรรมดา 185 คน (ร้อยละ 78.1) และ พบภาวะไส้ติ่งแตก 52 คน (ร้อยละ 21.9) อายุเฉลี่ยในกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก 43.8±19.5 ปี และภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา 31.8±20.5 ปี (p&lt;0.001) ,ระยะเวลาเริ่มปวดท้องจนถึงโรงพยาบาล เฉลี่ยในกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก 35.7±28.8 ชั่วโมง และภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา 20.3±18.2 ชั่วโมง (p&lt;0.001) กลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตกมีอาการปวดท้องย้ายมาขวาล่าง ร้อยละ 78.8 (41 คน) และกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดามีอาการปวดท้องย้ายมาขวาล่าง ร้อยละ 73.5 (136 คน) (p=0.435) ในขณะที่ภาวะไส้ติ่งแตกมีอาการปวดทั่วท้อง ร้อยละ 76.9 (40 คน) และกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา ร้อยละ 7.0 (13 คน) (p&lt;0.001) ระยะเวลาของ Operation Time เฉลี่ยในกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก 45.7±16.2 นาที และในภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา 29.2±11.6 นาที (p&lt;0.001) Estimate Blood Loss เฉลี่ยในกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก 33.8±49.7 มิลลิลิตร และในภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา 8.8±16.2 มิลลิลิตร (p&lt;0.001) ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยในกลุ่มที่มีภาวะไส้ติ่งแตก 3.8±1.7 วัน และในภาวะไส้ติ่งอักเสบธรรมดา 2±1.1 วัน (p&lt;0.001) จากการวิเคราะห์แบบ Multivariable logistic regression พบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะไส้ติ่งแตก ได้แก่ การตรวจร่างกายพบอาการปวดทั่วท้อง OR = 89.7 (95%CI 15.7-513.5 และ ระยะเวลาของ Operation Time AOR = 1.1 (95%CI 1.0-1.1) และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล AOR = 2.0 (95% CI 0.1-21.7)<br /><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะไส้ติ่งแตกได้แก่ การตรวจร่างกายพบอาการปวดทั่วท้อง ผลของการเกิดไส้ติ่งแตกเพิ่มระยะเวลาของ Operation Time และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275143 อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บในช่องท้องจากอุบัติเหตุที่เข้ารับการผ่าตัด ในโรงพยาบาลศรีสะเกษ 2025-05-02T18:12:44+07:00 สุกัญญา มั่นคง m.sukanya828@gmail.com <p style="font-weight: 400;"><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การบาดเจ็บในช่องท้องสามารถทำให้เกิดการเสียเลือดอย่างต่อเนื่องหากไม่รักษาอย่าง ทันท่วงที โดยในปัจจุบันได้มีการจัดตั้งระบบ Trauma fast track เพื่อส่งต่อผู้ป่วยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงความสำคัญของกระบวนการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บในช่องท้องที่เข้ารับการผ่าตัด<br /><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลและปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บในช่องท้องจากอุบัติเหตุที่เข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลศรีสะเกษ รวมถึงอุบัติการณ์ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> Retrospective cohort study โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บในช่องท้องที่เข้ารับการผ่าตัดในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2562 - ธันวาคม พ.ศ.2566<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 162 คน พบอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาล 38 คน (ร้อยละ 23.5) โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในเสียชีวิตได้แก่กลุ่มอายุในช่วง 18 – 60 ปี (Adjusted OR [95%CI] : 2.17 [0.59 – 7.96], p=0.243), Mean arterial pressure &lt; 60 มิลลิเมตรปรอท (Adjusted OR [95%CI] : 1.86 [0.70 – 4.93], p=0.208), ฮีโมโกลบิน &lt; 8 กรัมต่อเดซิลิตร (Adjusted OR [95%CI] : 1.76 [0.64 – 4.78], p=0.267), Prothrombin time ≥ 15 วินาที (Adjusted OR [95%CI] : 8.06 [2.82 – 23.02], p=&lt;0.001) และภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุดคือภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำหรือเลือด 49 คน (ร้อยละ 30.2)<br /><strong>สรุป:</strong> ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บในช่องท้องที่ได้เข้ารับการผ่าตัดในกลุ่มอายุช่วง 18 – 60 ปี, Mean arterial pressure &lt; 60 มิลลิเมตรปรอท, ระดับฮีโมโกลบิน &lt; 8 กรัมต่อเดซิลิตร และ Prothrombin time ≥ 15 วินาที เพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274820 รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองความไม่สบายทั้งกายและใจต่อความสามารถในการดูแลผู้ป่วยของญาติ 2025-04-15T14:56:23+07:00 ณัฐพร โพธิลุน pothiloon@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ความสามารถของญาติในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ต้องเผชิญปัญหาการเจ็บป่วยที่คุกคามต่อชีวิต การรักษาที่ใช้ระยะเวลานานและต่อเนื่อง เมื่ออาการป่วยทรุดลงผู้ป่วยจะมีความทุกข์ทรมานทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ความเจ็บปวดและอาการไม่สุขสบายอื่นๆ ปัญหาสำคัญ คือ การดูแลผู้ป่วยโดยญาติ จึงเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองต่อความสามารถในการดูแลผู้ป่วยของญาติ<br /><strong>รูปแบบการศึกษา:</strong> การวิจัยและพัฒนา<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การสังเคราะห์รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง 2) ตรวจรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง 3) ทดลองใช้โปรแกรมความสามารถในการดูแลผู้ป่วยของญาติโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองโดยนำไปทดลองระบบกับกลุ่มตัวอย่างคือ ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลสนม จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 30 ราย โดยการเลือกแบบอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเอง แบบประเมินความรู้ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบประเมินความเครียด สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired sample t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ระบบการขึ้นทะเบียน การเตรียมความพร้อมญาติ ระบบการส่งต่อชุมชน และระบบการดูแลและการจัดการความเครียดของญาติ กระบวนการ ได้แก่ การเตรียมความพร้อมและการจัดการความเครียดของญาติ การประเมินผู้ป่วยและการวางแผนการดูแล การประสานงาน ปัจจัยนำออก ได้แก่ 1) ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย 2) ทักษะการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วย และ 3) ความเครียด ผลย้อนกลับ ได้แก่ การปรับปรุงและทบทวน และการจัดการความรู้ 2) ภายหลังการทดลอง ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลสนม มีความรู้ และทักษะการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และมีความเครียดลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p≤0.01<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองต่อความสามารถในการดูแลผู้ป่วยของญาติ นำไปทดลองใช้สามารถทำให้ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมีความรู้ และมีทักษะเพิ่มขึ้น และความเครียดลดลงได้ ดังนั้น โรงพยาบาลที่มีบริบทเดียวกันสามารถนำระบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองไปพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้ป่วยได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274012 อัตราการรอดชีพและปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีพของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงที่ได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา 2025-03-03T12:56:31+07:00 สุธาสินี บุญธรรม dr.newnewzz66@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญ แม้การผ่าตัดช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต แต่อัตราการรอดยังแตกต่างตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอัตรารอดชีพและปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีพในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงที่ได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา โดยติดตามผลในระยะ 1, 3 และ 5 ปี <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบ retrospective cohort ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงที่ได้รับการผ่าตัดและมีผลพยาธิวิทยายืนยัน จำนวน 200 ราย ใช้แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป ผลแล็บ และข้อมูลการรักษา วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Cox regression รายงานค่า HR, Adjusted HR, 95%CI กำหนดนัยสำคัญที่ p &lt; 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา</strong>: จากการศึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ที่ได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา พบว่า ในปีที่ 1, 2, 3, 4 และ 5 มีอัตราการรอดชีพ ร้อยละ 83.5, 69.0, 60.5, 56.2 และ 53.9 ตามลำดับส่วนใหญ่เป็นการรักษาหรือการผ่าตัดที่วางแผนล่วงหน้า (Elective) 139 ราย (ร้อยละ 69.5) ปัจจัยพยากรณ์การเสียชีวิตในผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระดับอัลบูมิน ที่สูงมีผลในการลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต (Adjusted HR = 0.64; 95% CI: 0.45–0.90, p = 0.001), การผ่าตัดเพื่อตัดเนื้องอกออก ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิต (Adjusted HR = 0.12; 95% CI: 0.04 – 0.39, p = 0.001), การประเมินเนื้อเยื่อมะเร็ง ระดับ Grading 3 มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น (Adjusted HR = 4.19; 95% CI: 1.47–11.88, p = 0.007) และระดับ ASA class 3–4 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น (Adjusted HR = 2.78;95% CI: 1.58–4.89, p &lt; 0.01) <br /><strong>สรุป:</strong> อัตรารอดชีพ 1 3 และ 5 ปี คือร้อยละ 83.5 60.5 และ 53.9 ตามลำดับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรอดชีพ ได้แก่ ระดับอัลบูมิน การผ่าตัดเนื้องอก และการประเมินเนื้อเยื่อมะเร็งระดับ Grading 3 ASA class 3–4</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276716 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อในกระแสเลือดที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยหลังส่องกล้องผ่าตัดนิ่วท่อไตและนิ่วไต โรงพยาบาลชัยภูมิ 2025-07-23T12:39:10+07:00 เชฏฐา ฐานคร yotch23@hotmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การรักษานิ่วไตและนิ่วท่อไตด้วยการส่องกล้องผ่าตัดที่มีอัตราความสำเร็จสูงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษาได้แก่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่รุนแรง หากได้รับการรักษาล่าช้าอาจทำให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่รุนแรงในผู้ป่วยหลังส่องกล้องผ่าตัดนิ่วท่อไตและนิ่วไตโรงพยาบาลชัยภูมิ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยนิ่วไตและนิ่วท่อไตหลังส่องกล้องผ่าตัด จำนวน 250 ราย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562-2566 ติดตามการรักษา 45 วัน กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ติดเชื้อจำนวน 89 รายและกลุ่มที่2 กลุ่มที่ไม่ติดเชื้อจำนวน 161 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยทำนายด้วย Univariate และmultivariate analysisด้วยสถิติ logistic regression (p&lt;0.05)<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มที่1 ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอายุเฉลี่ย 62.5 ±6.4 ปี เพศชายร้อยละ87.1 และผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่รุนแรงอายุเฉลี่ย 67.7 ± 10.4 ปี เพศชายร้อยละ 68.4 กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยไม่ติดเชื้ออายุเฉลี่ย 60.9 ± 8.0ปี เพศชายร้อยละ 81.4ปัจจัยทำนายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้แก่ เพศหญิง (Adj OR, 3.0, 95%CI, 1.1-8.0) มีผลเพาะเชื้อปัสสาวะเป็นบวกก่อนผ่าตัด (Adj OR, 0.3, 95%CI,0.1-0.7), ระยะเวลาการผ่าตัด (Adj OR, 0.5, 95%CI, 0.3-0.9) ปัจจัยทำนายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะรุนแรงได้แก่ สูงอายุ (Adj OR, 3.2, 95%CI,1.2-8.2), โรคเบาหวาน (Adj OR, 0.0, 95%CI, 0.0-0.1),ผลเพาะเชื้อปัสสาวะก่อนผ่าตัดเป็นบวกและ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ(Adj OR, 0.1, 95%CI, 0.0-0.2) และระยะเวลาการผ่าตัด (Adj OR, 0.4, 95%CI, 0.1-0.9)<br /><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยทำนายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ เพศหญิง ผลเพาะเชื้อปัสสาวะก่อนผ่าตัดเป็นบวก ระยะเวลาผ่าตัดและปัจจัยทำนายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะรุนแรง ได้แก่ สูงอายุ โรคเบาหวาน ประวัติติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และผลเพาะเชื้อปัสสาวะก่อนผ่าตัดเป็น ระยะเวลาผ่าตัด การค้นหาปัจจัยทำนายและให้การรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดการตายได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276717 ผลของรูปแบบการพัฒนาระบบช่องทางด่วนหลอดเลือดสมองของโรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2025-07-23T13:08:13+07:00 วันทนีย์ มามูล dr.wantanee0159@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำด้วย Recombinant tissue plasminogen activator (rt-PA ) เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันเฉียบพลัน ในปีงบประมาณ 2558 อัตราการเข้าถึง rt-PA ของจังหวัดสุรินทร์ร้อยละ 2.2 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โรงพยาบาลปราสาทจึงได้มีการพัฒนารูปแบบระบบช่องทางด่วนหลอดเลือดสมองเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยา rt-PA <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง พัฒนารูปแบบระบบช่องทางด่วนหลอดเลือดสมอง Stroke Fast Track (SFT) ของโรงพยาบาลปราสาท ศึกษาผลลัพธ์หลังการพัฒนา SFT ในช่วงปีงบประมาณ 2559–2567 และ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้แต่ไม่ได้รับ rt-PA ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในปีงบประมาณ 2565–2567<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาคือผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบช่องทางด่วนหลอดเลือดสมอง การวิเคราะห์สาเหตุที่ผู้ป่วยหลอดเลือดสมองอุดตันที่เข้าสู่ระบบ SFT แล้วไม่ได้รับ rt-PA ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ปีงบประมาณ 2565-2567 ที่มีข้อมูลครบถ้วน<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การพัฒนาระบบ SFT ในรูปแบบเครือข่ายโดยมีอายุรแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพทำให้ได้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่มีประสิทธิผล ในปีงบประมาณ 2565-2567 อัตราการได้รับ rt-PA ร้อยละ 10.9, 10.0 และ 9.1 อัตราการได้รับยาละลายลิ่มเลือดภายใน 60 นาที ร้อยละ 90.6, 87.0 และ 81.8 อัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองเฉียบพลันร้อยละ 1.9, 1.9 และ 0.8 ตามลำดับ และในปีงบประมาณ 2566-2567 อัตราการเกิดเลือดออกในสมองแบบมีอาการในผู้ป่วยที่ได้รับ rt-PA ร้อยละ 3.7 และ 9.0 ตามลำดับ โดยอัตราการเข้าถึง rt-PA จังหวัดสุรินทร์เพิ่มจากร้อยละ 2.2 ในปีงบประมาณ 2558 เป็นร้อยละ 14.2 ในปีงบประมาณ 2567 และมีอัตราการได้รับยาภายใน 60 นาทีและ 45 นาที เท่ากับร้อยละ 80.6 และ 56.6 ตามลำดับ สาเหตุหลักที่ผู้ป่วยหลอดเลือดสมองอุดตันไม่ได้รับ rt-PA คือ มีข้อห้ามในการให้ โดยข้อห้ามที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อาการทางระบบประสาทดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ และอาการทางระบบประสาทรุนแรง<br /><strong>สรุป:</strong> การพัฒนารูปแบบระบบช่องทางด่วนหลอดเลือดสมองทำให้อัตราเข้าถึงยา rt-PA มากขึ้น</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275136 ผลลัพธ์ของทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสที่คลอดในโรงพยาบาลสุรินทร์ 2025-04-30T12:04:30+07:00 ฟองฝน ผลจันทร์ fongfonft@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคซิฟิลิสเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก มารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสและอัตราการติดเชื้อทารกแต่กำเนิดมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่การหามาตรการเร่งรัดให้เกิดกลไกการดำเนินงานเพื่อลดปัญหาโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดยังไม่ครอบคลุม ด้วยเหตุนี้เองจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาเฝ้าระวังและวางแผนการรักษามารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสอย่างมีคุณภาพและเหมาะสมในโรงพยาบาลสุรินทร์<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิส ศึกษาความชุกของซิฟิลิสแต่กำเนิดและเพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อซิฟิลิสในมารดาที่มาฝากครรภ์และคลอดในโรงพยาบาลสุรินทร์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลังเชิงวิเคราะห์ โดยการทบทวนจากเวชระเบียนของมารดาที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อซิฟิลิสและคลอดในโรงพยาบาลสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 เป็นระยะเวลา 3 ปี วิเคราะห์เชิงสถิติเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสกับผลลัพธ์ของทารกแรกเกิด <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากการศึกษาและเก็บข้อมูลของมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสุรินทร์และคลอดในโรงพยาบาลสุรินทร์ทั้งหมด 239 ราย มีจำนวนสูงสุดในปีงบประมาณ 2567 จำนวน 105 ราย รองลงมาคือ งบประมาณ 2566 จำนวน 75 ราย และ ปีงบประมาณ 2565 จำนวน 59 รายตามลำดับ ทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มีโอกาสติดโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดต่ำเนื่องจากมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสส่วนใหญ่ได้รับการรักษาครบถ้วนและคลอดหลังจากได้รับยาครบ 30 วัน อย่างไรก็ตามทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิดมากขึ้น 4 เท่าเมื่อเทียบกับทารกแรกเกิดจากมารดาที่ไม่ติดเชื้อซิฟิลิสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) แต่ไม่พบความแตกต่างกันในอัตราการคลอดก่อนกำหนด (p=0.481) และอัตราน้ำหนักทารกแรกเกิดน้อย (p=0.113) โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อซิฟิลิสในทารก ได้แก่ มารดาที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก (p=0.001) การฝากครรภ์ครั้งแรกที่อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ (p&lt;0.001) และค่า non-treponemal antibodies (Rapid Plasma Reagin ; RPR) เริ่มต้น ≥ 1:8 (p&lt;0.001)<br /><strong>สรุป:</strong> การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า อัตราการติดเชื้อซิฟิลิสในมารดามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนสูงสุดในปีงบประมาณ 2567 แม้ว่าทารกแรกเกิดจะมีโอกาสติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิดต่ำเนื่องจากมารดาที่ติดเชื้อซิฟิลิสส่วนใหญ่ได้รับการรักษาครบถ้วนและคลอดหลังจากได้รับยาครบ 30 วัน แต่พบว่าความเสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยปัจจัยที่สำคัญได้แก่ การตั้งครรภ์ครั้งแรก การฝากครรภ์ล่าช้าและค่า RPR เริ่มต้น ≥ 1:8 ดังนั้นการเฝ้าระวัง คัดกรองและให้การรักษาอย่างทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบของทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อซิฟิลิส</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276718 การศึกษาเปรียบเทียบผลการรักษาภาวะผนังหน้าท้องไม่สมบูรณ์ ของทารกแรกเกิดในจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างปีพ.ศ. 2554-2563 2025-07-23T13:24:24+07:00 ชยุตรา อินทรกำแหง chayutrain@gmail.com วรยศ ดาราสว่าง chayutrain@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> Gastroschisis และ omphalocele คือภาวะผนังหน้าท้องไม่สมบูรณ์ทำให้อวัยวะในช่องท้องโผล่ออกมา การเข้าใจความแตกต่างของสองภาวะ จะทำให้สามารถรักษา และให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองได้ถูกต้อง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบลักษณะของโรค การรักษา และภาวะข้างเคียงของทารกที่มีภาวะ gastroschisis และ omphalocele ในจังหวัดบุรีรัมย์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วย gastroschisis และ omphalocele ที่รักษาระหว่างปีพ.ศ. 2554-2563 ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาร่วมกับวิเคราะห์ด้วย Chi-square และ Mann-Whitney U test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยทั้งหมด 53 ราย แบ่งเป็น gastroschisis 43 ราย และ omphalocele 10 ราย เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกันพบว่า gastroschisis มารดามีอายุน้อยกว่า (p&lt;0.001) สองกลุ่มมีอัตราการวินิจฉัยก่อนคลอดใกล้เคียงกันที่ร้อยละ 30 กลุ่ม omphalocele วินิจฉัยก่อนคลอดได้เร็วกว่า (p=0.043) พบน้ำหนักแรกเกิดต่ำเยอะกว่า (p=0.014) พบ Patent ductus arteriosus มากกว่า (p&lt;0.01) นอกจากนี้ยังพบ Beckwith-Wiedemann ร้อยละ 20 และพบตับยื่นออกมาเฉพาะใน omphalocele อีกด้วย ด้านการผ่าตัด gastroschisis ผ่าตัดทุกราย (primary closure ร้อยละ 81.4, stage closure ร้อยละ 18.6) พบลำไส้ตันร้อยละ 7 ลำไส้ทะลุร้อยละ 7 ขนาดของรูโหว่หน้าท้องเล็กกว่า (p&lt;0.001) ในขณะที่ omphalocele ได้รับการผ่าตัดเพียงร้อยละ 80 ด้วยวิธี primary closure ทั้งหมด และปฏิเสธการผ่าตัดร้อยละ 20 Gastroschisis นอนโรงพยาบาลนานกว่า (p=&lt;0.001) ได้รับอาหารทางหลอดเลือดนานกว่า (p=0.014) และเริ่มได้กินช้ากว่า (p&lt;0.001) อัตราการเสียชีวิตของ Omphalocele สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (ร้อยละ 40 เทียบกับ ร้อยละ 2.3, p=0.003)<br /><strong>สรุป:</strong> Gastroschisis และ omphalocele มีลักษณะที่แตกต่างกัน Gastroschisis ต้องการการดูแลหลังผ่าตัดที่เข้มข้นกว่า ในขณะที่ omphalocele แม้การดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อนเท่า แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275474 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ 2025-05-16T16:14:37+07:00 พันธนา แสงจันทร์ msu_vi@yahoo.com จารุวรรณ วิโรจน์ msu_vi@yahoo.com เขมิกา สมบัติโยธา msu_vi@yahoo.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> สภาวะสุขภาพช่องปากของเด็กนักเรียนอายุ 12 ปี พบปัญหาสำคัญ คือ โรคฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ การดูแลสุขภาพช่องปากช่วยลดการเกิดโรคได้ การส่งเสริมสุขภาพช่องปากมีความสำคัญป้องกันโรคในช่องปาก การนำแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพมาใช้กับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปาก จะส่งผลต่อการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กนักเรียนได้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปาก ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมสุขภาพช่องปาก และคราบจุลินทรีย์ ในเด็กนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6<br /><strong>รูปแบบการศึกษา:</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) และการวิจัยเป็นแบบสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังดำเนินการ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งหมด 94 คน เป็นกลุ่มทดลอง 47 คน และกลุ่มควบคุม 47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปาก ประกอบด้วย 1) ช่องปากแสนสนุก 2) รู้จักเลือกอาหารกันเถอะ 3) หาความรู้ เพื่อฟันของเรากันเถอะ 4) ดูแลฟันที่ฉันรัก 5) แปรงฟันสะอาดจัง 6) รู้ทันแน่นอน และ 7) กิจกรรมกระตุ้นการแปรงฟัน ระยะเวลาดำเนินการ 8 สัปดาห์ สถิตที่ใช้ คือ Wilcoxon matched pairs signed ranks test, Paired t-test, Mann-Whitney U test และ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> หลังทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีความรอบรู้สุขภาพช่องปากส่วนของความรู้ ความรอบรู้สุขภาพช่องปาก 6 ด้าน และพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก มากกว่าก่อนการทดลอง และมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) และคราบจุลินทรีย์ น้อยกว่าก่อนการทดลอง และน้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001)<br /><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปากนี้ ช่วยเพิ่มความรอบรู้สุขภาพช่องปาก พฤติกรรมสุขภาพช่องปาก และลดคราบจุลินทรีย์ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพช่องปากไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับพื้นที่</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276721 อัตราการเสียชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปอดติดเชื้อในโรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2025-07-23T13:47:35+07:00 พิรดา อังคณาวิศัลย์ lewpirada@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคปอดติดเชื้อเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ทั่วโลกจากองค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2564 และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 6 ในประเทศไทยจากการเก็บสถิติสุขภาพคนไทยในปี พ.ศ. 2563 <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการเสียชีวิตและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาลที่ 28 วันหลังสิ้นสุดการรักษา <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาแบบตัดขวางย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับวินิจฉัยโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาล วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 หาอัตราการเสียชีวิตและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาล <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วย จำนวน 110 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ค่าอายุเฉลี่ย 62 ปี เชื้อก่อโรคที่พบมากที่สุด ได้แก่ A. baumannii MDR ร้อยละ 30.9 ค่าเฉลี่ยระยะเวลายาปฎิชีวนะอยู่ที่ 9.7 วัน อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาลมีจำนวน 33 จาก 110 ราย (ร้อยละ 30) ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ได้แก่ การให้ยาปฎิชีวนะน้อยกว่า 9 วัน (7-8 วัน) เพิ่มโอกาสเสียชีวิต 2.3 เท่า ([95% Cl, 1.29-4.27]; P=0.005) และระยะเวลาใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า 5 วันขึ้นไป เพิ่มโอกาสเสียชีวิต 4 เท่า ([95% Cl, 1.06-15.37; P=0.04)<br /><strong>สรุปผล:</strong> อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาลหลังจากรักษาครบภายใน 28 วัน เท่ากับร้อยละ 30 ปัจจัยที่มีผลการเสียชีวิตของโรคปอดติดเชื้อในโรงพยาบาล ได้แก่ การให้ปฎิชีวนะน้อยกว่า 9 วัน และ ระยะเวลาใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า 5 วันขึ้นไป </p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275284 ผลการรักษาการบาดเจ็บข้อต่อไหล่และกระดูกไหปลาร้าแบบเฉียบพลันด้วยวิธีผ่าตัดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาลมหาสารคาม 2025-05-06T11:28:48+07:00 ปรมินทร์ ตุลยฉัตร Poraminortho99@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปัจจุบันการรักษาการบาดเจ็บของข้อต่อไหล่และกระดูกไหปลาร้าแบบเฉียบพลันด้วยวิธีผ่าตัดที่ได้ผลลัพธ์ดีคือการผ่าตัดส่องกล้องใส่วัสดุดันกระดูกแต่เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ยากและใช้อุปกรณ์ที่จำเพาะ จึงยังมีการผ่าตัดอื่นๆที่ทำได้ง่ายและเร็วกว่า<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์การรักษาผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บข้อ ข้อต่อไหล่และกระดูกไหปลาร้าแบบเฉียบพลันด้วยการผ่าตัดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาลมหาสารคาม<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เก็บข้อมูลผู้ป่วยจำนวน 63 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นการบาดเจ็บของข้อต่อไหล่และกระดูกไหปลาร้าแบบเฉียบพลัน ระหว่างมกราคม พ.ศ. 2563 ถึงมิถุนายน พ.ศ. 2567 และได้รับการติดตามผลจนกระทั่งข้อต่อฟื้นตัวสมบูรณ์<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มที่ผ่าตัดด้วย Hook plate สามารถลดระยะห่างของ CCD ได้มากที่สุด (ค่า p = 0.036) ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้กลุ่มที่ยึดด้วย Endobutton สามารถลดความแตกต่างของค่า CCD และ ACD ก่อนและหลังผ่าตัดได้มากที่สุด โดยสามารถลดค่า CCD ได้เฉลี่ย 10.5±4.1 มม. (ค่า p -value &lt; 0.001) และลดค่า ACD ได้เฉลี่ย 10.2±4.4 มม. (ค่า P-value &lt; 0.001) <br /><strong>สรุป:</strong> การรักษาภาวการณ์บาดเจ็บของข้อต่อไหล่และกระดูกไหปลาร้าแบบเฉียบพลันสามารถให้ผลการรักษาที่ดีด้วยการใช้ Hook plate และ Endobutton อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละวิธีด้วยความระมัดระวัง</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275542 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงภาวะโซเดียมต่ำหลังผ่าตัดในผู้บาดเจ็บทางสมองและได้รับการผ่าตัดสมองในโรงพยาบาลสุรินทร์ 2025-05-20T09:36:54+07:00 ธนาวรรณ ศุภวรรณาวิวัฒน์ anfield_b@hotmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การบาดเจ็บทางสมองเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ส่วนหนึ่งต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งภายหลังการผ่าตัดแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โดยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญที่สุดคือภาวะโซเดียมต่ำ ส่งผลให้ผู้บาดเจ็บมีภาวะสมองบวม การรู้สึกตัวลดลง ชัก ต้องการทรัพยากรในการรักษา ระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลนานขึ้น หรืออาจจะทำให้เกิดทุพพลถาวร และเสียชีวิตได้ การตรวจพบตั้งแต่ในระยะแรกและได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีก็จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาระยะเวลาการเกิดภาวะโซเดียมต่ำภายหลังจากเข้ารับการผ่าตัดสมองในผู้บาดเจ็บทางสมอง<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาวิจัยย้อนหลังแบบกลุ่ม (Retrospective cohort study) ของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองและเข้ารับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้บาดเจ็บทางสมองและเข้ารับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวนทั้งสิ้น 361 คน <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าภาวะโซเดียมต่ำเกิดในผู้ป่วย 114 ราย (ร้อยละ 31.5) ผู้ป่วยจะเกิดภาวะโซเดียมต่ำได้มากที่สุดในวันที่ 7 ภายหลังเข้ารับการผ่าตัด โดยพบว่าระดับโซเดียมมีแนวโน้มจะต่ำลง ตามจำนวนวันที่ผ่านไปภายหลังเข้ารับการผ่าตัด สัมพันธ์กับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการมีระดับโซเดียมต่ำที่พบมากขึ้น ตามเวลาที่ผ่านไป ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ กลุ่มอายุ 40–60 ปี (HR = 1.92, 95%CI: 1.20–3.07, p = 0.006) ผู้ที่มี GCS แรกรับระดับ 3–12 (HR = 2.62, 95%CI: 1.69–4.06, p &lt; 0.001) และผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบยกกะโหลกศีรษะออกพร้อมระบายเลือดคั่ง(HR = 3.14, 95%CI: 1.11–8.90, p = 0.031)<br /><strong>สรุป:</strong> ภาวะโซเดียมต่ำมักเกิดในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความรุนแรงของการบาดเจ็บสูงและได้รับการผ่าตัดใหญ่ ควรมีแนวทางติดตามระดับโซเดียมอย่างใกล้ชิดภายใน 7 วันหลังผ่าตัด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276781 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใน 30 วันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดในโรงพยาบาลนางรอง 2025-07-26T12:51:40+07:00 วันณศรินทร์ ประสงค์กูล ae206255@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคสมองขาดเลือดมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการ การกลับมานอนรักษาในโรงพยาบาลสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นและสามารถบ่งชี้คุณภาพการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและการวางแผนการจำหน่าย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอัตราและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกลับมานอนรักษาในโรงพยาบาลภายใน30 วันของผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือด<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> วิจัยเชิงวิเคราะห์แบบ Retrospective cohort study เพื่อศึกษาอัตราการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาลและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาล ในผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือด อายุ 15 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566-30 กันยายน พ.ศ. 2567 ที่วินิจฉัยโรคสมองขาดเลือดเฉียบพลันในเขตอำเภอนางรอง จำนวน 254 คน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน และฐานข้อมูลโรงพยาบาล (HosXP) วิเคราะห์ข้อมูลโดย Univariable และ multivariate analysis ที่ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 Confidence interval (95%CI) รายงานด้วยค่า Relative Risk (RR) และ adjusted Odds ratio (ORadj) และค่า P-value<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> การศึกษาผู้ป่วยทั้งหมด 254 คน พบอัตราการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาลนางรองภายใน 30 วัน คิดเป็นร้อยละ 18.1 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับอัตราการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาลภายใน 30 วัน คือ มีภาวะพึ่งพิง (ORadj=3.3 ,95%CI = 1.29-8.39,P=0.01) และ Atrial Fibrillation (ORadj=3.2 ,95%CI = 1.03-8.86,P=0.04)<br /><strong>สรุป:</strong> อัตราการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาลภายใน 30 วัน คิดเป็นร้อยละ 18.1 พบว่ามีภาวะพึ่งพิงและ Atrial Fibrillation สัมพันธ์กับการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาล ภายใน 30 วันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นำไปใช้วางแผนการดูแลและการวางแผนการจำหน่ายอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเพื่อลดการกลับเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาล</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274559 ผลลัพธ์ทางคลินิกของการรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง ในโรงพยาบาลบัวใหญ่ 2025-03-31T20:40:42+07:00 ไกรสร อุธาดร utdksra@hotmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ภาวะกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจากภยันตรายชนิดไม่รุนแรง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกของการรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงในโรงพยาบาลบัวใหญ่ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยรูปแบบ Retrospective cohort study กลุ่มตัวอย่าง คือเวชระเบียนผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง (Fragility fracture) ที่มารับการรักษาที่แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลบัวใหญ่ ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป ระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562- 30 กันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 97 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 72 ชั่วโมง จำนวน 42 คน และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดภายหลัง 72 ชั่วโมง จำนวน 55 คน รวบรวมข้อมูลด้วยการเข้าสู่ฐานระบบข้อมูลทางโรงพยาบาลโดย Hos XP program ค้นหา รหัส ICD 9, 10 (Femoral neck fracture, Pertrochanteric fracture femur โดยมีรหัส ICD10 S7200-S7220) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป นำมาแจกแจงความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อผลลัพธ์การรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงในโรงพยาบาลบัวใหญ่ โดยใช้สถิติ Independent t-test และ Chi-square test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 72 ชั่วโมง และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดภายหลัง 72 ชั่วโมงพบภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษา มีภาวะเพ้อสับสน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และผลการเปรียบเทียบระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 72 ชั่วโมง กับ กลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดภายหลัง 72 ชั่วโมง (7.31 ±3.01; 11.78± 4.75 : 95%CI –6.14 -2.80) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)<br /><strong>สรุป:</strong> การผ่าตัดผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักเร็วภายใน 72 ชั่วโมง ช่วยลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276783 การเปรียบเทียบค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายจากการตรวจหัวใจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ระหว่างการถ่ายภาพด้วยเทคนิคระนาบเดียวและหลายระนาบในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 2025-07-26T13:35:02+07:00 รัตนพงศ์ วรัมมานุสัย rattanapong.wr@gmail.com กฤษณา ร้อยศรี rattanapong.wr@gmail.com รังสี ทรงประโคน rattanapong.wr@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัดกลุ่ม Anthracyclines มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวจากพิษของยา การประเมินค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย (LVEF) จึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนการรักษา การตรวจหัวใจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เป็นวิธีที่ไม่รุกรานและให้ผลแม่นยำ อย่างไรก็ตาม เทคนิคระนาบเดียว (Planar) อาจได้รับผลกระทบจากการรบกวนของรังสีจากอวัยวะข้างเคียง การถ่ายภาพด้วยเทคนิคหลายระนาบ (SPECT) ช่วยลดข้อจำกัดดังกล่าว จึงควรมีการเปรียบเทียบค่าที่ได้จากทั้งสองเทคนิคเพื่อพิจารณาประสิทธิภาพในการใช้งานจริง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลของค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายระหว่างการถ่ายภาพด้วยเทคนิคระนาบเดียวกับหลายระนาบในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ตรวจหัวใจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์<br /><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลภาพผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 160 ราย ที่ตรวจด้วยสารเภสัชรังสี 99mTc-RBC และถ่ายภาพด้วยเทคนิค Planar และ SPECT ด้วยเครื่อง SPECT/CT จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Syngo.ViaTM และ QBS ตามลำดับ โดยเปรียบเทียบค่า %LVEF ด้วย Wilcoxon-Signed Rank test และวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ด้วย Pearson’s correlation<br /><strong>ผลการศึกษา</strong>: ค่าเฉลี่ยของ %LVEF ที่ได้จากเทคนิคระนาบเดียว เท่ากับ 66.7 ± 6.7% ขณะที่เทคนิคหลายระนาบ เท่ากับ 74.4 ± 9.2% โดยพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) อย่างไรก็ตามทั้งสองวิธีมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง (r = 0.645, p &lt; 0.001)<br /><strong>สรุป:</strong> ค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายจากการถ่ายภาพด้วยเทคนิคหลายระนาบมีแนวโน้มที่จะถูกต้องแม่นยำมากกว่าเทคนิคระนาบเดียวอย่างมีนัยสำคัญ จึงเหมาะสำหรับใช้ในผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนทางกายวิภาคหรือต้องการลดผลกระทบจากรังสีของอวัยวะข้างเคียง และควรพิจารณาใช้เทคนิคนี้เป็นมาตรฐานใหม่ในการประเมินการทำงานของหัวใจ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/277112 การยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟันชนิดกลาสไอโอโนเมอร์และการเกิดฟันผุของฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่งหลังจากวัสดุหลุดของเด็กวัยเรียน งานออกหน่วยทันตกรรมโรงเรียนในเขตพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 2025-08-16T21:13:51+07:00 วนัฏฐา บุญล้อม wnth.ff@gmail.com <p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่งเป็นฟันซี่สำคัญที่มีบทบาทในการบดเคี้ยวและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกรในเด็กวัยเรียน เนื่องจากมีหลุมร่องฟันลึกและทำความสะอาดได้ยาก จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดฟันผุ การเคลือบหลุมร่องฟันจึงเป็นวิธีทันตกรรมป้องกันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดสุรินทร์ ได้ดำเนินโครงการเคลือบหลุมร่องฟันในโรงเรียนผ่านหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ โดยเลือกใช้วัสดุชนิดกลาสไอโอโนเมอร์ (Fuji VII แบบ hand-mixed) แทนเรซิน เนื่องจากข้อจำกัดในการควบคุมความชื้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัสดุดังกล่าวในสภาพแวดล้อมจริง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาการยึดติดของวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันกลาสไอโอโนเมอร์ในระยะเวลา 24 เดือน และอัตราการเกิดฟันผุภายหลังวัสดุหลุด<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยใช้ข้อมูลจากแบบบันทึกการตรวจสุขภาพช่องปากและระบบ HosXP ของโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 6–12 ปี จำนวน 310 ราย ที่เคยได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่ง คัดเลือกโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่, ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบอัตราการยึดติดของวัสดุร้อยละ 9.0 และอัตราการเกิดฟันผุหลังวัสดุหลุดร้อยละ 10.9 ซึ่งมีอัตราการยึดติดต่ำกว่าการศึกษาก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยที่อาจมีผลสอดคล้องกับการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟัน ได้แก่ เป็นการให้บริการทันตกรรมเคลื่อนที่โดยใช้เตียงสนาม และมีจำนวนผู้ช่วยข้างเก้าอี้ไม่ครบขณะทำหัตถการ<br /><strong>สรุป:</strong> การให้บริการเคลือบหลุมร่องฟันในการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ในเขตพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ มีอัตราการยึดติดของวัสดุร้อยละ 9.0 และพบอัตราการเกิดฟันผุภายหลังวัสดุหลุดร้อยละ 10.9</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/277196 บทบรรณาธิการ 2025-08-21T12:14:33+07:00 เชาน์วัศ พิมพ์รัตน์ nongnuchbr14@gmail.com 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/277372 สารบัญ 2025-08-29T22:10:31+07:00 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/276719 บทความทางวิชาการเรื่อง ภาวะเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก 2025-07-23T13:36:15+07:00 ดวงพร หรรษาวงศ์สกุล daungporn.ob@gmail.com <p> ภาวะเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยจะพบได้ร้อยละ 77 ในสตรีที่มาทำการตัดมดลูก โดยอาการที่เกิดจากเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกมีตั้งแต่ไม่มีอาการ ไปจนถึงอาการเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดในปริมาณมาก ก้อนใหญ่จนกดเบียดอวัยวะข้างเคียงทำให้ปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการรักษา ในบทความนี้ได้รวมรวมองค์ความรู้จากวารสารนานาชาติและตำราจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านจะได้ทราบตั้งแต่สาเหตุของการเกิดโรคอย่างละเอียดในระดับยีนส์ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค อาการและอาการแสดง การวินิจฉัย และการรักษาเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้บุคลากรทางการแพทย์ที่อ่านบทความนี้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ในการรักษาภาวะเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก ให้คำปรึกษาเบื้องต้นแก่คนไข้ และสามารถส่งต่อผู้ป่วยมารักษาได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์