https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/issue/feed วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2025-04-29T00:00:00+07:00 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม mskh.journal@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นวาสารวิชาการวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ พยาบาลและเกี่ยวข้องด้านการสาธารณสุขทุกสาขา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขและเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางด้านการแพทย์ พยาบาล และการสาธารณสุขทั้งในและนอก องค์กรสู่การสืบค้นแก่ผู้ที่สนใจ </p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong></p> <p> 1. วิทยาศาสตร์สุขภาพ <br /> 2. แพทยศาสตร์ (Medicine) <br /> 3. ทันตแพทยศาสตร์ (dentistry) <br /> 4. เภสัชศาสตร์ (pharmacy) <br /> 5. พยาบาลศาสตร์ (Nursing) <br /> 6. สาธารณสุขศาสตร์ (Health professions) <br /> 7. เทคนิคการแพทย์ (Medical technology) <br /> 8. กายภาพบำบัด (Physical Therapy) <br /> 9. รังสีเทคนิค (Radiological Technology) <br /> 10. สาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการ </strong><strong>Peer Review Process</strong></p> <ul> <li>กองบรรณาธิการวารสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review)</li> <li>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> <li>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์ หรือ เพิกถอนบทความในขั้นตอนใด ๆ ได้ หากมีการตรวจพบข้อผิดพลาดด้านเนื้อหาและ/หรือจรรยาบรรณทางวิชาการของบทความนั้นโดยประจักษ์</li> </ul> <p><strong>ประเภทบทความที่สามารถลงตีพิมพ์</strong></p> <p> 1. นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) ได้แก่ บทความที่เสนอผลงานใหม่ที่ได้จากการศึกษาวิจัยที่ยังไม่เคย ตีพิมพ์ในวารสาร หรือหนังสืออื่นๆ<br /> 2. รายงานผู้ป่วย (case report) เป็นรายงานผู้ป่วยที่น่าสนใจ เช่น การบาดเจ็บ, ความผิดปกติหรือโรคที่ พบได้ยาก และที่น่าศึกษา ใช้วิธีการนวัตกรรม หรือเครื่องมือใหม่ ในการรักษาผู้ป่วย ควรเขียนตามลำดับ ได้แก่ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ บทนำ (เหตุผลที่ทำการศึกษานี้รวมทั้งวัตถุประสงค์) รายงานผู้ป่วย (รวมถึงวัสดุและ วิธีการศึกษา) วิจารณ์สรุปอภิปรายผล และเอกสาร อ้างอิง<br /> 3. บทความพิเศษ (special article) เป็นบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ทันตแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาลการสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจมีลักษณะเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์หรือ บทความทางด้านการบริหารที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าเป็นประโยชน์<br /> 4. บทความวิชาการ (review article) ได้แก่ บทความที่ได้จากการรวบรวมนำเอาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ ในวารสารหรือหนังสือต่าง ๆ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์นำมาเรียบเรียงและ วิเคราะห์วิจารณ์หรือ เปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความลึกซึ้งหรือเกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น<br /> 5. ปกิณกะ (miscellany) เป็นบทความหรือสาระความรู้ได้แก่ บทความอื่น ๆ หรือรายงานที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการแพทย์ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ หรือบทความที่ส่งเสริม ความเข้าใจอันดีต่อผู้ปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร<br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ <br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)<strong><br /></strong><em>*หมายเหตุ : วารสารเผยแพร่เฉพาะในเว็บไซต์ ไม่จัดพิมพ์รูปเล่ม</em></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> 1. บุคคลภายนอก จำนวน 4,000 บาท<br /> 2. บุคคลภายใน (โรงพยาบาลมหาสารคาม) จำนวน 1,500 บาท<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 1 :</span> เรียกเก็บเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์ก่อนส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 2 :</span> หากผู้เขียนดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์บทความแล้ว ทางวารสารฯ จะไม่คืนค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ทุกกรณี</p> <p> </p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272446 สีพลาสมาของผู้บริจาคโลหิต : บทความวิชาการ 2025-02-10T19:26:10+07:00 มานพ ศรีคง manop.s@redcross.or.th <p>พลาสมาเป็นส่วนประกอบของโลหิตที่อยู่ในร่างกาย โดยโลหิตที่ได้จากการบริจาค จะได้รับการปั่นแยกด้วยเครื่องปั่นแยกส่วนประกอบโลหิต ทำให้ได้พลาสมา ซึ่งจะแยกออกมาจากส่วนของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด โดยสามารถนำพลาสมาไปให้ผู้ป่วยในโรคต่าง ๆ เช่น ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ที่รุนแรงและมีภาวะช็อก ผู้ป่วยโรคตับชนิดรุนแรง ผู้ที่ขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดหลายชนิด ฯลฯ สีของพลาสมาที่พบได้ภายหลังจากปั่นแยกส่วนประกอบโลหิตนั้นโดยทั่วไปจะมีสีเหลือง ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเหลืองเข้ม นอกจากนี้ในบางกรณียังพบพลาสมาที่มีสีต่าง ๆ ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีส้ม สีเหลืองจากสารบิลิรูบิน (bilirubin) และสีขาวขุ่น ซึ่งการที่พลาสมามีสีแตกต่างกันเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย การรับประทานอาหารหรือยาบางชนิด และเกิดขึ้นในขั้นตอนของการเตรียมส่วนประกอบโลหิต บทความนี้ผู้นิพนธ์ได้ทบทวนสาเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลให้พลาสมามีสีแตกต่างกัน โดยถ้าหากทราบสาเหตุของการเกิดพลาสมาสีต่าง ๆ จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานด้านธนาคารเลือด สามารถแยกแยะพลาสมาที่มีความผิดปกติออกจากพลาสมาปกติได้ ซึ่งจะช่วยให้ลดการทิ้งพลาสมาโดยไม่จำเป็น และมีพลาสมาจ่ายให้ผู้ป่วยมากขึ้น</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271896 ความรู้และพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 2025-02-04T10:31:49+07:00 นุชนาถ บุญมาศ nutchanad@gmail.com จีระวรรณ ศรีจันทร์ไชย jeerawan@smnc.ac.th อนุชา ไทยวงษ์ anucha.smnc@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาความรู้และพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการ และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา :</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างคือ เด็กปฐมวัยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 128 คน และผู้ดูแล จำนวน 128 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 3 ส่วน คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้ด้านโภชนาการ และแบบวัดพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน กําหนดระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> เด็กปฐมวัยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีภาวะโภชนาการสมส่วน และไม่มีโรคประจำตัว ผู้ดูแลเด็กปฐมวัยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีความรู้ด้านโภชนาการ (Mean=17.81±1.49) และพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย (Mean=113.24±16.10) โดยรวมอยู่ในระดับดี โดยความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.208, p=0.018) นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการของผู้ดูแลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับน้ำหนักของเด็กปฐมวัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.224, p=0.011)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> ผู้ดูแลเด็กปฐมวัยมีความรู้และพฤติกรรมด้านโภชนาการในระดับดี โดยพบว่าความรู้มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการส่งเสริมโภชนาการ และพฤติกรรมดังกล่าวยังสัมพันธ์กับน้ำหนักของเด็กปฐมวัย</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273381 การพัฒนารูปแบบบริการคลินิกผู้สูงอายุสำหรับการจัดการสุขภาพตนเองในการดูแลโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลมหาสารคาม 2025-01-31T11:07:26+07:00 ภัทราภรณ์ ทวีนันท์ pattaraporn@gmail.com นันท์ชญาน์ นฤนาทธนาเสฏฐ์ nanchayan@gmail.com วิศรุดา ตีเมืองซ้าย wisaruda@gmail.com จารุรินทร์ พงษ์ประเทศ jarurin@gmail.com นภชนก รักษาเคน khanittha.r@msu.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์โรคข้อเข่าเสื่อมในคลินิกผู้สูงอายุ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริการคลินิกผู้สูงอายุสำหรับการจัดการสุขภาพตนเองในการดูแลโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลมหาสารคาม และ 3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนา</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> วิจัยเชิงปฏิบัติการร่วมกับแนวคิดการจัดการตนเองของ Creer (2000) ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย 1) ผู้สูงอายุที่มีข้อเข่าเสื่อม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และผู้ดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 45 คน และ 2) บุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด แพทย์แผนไทย และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 10 คน ดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนมกราคม 2567 เสร็จสิ้นเดือนธันวาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบประเมิน Comprehensive Geriatric Assessment 2) แบบประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม (Oxford knee score) 3) แบบสัมภาษณ์สำหรับสนทนากลุ่มเพื่อทราบปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อม และ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการป้องกันและควบคุมโรคข้อเข่าเสื่อม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติเชิงวิเคราะห์ Mann-Whitney U test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมก่อนและหลังพัฒนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>1) สถานการณ์โรคข้อเข่าเสื่อม พบว่า ต้องการแก้ปัญหาการจัดการอาการปวด ร้อยละ 100.0 การติดตามอาการ ระบบการดูแลที่ครบวงจร และการเข้าถึงบริการที่สะดวกรวดเร็ว ร้อยละ 100.0 2) รูปแบบการบริการในคลินิกผู้สูงอายุ 5ACTS OA ประกอบด้วย การประเมิน 5A (Assess, Advise, Agree, Assist และ Arrange) การทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ (Co-operation) ติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยการพยาบาลทางไกล (Telenursing) การบริการครบวงจร (Service) ผลลัพธ์ที่ดี (Outcome) และการส่งเสริมความสามารถในการจัดการตนเอง (Ability) และ 3) ผลการใช้รูปแบบบริการที่พัฒนาขึ้น พบว่า พฤติกรรมการควบคุมและป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมหลังพัฒนากลุ่มตัวอย่างเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> สถานการณ์โรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุพบว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องให้การจัดการดูแล ดังนั้นการจัดรูปแบบการบริการในคลินิกผู้สูงอายุโดยใช้ 5ACTS OA ช่วยให้ผู้สูงอายุมีทักษะในการควบคุมและป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยตนเองและส่งเสริมให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมในการควบคุมและป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม จึงควรส่งเสริมการจัดรูปแบบการบริการติดตามเยี่ยมด้วยพยาบาลทางไกลนี้ต่อไป</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273385 ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวของนักศึกษาแพทย์ในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง 2025-03-17T10:07:53+07:00 พัชรพร เดชบุรัมย์ p.dejburum@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อประเมินระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของนักศึกษาแพทย์ในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงการระบุช่องว่างในหลักสูตรแพทยศาสตร์และเสนอแนวทางพัฒนา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลจากนักศึกษาแพทย์ปี 4-6 ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลมหาสารคาม จำนวน 53 คน โดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> ผู้เข้าร่วมวิจัยมีมัธยฐานอายุ 23.0 ปี (Q1, Q3=22.0, 23.0) และ GPA มัธยฐาน 3.4 <br />(Q1, Q3=3.1, 3.5) ส่วนคะแนนในแต่ละด้านพบมัธยฐานคะแนนความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัวใน<br />การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เท่ากับ 9 (Q1, Q3=8, 10) <br />74 (Q1, Q3=67, 78) และ 47 (Q1, Q3=38, 63) ตามลำดับ ความรู้มีความสัมพันธ์กับอายุ (p=0.047, AOR =0.5; 95%CI: 0.3–0.9) และ GPA (p=0.021, AOR=14.8; 95%CI: 1.5–146.0) ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปฏิบัติตัว (p=0.023, AOR=4.0; 95%CI: 1.2–13.2) และพฤติกรรมที่ดีมีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบ MBTI แบบ Judging (p=0.017, AOR =0.3; 95%CI: 0.1–0.9)</p> <p> ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่เห็นว่าการสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องในหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ยังไม่เพียงพอ โดยเสนอให้สอนในทุกปีการศึกษา ควรเพิ่มเนื้อหาเชิงลึกจัด Workshop ที่เน้นการฝึกปฏิบัติจริงในชุมชน และควรพัฒนาเนื้อหาการเรียนการสอนแบบสหสาขาวิชาชีพ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ระดับความรู้มีความสัมพันธ์กับอายุและเกรดเฉลี่ย ส่วนทัศนคติสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปฏิบัติตัว และบุคลิกภาพ MBTI แบบ Judging มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่ดี หลักสูตรการศึกษายังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนา</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271972 แนวคิดรูปแบบการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาล 2025-01-31T14:16:51+07:00 วิราพร สืบสุนทร wiraporn@gmail.com อภิฤดี พาผล papolruedee@gmail.com พันธิพา จารนัย panthipa@gmail.com <p>การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนของนักศึกษาพยาบาล เพื่อตอบสนองการเรียนรู้และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีหลายวิธี เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก การสอนแบบอภิปราย การสอนโดยใช้แผนผังความคิดและการสอนโดยใช้กรณีศึกษา เป็นต้น แต่วิธีการสอนเหล่านี้จะไม่มีประสิทธิผลหากไม่ได้ออกแบบให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ (learning styles) ของผู้เรียน ดังนั้น ก่อนออกแบบการเรียนรู้ผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียนว่ามีรูปแบบการเรียนรู้มีความถนัดหรือความชอบต่อรูปแบบการเรียนรูปแบบใดเพื่อจะได้สามารถจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับรูปแบบดังกล่าว บทความนี้ทบทวนเอกสารทความวิชาการและบทความวิจัย เพื่อศึกษาแนวคิดของรูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษาและแนวทางการประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาล แนวคิดรูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วยแนวคิด รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิด แอนโธนี กราซา และไรซ์แมน (Grasha &amp; Reichman), รูปแบบการเรียนรู้ ตามแนวคิดของโคล์บ (Kolb) และ รูปแบบการเรียนรู้ วีเออาร์เค (VARK Learning Style) และการนำแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนพยาบาล</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273425 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการกลับเข้ารักษาซ้ำภายใน 28 วัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว: การศึกษาย้อนหลัง 2025-02-25T10:25:05+07:00 ปทุมพร แสนวิชัย 65010482008@msu.ac.th อนุชา ไทยวงษ์ anucha@smnc.ac.th สุคนธ์ทิพย์ ปัตติทานัง sukontip@gmail.com สุวคนธ์ ทองดอนบม suwakon@gmail.com กำทร ดานา kamthorn@gmail.com วราภรณ์ สระแก้ว waraporn@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการกลับเข้ารักษาซ้ำภายใน 28 วัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การศึกษาแบบย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาสารคาม ระหว่างปี 2564-2566 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มอย่างเป็นระบบจำนวน 231 ราย รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> อุบัติการณ์การกลับเข้ารักษาซ้ำภายใน 28 วัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ระหว่างปี 2564-2566 คิดเป็นร้อยละ 3.56 5.49 และ 4.67 ตามลำดับ ปัจจัยเสี่ยงการกลับเข้ารักษาซ้ำใน 28 วันในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่ อายุ (AOR 2.83, 95%CI 1.29-6.20) การไม่มีผู้ดูแล (AOR 2.60, 95%CI 1.22-5.23) โรคไตเรื้อรัง (AOR 2.32, 95%CI 1.19-4.54) โรคหัวใจชนิดอื่น (AOR 2.39, 95%CI 1.22-4.69) ระดับฮีโมโกลบินน้อยกว่า 10 g/dl (AOR 2.02, 95%CI 1.07-3.82) และค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า 18.5 kg/m2 (AOR 2.75, 95%CI 1.37-5.54)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> อุบัติการณ์ของการกลับเข้ารักษาซ้ำในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวค่อนข้างสูง โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น การไม่มีผู้ดูแล มีโรคร่วมคือ โรคไตเรื้อรัง และโรคหัวใจชนิดอื่น ระดับฮีโมโกลบินต่ำ และภาวะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและมีระบบเฝ้าระวัง เพื่อลดโอกาสในการกลับเข้ารักษาซ้ำ</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271967 ผลของการใช้โปรแกรมการเตรียมความพร้อมต่อความวิตกกังวลและความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตาในโรงพยาบาลชลบุรี 2025-02-21T13:53:41+07:00 พาภรณ์ เยาว์วัฒนานุกุล pongy986@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความวิตกกังวลและคะแนนความรู้ในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตา ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมและกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีการวิจัย :</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่มารับบริการผ่าตัดน้ำวุ้นตาที่โรงพยาบาลชลบุรี โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง คือ กลุ่มที่ได้รับโปรแกรม และกลุ่มควบคุม คือ กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มละ 30 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการให้ข้อมูลการเตรียมความพร้อมด้วยวีดิทัศน์เนื้อหาเกี่ยวกับการผ่าตัดและการพยาบาลที่ได้รับเกี่ยวกับการผ่าตัดน้ำวุ้นตา 2) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 3) แบบสอบถามประเมินความวิตกกังวล 4) แบบสอบถามความรู้ โดยวิธีการแจกแจงจำนวนข้อมูล จำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Chi-square test และ Independent samples t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการเตรียมความพร้อมต่อความวิตกกังวลและความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตาพบว่า ค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-73.30, p=0.014; 95%CI -15.95 ถึง -15.10) และค่าเฉลี่ยความรู้ในการปฏิบัติตัวหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ &lt;0.05 (t=6.98, p=0.021; 95%CI 2.04 ถึง 3.68)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> โปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด สามารถทำให้ผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในกลุ่มทดลองที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตามีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพิ่มมากขึ้น ช่วยทำให้ความวิตกกังวลลดลง และปฏิบัติตัวได้ถูกต้องหลังผ่าตัด</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273364 ลักษณะทางคลินิกและปัจจัยเสี่ยงของโรคไข้หวัดใหญ่รุนแรงในผู้ป่วยเด็กที่นอนโรงพยาบาล 2025-02-28T09:37:18+07:00 เพ็ญประภา สิริเพาประดิษฐ์ ppenprapa.pp@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาลักษณะทางคลินิก และปัจจัยเสี่ยงในการเกิดไข้หวัดใหญ่รุนแรงในผู้ป่วยเด็กที่นอนโรงพยาบาล</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong>: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง ในผู้ป่วยเด็กอายุ 1 เดือน–15 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ด้วยวิธี nasal swab และรับการรักษาในหอผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566–1 มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และหาปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรงด้วย Multivariable logistic regression โดยนิยามโรคไข้หวัดใหญ่รุนแรงคือผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่หรือมีระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล ≥ 3 วัน หรือเสียชีวิต</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>จากผู้ป่วยเด็กจำนวน 181 ราย พบผู้ที่อายุ &gt; 5 ปีร้อยละ 56.9 เกิดโรครุนแรง ร้อยละ 56.4 โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบมาก ได้แก่ ภาวะทางระบบประสาทร้อยละ 19.3 ปอดอักเสบ ร้อยละ 13.8 และเสียชีวิตร้อยละ 0.6 ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรง ได้แก่ โรคธาลัสซีเมีย (AOR=17.51, 95%CI: 1.47-209.10) มีประวัติไข้ชัก (AOR=11.10, 95%CI: 1.94-63.40) อาการเสียงหายใจผิดปกติ (AOR=6.14, 95%CI: 1.12-33.64) และการได้รับยาปฏิชีวนะ (AOR=6.57, 95%CI: 2.84-15.20) ส่วนการได้รับยา Oseltamivir เป็นปัจจัยป้องกันการเกิดโรครุนแรง (AOR=0.38, 95%CI: 0.15-0.92)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> โรคไข้หวัดใหญ่พบมากในผู้ป่วยเด็กอายุ &gt; 5 ปี ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่ ได้แก่ ภาวะทางระบบประสาท และปอดอักเสบ การรักษาด้วย Oseltamivir ช่วยป้องกันการเกิดโรครุนแรงและควรพิจารณาการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม วัคซีนป้องกันโรคควรได้รับการสนับสนุนในเด็กทุกอายุ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ โรคธาลัสซีเมีย หรือประวัติไข้ชัก</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273173 ผลของโปรแกรมเตรียมความพร้อมส่องกล้องลำไส้ใหญ่กับแรงสนับสนุนทางสังคม ต่อความวิตกกังวล คุณภาพความสะอาดลำไส้ และความพึงพอใจ ของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 2025-03-14T13:43:52+07:00 ลักขณา ศรีปัดถา luckana2325320@gmail.com อุไรวรรณ บุญถม uraiwan@gmail.com ณัฐวุฒิ สุริยะ natthawut@smnc.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเตรียมความพร้อมส่องกล้องลำไส้ใหญ่กับแรงสนับสนุนทางสังคม ต่อความวิตกกังวล คุณภาพความสะอาดลำไส้ และความพึงพอใจ ของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยกึ่งทดลองศึกษาสองกลุ่มวัดผลก่อนหลังการทดลอง (The two-group pre-posttest design) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีผลตรวจเม็ดเลือดแฝงในอุจจาระผิดปกติ จากโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักของโรงพยาบาลมหาสารคาม ที่ได้รับการส่องกล้องครั้งแรก กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*Power ใช้การสุ่มอย่างง่ายกลุ่มละ 33 คน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อมร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่องกล้องลำไส้ใหญ่ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา และสถิติวิเคราะห์ Independent t-test และ Paired sample t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ภายหลังได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อมร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่องกล้องลำไส้ใหญ่ พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=10, p-value<u>&lt;</u>0.001) และน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05(t=-4.35, p-value<u>&lt;</u>0.001) และระดับความสะอาดลำไส้ใหญ่ของกลุ่มทดลองอยู่ในเกณฑ์สะอาดร้อยละ 90.91 ไม่ผ่านเกณฑ์สะอาดร้อยละ 9.09 ส่วนกลุ่มควบคุมอยู่ในเกณฑ์สะอาดร้อยละ 72.72 ไม่ผ่านเกณฑ์สะอาดร้อยละ 24.24 อยู่ในเกณฑ์แย่และเตรียมลำไส้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 12.12 และกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=5.29,p-value<u>&lt;</u>0.001) </p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> โปรแกรมเตรียมความพร้อมร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถลดความวิตกกังวล ส่งเสริมพฤติกรรมการเตรียมลำไส้ เพิ่มคุณภาพความสะอาดลำไส้ และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273233 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัดที่กลับบ้านพร้อมสายระบาย 2025-02-13T11:05:24+07:00 กมลรัตน์ สุปัญญาบุตร kamolrat.su903@gmail.com อนุชา ไทยวงษ์ anucha@smnc.ac.th รัชนี ปะสาริบุตร ruchanee@gmail.com กัญญาพัชร บัณฑิตถาวร kanyapat@smnc.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัดที่กลับบ้านพร้อมสายระบาย</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม โดยวัดผลหลังการทดลองเพียงอย่างเดียว กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดและกลับบ้านพร้อมสายระบาย คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนและการสนับสนุนทางสังคม คู่มือการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านม แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกผลลัพธ์ทางคลินิก และแบบประเมินความพึงพอใจ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม – สิงหาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติไคสแควร์ และสถิติทีแบบอิสระ</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มทดลองมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 2.9 และการเกิดของเหลวคั่งใต้แผลผ่าตัดร้อยละ 2.9 ขณะที่กลุ่มควบคุมมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 11.4 และการเกิดของเหลวคั่งร้อยละ 8.6 โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.163 และ p=0.302 ตามลำดับ) อย่างไรก็ตาม กลุ่มทดลองมีจำนวนวันนอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 4.8±1.0 วัน และค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 23,481.6±2,936.4 บาท ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มควบคุมที่มีวันนอนเฉลี่ย 11.9±3.1 วัน และค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 35,521.2±8,962.2 บาท อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) นอกจากนี้ กลุ่มทดลองมีความพึงพอใจเฉลี่ย 4.2±0.5 สูงกว่ากลุ่มควบคุมซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3.8±0.6 (p&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> โปรแกรมเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัดที่กลับบ้านพร้อมสายระบาย โดยช่วยลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด ลดจำนวนวันนอนและค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล รวมถึงเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273667 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตที่ได้รับการผ่าตัดทางท่อปัสสาวะ 2025-02-28T10:48:41+07:00 ธันยาภัทร์ ปิยวัชร์เวลา thanyapat@gmail.com อนุชา ไทยวงษ์ anucha.smnc@gmail.com ดรุณี สมบูรณ์กิจ darunee@gmail.com วิทวัฒน์ ช่วยเจริญ witthawat@gmail.com พัชรีรัตน์ อันสีแก้ว patchareerat@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตที่ได้รับการผ่าตัดทางท่อปัสสาวะ หอผู้ป่วยศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p> <strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 4 ระยะคือ 1) ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา 2) พัฒนาแนวปฏิบัติ ตรวจสอบคุณภาพ และศึกษานำร่อง 3) ตรวจสอบประสิทธิผลด้วยแบบแผนการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดหลังทดลองอย่างเดียว และ 4) ประเมินผล ปรับปรุงแก้ไข และยืนยันคุณภาพกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10 คน และผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตที่ได้รับการผ่าตัดทางท่อปัสสาวะ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดความสามารถในการดูแลตนเองเมื่อรับการผ่าตัดทางท่อปัสสาวะ แบบประเมินการปฏิบัติการพยาบาล แบบบันทึกผลลัพธ์ทางคลินิก และแบบประเมินความพึงพอใจ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม ถึงธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> เกิดแนวปฏิบัติการพยาบาลที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทการปฏิบัติงาน ครอบคลุม 3 ระยะ คือ เตรียมก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และก่อนจำหน่าย โดยแบ่งเป็น 4 หมวดกิจกรรม (M-S-K-H protocol) คือ 1) การบริหารยาตามแผนการรักษาและการบริหารให้ได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำอย่างเพียงพอ 2) การดูแลความปลอดภัยและการปฏิบัติกิจกรรม 3) การสอนให้ความรู้ที่จำเป็นต่อการดูแลตนเอง และ 4) การดูแลสุขอนามัยและการดูแลสายสวนปัสสาวะ ภายหลังการนำสู่การปฏิบัติพบว่า ยังคงเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดแต่ไม่รุนแรง พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการพยาบาลตามแนวปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนร้อยละ 86.7 ทั้งผู้ป่วยและพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>:</strong> แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตที่ได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะที่พัฒนาขึ้นนี้ ช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย ลดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วยและพยาบาลได้ อย่างไรก็ตามควรติดตามและประเมินผลการใช้อย่างต่อเนื่อง</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272046 ผลของโปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสั้นโดยใช้สติเป็นพื้นฐาน ต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองและระดับน้ำตาลในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ 2025-01-31T14:46:24+07:00 วาสนา ยินดีมาก wassanayindeemak@gmail.com หทัยวรรณ แสงคำไพ hathaiwan@gmail.com ภัทราพร ตันนุกูล pattaraporn@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสั้นโดยใช้สติเป็นพื้นฐาน ต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองและระดับน้ำตาลในเลือด</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย</strong> <strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยการศึกษากึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ใน 7 ชุมชน เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด ที่มารับการรักษาต่อเนื่องที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง ช่วงระยะเวลาระหว่างเดือน มกราคม 2566 ถึง กันยายน 2566 จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 52 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสั้นโดยใช้สติเป็นพื้นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน แบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1c) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรที่ศึกษาด้วยสถิติ paired t-test และ independent t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> <p><strong>ผลการศึกษ</strong>า<strong> :</strong> หลังการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการควบคุมอาหารแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนมากกว่า 1.96 คะแนน (95% CI; 0.87, 3.05) มีพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการออกกำลังกายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการออกกำลังกายมากกว่า 0.69 คะแนน (95% CI; 0.04, 1.34) กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการจัดการความเครียดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการจัดการความเครียดมากกว่า 2.88 คะแนน (95% CI; 2.27, 3.49) กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการใช้ยาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองด้านการใช้ยามากกว่า 1.92 คะแนน (95% CI; 0.47, 3.36) ผลการเปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ หลังการเข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสั้นโดยใช้สติเป็นพื้นฐาน พบว่า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีระดับ HbA1c แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยกลุ่มทดลองมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่ากลุ่มควบคุม 0.53 (95% CI; -0.87, -0.19)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>:</strong> การใช้โปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสั้นโดยใช้สติเป็นพื้นฐาน ส่งผลให้พฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยดีขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเข้าสู่เกณฑ์ปกติ</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273420 การพัฒนาระบบการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุ จังหวัดมหาสารคาม 2025-02-17T10:45:47+07:00 เฉลิมพล บุญพรหมธีรกุล chalermpol@gmail.com จุลินทร ศรีโพนทัน Julintorn@gmail.com ปรมาภรณ์ คลังพระศรี paramaporn@gmail.com วิไลพร แก้วอรุณ wilaiphon@gmail.com ธนิศรา นามบุญเรือง thanis.mskh@gmail.com ฐิติพร วิชัยวงษ์ thitiporn@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อการพัฒนาระบบการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุในจังหวัดมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา มี 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาและความต้องการ 2) พัฒนาระบบการรักษาฯ 3) นำระบบการรักษาฯ ไปใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิผล ในกลุ่มบุคลากร 130 คน และผู้ป่วยอุบัติเหตุ 120 คน และ 4) ประเมินผลปรับปรุงแก้ไข และยืนยันคุณภาพ เครื่องมือการวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูล แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบประเมินคุณภาพของระบบฯ แบบประเมินสมรรถนะ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อระบบการรักษาฯ เก็บข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, multiple regression analysis, Fisher's Exact test, paired-t-test และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> 1) ระบบการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุ จังหวัดมหาสารคาม ที่พัฒนาขึ้น มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ นโยบาย โครงสร้างการบริหาร สมรรถนะด้านการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ และการสนับสนุน (2) กระบวนการ CF3T-NAP Framework (3) ผลลัพธ์ เป็นการกำหนดตัวชี้วัดคุณภาพระบบบริการฯ 3 ด้าน ได้แก่ โครงสร้าง กระบวนการ และผลลัพธ์ 2) หลังการใช้ระบบฯ พบว่าคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุสูงกว่าก่อนใช้ระบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.01) ผลลัพธ์ด้านดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุหลังการใช้ระบบฯ สูงกว่าก่อนการใช้ระบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.01) และส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อคุณภาพของระบบฯ ระดับดีมากร้อยละ 92.31 และมีความพึงพอใจต่อระบบฯ ระดับมากที่สุด ร้อยละ 93.33 ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.96 SD=0.76)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> สถานบริการสุขภาพอื่นควรนำระบบการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุที่พัฒนาขึ้นไปใช้เพื่อเข้าใจกระบวนการในการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272228 การพัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอด เลือดหัวใจ ห้องตรวจศัลยกรรม งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลตรัง 2025-02-10T14:45:56+07:00 จารุนี แก้วอุบล pimmylovey@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบและการนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ห้องตรวจศัลยกรรม งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลตรัง</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในคลินิกศัลยกรรมหัวใจ หลอดเลือดและทรวงอก จำนวน 5 คน และผู้ป่วยที่ได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจระหว่างเดือนกันยายน 2566 ถึงเดือน กรกฎาคม 2567 จำนวน 60 คน โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มควบคุม 30 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้บริการก่อนพัฒนารูปแบบ และกลุ่มทดลอง 30 คน เป็นกลุ่มที่ให้บริการหลังพัฒนารูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ chi-squared test, paired t-test, และ independent t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> พบว่าความรู้ ทักษะและความพึงพอใจของพยาบาลหลังพัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดสูงกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่าเฉลี่ยระยะวันนอนในโรงพยาบาลและระยะเวลารอคอยการผ่าตัดในกลุ่มทดลองน้อยกว่าในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้ป่วยในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลของผู้ป่วยพบว่ากลุ่มทดลองมีความวิตกกังวลน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> งานวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบของการเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ซึ่งประกอบด้วยการเพิ่มสมรรถนะของพยาบาลประจำคลินิกและการพัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมร่วมกับทีมสหวิชาชีพ</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272500 การศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการระดับความปวดในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จากโรงพยาบาลสู่ชุมชน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 2025-04-02T10:54:36+07:00 ธัญญารัตน์ ศรีวรนันท์ธำรง kunchun1418@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อพัฒนาและประเมินผลโปรแกรมการจัดการระดับความปวดในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย : </strong>เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ ระยะวิเคราะห์สถานการณ์ ระยะพัฒนาโปรแกรม และระยะประเมินผล ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วยบุคลากรด้านสุขภาพในหน่วยบริการปฐมภูมิ จำนวน 18 คน ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จำนวน 40 คน และญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย จำนวน 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>พบว่าโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบของการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน โดยมีแนวทางปฏิบัติในการจัดการความปวดในผู้ป่วยมะเร็งหลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล การอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ระดับปฐมภูมิ และการนิเทศกำกับติดตามการดูแล สามารถส่งผลต่อการควบคุมอาการปวดในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ญาติมีความพึงพอใจในการดูแลอยู่ในระดับดีมาก และเจ้าหน้าที่ระดับปฐมภูมิ มีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการดูแลจัดการความปวดในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายในระดับที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา : </strong>โปรแกรมการจัดการระดับความปวดในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย สามารถส่งเสริมการให้บริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแล และระบบบริการทางการพยาบาลโดยรวม</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/274496 สัดส่วนผู้เล่นเกมออนไลน์และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมจากการเล่นเกมออนไลน์ของนักเรียน โรงเรียนสารคามพิทยาคม 2025-04-22T13:42:15+07:00 ศรุดา ศรีสารคาม saruda@gmail.com ธนิน ฐิติพรรณกุล tanin_patho@hotmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาสัดส่วนของนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคมที่เล่นเกมออนไลน์ พฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์และผลกระทบจากการเล่นเกมออนไลน์</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 205 คน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> นักเรียนที่เล่นเกมออนไลน์มีความชุกคิดเป็นร้อยละ 80 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ <br />กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์พบว่าระดับชั้นการศึกษา รายได้รวมของครอบครัวต่อเดือน และสถานภาพสมรสของบิดามารดาสัมพันธ์กับการเล่นเกมออนไลน์ ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลกระทบจากการเล่นเกมออนไลน์พบว่า เพศ ระดับชั้นการศึกษา และสถานภาพของบิดามารดามีความสัมพันธ์กับผลกระทบในด้านค่าใช้จ่ายในการเล่นเกม นอกจากนี้เพศยังมีความสัมพันธ์กับผลกระทบในด้านการศึกษาและด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว อายุและระดับชั้นการศึกษามีความสัมพันธ์กับผลกระทบในด้านความก้าวร้าวและการใช้ความรุนแรง ระยะเวลาในการเล่นเกมออนไลน์ที่น้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันมีความสัมพันธ์กับผลกระทบในด้านค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมออนไลน์ ความถี่ในการเล่นเกมออนไลน์ที่น้อยกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์มีความสัมพันธ์กับผลกระทบในด้านสุขภาพ ด้านค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมออนไลน์และด้านการศึกษา</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> นักเรียนมัธยมส่วนใหญ่เล่นเกมออนไลน์ การเล่นเกมออนไลน์ทำให้มีสังคมได้พบกับผู้อื่น ทำให้ผู้เล่นได้รู้จักโลกกว้างและรู้จักการวางแผน อย่างไรก็ตามควรตระหนักถึงการแบ่งเวลาในชีวิตให้กับการเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว และจัดการค่าใช้จ่ายในการเล่นเกม</p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม