วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH
<p>วารสารการแพทย์ MJSSBH เป็นวารสารทางวิชาการด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความที่น่าสนใจอันเป็นองค์ความรู้ใหม่ ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มค.-เมย.) ฉบับที่ 2 (พ.ค. – ส.ค.) และฉบับที่ 3 (ก.ย. – ธ.ค.) และเผยแพร่ทาง website <a href="Https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index">https://www.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/index</a></p> <p>โดยปัจจุบันวารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ได้รับการยอมรับและผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 และอยู่ในฐานข้อมูล TCI</p> <p>ISSN: 0857-2895 (print)<br />ISSN: 2730-2687 (online)</p>
ห้องสมุดโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ 10/1 ถนนหน้าสถานี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 31000
th-TH
วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
0857-2895
-
ประสิทธิผลของการใช้ระบบการฟื้นฟูผู้ป่วยทางการแพทย์ระยะไกลเพื่อประเมินและติดตามการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองระยะกึ่งเฉียบพลันที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274459
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกึ่งเฉียบพลันจำนวนมากขาดโอกาสใน การเข้าถึงบริการฟื้นฟูสภาพ เนื่องจากข้อจำกัดทางกายภาพและการเดินทาง การใช้ระบบการฟื้นฟูทางการแพทย์ระยะไกล (Home-based telerehabilitation, Home-based TR) เป็นทางเลือกที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการฟื้นฟูได้สะดวกมากขึ้น<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้ระบบการฟื้นฟูทางการแพทย์ระยะไกล ในการประเมินและติดตามการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกึ่งเฉียบพลันที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ศึกษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกึ่งเฉียบพลัน จำนวน 30 คน โดยให้โปรแกรมการฟื้นฟูที่บ้านและติดตามผลผ่าน วิดีโอคอล (Line Application) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ประเมินคะแนน Barthel Index (BI) ก่อนและหลังการติดตาม<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วย 25 คนที่สำเร็จการศึกษา พบว่าคะแนน BI เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 5.2 เป็น 15.8 หลังการติดตามครบ 4 สัปดาห์ (p=0.008) นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังแสดงความพึงพอใจต่อการฟื้นฟูทางไกล ความถี่ในการติดตาม และความมั่นใจในการฝึกที่บ้าน<br /><strong>สรุป:</strong> ระบบการฟื้นฟูทางการแพทย์ระยะไกลมีประสิทธิภาพในการเพิ่มคะแนน BI และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบำบัดที่บ้านได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจและความมั่นใจในการฟื้นฟู</p>
พลวัฒน์ อ่วมพันธ์เจริญ
ปรีชา แหวนหล่อ
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
1
11
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในอำเภอพนมดงรัก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272033
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับความเสื่อมและภาวะถดถอยของร่างกายในหลายด้าน ทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางจิตใจได้ง่าย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในอำเภอพนมดงรัก<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาภาคตัดขวางในผู้สูงอายุ 390 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบประเมินสุขภาพจิตผู้สูงอายุฉบับสั้น (T-GMHA-15) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีสุขภาพจิตเท่ากับคนทั่วไป (ร้อยละ 57.7) รองลงมามีสุขภาพจิตต่ำกว่าคนทั่วไป (ร้อยละ 27.9) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพจิตต่ำกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้ที่มีรายได้ไม่เพียงพอมีความสัมพันธ์ 62.60 เท่า (95% CI: 2.30-1707.14)ผู้ที่รับจ้างมีความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 3.55 เท่า (95% CI: 1.13-11.13) ผู้ที่เป็นโสดมีความสัมพันธ์ 7.47 เท่า (95% CI: 1.12-49.71) ผู้ที่มีผู้ดูแลมีความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 8.12 เท่า (95% CI: 2.21-29.86) และผู้ที่เคยหกล้มมีความสัมพันธ์สูงถึง 225.54 เท่า (95% CI: 58.77-865.59)<br /><strong>สรุป:</strong> ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ควรมีการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มเสี่ยง</p>
ไกรฤกษ์ ไพสนิท
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
13
23
-
ผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้าในผู้ป่วยประคับประคอง ที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลามเปรียบเทียบกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้าย โรงพยาบาลบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274460
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> คลินิกประคับประคองโรงพยาบาลบัวใหญ่ พบผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้ายมักถูกส่งปรึกษาเพื่อดูแลแบบประคับประคองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ต่างจากผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลามที่จะส่งปรึกษาเมื่อได้รับการวินิจฉัยแต่ต้น ทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้ายได้รับการดูแลแบบประคับประคองช้ากว่า รวมถึงได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้าที่ช้ากว่า อีกทั้งการดำเนินโรคในระยะท้ายที่มีความต่างกัน จึงได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้าว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้าต่อ 1.การทำหัตถการที่ไม่จำเป็นในระยะท้ายของชีวิต 2.สถานที่เสียชีวิต 3.จำนวนวันนอนโรงพยาบาลในช่วง 30 วันก่อนเสียชีวิต ในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลามและกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้าย<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาแบบ retrospective analytic study โดยการทบทวนเวชระเบียน ใช้แบบบันทึกข้อมูลในประเด็นที่สนใจศึกษา การศึกษาตัวอย่างจากกลุ่มผู้ป่วยประคับประคอง ที่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลบัวใหญ่ เสียชีวิตระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2565 – วันที่30 กันยายน พ.ศ.2566 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลาม 111 ราย และผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้าย 75 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และสถิติเชิงอนุมาน Chi square และ t-test ทดสอบ<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่าง 186 ราย ผ่านเกณฑ์คัดเข้า 147 ราย เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลาม 92 ราย ผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้าย 55 ราย พบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะท้าย มีอายุเฉลี่ยสูงกว่า (76 ± 11.9 ปี และ 69 ± 13.6 ปี p-value = 0.001) เมื่อเปรียบเทียบค่าสัดส่วนความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองของผู้ป่วยสองกลุ่ม พบว่ามีความแตกต่างกัน (p-value < 0.001) ผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้า ต่อการทำหัตถการไม่จำเป็นในระยะท้ายของชีวิต คือการใส่ท่อช่วยหายใจ (ร้อยละ 1.1 และ 7.3 p-value = 0.169) การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (ร้อยละ 1.1 และ 5.5 p- value = 0.115) สถานที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เสียชีวิตที่บ้าน (ร้อยละ 92.4 และ 81.8 p-value = 0.057) จำนวนวันนอนโรงพยาบาลในช่วง 30 วันก่อนเสียชีวิต (เฉลี่ย 4.0 ± 5.0 วัน และ 5.0 ± 7.5 วัน p- value = 0.325) พบว่าทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ <br /><strong>สรุป:</strong> ผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้า ต่อการทำหัตถการไม่จำเป็นในระยะท้ายของชีวิต สถานที่เสียชีวิต และจำนวนวันนอนโรงพยาบาลในช่วง 30 วันก่อนเสียชีวิต ของผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่ต่างกัน เมื่อได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม ได้รับการดูแลในระยะท้ายตรงตามประสงค์ที่บันทึกไว้</p>
ดลยา ถมโพธิ์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
25
34
-
รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบ โรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274461
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> อุบัติเหตุจราจรเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ จากสถิติปีงบประมาณ 2563 – 2565 พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในอาเซียน โรงพยาบาลบุรีรัมย์ พบว่ามากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยอุบัติเหตุเป็นผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บหลายระบบ มีอัตราตายสูง การพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินมีรูปแบบการพยาบาลที่ไม่ชัดเจน ทำให้การประเมินผู้ป่วยได้ไม่ครอบคลุม <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบ 2) เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการพยาบาลเปรียบเทียบก่อนและหลังพัฒนา 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้ป่วย/ญาติ 4) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของพยาบาล<br /><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ในหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 ถึง 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567<br /><strong>วิธีการศึกษา</strong>: ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ 1) ศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหา สังเกต สัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ป่วยและญาติ ทบทวนเวชระเบียน และทบทวนอุบัติการณ์ 2) พัฒนารูปแบบการพยาบาลโดยประยุกต์ใช้แนวคิด IOWA model ทดสอบประสิทธิภาพ จัดอบรมวิธีใช้รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น และนำไปทดลองปฏิบัติ 3) สรุปและประเมินผลการใช้รูปแบบการพยาบาล กลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม คือ 1) พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในห้องฉุกเฉิน จำนวน 40 คน 2) ผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบก่อนพัฒนาจากการสืบค้นแฟ้มประวัติ จำนวน 50 คน และ3) ผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบหลังพัฒนา จำนวน 50 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) คู่มือการใช้รูปแบบการพยาบาล 2) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกสมรรถนะ แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลในการใช้รูปแบบการพยาบาล และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยของผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบ/ญาติหลังได้รับการพยาบาลตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ตรวจสอบเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติ t- test<br /><strong>ผลการศึกษา</strong>: 1) ได้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบตามกระบวนการดูแลตั้งแต่แรกรับจนจำหน่ายจากห้องฉุกเฉิน 2) ผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการพยาบาลเปรียบเทียบก่อนและหลังพัฒนา พบว่า หลังการพัฒนาพยาบาลมีสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบเพิ่มขึ้น หลังการใช้รูปแบบการพยาบาลตัวชี้วัดผลลัพธ์ทางการพยาบาลส่วนใหญ่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05) 3) ความพึงพอใจของพยาบาลในการใช้รูปแบบการพยาบาลโดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean= 3.97, SD= 0.55) 4) ความพึงพอใจของผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบ/ญาติหลังได้รับการพยาบาลตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean= 4.14, SD= 0.52)<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรบาดเจ็บหลายระบบสามารถทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาได้ครอบคลุม เพิ่มโอกาสรอดชีวิต</p>
ศศิธร จันทร์ศรี
นวภัทร แสงใสแก้ว
นงลักษณ์ ตาทอง
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
35
47
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมโดยการประยุกต์แนวคิด FAST HUG และ BANDAIDS เพื่อป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ โรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274977
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการป้องกัน แก้ไขอย่างจริงจัง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพผู้ป่วยวิกฤตและครอบครัวอย่างรุนแรง <br><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ทำการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ.2567 ที่หอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ประชากร คือ ผู้ป่วยวิกฤตที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ในปี พ.ศ. 2566-2567 จำนวน 677 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) ผู้ป่วยวิกฤต แบ่งเป็น กลุ่มควบคุม ที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบเดิม และกลุ่มทดลอง ที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบการพยาบาลฯ จำนวน 71 คนต่อกลุ่ม รวมทั้งหมด 142 คน และ 2) กลุ่มพยาบาลวิชาชีพเพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้รูปแบบ จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติตามกรอบแนวคิด FAST HUG และ BANDAID แบบบันทึก checklist ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.80 แบบเก็บข้อมูลการประยุกต์แนวคิด FAST HUG และ BANDAIDS ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.79 และ แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบฯ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ ร้อยละ สถิติไคสแคว์ สถิติ independent t-test และสถิติ Fisher's Exact Test<br><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบฯ แบ่งเป็น 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) การให้ความรู้และพัฒนาทักษะพยาบาลวิชาชีพในการพยาบาลโดยใช้แนวทาง FAST HUG และ BANDAIDS 2) การประเมินและบันทึกข้อมูลตามมาตรฐานของ FAST HUG และ BANDAIDS 3) การนิเทศติดตามการปฏิบัติการพยาบาล และ 4) การจัด Journal Club แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมื่อนำรูปแบบไปใช้ พบว่า กลุ่มทดลองมีจำนวนวันใส่ท่อช่วยหายใจเฉลี่ย 8 วัน น้อยกว่ากลุ่มควบคุมเฉลี่ย 11 วัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) การเกิดVAPในกลุ่มทดลองร้อยละ 1.4 น้อยกว่ากลุ่มควบคุมร้อยละ 11.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) จำนวนวันนอนกลุ่มทดลองเฉลี่ย 8 วัน และกลุ่มควบคุมเฉลี่ย 9 วัน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) อัตราเสียชีวิตระหว่างกลุ่มทดลอง ร้อยละ 11.3 และกลุ่มควบคุม ร้อยละ 14.1 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ระดับความพึงพอใจของพยาบาลต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด เฉลี่ย 4.36 (S.D.=0.47)<br><strong>สรุปผล:</strong> ควรนำรูปแบบการดูแล FAST HUG และ BANDAIDS ไปใช้ในหอผู้ป่วยวิกฤตเพื่อป้องกัน ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ</p>
ธนิษฐา สุทธิ
รัชนี ผิวผ่อง
นรินทร์ จินดาเวช
สุพิน สุโข
จารุวรรณ เยียรพันธุ์
เพ็ญนภา สายชุ่มดี
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
49
62
-
ปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272603
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุข มีภารกิจคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพ ที่ผ่านมา พบว่า การพัฒนาระบบฐานข้อมูลยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ การพัฒนาศักยภาพผู้บริโภคและผู้ประกอบการยังขาดการดึงภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วม การเฝ้าระวังและการบริหารจัดการความเสี่ยงยังมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เข้าข่ายหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น การปฏิบัติงานต้องอาศัยปัจจัยทางการบริหารเพื่อให้การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค เภสัชกรผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค สาธารณสุขอำเภอ และผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภคในสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ จำนวน 92 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2567 ถึง พฤศจิกายน พ.ศ.2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 2 ชุด คือ ชุดที่ 1 แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ซึ่งแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีสอดคล้องมากกว่า 0.50 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้งชุดเท่ากับ 0.97 ชุดที่ 2 แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 12 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ ที่ 0.05 และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> (1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 48 ราย (ร้อยละ 52.2) มีอายุระหว่าง 30-40 ปี จำนวน 34 ราย (ร้อยละ 37.0) มีสถานภาพสมรส/อยู่ร่วมกัน จำนวน 59 ราย (ร้อยละ 64.1) การศึกษาปริญญาตรี จำนวน 63 ราย (ร้อยละ 68.5) ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน 40 ราย (ร้อยละ 43.5) (2) ระดับปัจจัยทางการบริหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=3.6, S.D.=0.4) (3) ระดับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=3.9, S.D.=0.6) (4) ปัจจัยทางการบริหารที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ ด้านบุคลากร (r=0.456, p<0.05) ด้านงบประมาณ (r=0.245, p<0.05) ด้านวิธีการจัดการ (r=0.436, p<0.05) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (r=0.231, p<0.05) และด้านเวลา (r=0.281, p<0.05) (5) ปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ ด้านบุคลากร (β=0.296, p=0.015) และด้านวิธีการจัดการ (β=0.282, p=0.032) โดยปัจจัยทั้งสองด้าน มีผลและสามารถร่วมกันพยากรณ์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 27.7 (R2=0.277, F=4.589, p<0.05) (6) ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า ระดับอำเภอบางพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค <br /><strong>สรุปผล:</strong> ปัจจัยทางการบริหาร ด้านบุคลากรและด้านวิธีการจัดการ มีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์</p>
รัตนชัย รัตนโคตร
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
63
75
-
การพัฒนาระบบการผ่าตัดและการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดสาขานรีเวชกรรม แบบวันเดียวกลับโรงพยาบาลรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272689
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ระบบการผ่าตัดและการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย ลดค่าใช้จ่าย ลดความแออัด ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาพให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาระบบการผ่าตัดและการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดสาขานรีเวชกรรมแบบวันเดียวกลับของโรงพยาบาลรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ แพทย์และพยาบาลที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ จำนวน 35 คน และผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ ที่โรงพยาบาลรัตนบรี จำนวน 25 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและและการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Mann-Whitney U และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าระบบการผ่าตัดและแนวทางการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดสาขานรีเวชกรรมแบบวันเดียวกลับโรงพยาบาลรัตนบุรี ที่พัฒนาขึ้นโดยผู้วิจัย ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้าง/นโยบาย ด้านกระบวนการ และด้านผลลัพธ์ ระบบการผ่าตัดและการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดสาขานรีเวชกรรมแบบวันเดียวกลับโรงพยาบาลรัตนบุรีโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ทีมผู้ให้บริการมีศักยภาพในการผ่าตัดและดูแลผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน จำนวนวันนอนเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มที่เข้ารับบริการผ่าตัดแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลระหว่างผู้ป่วยกลุ่มโรคเดียวกันแบบวันเดียวกลับและรูปแบบปกติมีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ0.05 ผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ไม่มีภาวะวิตกกังวล ไม่มีการติดเชื้อหลังผ่าตัดและไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำภายใน 28 วันร้อยละ100 ไม่พบภาวะแทรกซ้อนเช่น ปวดบวม หรือ เลือดออก ส่วนการฟื้นสภาพพบว่า หลังผ่าตัด 2 ชม.สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ แต่อาจจะมีอาการตึงแผลเล็กน้อยและยังไม่สามารถยกของหนักได้ภายใน 2 เดือนเพื่อป้องกันภาวะแรงดันในช่องท้อง<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบที่พัฒนาขึ้น สามารถควบคุมสภาวะของผู้ป่วยและลดภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยปลอดภัยกลับบ้านได้ในที่สุด</p>
สายใจ จินพละ
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
77
87
-
การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยา Sofosbuvir/Velpatasvir ในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาในจังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274471
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หายขาดได้ด้วยยากลุ่ม Direct Acting Agents (DAAs) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง และได้พัฒนาสูตรยาที่สามารถรักษาได้หลากหลายสายพันธุ์โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชนิดของสายพันธุ์<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลการรักษาและผลข้างเคียงของการใช้ยาสูตร Sofosbuvir/Velpatasvir ในผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับยา Ribavirin และกลุ่มที่ไม่ได้รับยา Ribavirin ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (retrospective study) ในผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังจำนวน 150 รายที่เข้ารับการรักษาไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังด้วยยาสูตร Sofosbuvir/Velpatasvir โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการตรวจเลือดและปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบซีก่อนและหลังการรักษา พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษา และตรวจสอบผลข้างเคียงจากยา<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การศึกษา จำนวน 150 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 103 ราย เพศหญิง 47 ราย พบว่าค่า AST ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับ Ribavirin เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา (p=0.015) ค่า APRI score (สัดส่วนของค่า AST ต่อ Platelet) ลดลงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยา (p=0.001) อัตราการหายขาด (sustained virologic response, SVR) ในการศึกษานี้สูงถึงร้อยละ 95.3 ผลข้างเคียงพบ ภาวะซีด (Anemia) ร้อยละ 3.3 ของผู้ป่วย และ ภาวะตับอักเสบจากยา (Hepatitis) ร้อยละ 6.0 ของผู้ป่วย ทั้งนี้ ไม่พบการแพ้ยา หรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการเจ็บหน้าอก หรือผื่นแพ้ยา<br /><strong>สรุป:</strong> การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังด้วยยากลุ่ม DAAs มีประสิทธิภาพสูง โดยมีอัตราหายขาดร้อยละ 95.3 ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ได้แก่ ภาวะซีดและภาวะตับอักเสบไม่รุนแรง</p>
ปวีณ์นุช ศุภวันต์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
89
96
-
การประเมินระบบเฝ้าระวังวัณโรคปอดโรงพยาบาลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/272453
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> วัณโรคปอดเป็นโรคเฝ้าระวังที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์ การรายงานข้อมูลระบบเฝ้าระวังวัณโรคปอดในโปรแกรมรายงานข้อมูลวัณโรคของประเทศไทย (National Tuberculosis Information Program: NTIP online) มีจำนวนของผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ขึ้นทะเบียนในโปรแกรม ต่างจากจำนวนผู้ป่วยวัณโรคปอดในเวชระเบียนในช่วงเวลาเดียวกัน<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษากระบวนการ ปัญหา และอุปสรรค ของการรายงานระบบเฝ้าระวังวัณโรคปอด โรงพยาบาลกาบเชิง ในโปรแกรมรายงานข้อมูลวัณโรคของประเทศไทย (NTIP online) ศึกษาคุณลักษณะเชิงปริมาณ และศึกษาคุณลักษณะเชิงคุณภาพ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ศึกษาเชิงพรรณนา กระบวนการ ปัญหา และอุปสรรค การคัดกรอง การรายงานระบบเฝ้าระวังวัณโรคปอดโรงพยาบาลกาบเชิง ศึกษาคุณลักษณะเชิงปริมาณของระบบเฝ้าระวัง โดยการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยตรงตามนิยามวัณโรคปอด ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2563 – 30 กันยายน พ.ศ.2566 เปรียบเทียบกับข้อมูลผู้ป่วยที่รายงานในระบบ NTIP ศึกษาคุณลักษณะเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคลผู้เกี่ยวข้องในระบบเฝ้าระวังโรค <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> การเฝ้าระวังติดตามกลุ่มผู้ป่วยที่สงสัยวัณโรคปอดจากแบบคัดกรอง/ผู้ป่วยที่สงสัยวัณโรคปอดแต่ตรวจไม่พบเชื้อ ยังไม่มีระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพ คำนวณค่าความไวของระบบเฝ้าระวัง NTIP ได้ร้อยละ 86.3 และคำนวณค่าพยากรณ์บวกได้ร้อยละ 100 มีความทันเวลาในการรายงานร้อยละ 94.5 และสามารถเป็นตัวแทนของผู้ป่วยวัณโรคปอดที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ คุณภาพของข้อมูลพบว่าตัวแปรสำคัญมีความถูกต้อง ร้อยละ 100 และมีความครบถ้วนร้อยละ 100 ผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่าระบบมีความซับซ้อน แต่ยังมีความยืดหยุ่นสูง ได้รับการยอมรับ และสามารถใช้ประโยชน์ได้ในทุกระดับ<br /><strong>สรุป:</strong> ระบบเฝ้าระวังวัณโรคปอดโรงพยาบาลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เป็นระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาที่มีความไวและค่าพยากรณ์บวกสูง ทันเวลาและสามารถเป็นตัวแทนผู้ป่วยวัณโรคในโรงพยาบาลได้ แต่ระบบยังมีความซับซ้อน และยังไม่มีระบบติดตามในโรงพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ ควรพัฒนาระบบการติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง และควรมีการสอนการใช้งานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลกับโรงพยาบาลเพื่อลดความซับซ้อนของการรายงาน</p>
ธวัชชัย ทยานรัมย์
รินรดา เจริญสุข
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
97
108
-
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274472
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> อาหารเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ ตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 411 คน คัดเลือกเป็นสุ่มตัวอย่างชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test, One- way ANOVA และ Multiple Regression<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> คะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์อยู่ในระดับสูง (M=89.9, SD.=12.3) ปัจจัยที่ร่วมทำนายพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่ สถาบันการศึกษา (β= 0.587, p<0.001) การได้รับข่าวสาร/ข้อมูล(β= 0.412, p<0.001) ความสามารถในการเข้าถึงบริการ(β= 0.276, p<0.001) ทัศนคติต่อการบริโภคอาหาร(β= 0.137, p=0.018)และการมีโรคประจำตัว(β= -0.043, p=0.006) โดยสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ ได้ร้อยละ 37.6 (R2=0.376, p=0.006) <br /><strong>สรุปผล:</strong> ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมและปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์</p>
ต้นน้ำ นาคเขียว
จิราวดี ชวดศรี
ณภัทราภรณ์ ศรีสุข
ธัญลักษณ์ ก๊กรัมย์
พรปวีร์ แข็งกล้า
รุ่งทิวา สายศร
อารียา ม่วงประโคน
อิสริยาภรณ์ แก้วยศ
อุษามณี ทวีพร้อม
ธวัชชัย ยืนยาว
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
109
119
-
เปรียบเทียบความแม่นยำของระบบการรายงานผลอัลตราซาวด์ ACR-TIRADS และ S-detect เพื่อวินิจฉัยก้อนไทรอยด์ที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งไทรอยด์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274627
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ปัจจุบันอัลตราซาวด์ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจหาและช่วยในการวินิจฉัยของก้อนไทรอยด์ในเวชปฏิบัติ ในขณะเดียวกันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกพัฒนาและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดภาระงานของรังสีแพทย์ ในการแยกความแตกต่างระหว่างก้อนไทรอยด์ที่เป็นเนื้องอกธรรมดาและมะเร็งไทรอยด์<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรายงานผลอัลตราซาวด์ไทรอยด์ตาม ACR-TIRADS ในการพยากรณ์โรคมะเร็งไทรอยด์ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ เปรียบเทียบกับปัญญาประดิษฐ์ S-Detect <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 – ตุลาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลผู้ป่วย 52 รายที่มีก้อนต่อมไทรอยด์ 138 ก้อน ผู้ป่วยทุกรายก่อนการผ่าตัดหรือก่อนใช้เข็มเจาะดูดเซลล์ไปตรวจ (Fine needle aspiration) ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ จะได้รับการตรวจอัลตราซาวด์และประเมินความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งไทรอยด์ตาม ACR-TIRADS (TR1-TR5) ซึ่งทุกรายจะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ S-Detect ในการวินิจฉัยก้อนไทรอยด์ในคราวเดียวกัน และนำไปเปรียบเทียบกับผลตรวจทางพยาธิวิทยา หรือ cytopathology เป็น gold standard<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> การศึกษานี้มีกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยทั้งหมด 52 ราย (แบ่งเป็น ผู้ป่วยชาย 5 ราย ผู้ป่วยหญิง 47 ราย) ก้อนไทรอยด์ 138 ก้อน แบ่งเป็นก้อนเนื้องอกธรรมดา 114 ก้อน และก้อนมะเร็ง 24 ก้อน ลักษณะจากการตรวจอัลตราซาวด์ของก้อนไทรอยด์ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของมะเร็งไทรอยด์ ได้แก่ ก้อนที่มีลักษณะเสียงสะท้อน very hypoechoic รูปร่าง taller than wide ขอบเขตของก้อนแบบ irregular หรือขนาดของก้อนขยายออกไปนอกต่อมไทรอยด์ มีหินปูนขนาดเล็กภายในก้อน และพบต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอ ความไวของการรายงานผลก้อนไทรอยด์ตาม ACR-TIRADS มีความไวสูงกว่า S-Detect (ร้อยละ 87.5 เทียบกับ ร้อยละ 33.3) แต่ในขณะเดียวกัน S-Detect มีความจำเพาะสูงกว่า (ร้อยละ 64.9 เทียบกับ ร้อยละ 95.6) ค่าที่สูงกว่า (ร้อยละ 22.1 เทียบกับ ร้อยละ 61.5) และ ค่าทำนายผลลบที่สูงกว่า ACR-TIRADS (ร้อยละ 7.0 เทียบกับ ร้อยละ 87.2) รวมถึงความแม่นยำที่สูงกว่าด้วย (ร้อยละ 44.2 เทียบกับ ร้อยละ 84.8)<br /><strong>สรุป:</strong> การอัลตราซาวด์โดยรายงานผลตาม ACR-TIRADS เป็นเครื่องมือที่ดีในการประเมินความเสี่ยงของมะเร็งต่อมไทรอยด์ ในขณะที่ S-detect ก็มีความจำเพาะและความแม่นยำค่อนข้างสูงในการช่วยวินิจฉัยก้อนไทรอยด์ แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนการตรวจอัลตราซาวด์ของรังสีแพทย์ได้</p>
สุนิศา คงนันทะ
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
121
131
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการรักษาผู้ป่วยเบาหวานผ่านบริการ Telemedicine พื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ตำบลปราสาท อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274628
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การจัดให้มีบริการ Telemedicine เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลผู้ป่วย ประกอบกับการจัดบริการ Telemedicine เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีอยู่อย่างจำกัด ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาประสิทธิผลของการรักษาผ่านบริการ Telemedicine ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FBS) อยู่ในเกณฑ์ดีที่ส่งออกไปรับการตรวจรักษาต่อที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบความรู้ด้านการดูแลตนเอง การปฏิบัติตนในการดูแลตนเอง ผลการรักษาทางคลินิกของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และประเมินความพึงพอใจหลังรับบริการ Telemedicine <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างเดียววัดผลก่อน-หลัง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 ราย เก็บรวมรวมข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 5 ส่วนคือ ข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน แบบวัดการปฏิบัติตนของผู้ป่วยเบาหวาน แบบบันทึกผลการรักษาทางคลินิก และแบบประเมินความพึงพอใจ แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่น ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู้ด้านการดูแลตนเอง เท่ากับ 0.67 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมานได้แก่ Paired samples t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ฯก่อนรับบริการ Telemedicine เท่ากับ 6.9±1.6 และหลังรับบริการ เท่ากับ 7.2±2.0 ซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p=0.417) ค่าเฉลี่ยคะแนนระดับการปฏิบัติตนก่อนรับบริการเท่ากับ 25.5± 2.1 และหลังรับบริการเท่ากับ 26.3±2.5 ซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p=0.21) ค่าเฉลี่ยของ HbA1c ก่อนรับบริการเท่ากับ 6.9±1.7 หลังรับบริการเท่ากับ 7.1±1.0 ซึ่งมีค่าเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p=0.36) แตกต่างกับค่าเฉลี่ยของ Serum Creatinine ก่อนรับบริการเท่ากับ 0.9±0.3 หลังรับบริการเท่ากับ 0.8±0.3 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.012) และไม่พบการเกิดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันที่ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล เมื่อประเมินความพึงพอใจพบว่า ผู้รับบริการมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก <br /><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมการรักษาผู้ป่วยเบาหวานผ่านบริการ Telemedicine สามารถนำไปใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ดีได้อย่างปลอดภัย ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้สะดวก ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางของผู้ป่วย และผู้ป่วยเกิดความพึงพอใจมาก</p>
ธนา กาญจนรุจวิวัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
133
142
-
ความสำเร็จทางคลินิกในการทำการปิดคลุมโพรงประสาทฟันของเทอราแคลเปรียบเทียบกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ : การวิเคราะห์อภิมาณ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273036
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การพัฒนาวัสดุรองพื้นกลุ่ม 4th generation calcium silicate base โดยเพิ่มวัสดุกลุ่มเรซินเข้าไป มีชื่อทางการค้าว่าเทอราแคล (Theracal LC®) ให้มีการใช้งานที่ง่ายขึ้นในการทำ pulp capping(การปิดคลุมโพรงประสาทฟัน)<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อรวบรวมผลการศึกษาและวิเคราะห์อภิมานในเรื่องความสำเร็จของการปิดคลุมโพรงประสาทฟันในคลินิกและภาพถ่ายรังสีหลังรักษา ที่เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ของเทอราแคลเทียบกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> สืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูล PubMed อย่างเป็นระบบ และสืบค้นจากฐานข้อมูล open access และ Google scholar ร่วมกับการค้นหาด้วยมือ นำมาเฉพาะบทความภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2004 ถึง ปี ค.ศ. 2024 บทความที่ได้รับการยอมรับมี 9 บทความ และนำมาทำการวิเคราะห์อภิมาน ข้อมูลที่รวบรวมจะเป็นค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของค่าความสำเร็จของการปิดคลุมโพรงประสาทฟันในคลินิกและภาพถ่ายรังสีหลังการรักษาวันที่นัดผู้ป่วยมาติดตามอาการระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป จากนั้นนำมาหาค่าความเสี่ยงสัมพัทธ์ (Relative risk) ที่ช่วงความเชื่อมั่น (confidence interval) เท่ากับร้อยละ 95 <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> บทความที่นำมาวิเคราะห์ทั้งหมด 9 บทความ เทอราแคลมีจำนวนฟันที่มีผลสำเร็จทางคลินิกในการปิดคลุมโพรงประสาทฟันมากกว่าแคลเซียมไฮดรอกไซด์แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (RR = 1.02, 95% CI 0.99-1.04, p=0.87) โดยที่ผลของข้อมูลมีความเป็นเนื้อเดียวกันสูง (I2=0.0%) และมีการศึกษาที่ยังไม่มากพอ<br /><strong>สรุปผล:</strong> เทอราแคลมีจำนวนฟันที่มีผลสำเร็จทางคลินิกในการปิดคลุมโพรงประสาทฟันมากกว่าแคลเซียมไฮดรอกไซด์แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
สุธาสินี หลีวิจิตร
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
151
162
-
ผลจากการผ่าตัดโดยการแขวนเลนส์แก้วตาเทียมที่ตาขาวโดยไม่เย็บด้วยเทคนิค Flanged intrascleral intraocular lens fixation และ Four-flanged intrascleral intraocular lens fixation ในโรงพยาบาลสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271486
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ต้อกระจกเป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดทั่วโลก ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดโดยใช้วิธีการสลายด้วยเครื่องสลายต้อกระจก พร้อมใส่เลนส์แก้วตาเทียมทดแทน ซึ่งปกติใส่ไว้ในถุงหุ้มเลนส์ การใส่เลนส์โดยแขวนเลนส์แก้วตาเทียมที่ตาขาว (สเคลอร่า) เป็นการใส่เลนส์ในกรณีพิเศษ โดยปกติใช้การผูกขาเลนส์ไว้กับตาขาว (สเคลอร่า) ในงานวิจัยนี้ ได้เก็บข้อมูล ของผู้ป่วย ที่ทำการผ่าตัดด้วยเทคนิค Flanged intrascleral intraocular lens fixation (F-IOL) และ Four-flanged intrascleral intraocular lens fixation (FF-IOL) ซึ่งเป็นวิธีการ แขวนเลนส์ แก้วตาเทียมที่ตาขาว (สเคลอร่า) โดยการจี้ด้วยความร้อน<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาลักษณะข้อมูลพื้นฐานผู้ป่วย การผ่าตัดฝังเลนส์แก้วตาเทียมเทคนิค flanged intrascleral intraoclar lens fixation และ four-Flanged intrascleral intraoclar lens fixation ศึกษาความแตกต่างของ วิธีการผ่าตัด ระยะเวลาในการผ่าตัด ระดับการมองเห็น ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตั้งแต่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ถึง 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ได้รับการผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม flanged intrascleral intraocular lens fixation และ Four-Flanged intrascleral intraocular lens fixation โดยรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ของผู้ป่วย ระดับสายตา กำลังสายตา การวินิจฉัยโรคหลัก สาเหตุของโรค ข้อมูลการผ่าตัด ชนิดการผ่าตัด ชนิดเลนส์เทียมที่ใช้ ระยะเวลาในการผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อน และวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลจากการผ่าตัดของทั้งสองวิธี<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การวิจัยทั้งหมด 20 คน หลังการผ่าตัดพบว่าระดับการมองเห็นหลังผ่าตัด mean BCVA เป็น 0.63 logMAR โดย mean BCVA เป็น 0.53 logMAR ในเทคนิค flanged intrascleral intraocular lens fixation และ 0.7 logMAR ใน four-Flanged intrascleral intraocular lens fixation ระดับการมองเห็นเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25 letter score โดยในเทคนิค flanged intrascleral intraocular lens fixation เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30 letter และ 20 letter ใน four-Flanged intrascleral intraocular lens fixation เวลาในการผ่าตัดเฉลี่ย 43.8 (15.7) minutes (48.6 นาทีใน four-Flanged intrascleral intraocular lens fixation และ 41.2 นาทีใน flanged intrascleral intraocular lens fixation technique) พบภาวะกระจกตาบวม 3 ราย, ภาวะความดันตาต่ำ 1 ราย IOL decentration และ IOL tilt อย่างละ 1 ราย pseudophakic bullous keratopathy 1 ราย ในการศึกษานี้<br /><strong>สรุป:</strong> จากงานวิจัยนี้พบว่าการผ่าตัดแขวนเลนส์แก้วตาเทียมที่ตาขาวโดยการไม่เย็บด้วยวิธีจี้ด้วยความร้อน ทั้งสองเทคนิค เป็นวิธีที่ปลอดภัย สามารถแก้ไขให้การมองเห็นดีขึ้น ใช้ได้หลายกรณีที่ไม่สามารถใส่เลนส์แก้วตาเทียมในกรณีปกติได้ ไม่พบการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง </p>
ภูวนาท รัตนนิเวศน์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
163
172
-
ประสิทธิผลของการรักษาโรคนิ่วในทางเดินน้ำดีและทางเดินน้ำดีตีบด้วยวิธีการส่องกล้องทางเดินน้ำดีแบบวันเดียวกลับของโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274632
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> นิ่วในทางเดินน้ำดี พบได้บ่อยในประชากรไทย ในอดีตรักษาด้วยการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องซึ่งมีความเสี่ยงสูง ใช้เวลาพักฟื้นตัวนาน ปัจจุบัน ERCP เป็นเครื่องมือหลักในการรักษา ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง และลดเวลาการนอนโรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้มีการรักษาแบบวันเดียวกลับมากขึ้น <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อรายงานความสำเร็จของการรักษานิ่วในทางเดินน้ำดีและทางเดินน้ำดีตีบของโรงพยาบาลศรีสะเกษ ด้วยวิธีการส่องกล้องทางเดินน้ำดีแบบวันเดียวกลับ และศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดส่องกล้องทางเดินน้ำดีแบบวันเดียวกลับ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษา Retrospective study ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะนิ่วในทางเดินน้ำดีและทางเดินน้ำดีตีบ ด้วย ERCP แบบวันเดียวกลับของโรงพยาบาลศรีสะเกษ ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง 31 มกราคม พ.ศ. 2567 <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> จำนวนข้อมูลผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาโดย ERCP แบบวันเดียวกลับ มีทั้งหมด 35 ราย พบว่ามีอัตราความสำเร็จของการใส่สายลวดตัวนำร้อยละ 91.4 มีอัตราความสำเร็จของการนำนิ่วออกร้อยละ 85.7 มีการใส่ท่อพลาสติกค้ำร้อยละ 37.2 พบว่ามีภาวะแทรกซ้อนหลังทำหัตถการ คือ ภาวะตับอ่อนอักเสบร้อยละ 5.73 เลือดออกร้อยละ 2.87 ค่าเฉลี่ยการนอนโรงพยาบาลอยู่ที่ 4.6 วัน ไม่พบการนอนโรงพยาบาลซ้ำใน 30 วัน <br /><strong>สรุป:</strong> การรักษาด้วยวิธีการส่องกล้อง ERCP แบบวันเดียวกลับมีอัตราความสำเร็จในการรักษาสูง สามารถลดระยะเวลาการรอคอยการผ่าตัดได้ ช่วยลดเวลานอนในโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย และญาติในการมาโรงพยาบาล รวมทั้งลดความแออัดในโรงพยาบาลได้</p>
พัฒนพงษ์ รัศมี
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
173
182
-
ความเสี่ยงการเกิดภาวะเลือดออกหลังการรักษาศัลยกรรมช่องปากในผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274804
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง(Direct Oral Anticoagulants; DOACs) เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันเพิ่มขึ้น ภาวะเลือดออกเป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะเลือดออกหลังการรักษาศัลยกรรมช่องปาก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมผลการศึกษาและวิเคราะห์อภิมานในเรื่องความเสี่ยงการเกิดภาวะเลือดออกหลังการรักษาศัลยกรรมช่องปากในผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> สืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทดลองทางคลินิก ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ จากฐานข้อมูล PubMed และ Google scholar คัดกรองเฉพาะบทความภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2015 ถึง ปี ค.ศ. 2024 โดยเป็นงานวิจัยในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาศัลยกรรมช่องปากโดยไม่ได้หยุดยา DOAC และรายงานผลลัพธ์ภาวะเลือดออก รวบรวมข้อมูลเพื่อหาค่าอัตราส่วนความเสี่ยง (risk ratio) ที่ช่วงความเชื่อมั่น 95% <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> บทความที่ได้รับการยอมรับมี 8 บทความ ถูกนำมาวิเคราะห์อภิมาน พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน มีความเสี่ยงภาวะเลือดออกหลังการรักษาศัลยกรรมช่องปากสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยาต้านแข็งตัวของเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผลรวมของขนาดอิทธิพล (effect size) ซึ่งในที่นี้คือ Risk ratio มีค่าเท่ากับ (RR=5.90 (95% CI=3.30 - 10.55, p<0.001) ข้อมูลมีความเป็นเนื้อเดียวกันสูง (I2=10.5%) ซึ่งเมื่อพิจารณา funnel plot พบว่าไม่สมมาตร ทดสอบด้วย Begg’s test ได้ค่า p-value เท่ากับ 0.083 ทดสอบ Egger’s test ได้ค่า p-value เท่ากับ 0.046 แปลผลได้ว่าไม่มีอคติจากการตีพิมพ์ แต่มีหลักฐานของอิทธิพลของการศึกษาที่มีกลุ่มตัวอย่างน้อย (small study effect) ต่อผลรวมของการศึกษา และวิเคราะห์กลุ่มย่อยพบว่า ภาวะเลือดออกหลังการรักษากลุ่มใช้ยา DOACs มีค่า Risk ratio เท่ากับ 5.09 (95% CI=2.69- 9.65, p<0.001) ส่วนกลุ่มวาร์ฟารินมีค่า Risk ratio เท่ากับ 7.46 (95% CI=3.16 – 17.58, p= p<0.001) อัตราส่วนความเสี่ยงของเลือดออกหลังการผ่าตัดในผู้ป่วย DOAC ต่ำกว่าผู้ป่วยวาร์ฟารินอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติ (p=0.48) <br /><strong>สรุป:</strong> ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานมีความเสี่ยงภาวะเลือดออกหลังการรักษาศัลยกรรมช่องปากสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่การเกิดภาวะเลือดออกของกลุ่มที่รับประทานยา DOACs กับกลุ่มวาร์ฟารินแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
ธิดา รัตนวิไลศักดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
183
194
-
ผลของโปรแกรมสุขศึกษาการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274805
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นวัยเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กตอนปลายเข้าสู่วัยรุ่น หากมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลกระทบทั้งทางด้านสุขภาพและสถานภาพทางสังคมของวัยรุ่น<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความรอบรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศและเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสุขศึกษาการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจำนวน 30 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน และ Paired t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.3 อายุ 13 ปี ร้อยละ 40.0 คะแนนเฉลี่ยหลังได้รับโปรแกรมสุขศึกษาการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001<br /><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมการสอนสุขศึกษาเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสามารถนำมาใช้ในการให้ความรู้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นมีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม</p>
นิตยา ธีรวิโรจน์
ถาวรีย์ แสงงาม
สุกัญญา บุรวงศ์
ปัณณทัต บนขุนทด
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
195
204
-
เครื่องมือเพื่อทำนายความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุในชุมชนเขตเมืองจังหวัดศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274808
<p><strong>บทนำ:</strong> ปัญหาการหกล้มนับว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญในผู้สูงอายุที่พบได้บ่อย และพบว่าสาเหตุสำคัญของการบาดเจ็บที่ทำให้เสียชีวิตได้ แต่การคัดกรองความเสี่ยงในการหกล้มยังไม่ครอบคลุมในกลุ่มผู้สุงอายุและเครื่องมือในการประเมินมีข้อจำกัดในการใช้ <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในทำนายความเสี่ยงในการหกล้มในผู้สุงอายุในบริบทชุมชนเขตเมือง <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบ clinical prediction research ในผู้สุงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในชุมชนเขตเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 183 ราย โดยการเก็บข้อมูลย้อนหลัง(retrospective data collection) จากแบบสัมภาษณ์ (Interview form) แบบฟอร์มเก็บข้อมูล (Data record form) การทดสอบการเดิน และนำไปวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ กับการหกล้มในผู้สูงอายุ ด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) โดยใช้ค่า Chi square test, t-test, Univariable และ Multivariable logistic regression นำปัจจัยที่สัมพันธ์กับการหกล้มในผู้สูงอายุ ไปพัฒนาเพื่อสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือปัจจัยทำนายความเสี่ยงในการหกล้มในผู้สูงอายุ <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งสิ้น 183 ราย ผู้ที่ประวัติการหกล้มในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 47 ราย (ร้อยละ25.7) และอายุเฉลี่ยในผู้ที่มีประวัติพลัดตกหกล้มคือ 71 ปี เมื่อพิจารณาโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจะพบว่ามีปัจจัยที่สามารถนำไปใช้ในการสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในทำนายความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สุงอายุในชุมชน คือ ปัจจัยโรคประจำตัวโลหิตจาง, ปัจจัยการที่มีประวัติใช้ยากลุ่ม Benzodiazepine ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา, ปัจจัยด้านความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร, ปัจจัยด้านการมีปัญหาด้านการมองเห็น, และปัจจัยด้านความกลัวว่าจะหกล้ม ค่าจุดตัด(cut-off value)ของคะแนนรวมที่เหมาะสมคือ1.5 คะแนน แบ่งกลุ่มความเสี่ยงออกเป็นความเสี่ยงสูงและความเสี่ยงต่ำ เครื่องมือจะมีค่าความไว(sensitivity)ร้อยละ 76.6 ค่าความจำเพาะ (specificity) ร้อยละ 58.1 และมีค่าความสามารถในการทำนายที่ร้อยละ 68<br /><strong>สรุปผล:</strong> เครื่องมือเพื่อใช้ในทำนายความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สุงอายุ มีค่าความไวที่สูงเหมาะสมกับการใช้คัดกรองความเสี่ยงในชุมชน นอกจากนั้นยังมีจำนวนข้อในการประเมินที่เหมาะสม มีความชัดเจน ทำให้ประหยัดเวลาในการประเมินและมีความเหมาะกับการนำไปใช้ในเวชปฏิบัติ</p>
กิตติ พิทักษา
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
205
216
-
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการให้บริการของหน่วยกู้ชีพกับอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273531
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> อุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย โดยเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและการบาดเจ็บรุนแรง ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (Emergency Medical Service: EMS) มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาล โดยแบ่งเป็น หน่วยกู้ชีพระดับพื้นฐาน (First Responder: FR) และ หน่วยกู้ชีพระดับสูง (Advance Live support: ALS) อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงว่า ALS มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการเสียชีวิตได้ดีกว่า FR หรือไม่ เนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับ ALS มักมีอาการรุนแรงกว่า<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการให้บริการของหน่วยกู้ชีพกับอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยบาดเจ็บสมองจากอุบัติเหตุ และเปรียบเทียบข้อมูลการปฏิบัติงานของหน่วยกู้ชีพแต่ละระดับ<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็น Retrospective Cohort Study โดยใช้ข้อมูลผู้ป่วย 886 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสุรินทร์ ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2566 – กันยายน พ.ศ. 2567 ผู้ป่วยที่มีรหัสการวินิจฉัยอุบัติเหตุทางถนน (ICD-10: S0-S9) ถูกนำมาวิเคราะห์ ยกเว้นผู้เสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ และ referal cases วิเคราะห์ตัวแปรต้น (ALS/FR) กับตัวแปรควบคุม (PS score และระยะเวลานำส่ง) โดยใช้ Multivariate Logistic Regression<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าระดับการให้บริการของหน่วยกู้ชีพมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจร อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับ ALS สูงกว่า FR อย่างมีนัยสำคัญ (ALS 17.1% vs. FR 0.9%, p<0.001) อย่างไรก็ตาม หลังปรับค่าความรุนแรงของอาการ ค่า OR ของ ALS ลดลงอย่างมาก แสดงให้เห็นว่า ALS ไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตโดยตรง แม้ ระยะเวลานำส่งเฉลี่ยของ ALS และ FR ไม่แตกต่างกัน (p=0.089) แต่ค่า SD ของ ALS กว้างมาก บ่งบอกถึงความแปรปรวนของเวลานำส่งที่อาจมีผลต่ออัตราการเสียชีวิต ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้น<br /><strong>สรุป:</strong> แม้ผู้ป่วยที่ได้รับ ALS จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า FR แต่เมื่อควบคุมปัจจัยด้านความรุนแรงแล้ว ALS มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยหนัก อย่างไรก็ตาม ควรปรับปรุงการบริหารเวลานำส่งเพื่อลด delayed effect และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ EMS</p>
ชายตา สุจินพรัหม
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
217
224
-
การเปรียบเทียบภาวะ care giver burden ก่อนและหลังการใช้แนวทางการดูแล care giver ในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารักษาที่หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลบ้านด่าน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273490
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชจำเป็นต้องมีผู้ดูแลที่ต้องดูแลใกล้ชิด และอาจทำให้ผู้ดูแลมีภาวะเหนื่อยล้าเกิดขึ้น ผู้วิจัยจึงเห็นความสำคัญของผู้ดูแล จึงศึกษาภาวะ care giver burden และจัดทำแนวทางการดูแล care giver เพื่อประเมินและให้คำแนะนำผู้ดูแลผู้ป่วย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบภาวะ care giver burden ก่อนและหลังการใช้แนวทางการดูแล care giver <br />ในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารักษาที่หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลบ้านด่านและเพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ดูแลที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวช<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาเชิงทดลองเบื้องต้น โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแล ที่มาดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ามารักษาในหอผู้ป่วย โดยอยู่ดูแลผู้ป่วยมากกว่า 8 ชม./วัน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบจำเพาะเจาะจง จำนวน 35 คน ใช้แบบสอบถามข้อมูล 3 ส่วน (ข้อมูลทั่วไป ประเมินภาวะ care giver burden โดยใช้ Zarit interview 11ข้อก่อนและหลังใช้แนวทางการดูแลcare giver และแบบสอบถามความพึงพอใจ) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ dependent t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าผู้ดูแลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 74.3 มีอายุเฉลี่ย 51.8 ปี (24-84 ปี) มีระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา รายได้ส่วนใหญ่ 2,001-5,000 บาท/เดือน ความสัมพันธ์ที่พบมากที่สุดคือพ่อหรือแม่ และผู้ดูแลส่วนใหญ่มีแหล่งช่วยเหลืออื่นๆ ภาวะ care giver burden ลดลงหลังจากใช้แนวทางการดูแล care giver โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนใช้ 16.5 (SD. = 3.60) คะแนนและหลังใช้ลดลงเป็น 8.2 คะแนน (SD. =1.66) (t = 14.01 p-value=0.00) ซึ่งถือได้ว่าภาวะ care giver burden ของผู้ดูแลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและระดับความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ระดับมาก (คะแนนเฉลี่ย = 4.3) <br /><strong>สรุปผล:</strong> ผลลัพธ์เรื่องภาวะ care giver burden ก่อนและหลังใช้แนวทางดูแล care giver ของผู้ดูแลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและภาพรวมของความพึงพอใจอยู่ระดับมาก </p>
ศศินิภา ประดุจชนม์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
225
234
-
ความปลอดภัยและประสิทธิภาพการส่องกล้องหลอดลมในผู้ป่วยสูงอายุ ในโรงพยาบาลสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/271731
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การส่องกล้องหลอดลมปอด (Flexible Bronchoscope) เป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างทางการวินิจฉัยจากทรวงอกและปอด แม้ว่าความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการส่องกล้องหลอดลมปอด ในประชากรทั่วไปจะได้รับการยืนยันแล้ว แต่ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรสูงอายุยังมีจำกัด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการส่องกล้องหลอดลมปอด ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนและประสิทธิภาพของการส่องกล้องหลอดลมปอด ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยสูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปที่ได้รับการส่องกล้องหลอดลมปอดร่วมกับมีการใช้ fluoroscope ในการส่องกล้องเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยไม่สูงอายุ ซึ่งมีอายุ 18-70 ปี ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 มกราคม - วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2566 โดยเปรียบเทียบผลลัพธ์ ในแง่ภาวะแทรกซ้อนของการส่องกล้องหลอดลมเป็นหลัก รวมถึงมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ในแง่อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ข้อบ่งชี้ วิธีการเก็บตัวอย่าง ผลการวินิจฉัย เป็นต้น<br /><strong>ผลลัพธ์:</strong> การศึกษาทั้งหมดมีผู้ป่วย 168 ราย โดยมี 40 รายในกลุ่มผู้สูงอายุ และ 128 คนในกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุ ซึ่งประสิทธิภาพของการวินิจฉัยโดยการส่องกล้องหลอดลม พบว่ากลุ่มผู้ป่วยสูงอายุมีอัตราการได้รับการวินิจฉัย 35 ราย (ร้อยละ 87.5) และกลุ่มผู้ป่วยไม่สูงอายุ 113 ราย (ร้อยละ 88.3) โดยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนข้อบ่งชี้ส่วนใหญ่ในการส่องกล้องหลอดลม คือการมีก้อนหรือจุดในปอด ซึ่งพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ 30 ราย (ร้อยละ 75.6) เทียบกับ 78 ราย ในกลุ่มที่ไม่สูงอายุ (ร้อยละ 60.9) p = 0.093) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนข้อบ่งชี้ด้านการติดเชื้อ พบมากในกลุ่มที่ไม่สูงอายุ 50 ราย (ร้อยละ 39.1) เทียบกับ 10 (ร้อยละ 25.0) ราย ในกลุ่มผู้สูงอายุ p = 0.04 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการส่องกล้องปอดร่วมกับเก็บน้ำล้างปอด (bronchoalveolar lavage) พบได้บ่อยในกลุ่มที่ไม่สูงอายุมากกว่า 14 ราย (ร้อยละ 10.9)เทียบกับ 1 ราย (ร้อยละ 2.5) ในกลุ่มผู้สูงอายุ p = 0.04 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตในการส่องกล้องหลอดลมและไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติในอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนจากการส่องกล้องหลอดลม ได้แก่ การตกเลือด การขาดออกซิเจน ปอดแตก มีไข้ หรือปอดบวม ระหว่างทั้งสองกลุ่ม<br /><strong>สรุป:</strong> ผลการศึกษานี้ระบุว่าการส่องกล้องหลอดลม สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในผู้ป่วยสูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุ</p>
ณัฐินันท์ นลินทัศไนย
เพียงตะวัน ปราณีต
ประภัสสร ทรงศรี
เสาวณีย์ คงสกุล
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
235
246
-
การรอดของรากเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรบนและล่างที่ได้รับการฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อภิมาน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273061
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการฝังรากเทียม ส่งผลให้การรอดของรากเทียมที่ฝังในบริเวณที่ได้รับรังสีน้อยกว่ารากเทียมที่ฝังบริเวณที่ไม่ได้รับรังสี จากการศึกษาล่าสุดพบว่าการรอดของรากเทียมที่ฝังในบริเวณที่ไม่ได้รับรังสีอยู่ที่ร้อยละ 97 ในขณะที่การรอดของรากเทียมที่ฝังในบริเวณที่ได้รับรังสีอยู่ที่อยู่ที่ร้อยละ 91.9 โดยในปัจจุบันการรอดของรากเทียมที่ฝังในกระดูกที่ได้รับรังสีระหว่างขากรรไกรบนเปรียบเทียบกับกระดูกขากรรไกรล่างยังให้ผลขัดแย้งกันในแต่ละงานวิจัย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อภิมานเพื่อเปรียบเทียบการรอดของรากเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรบนและกระดูกขากรรไกรล่างที่ได้รับการฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ และเพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างขากรรไกรบนและล่างที่ได้รับการฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอกับการสูญเสียรากเทียม<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ทำการสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ PubMed, Google Scholar และสืบค้นด้วยมือ โดยรวบรวมงานวิจัยที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ถึง มีนาคม ค.ศ. 2023 ทำวิเคราะห์อภิมานโดยใช้ random effects model<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> สืบค้นบทความจาก PubMed ได้ 112 บทความ, Google Scholar ได้ 545 บทความ สืบค้นด้วยมือ 2 บทความ จากนั้นตัดบทความที่ซ้ำออกเหลือ 548 บทความ โดยมีบทความที่ตรงตาม inclusion และ exclusion criteria ทั้งหมด 18 บทความ ผลการศึกษาพบว่าการรอดของรากเทียมในขากรรไกรบนที่ได้รับรังสีอยู่ที่ร้อยละ 80.9 ส่วนในขากรรไกรล่างที่ได้รับรังสีอยู่ที่ร้อยละ 92.2 ในระยะเวลาติดตามผลเฉลี่ย 5 ปี โดยการสูญเสียรากเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรบนที่ได้รับรังสีสูงกว่ารากเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรล่างที่ได้รับรังสีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่า Risk ratio มีค่าเท่ากับ 2.394 (95% CI 1.306 – 4.390 , p=0.005)<br /><strong>สรุปผล:</strong> การรอดของรากเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรล่างที่ได้รับรังสีสูงกว่าในขากรรไกรบน โดยการฝังรากเทียมในกระดูกที่ได้รับการฉายรังสีทั้งในขากรรไกรบนและล่างยังจำเป็นต้องเลือกผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและมีการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและความล้มเหลว</p>
วรรณิการ์ อธิกูล
กรรณิกา ชูเกียรติมั่น
รัศมี เกศสุวรรณรักษ์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
247
260
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านสายสวนโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/273554
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> จำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การเข้าถึงกระบวนการรักษาล่าช้า การพัฒนารูปแบบการพยาบาลที่เหมาะสมและมีมาตรฐานจะช่วยให้บุคลากรพยาบาลสามารถให้การดูแลที่มีคุณภาพภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาและศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และผลลัพธ์ทางการพยาบาล<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ใช้การวิจัยและพัฒนา (R&D) ระยะที่ 1 พัฒนารูปแบบการพยาบาลฯ ประกอบด้วยมาตรฐานการพยาบาล 4 มาตรฐาน และแผนการนิเทศ (Proctor Model) ตรวจสอบความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ ทดลองใช้ในพยาบาลและผู้ป่วย 20 ราย ปรับปรุงจนได้รูปแบบสมบูรณ์ ระยะที่ 2 การนำรูปแบบการพยาบาลฯ ไปใช้ โดยนำไปใช้จริงกับพยาบาล 49 คน ผู้ป่วยกลุ่มควบคุม 38 คน กลุ่มผู้ป่วย กลุ่มทดลอง 38 คน และประเมินผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Wilcoxon signed-rank test และ Mann-Whitney U test <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พยาบาลมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติอยู่ในระดับสูง ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก อัตราภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลง การเข้าถึงบริการเพิ่มขึ้น ไม่พบการกลับมารักษาซ้ำใน 28 วัน ระยะเวลานอนและค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยลดลง<br /><strong>สรุป:</strong> รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ</p>
ปิยมาศ จำรัสธนสาร
ขวัญเนตร เกษชุมพล
วิราภรณ์ พันธ์บุตร
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
261
271
-
บทบรรณาธิการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275006
เชาน์วัศ พิมพ์รัตน์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
-
มะเร็งไทรอยด์ชนิด Papillary และ Medullary ในผู้ป่วยรายเดียวกัน: รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/274630
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> รายงานผู้ป่วยชายไทย อายุ 52 ปี มารักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสะเกษด้วยอาการ คลำพบก้อนที่บริเวณคอ ก้อนโตขึ้น มา 1 ปี ตรวจร่างกายพบไทรอยด์ฝั่งซ้ายโต ได้ทำการอัลตราซาวด์พบ ก้อนขนาด 4.7 เซนติเมตรที่ไทรอยด์ฝั่งซ้ายและก้อนขนาด 0.5 เซนติเมตรที่ไทรอยด์ฝั่งขวา (TI-RADS 4: moderately suspicious) ได้ทำการเจาะดูดเซลล์จากก้อนฝั่งซ้าย (fine needle aspiration) พบว่าเป็น Suspicious for papillary thyroid carcinoma ผู้ป่วยได้เข้ารับการผ่าตัดไทรอยด์ (total thyroidectomy) ในรายงานฉบับนี้ได้นำเสนอตัวอย่างเคสผู้ป่วยและอธิบายลักษณะที่พบทางพยาธิวิทยาของมะเร็งไทรอยด์ชนิด Papillary thyroid carcinoma และ Medullary thyroid microcarcinoma ในผู้ป่วยรายเดียวกัน ซึ่งมะเร็งทั้ง 2 ชนิดนี้พบได้ร่วมกันน้อยมาก และงานทางพยาธิกายวิภาคมีบทบาทสำคัญในการตรวจวินิจฉัย</p>
พิมพ์พิกา ลีพิศุทธิ์
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
143
149
-
สารบัญ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/275089
นงนุช รักชื่อดี
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
40 1
(2)
(3)