วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH
<p>วารสารการแพทย์ MJSSBH เป็นวารสารทางวิชาการด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความที่น่าสนใจอันเป็นองค์ความรู้ใหม่ ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มค.-เมย.) ฉบับที่ 2 (พ.ค. – ส.ค.) และฉบับที่ 3 (ก.ย. – ธ.ค.) และเผยแพร่ทาง website <a href="Https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index">https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index</a></p> <p>โดยปัจจุบันวารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ได้รับการยอมรับและผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 และอยู่ในฐานข้อมูล TCI</p>
ห้องสมุดโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ 10/1 ถนนหน้าสถานี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 31000
th-TH
วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
0857-2895
-
ผลการปรับปรุงกระบวนการคัดกรองคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกกับความคลาดเคลื่อนทางยาโรงพยาบาลสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271170
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปีงบประมาณ 2566 โรงพยาบาลสุรินทร์ พบความคลาดเคลื่อนทางยาในผู้ป่วยนอก 8.6 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา เกิดจากการสั่งยา 2.2 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยระดับร้ายแรง 3 ราย เดือนธันวาคม พ.ศ.2566 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 พบความคลาดเคลื่อนจากการสั่งยา 4.2 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา โดยพบปัญหาการสั่งยาที่ไม่ตรงประวัติยาเดิม สั่งยาในผู้ป่วยที่มีข้อห้ามใช้ จึงได้มีการปรับปรุงการคัดกรองการสั่งใช้ยาขึ้น<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์หลังการปรับปรุงกระบวนการคัดกรองคำสั่งใช้ยาในผู้ป่วยนอกกับความคลาดเคลื่อนทางยาโรงพยาบาลสุรินทร์ <br /><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ระยะเวลา 6 เดือน (ธันวาคม พ.ศ.2566 - พฤษภาคม พ.ศ. 2567) โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) ประชุมทีมสหวิชาชีพ ปรับปรุงกระบวนการคัดกรองใบสั่งยา ตั้งแต่กำหนดเกณฑ์คัดกรอง ออกแบบใบต่อใบสั่งยา การปรึกษาแพทย์เมื่อพบปัญหา 3) ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด 4) ประเมินผลลัพธ์ดำเนินงาน ประชากรคือ ใบสั่งยาและคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ใบสั่งยาและคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-Squared และ Independent t-test <br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการปรับปรุงกระบวนการคัดกรองคำสั่งใช้ยา พบว่า จำนวนใบสั่งยา จาก 26,705 ใบ เพิ่มเป็น 27,000 ใบ ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งยา จาก 4.2 ครั้ง เป็น 6.6 ครั้ง ต่อ 1,000 ใบสั่งยา ประเภทความคลาดเคลื่อนจากสั่งยาไม่ตรงประวัติรักษาของผู้ป่วย จาก 0.2 เป็น 1.1 ครั้ง ต่อ 1,000 ใบสั่งยา การสั่งยาผิดจำนวน จาก 0.9 เป็น 2.0 ครั้ง ต่อ 1,000 ใบสั่งยา โดยเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) การสั่งยาในผู้ป่วยที่มีข้อห้ามใช้ เช่น metformin ในผู้ป่วยที่มี eGFR < 30 มล./นาที/1.73 ตร.ม.) จาก 1 ครั้ง เป็น 3 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยระดับ C (ถึงตัวผู้ป่วย แต่ไม่เป็นอันตราย) ลดลงจาก 2 ราย เป็น 0 ราย<br /><strong>สรุป:</strong> ผลการปรับปรุงการคัดกรองคำสั่งใช้ยา ทำให้ดักจับความคลาดเคลื่อนจากการสั่งยาได้ เพิ่มขึ้นโดยไม่ส่งผลกระทบถึงผู้ป่วยถึงร้อยละ 100 ลดความคลาดเคลื่อนทางยาและเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย</p>
รนกร ปริสุทธิวุฒิพร
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
39 3
599
610
-
บทบรรณาธิการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272713
เชาน์วัศ พิมพ์รัตน์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
(1)
(1)
-
สารบัญ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272898
เชาน์วัศ พิมพ์รัตน์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
39 3
(2)
(3)
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อในผู้บริจาคโลหิตจังหวัดศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272439
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อในผู้บริจาคโลหิต เป็นการตรวจเพื่อค้นหาหลักฐานการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี และซิฟิลิส ในโลหิตบริจาคทั้งหมดก่อนที่จะปล่อยโลหิตและส่วนประกอบของโลหิตที่มีความปลอดภัยมากที่สุดไปใช้ในการรักษากับผู้ป่วย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยของผู้บริจาคโลหิต ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ หมู่โลหิต ประเภทของผู้บริจาคโลหิตและสถานที่บริจาคโลหิต กับผลตรวจผลตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ<br /><strong>รูปแบบการศึกษา:</strong> การศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective study)<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ประชากร คือ ผู้บริจาคโลหิตในจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 11,665 ราย เครื่องมือการวิจัย คือแบบบันทึกข้อมูลที่ได้จากเวชระเบียนที่ประกอบด้วยข้อมูล เพศ อายุ อาชีพ หมู่โลหิต ประเภทของผู้บริจาคโลหิตและสถานที่บริจาคโลหิต กับผลตรวจผลตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ สถิติที่ใช้ข้อมูลทั่วไป คือ จำนวน ร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรใช้สถิติวิเคราะห์ Chi Square Test, Phi correlation, Cramer’V และ Contingency Coefficient<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้บริจาคโลหิตเป็นเพศหญิงมากกว่า ร้อยละ 56.2 มีอายุเฉลี่ย 36.1 ปี อายุน้อยที่สุด 17 ปี อายุมากที่สุด 69 ปี ผู้บริจาคโลหิตส่วนใหญ่อาชีพรับจ้าง เกษตรกร ประชาชนทั่วไป ค้าขาย และพนักงานประจำ จำนวนครั้งของการบริจาคโลหิตเฉลี่ย 6.9 ครั้ง บริจาคโลหิตมากที่สุด 201 ครั้ง บริจาคภายในโรงพยาบาล ร้อยละ 35.3 บริจาคที่หน่วยเคลื่อนที่ ร้อยละ 64.7 ผลการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อโรคไวรัสตับอักชนิดบี ซิฟิลิส โรคไวรัสตับอักชนิดซี โรคเอดส์ และ NAT (HBV/HCV/HIV) ให้ผลบวก ร้อยละ 0.4 0.3 0.1 0.1 และ 0.3 ตามลำดับ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของผลการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ พบว่า ผู้บริจาคโลหิตเพศชายมีการติดเชื้อมากกว่าเพศหญิง ผู้บริจาคโลหิตที่มีอาชีพรับจ้าง เกษตรกร ประชาชนทั่วไป และค้าขาย มีการติดเชื้อมากกว่าอาชีพอื่นๆ และผู้บริจาคโลหิตรายใหม่มีการติดเชื้อมากกว่าผู้บริจาคโลหิตรายเก่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br /><strong>สรุป:</strong> ผู้บริจาคโลหิตที่มีผลการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อเป็นบวกสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ได้แก่ ผู้บริจาคโลหิตรายใหม่เพศชาย ที่มีอาชีพรับจ้าง เกษตรกร ประชาชนทั่วไป และค้าขาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
วราภรณ์ จัดดี
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
531
541
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการรับรู้พลังอำนาจและการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272440
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคมะเร็งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจสังคมและจิตวิญญาณ เนื่องจากมีปัญหาซับซ้อนต่างจากผู้ป่วยทั่วไป ปัญหาสำคัญในการดูแลผู้ป่วยคือ การวางแผนการดูแลล่วงหน้าซึ่งต้องเตรียมความพร้อมของผู้ดูแลต่อเนื่อง ให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน รวมทั้งการปฏิบัติการพยาบาลที่มีความหลากหลายส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการ<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการรับรู้พลังอำนาจ และการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบศึกษาสองกลุ่มวัดซ้ำ 3 ระยะคือ ก่อนการทดลอง หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือนจำนวน 44 รายที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที (ร้อยละ95.2) และหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน (ร้อยละ 96.0) สูงกว่าผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มควบคุม (ร้อยละ70.2) และสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที ไม่แตกต่างจากหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มควบคุม และสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการดูแลหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันทีไม่แตกต่างจากหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน<br /><strong>สรุป:</strong> การเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการรับรู้พลังอำนาจ และการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเป็นกระบวนการที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถและพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย</p>
ปภาวรินทร์ มีชนะ
กนกรัชต์ สุดลาภา
พรทิพย์ ปุกหุต
จันทร์จิรา อินจีน
สุภารัตน์ ลัทธ์ธรรม
ฐพัชร์ คันศร
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
543
553
-
การพัฒนารูปแบบการสร้างสมดุลสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์ของบุคลากรโรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272443
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2564 โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูกเนื่องจากการทำงานเฉลี่ยร้อยละ 0.9 ต่อปี มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 3,765 ราย จังหวัดบุรีรัมย์มีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานจำแนกตามความร้ายแรง ปี พ.ศ. 2565 ตายจำนวน 3 ราย ทุพพลภาพจำนวน 1 ราย สูญเสียอวัยวะบางส่วนจำนวน 2 ราย หยุดงานเกิน 3 วันจำนวน 99 ราย หยุดงานไม่เกิน 3 วันจำนวน 41 ราย โรงพยาบาลบุรีรัมย์พบรายงานโรคจากระบบกล้ามเนื้อและกระดูก จำนวน 892 ครั้ง มีบุคลากรที่ป่วยด้วยอาการปวดหลังมากที่สุดจำนวน 262 ครั้งคิดเป็นร้อยละ 29.4 ปวดไหล่จำนวน 215 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 24.1 ปวดคอจำนวน 141 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 15.8 จึงได้วิจัยการพัฒนารูปแบบการสร้างสมดุลสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์นี้ขึ้น <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาความคิดเห็น ความต้องการ พัฒนารูปแบบ และ ประเมินผลการใช้รูปแบบ การสร้างสมดุลสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์ของบุคลากรโรงพยาบาลบุรีรัมย์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research and Development : R&D) ระหว่างเมษายน พ.ศ. 2566 ถึง กันยายน พ.ศ. 2567 แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1) ศึกษาความคิดเห็นความต้องการ 2) พัฒนารูปแบบ HEKECH MODEL 3) การทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบการสร้างสมดุลสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์ ของบุคลากรโรงพยาบาลบุรีรัมย์<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ความเสี่ยงทางการยศาสตร์ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ท่าทางการทำงานการออกกำลังกาย โภชนาการเพื่อสุขภาพ การพักผ่อนเพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ทางเลือกในการรักษาหรือฟื้นฟูสุขภาพ รวม 5 ด้าน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนความรู้ทั้ง 5 ด้าน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br /><strong>สรุป:</strong> ระดับความเสี่ยงทางการยศาสตร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนความรู้ 5 ด้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังการใช้รูปแบบ HEKECH MODEL </p>
ธฤตกวิน พันธุลี
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
555
565
-
การตั้งครรภ์ซ้ำของมารดาวัยรุ่นในโรงพยาบาลประโคนชัย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272447
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การตั้งครรภ์ซ้ำในมารดาวัยรุ่นเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมารดาวัยรุ่นและส่งผลกระทบต่อทารกในทุกๆด้าน <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกการตั้งครรภ์ซ้ำของมารดาวัยรุ่นในโรงพยาบาลประโคนชัย และศึกษาผลลัพธ์ทารกจากการตั้งครรภ์ซ้ำของมารดาวัยรุ่นในโรงพยาบาลประโคนชัย <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลของมารดาตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีอายุ 10 - 19 ปี จากเวชระเบียนที่คลอดในโรงพยาบาลประโคนชัยตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ.2562 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2566 จำนวน 659 ราย คำนวณหาความชุกของการตั้งครรภ์ตั้งแต่ครั้งที่ 2 ขึ้นไปหลังจากตั้งครรภ์ครั้งก่อนของมารดาวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปี และวิเคราะห์ผลลัพธ์ทารกจากการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่นเปรียบเทียบกับมารดาวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ครั้งแรกโดยใช้การวิเคราะห์ความถดถอยพหุปัวซอง รายงานด้วยค่า Risk Ratio (RR) และช่วงแห่งความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 (95% Confidence interval) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่ามีความชุกของการตั้งครรภ์ซ้ำของมารดาวัยรุ่น ร้อยละ 14.4 เมื่อเปรียบเทียบกับมารดาวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก มารดาวัยรุ่นที่มีการตั้งครรภ์ซ้ำมีโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็น 3.8 เท่า (Adjusted RR = 3.8, 95%CI: 1.8,7.9) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001)<br /><strong>สรุป:</strong> ความชุกการตั้งครรภ์ซ้ำของมารดาวัยรุ่นที่มารับบริการคลอดในโรงพยาบาลประโคนชัย ร้อยละ 14.4 พบว่าทารกที่เกิดจากมารดาวัยรุ่นตั้งครรภ์ซ้ำมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมากกว่ามารดาวัยรุ่นครรภ์แรกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของทารกยังมีข้อจำกัดและจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะยาว </p>
กนกวรรณ หงส์เจริญ
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
567
576
-
อุบัติการณ์และปัจจัยทำนายการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/270388
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นวิธีการที่ได้มาตรฐานในการประเมินปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและการค้นหาการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่มีการให้ยาระงับความรู้สึกทำให้มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญี <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยทำนายการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนายแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงโดยเป็นผู้ป่วยที่มีผลการตรวจพบเลือดแฝงในอุจจาระและผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารซึ่งลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการส่องกล้อง โรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์ จำนวนทั้งสิ้น 606 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ร้อยละ 17 ผลการวิเคราะห์อำนาจการทำนายของปัจจัยที่สามารถทำนายการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ได้แก่ ดัชนีมวลกาย ASA ชนิดของยาระงับความรู้สึก และ ปริมาณยา propofol <br /><strong>สรุป:</strong> อุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่มีจำนวนร้อยละ 17 และ ปัจจัยทำนายการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญี ได้แก่ ดัชนีมวลกาย การประเมินสภาพผู้ป่วยตามความแข็งแรง ชนิดของยาระงับความรู้สึก และปริมาณยา propofol ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปวางแผนการให้การดูแลและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีในผู้ป่วยที่เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ได้</p>
ภัททิรา เพียรชอบ
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
577
588
-
การใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรัง: บทบาทพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272455
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรัง ควรเริ่มตั้งแต่การประเมินผู้ป่วยแบบองค์รวมเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม และควรกำจัดสาเหตุหรือปัจจัยที่จะทำให้แผลหายช้า และให้การพยาบาลโดยการเตรียมพื้นผิวของแผล การบรรเทาความเจ็บปวด การพัฒนาการใช้สมุนไพรในท้องถิ่นเพื่อป้องกันและรักษาผู้ป่วยแผลเรื้อรัง และการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรัง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และบทบาทพยาบาลในการประเมินบาดแผลในการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรัง<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการทำแผลเรื้อรัง โดยการใช้ก๊อซชุบน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นทาบนผิวหนังโดยตรง โดยเฉพาะการประเมินบาดแผล ระยะเวลาการหายของแผล ลักษณะการหายของของแผล ก๊อซติดแผล องค์ประกอบการประเมินได้แก่ ขนาดพื้นที่แผล สิ่งขับหลั่ง พื้นที่ผิว และการประเมินผลของบาดแผลมีประสิทธิภาพดี<br /><strong>สรุป:</strong> พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในการดูแลผู้ป่วยแผลเรื้อรังอย่างมีประสิทธิภาพดี และเป็นทางเลือกในการลดการหายของบาดแผลเรื้อรัง</p>
สิรินทรา ฟูตระกูล
ปัณณทัต บนขุนทด
นิภา สุทธิพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
589
598
-
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/269903
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่พบได้บ่อย และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในระยะที่ 3 และ 4 การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิต Urine Albumin และค่าความเข้มข้นเลือด มีความสำคัญในการชะลอการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต การระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต ในระยะนี้เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาวิธีการดูแล และรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต ของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในพื้นที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปี ปีงบประมาณ 2566 <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลังแบบกลุ่ม (Retrospective Cohort Study) ครั้งนี้ใช้ข้อมูลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 และ 4 จำนวน 268 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้รวมถึงอายุ เพศ ระยะเวลาที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิต Systolic และ Diastolic ประวัติการรับยา ระดับ HbA1c Hematocrit BMI และผลการตรวจปัสสาวะ การวิเคราะห์ใช้สถิติ Univariate และ Multivariate Linear Regression เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากการคำนวณ Univariate Analysis พบว่าความดันโลหิต Systolic, Urine Albumin และ Hct มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต โดย ค่าความดันโลหิต Systolic BP (Coefficient = 0.1, p-value = 0.019) และค่า Urine Alb (Coefficient = 1.3, p-value = 0.000) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเปลี่ยนแปลงค่าอัตราการกรองของไต และ Hct (Coefficient = -0.2, p-value = 0.020) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับการเปลี่ยนแปลงค่าอัตราการกรองของไต ในผู้ป่วยไตเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br /><strong>สรุป:</strong> การควบคุมความดันโลหิต การตรวจสอบ Urine Albumin และการจัดการภาวะโลหิตจางเป็นสิ่งสำคัญในการชะลอการเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไต ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง</p>
พรทิพย์ นิตย์คำหาญ
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
611
619
-
ผลการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ได้รับการดูแลจากสถานีสุขภาพชุมชน ตำบลหนองตาด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272456
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปัญหาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงไม่สามารถควบคุมความดันได้ดี สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ป่วยปฏิเสธการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัญหาภูมิลำเนาที่อยู่ห่างไกลระยะเวลารอคอยในการตรวจรักษานาน จึงเกิดแนวคิดการจัดตั้งสถานีสุขภาพในชุมชนขึ้นเพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง<br /><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาผลการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ได้รับการดูแลจากสถานีสุขภาพชุมชน<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองโดยมีกลุ่มควบคุม (Quasi-Experimental study) <br />กลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาแบ่งออกออกเป็นกลุ่มที่ได้รับบริการสถานีสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านหนองตาดจำนวน 100 คน และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้มารับบริการสถานีสุขภาพจำนวน 100 คน ผลการศึกษาจะแสดงเป็น p-value ที่กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวหลังใช้บริการสถานีสุขภาพเป็น 134.6 mmHg ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มารับบริการสถานีสุขภาพ (139.0 mmHg) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.0048) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวหลังใช้บริการสถานีสุขภาพเป็น 78.8 mmHg ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มารับบริการสถานีสุขภาพ (81.6 mmHg) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.024) นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้บริการสถานีสุขภาพสามารถป้องกันการปรับเพิ่มยาความดันโลหิตสูงเป็นร้อยละ 84.6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (RR = 0.154 (95% CI เป็น 0.035 – 0.664)<br />สรุป: จากการศึกษาผลการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ได้รับการดูแลจากสถานีสุขภาพชุมชน พบว่าสามารถลดระดับความโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และหัวใจคลายตัวได้ดี นอกจากนั้นยังสามารถป้องกันการปรับเพิ่มยาความดันโลหิตสูงได้</p>
นลัท พรชัยวรรณาชาติ
วรยศ ดาราสว่าง
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
621
630
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของสตรีตั้งครรภ์โรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272457
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ในปี พ.ศ. 2565 - 2567 โรงพยาบาลจังหวัดศรีสะเกษพบว่าอัตราการคลอดก่อนกำหนดยังคงมีอัตราที่สูงต่อเนื่อง <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดของสตรีตั้งครรภ์ โรงพยาบาลศรีสะเกษ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาวิจัยแบบย้อนหลัง (case control study) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 สตรีตั้งครรภ์จำนวนทั้งหมด 315 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่คลอดอายุครรภ์ก่อนกำหนด จำนวน 142 รายและกลุ่มที่คลอดอายุครรภ์ครบกำหนด จำนวน 173 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ ด้วยวิธี Univariable logistic regression, Multivariable logistic regression ในการคำนวณหา odds ratios และ 95 % confidence interval โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ p-value <0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มโอกาสเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การตั้งครรภ์แฝด 9.47 เท่า (95%CI:1.20-74.86) ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์(อินซูลิน) 49.09เท่า (95%CI: 3.76-640.13) สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนด 8.46 เท่า (95%CI: 1.03-69.75) สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำเดิน 4.66 เท่า (95%CI:2.20-9.90) ปัจจัยที่จะช่วยลดโอกาส เสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ ระยะห่างระหว่างตั้งครรภ์มากกว่า 2 ปี และน้ำหนักขณะตั้งครรภ์เพิ่มตามเกณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการมีภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ร้อยละ 84 (95%CI: 0.07-0.37) และร้อยละ 57 (95%CI: 0.22-0.85) ตามลำดับ<br /><strong>สรุปผล:</strong> การคัดกรองความเสี่ยงประวัติการคลอดก่อนกำหนด การดูแลฝากครรภ์ความเสี่ยงสูงเบาหวาน ครรภ์แฝด การดูแลตนเองได้เหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ให้น้ำหนักเพิ่มตามเกณฑ์ รวมทั้งการวางแผนครอบครัวที่ดี เว้นระยะห่างการตั้งครรภ์เหมาะสม การให้ความรู้กับสตรีตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด</p>
พจนา กิจเจริญธนารักษ์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
631
640
-
การศึกษาเปรียบเทียบผลการติดของกระดูกขาทิเบียหักแบบปิด (AO classification 42A,42B,42C) ที่ได้รับวิตามินดี 2 และ แคลเซียม ภายหลังการผ่าตัด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271024
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การให้วิตามินดี และ แคลเซี่ยมภายหลังกระดูกหักช่วยให้กระดูกติดดีขึ้น ในผู้ป่วย osteoporosis แต่ยังเป็นข้อถกเถียงในผู้ป่วยที่มีกระดูกขาทิเบียหักแบบปิด ว่าสามารถทำให้การติดของกระดูกดีขึ้นหรือไม่ เมื่อได้รับวิตามินดี2 และแคลเซี่ยมภายหลังผ่าตัด<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อหาว่าการให้วิตามินดี2 และ แคลเซี่ยมในผู้ป่วยกระดูกขาทิเบียหักแบบปิด สามารถเพิ่มอัตราการติดของกระดูกได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยศึกษาแบบย้อนหลังโดยการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยกระดูกขาทิเบียหักที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 - 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โดยเปรียบเทียบอัตราการติดของกระดูกระหว่างผู้ป่วยที่ไม่ได้รับวิตามินดี 2 (group 1) กับ ผู้ป่วยที่ได้รับวิตามินดี 2 และ แคลเซี่ยม 1,000 มิลิกรัม (group 2) ภายหลังการผ่าตัดดามกระดูก<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 202 คน โดยแบ่งเป็น 119 คน, 83 คน ในกลุ่ม 1 และ กลุ่ม 2 ตามลำดับ พบอัตราการติดของกระดูก ดังนี้ ร้อยละ 85.7 84.3 p=0.79 ซึ่งไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ<br /><strong>สรุป:</strong> ผู้ป่วยกระดูกขาทิเบียหักแบบปิด ที่ได้รับการผ่าตัดดามกระดูกที่ได้รับวิตามินดี 2 และ แคลเซี่ยม ภายหลังผ่าตัด พบว่าอัตราการติดของกระดูก ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ</p>
ภูมิชาย สุวรักษ์สกุล
กันต์ธร มิตรปราสาท
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
653
661
-
ผลลัพธ์ของการบริบาลเภสัชกรรมโดยเภสัชกรในผู้ป่วยโรคหืดและการพัฒนาระบบการจ่ายยาของเภสัชกรร่วมกับสหวิชาชีพ โรงพยาบาลนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/270589
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> รคหืดเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลด้านลบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต สังคมและเศรษฐกิจ<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการบริบาลเภสัชกรรมโดยเภสัชกรและแนวทางการพัฒนาระบบการจ่ายยากับสหวิชาชีพในคลินิกโรคหืด โรงพยาบาลนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเปรียบเทียบโดยใช้ข้อมูลจากผู้ป่วยทั้งหมด 362 คน ผลลัพธ์ทางคลินิกที่วิเคราะห์ ได้แก่ การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการหอบกำเริบ การเข้าบริการซ้ำใน 72 ชั่วโมงด้วยอาการหอบกำเริบ การเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินด้วยอาการหอบกำเริบ และการเสียชีวิต และตัวแปรปัญหาการใช้ยา โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ Pearson’s Chi-square test (X2) เพื่อทดสอบความแตกต่างของผลลัพธ์ที่ได้ระหว่างกลุ่มก่อนและหลังการมีระบบฯ <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่า มีผู้ป่วยโรคหืดทั้งหมด 362 คน แบ่งเป็นก่อนและหลังมีระบบการจ่ายยาในคลินิกโรคหืด 194 คน เป็นผู้ชาย 89 คน หรือร้อยละ 45.9 และผู้หญิง 105 คน หรือร้อยละ 54.1 และหลังมีระบบการจ่ายยาในคลินิกโรคหืด 168 คน เป็นผู้ชาย 56 คน หรือร้อยละ 33.3 และผู้หญิง 168 คน หรือร้อยละ 66.7 ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง โดยสัดส่วนผู้ป่วยหญิงในกลุ่มก่อนมีระบบฯ ต่ำกว่า (ร้อยละ 54.1 และ 66.7 p-value<0.05) เมื่อเทียบกับก่อนมีระบบฯ หลังมีระบบฯ สามารถลดการเข้ารับการรักษาด้วยอาการหอบหืดกำเริบลดลงจากร้อยละ 17.0 เป็นร้อยละ 8.9 (p-value <0.05) ผลลัพธ์อื่น ๆ ก็ลดลงแม้ว่าสัดส่วนไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสัดส่วนที่เข้ารับบริการซ้ำภายใน 72 ชม. ลดลงจากร้อยละ 10.3 เป็นร้อยละ 5.9 เข้ารับรักษาในห้องฉุกเฉินลดลงจากร้อยละ 8.8 เป็นร้อยละ 4.8 และสัดส่วนผู้เสียชีวิตลดลงจากร้อยละ 2.1 เป็น 0.0 ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาทุกประเด็นลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ปัญหาการใช้ยาลดลงจากร้อยละ 39.7 เป็นร้อยละ 19.6 และได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเภสัชกร สัดส่วนที่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาพ่นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 88.7 เป็นร้อยละ 94.6 และสัดส่วนที่ผ่านประเมินการใช้ยาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.7 เป็นร้อยละ 92.7<br /><strong>สรุป:</strong> การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินระบบฯ สามารถลดปัญหาการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมของผู้ป่วย และสามารถลดปัญหาทางคลินิกการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลและการรับการรักษาให้ห้องฉุกเฉิน </p>
ธรรมนูญ กิจไธสง
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
663
672
-
การศึกษาข้อมูลการเตรียมเลือดที่เกินจำเป็นสำหรับการผ่าตัดในผู้ป่วยประเภท Elective Surgery ของโรงพยาบาลสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/270268
<p><strong> หลักการและเหตุผล:</strong> การจองเลือดและการใช้เลือดที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อปริมาณเลือดสำรอง ทำให้ไม่สามารถจัดเตรียมเลือดและส่วนประกอบของเลือดให้เพียงพอกับความต้องการ ทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระงานและสูญเสียค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล ผู้ทำวิจัยจึงสนใจทำการศึกษาเพื่อหาแนวทางการใช้เลือด กำหนดแนวทางการเตรียมเลือด และส่วนประกอบของเลือดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดประเภท elective surgery ในโรงพยาบาล<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการเตรียมเลือด การใช้เลือด และแสดงการเตรียมเลือดที่เกินจำเป็น สำหรับการผ่าตัดในผู้ป่วยประเภท elective surgery ของโรงพยาบาลสุรินทร์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังเชิงพรรณนา โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยกลุ่ม elective surgery ที่มีการสั่งจองเลือดของผู้ป่วยที่เตรียมการผ่าตัดล่วงหน้า จากห้องตรวจผู้ป่วยนอกที่มีการกำหนดวันผ่าตัดที่แน่นอนในแผนก สูติ-นรีเวชกรรม ศัลยกรรมทั่วไป อายุรกรรม กุมารเวชกรรม ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ และศัลยกรรมระบบประสาท ของผู้ป่วยโรงพยาบาลสุรินทร์ ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยในงานคลังเลือด โรงพยาบาลสุรินทร์ การวิเคราะห์หาดัชนีชี้วัดการเตรียมเลือดที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดของแต่ละหัตถการ โดยใช้ตัวชี้วัด 3 ชนิดคือ Crossmatch-to-transfusion (C:T ratio), Transfusion probability (%T) และ Transfusion index (Ti) และคำนวณภาระงานโดยใช้ FTE ที่กำหนดเวลามาตรฐานในการเตรียมเลือดแบบ complete crossmatch เท่ากับ 11 นาที/ยูนิต<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> เมื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้เม็ดเลือดแดงเข้มข้นในกลุ่มผู้ป่วย elective surgery ของโรงพยาบาลสุรินทร์พบว่า มีค่า C:T ratio = 9.7 ,%T = 61.9 และ Ti = 1.1 ซึ่งดัชนีชี้วัด C:T ratio มีค่าเกินกว่า เกณฑ์มาตรฐานที่ AABB กำหนดไว้แสดงว่ามีการสั่งเตรียมเลือดเกินความต้องการใช้จริง โดยการผ่าตัดทางสูติ-นรีเวชกรรม มีการสั่งจองเลือดมากเกินความต้องการใช้จริงมากที่สุด คือค่า C:T ratio สูงถึง 36.8 ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มอื่นก็มีดัชนีชี้วัดการเตรียมเลือดที่เหมาะสม สำหรับการผ่าตัดแต่ละหัตถการของผู้ป่วยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเตรียมเลือดแต่ไม่มีการใช้จริง จำนวน 1,540,950 บาท และหากผู้ป่วยกลุ่มนี้ใช้แนวทางการเตรียมเลือดด้วยวิธี Type and screen สามารถลดภาระงานได้ 1,883 ชั่วโมง<br /><strong>สรุป:</strong> การผ่าตัดประเภท elective surgery ของโรงพยาบาลสุรินทร์มีดัชนีชี้วัดการเตรียมเลือดสำหรับการผ่าตัดแต่ละหัตถการของผู้ป่วยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ดังนั้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้การจองเลือดด้วยวิธี Type and screen จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมเลือด ลดภาระงานและขั้นตอนปฏิบัติงานในการเตรียมเลือด ส่งผลให้มีโลหิตหมุนเวียนใช้เพียงพอ รวมถึงเพิ่มปริมาณเลือดสำรองคงคลัง ทำให้มีเลือดพอเพียงให้ผู้ป่วยที่มีความต้องการใช้จริง</p>
พลอย บุญร่วม
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
673
681
-
การเปรียบเทียบความสว่างและความพึงพอใจของภาพถ่ายในช่องปากจากสมาร์ทโฟน 2 ชนิด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272459
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปัจจุบันงานด้านทันตกรรมได้มีการนำสมาร์ทโฟนมาใช้กันอย่างกว้างขวางขึ้นโดยเฉพาะการนำภาพถ่ายจากสมาร์ทโฟนมาใช้ในการสื่อสารทั้งกับทันตแพทย์ด้วยกันเองหรือกับวิชาชีพอื่นรวมถึงการใช้สื่อสารกับผู้ป่วย วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้เพื่อเปรียบเทียบความสว่างและความพึงพอใจของทันตแพทย์ต่อภาพถ่ายในช่องปากจากสมาร์ทโฟน 2 ชนิด คือ แอปเปิล ไอโฟน สิบ (Apple iPhone X) และ ซัมซุง กาแล็คซี่ เอสเก้า พลัส (Samsung Galaxy S9 Plus)<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ประเมินความสว่างภาพถ่ายในช่องปากลักษณะฟันหน้ากัดตรงจากกล้องสมาร์ทโฟนทั้งสองชนิด จำนวน 50 ภาพ/ชนิดกล้อง ด้วยเมนู histogram ในโปรแกรม Adobe Photoshop 2020 ส่วนการประเมินความพึงพอใจของภาพถ่ายในช่องปากนั้นได้ให้ทันตแพทย์ 40 คนทำแบบสอบถามในคุณภาพของภาพถ่าย 4 ด้าน ดังนี้ คือด้านความคมชัด ความชัดเจนครอบคลุมในตำแหน่งที่ต้องการ ความสว่างของแสง และความสมจริงของภาพ โดยสถิติที่ใช้คือ Independent t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ความสว่างของภาพถ่ายในช่องปากจากกล้องสมาร์ทโฟน Apple รุ่น iPhone x® กับ Samsung รุ่น galaxy s9plus® พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ส่วนในเรื่องความพึงพอใจของทันตแพทย์ต่อคุณภาพของภาพถ่ายในช่องปากจากกล้องสมาร์ทโฟนทั้ง 2 ชนิดมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน คือด้านความคมชัด ความชัดเจนครอบคลุมในตำแหน่งที่ต้องการ ความสว่างของแสง และความสมจริงของภาพทั้งต่อลักษณะของฟันและเหงือก และเมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้านทั้งต่อลักษณะของฟันและเหงือก) <br /><strong>สรุป:</strong> ความสว่างและความพึงพอใจของทันตแพทย์ต่อคุณภาพของภาพถ่ายในช่องปากพบว่าทันตแพทย์มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน ต่อลักษณะของฟันและเหงือก จากกล้องสมาร์ทโฟน Apple รุ่น iPhone x® กับ Samsung รุ่น galaxy s9plus® ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกล้องสมาร์ทโฟนทั้ง 2 ชนิด ดังนั้นทันตแพทย์สามารถใช้กล้องจากสมาร์ทโฟนทั้งสองชนิดแทนกันได้ในการถ่ายรูปในช่องปาก </p>
นภัสวรรณ ซารัมย์
สุมนา โพธิ์ศรีทอง
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
683
693
-
ประสิทธิผลและปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลการบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติดโดยใช้รูปแบบจิตสังคมบำบัดแบบประยุกต์ของโรงพยาบาลบ้านด่าน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/270599
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรงพยาบาลบ้านด่านเป็นโรงพยาบาลชุมชนสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทหน้าที่ในการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดสารเสพติดโดยใช้รูปแบบจิตสังคมบำบัดประยุกต์ ซึ่งโรงพยาบาลบ้านด่านยังไม่เคยมีการศึกษาวิเคราะห์ผลของการบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด ด้วยรูปแบบที่ใช้มาก่อน การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติดโดยวัดจำนวนผู้ที่เข้ารับการบำบัดครบและวัดจำนวนผู้หยุดเสพหลังจากบำบัดครบ รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลการบำบัดรักษาเพื่อเป็นข้อมูลและเป็นองค์ความรู้ในการดำเนินงานป้องกันรักษาฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดต่อไป <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลและปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลของการบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด ตามรูปแบบจิตสังคมบำบัดประยุกต์โรงพยาบาลบ้านด่าน <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (retrospective descriptive study) รวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลระบบรายงานระบบติดตามและการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดของกระทรวงสาธารณสุข เครื่องมือที่ใช้คือแบบบันทึกข้อมูลการบำบัดรักษาผู้ใช้สารเสพติด (บสต.3) ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการใช้สารเสพติดและผลการบำบัดยาเสพติด วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการใช้สารเสพติดและประสิทธิผลการบำบัดรักษาด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลของการบำบัดด้วยสถิติ Chi-square<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการศึกษาพบว่าผู้บำบัดยาเสพติด ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ96.4) อายุ 20-29 ปี (ร้อยละ37.3) อายุเฉลี่ย 25.5 ปี ส่วนใหญ่สถานภาพสมรสโสด (ร้อยละ67.5) สำเร็จการศึกษาสูงสุดระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 43.4) ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป (ร้อยละ48.2) รายได้เฉลี่ยต่อเดือนพบว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีรายได้ร้อยละ 37.3 รองลงมามีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,000 – 10,000 บาท (ร้อยละ 34.9) การใช้สารเสพติดของผู้ติดสารเสพติด ส่วนใหญ่เริ่มใช้สารเสพติดครั้งแรกอายุ 10-19 ปี ชนิดสารเสพติดที่ใช้ครั้งแรกเป็นยาบ้า สาเหตุสำคัญที่ใช้สารเสพติดครั้งแรกเพราะอยากลอง ส่วนใหญ่เข้ารับการบำบัดเป็นครั้งแรกร้อยละ 80.7 ลักษณะเข้ารับการบำบัดทั้งหมดคือบังคับบำบัดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูหรือเป็นผู้ต้องโทษร้อยละ 100 ด้านประสิทธิผลการบำบัด ผลการศึกษาพบว่าผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดร้อยละ 67.5 มีประสิทธิผลการบำบัด เมื่อทดสอบความสัมพันธ์พบว่าปัจจัยที่ศึกษาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br /><strong>สรุป:</strong> การบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติดตามรูปแบบจิตสังคมบำบัดประยุกต์โรงพยาบาลบ้านด่านมีประสิทธิผลในการบำบัดยาเสพติด สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นทางเลือกในการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับบริการได้</p>
ทนงศักดิ์ ปิดตาทะสา
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
695
706
-
ความชุกและปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก โรงพยาบาลเทพรัตน์ จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271099
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก (Deep Neck Infection) เป็นกลุ่มของการติดเชื้อที่ร้ายแรงแต่สามารถรักษาได้ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานกว่า 7 วัน ของผู้ป่วยติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก โรงพยาบาลเทพรัตน์ นครราชสีมา<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง (retrospective study) ศึกษาในผู้ป่วยติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก (Deep Neck Infection) ที่รักษาในโรงพยาบาลเทพรัตน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 มีทั้งสิ้น 225 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ stepwise logistic regression<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากการศึกษาผู้ป่วยติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก 225 ราย พบความชุกผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 7 วันร้อยละ 25.7 พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานกว่า 7 วัน (Poor Prognosis) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ตัวแปร อายุ (ปี) (Adj.OR = 1.02; 95%CI = 1.00-1.05), มีการติดเชื้อ มากกว่า/เท่ากับ 2 ช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก (Adj.OR = 27.59; 95%CI = 6.29-121.12) และ ช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกที่ตำแหน่ง Ludwig angina (Adj.OR = 13.49; 95%CI = 4.85-37.53), Retropharyngeal (Adj.OR = 46.14; 95%CI = 4.03-527.90) และ parapharyngeal (Adj.OR = 82.50; 95%CI = 9.61-707.93) <br /><strong>สรุป:</strong> พบความชุกของผู้ป่วยติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 7 วันร้อยละ 25.7 และปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานกว่า 7 วัน ได้แก่ อายุ มีการติดเชื้อ มากกว่า/เท่ากับ2 ช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึก ช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกที่ตำแหน่ง Ludwig angina, Retropharyngeal และ parapharyngeal</p>
ฉัตรสุดา นามวิบูลย์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
707
717
-
ปัจจัยทำนายการเกิดท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบหลังการผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต โรงพยาบาลชัยภูมิ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/269912
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบเป็นภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะส่งผลให้เกิดการอุดกั้นทางออกของปัสสาวะช่วงล่าง การป้องกันปัจจัยเสี่ยงจะช่วยลดการเกิดท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบได้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการเกิดท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบหลังการผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะ โรงพยาบาลชัยภูมิ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังในผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 - วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2566 กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลชัยภูมิ จำนวน 251 ราย และติดตามการรักษานาน 6 เดือนในรายที่มีอาการทางเดินปัสสาวะช่วงล่างอุดกั้น กลุ่มที่1 ผู้ป่วยหลังผ่าตัดต่อมลูกหมากซึ่งไม่มีท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบ จำนวน 236 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยหลังผ่าตัดต่อมลูกหมากที่มีท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบ จำนวน 15 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและปัจจัยทำนายโดยใช้ Univariate และmultivariate analysis (p-value<0.05) <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตหลังผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะ จำนวน 251 ราย กลุ่มที่ 1 มีอายุเฉลี่ย 68.7±4.5 ปี ค่า IPSS เฉลี่ย 24.2±3.9 คะแนน ระยะเวลาผ่าตัดเฉลี่ย 52.9±13.9 นาที การตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเฉลี่ย 15.1±3.8 กรัม ได้รับการทำผ่าตัดซ้ำร้อยละ 1.3 กลุ่มที่ 2 มีภาวะท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบในส่วนของ Bulbar มีอายุเฉลี่ย 69.8±6.7 ปี มีค่า IPSS เฉลี่ย 25.9±4.0 คะแนน ระยะเวลาผ่าตัดเฉลี่ย 62.7±16.1 นาที การตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเฉลี่ย 15.6±2.5 กรัม ได้รับการทำผ่าตัดซ้ำร้อยละ 83.7 ปัจจัยทำนายที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบ (p-value<0.05) ได้แก่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Adj OR 18.0; 95% CI, 2.3-138.2) ระยะเวลาผ่าตัดเฉลี่ย 62.7±16.1 นาที (Adj OR 1.1; 95% CI, 1.0-1.1) การทำผ่าตัดซ้ำเพื่อห้ามเลือด (Adj OR 0.0; 95% CI, 0.0-0.2) และมีปัสสาวะคั่งได้รับการสวนปัสสาวะครั้งที่2 (Adj OR 0.0; 95% CI, 0.0-0.2)<br /><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยทำนายการเกิดท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบ ได้แก่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ระยะเวลาผ่าตัด 46.6-78.8 นาทีการทำผ่าตัดซ้ำเพื่อห้ามเลือด และมีปัสสาวะคั่งได้รับการสวนปัสสาวะครั้งที่ 2 ดังนั้นการให้ความสำคัญและระมัดระวังปัจจัยดังกล่าวจะช่วยลดการเกิดท่อปัสสาวะส่วนหน้าตีบได้ </p>
เชฏฐา ฐานคร
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
719
729
-
ศึกษาเปรียบเทียบการปิดสายระบายเลือดแบบชั่วคราว 16 ชั่วโมงกับ 4 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรงพยาบาลบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/270384
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การใส่สายระบายเลือดจากข้อเข่าหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Arthroplasty: TKA) เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการคั่งของเลือดในหัวเข่า การปริแตกของแผลผ่าตัด การติดเชื้อ และลดอาการปวด<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการปิดสายระบายเลือดแบบชั่วคราว 16 ชั่วโมง กับ 4 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรงพยาบาลบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized Control Trial) ในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ในโรงพยาบาลบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร จำนวน 70 คน เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ ความปวด (Pain) พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า (Range of Motion: ROMs) ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit: Hct) ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb) อัตราการให้เลือด (Blood transfusion rate) และปริมาณเลือดในขวดระบายเลือด ระหว่างการปิดสายระบายเลือดแบบชั่วคราว 16 ชั่วโมง กับ 4 ชั่วโมง โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และ Independent t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> อัตราการให้เลือดและปริมาณเลือดในขวดระบายเลือดภายหลังการผ่าตัดของกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างความปวด พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ระดับความเข้มข้นของเลือดและระดับฮีโมโกลบินของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการเข้ารับการผ่าตัด (p < 0.01) <br /><strong>สรุปผล:</strong> การปิดสายระบายเลือดแบบชั่วคราว 16 ชั่วโมง มีอัตราการให้เลือดและปริมาณการสูญเสียเลือดในขวดระบายน้อยกว่าการปิดสายระบายเลือดแบบชั่วคราว 4 ชั่วโมง</p>
ภัทรกานต์ สุวรรณทศ
อุษนันท์ อินทมาศน์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
731
742
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271516
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ผู้ป่วยกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (Acute respiratory distress syndrome: ARDS) ที่ได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจ แพทย์จำเป็นต้องปรับตั้งเครื่องช่วยหายใจขั้นสูงซึ่งไม่ใช่รูปแบบการปรับตั้งโดยทั่วไป มีความยุ่งยากซับซ้อนในการดูแลแพทย์จำเป็นต้องให้ยากล่อมประสาทและบางรายต้องให้ยาหย่อนกล้ามเนื้อร่วมด้วย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวลดลง พยาบาลต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกลุ่มนี้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูง และศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูงหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ดำเนินการพัฒนาเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบและนำไปใช้ และระยะที่ 3 ประเมินผล เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เป็นผู้ให้บริการ 22 คน ผู้รับบริการ 65 คน ผ่านคณะกรรมการจริยธรรมโรงพยาบาลสุรินทร์ เครื่องมือที่ใช้ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกอายุรแพทย์ แบบสนทนากลุ่มพยาบาลวิชาชีพหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม แบบบันทึกการปฏิบัติตามรูปแบบ แบบทบทวนเวชระเบียน แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติวิเคราะห์ใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเปรียบเทียบใช้ Fisher Exact Test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> 1. ได้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูง 8 ประเด็น ดังนี้ การบันทึกค่าปรับตั้งเครื่องช่วยหายใจ การประเมินค่าเฝ้าระวังของเครื่องช่วยหายใจ การปรับขนาดของยากล่อมประสาทและยาหย่อนกล้ามเนื้อ การประเมินระดับความตื่นตัวของผู้ป่วย การจัดท่าผู้ป่วยนอนคว่ำ การพยาบาลขณะแพทย์ขยายปอดด้วยแรงดันสูง เกณฑ์ในการรายงานแพทย์ <br />2. ผลการใช้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูงพบว่า การบันทึกค่าปรับตั้งเครื่องช่วยหายใจ พยาบาลสามารถปรับระดับออกซิเจนตามเงื่อนไขที่แพทย์กำหนด ร้อยละ 100 การประเมินค่าเฝ้าระวังของเครื่องช่วยหายใจ เดิมบันทึกทุก 4 ชั่วโมง ปรับเป็นบันทึกทุก 1 ชั่วโมง ร้อยละ 100 แพทย์ปรับขนาดของยากล่อมประสาทและยาหย่อนกล้ามเนื้อโดยใช้ข้อมูลที่พยาบาลประเมินระดับความตื่นตัวของผู้ป่วยร้อยละ 100 การจัดท่าผู้ป่วยนอนคว่ำ อุบัติการณ์การได้รับบาดเจ็บของกระดูกสันหลังส่วนคอ เป็น ศูนย์ เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่าการได้รับบาดเจ็บของกระดูกสันหลังส่วนคอ ไม่มีความสัมพันธ์กันกับรูปแบบฯ อุบัติการณ์การเกิดปอดรั่ว (pneumothorax) ขณะแพทย์ขยายปอดด้วยแรงดันสูง เป็น ศูนย์เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า มีความสัมพันธ์ในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มที่ได้รับการดูแลแบบเดิมมีโอกาสเกิดภาวะ pneumothorax มากกว่าการดูแลโดยใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p < 0.05) พยาบาลรายงานแพทย์เมื่อมีข้อบ่งชี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 100 แพทย์ และพยาบาลมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับตั้งขั้นสูงส่งผลให้เกิด pneumothorax ลดลง</p>
อุทัยวรรณ เนาว์พิริยวัฒน์
วรรณภา ประภาสอน
จิรสุดา ทะเรรัมย์
สุขสันต์ พรหมศวร
น้ำทิพย์ จานนอก
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
743
753
-
วิจัยประเมินผลการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272711
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปากแหว่งเพดานโหว่เป็นความพิการแต่กำเนิดบริวณใบหน้าและขากรรไกรที่พบได้บ่อยสามารถรักษาได้แต่มีความซับซ้อนและระยะเวลาการดูแลรักษายาวนาน ต้องมีบุคลากรการแพทย์หลายสาขาทำงานร่วมกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ และประเมินผลการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยรูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ประกอบด้วยการประเมินปัจจัยบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยประเมินผล (Evaluation Research) รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองของเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ที่พาเด็กมารับการรักษาที่คลินิกยิ้มสวยเสียงใส โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 92 คน และกลุ่มคณะทำงาน บุคลากรโรงพยาบาลบุรีรัมย์จำนวน 13 คน เก็บข้อมูล ระหว่างวันที่ 22 มกราคม- 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) เชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่ม<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่า 1) ด้านบริบท มีการดำเนินการสอดคล้องกับเข็มมุ่งของกลุ่มงานและโรงพยาบาล แผนงาน โครงการมีความเป็นไปได้สูงการแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ แต่ยังขาดแผนการด้านงบประมาณพัฒนาบริการ สถานที่ในการดำเนินกิจกรรม มีความเหมาะสมดี แต่มีที่นั่งรอรักษาไม่เพียงพอ 2) ด้านปัจจัยนำเข้า โรงพยาบาลมีนโยบายให้การช่วยเหลือค่ารักษาบางส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิรักษาทันตกรรม มีการทำงานร่วมกัน มีบริการหลากหลายทั้งการฝึกแปรงฟัน ทันตกรรมเด็ก ทันตกรรมจัดฟัน การส่งต่อ และมีเจ้าหน้าที่จากสภากาชาดจังหวัดมาร่วมให้บริการ มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสมด้านเวลาดำเนินการ แต่ยังขาดการรวบรวมข้อมูลในการสร้างเสริมสุขภาพรายบุคคล การส่งเสริมด้านโภชนาการเด็ก และทีมแพทย์ในการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กบางราย 3) ด้านกระบวนการ บรรลุเป้าหมายของโครงการอยู่ในระดับมาก ยังขาดการด้านการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน 4) ด้านผลลัพธ์ การดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ บุคลากรมีส่วนร่วมมีความพึงพอใจและภาคภูมิใจในการปฏิบัติงาน ผู้รับบริการมีความพึงพอใจบริการในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.4) ร้อยละความพึงพอใจเท่ากับ 80.9 ปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงบริการคือ ความลำบากในการเดินทางมารับบริการต่อเนื่อง และสถานบริการใกล้บ้านยังไม่สามารถให้ข้อมูลและการรักษาสำหรับเด็กปากแหว่งโหว่ที่ดีพอ<br /><strong>สรุป:</strong> ผลการประเมินครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการให้บริการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ยังมีปัญหาการวางแผนงบประมาณ การรวบรวมข้อมูลในการสร้างเสริมสุขภาพรายบุคคล การส่งเสริมด้านโภชนาการเด็ก การประสานทีมแพทย์ในการดูแลสุขภาพจิต และการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยทันตกรรมเพื่อให้ได้รับการดูแลโดยหน่วยบริการสุขภาพใกล้บ้านอย่างเหมาะสม </p>
ธิดา รัตนวิไลศักดิ์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
755
764
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272712
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้น ถือเป็นช่วงวิกฤตต้องได้รับการดูแลอย่างทันทีทันใด จากพยาบาลที่มีความสามารถประเมินภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นและให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน มีคุณภาพ และปลอดภัย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนารูปแบบ และผลการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้น โรงพยาบาลบุรีรัมย์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่าง: วิสัญญีพยาบาล 30 คน และผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสะโพกหัก 30 คน ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน 2) ปฏิบัติตามแผน 3) การสังเกต 4) สะท้อนผล เครื่องมือ: แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามปัญหาการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึก, แบบสอบถามการปฏิบัติงาน และแบบสอบถามความคิดเห็นก่อนและหลังการได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้น เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบบันทึกการดูแลผู้ป่วยระยะหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้น วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Wilcoxon Signed Ranks Test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> สภาพปัญหา: พื้นที่ห้องพักฟื้นคับแคบ มีผู้ป่วยจำนวนมาก อัตรากำลังมีจำกัด แบบบันทึกสัญญาณชีพมีช่องจำกัด มีความล่าช้า ส่งต่อข้อมูลไม่ครบถ้วน ส่งผู้ป่วยกลับไม่ได้ตามเวลา รูปแบบในการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้นที่พัฒนาขึ้นครอบคลุมตามมาตรฐานวิชาชีพ ถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และระดับการปฏิบัติและความคิดเห็นของวิสัญญีพยาบาลหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกในห้องพักฟื้นให้ได้มาตรฐาน สะดวก รวดเร็วขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อน </p>
สุพัตรา ฉาไธสง
เมธา พันธ์รัมย์
จิราภรณ์ ชวนรัมย์
ปภาดา บุญไชยะ
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
765
777
-
ผลกระทบทางคลินิกของการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวน้อยที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271510
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> โรคกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวน้อย (Dilated Cardiomyopathy; DCM) เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน (Sudden Cardiac Death; SCD) การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (Automatic Implantable Cardioverter Defibrillator; AICD) จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกระหว่างการรักษาด้วยยาอย่างเดียวและการใช้ AICD ร่วมกับยาในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวน้อยที่ไม่มีภาวะขาดเลือด(Nonischemic Dilated Cardiomyopathy)<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective Descriptive Study) เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยโรค Non-Ischemic DCM จำนวน 120 ราย ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร จังหวัดสกลนคร ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2560 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2565 ผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับ AICD ร่วมกับการรักษาด้วยยา (n=60) และกลุ่มที่ได้รับยาอย่างเดียว (n=60) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์แบบ Survival Anal-ysis<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าอัตราการเสียชีวิตจาก SCD ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยยาอย่างเดียวอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ขณะที่กลุ่มที่ได้รับ AICD ร่วมกับยาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 โดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.0405) ไม่มีความแตกต่างในอัตราการรอดชีวิตโดยรวม (Overall Survival; OS) ระหว่างสองกลุ่ม ร้อยละ 86.7 ในกลุ่มรักษาด้วยยาเทียบกับร้อยละ 88.0 ในกลุ่มที่ได้รับ AICD; p = 0.1599) นอกจากนี้ การรักษาด้วย AICD ไม่ได้ส่งผลต่อระดับการทำงานของหัวใจ (New York Heart Association Functional Classification; NYHA FC) <br /><strong>สรุปผล:</strong> การใช้ AICD ร่วมกับการรักษาด้วยยา สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจาก SCD ในผู้ป่วย Nonischemic Dilated Cardiomyopathy ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้ยาอย่างเดียว แต่ไม่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิตโดยรวม</p>
เจนจิรา สวัสดิมานนท์
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
39 3
779
789
-
การบูรณะฟันในผู้ป่วยที่มีการสูญเสียมิติแนวดิ่งด้วยฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ : รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272458
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียฟันหลังไปหลายซี่ ฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่จึงรับแรงเพิ่มมากขึ้นต่อมาจะนำไปสู่การสึกของฟันหน้าอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการสูญเสียมิติในแนวดิ่งตามมา การสึกของฟันเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความเจ็บปวด ส่งผลเสียต่อความสวยงาม การใช้งาน และคุณภาพชีวิตโดยรวม กรณีศึกษารายงานผู้ป่วยนี้ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายวิธีการรักษาและแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีฟันสึกที่ฟันหน้าและสูญเสียมิติแนวดิ่ง การวางแผนการรักษาด้วยการใส่ฟันเทียมทับรากบางส่วนชนิดถอดได้ฐานอะคริลิกขยายฐานในขากรรไกรบนและฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ฐานโลหะขยายฐานในขากรรไกรล่างให้แก่ผู้ป่วย ผลการรักษาและการติดตามเป็นระยะพบว่าผู้ป่วยพึงพอใจด้านความสวยงาม มีประสิทธิภาพดี และคุณภาพชีวิตดีขึ้น </p>
วนิดา ประเสริฐศรี
Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-31
2024-12-31
39 3
641
651