https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/issue/feed
วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-12-24T13:59:17+07:00
วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
mskh.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นวาสารวิชาการวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ พยาบาลและเกี่ยวข้องด้านการสาธารณสุขทุกสาขา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขและเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางด้านการแพทย์ พยาบาล และการสาธารณสุขทั้งในและนอก องค์กรสู่การสืบค้นแก่ผู้ที่สนใจ </p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong></p> <p> 1. วิทยาศาสตร์สุขภาพ <br /> 2. แพทยศาสตร์ (Medicine) <br /> 3. ทันตแพทยศาสตร์ (dentistry) <br /> 4. เภสัชศาสตร์ (pharmacy) <br /> 5. พยาบาลศาสตร์ (Nursing) <br /> 6. สาธารณสุขศาสตร์ (Health professions) <br /> 7. เทคนิคการแพทย์ (Medical technology) <br /> 8. กายภาพบำบัด (Physical Therapy) <br /> 9. รังสีเทคนิค (Radiological Technology) <br /> 10. สาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการ </strong><strong>Peer Review Process</strong></p> <ul> <li>กองบรรณาธิการวารสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review)</li> <li>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> <li>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์ หรือ เพิกถอนบทความในขั้นตอนใด ๆ ได้ หากมีการตรวจพบข้อผิดพลาดด้านเนื้อหาและ/หรือจรรยาบรรณทางวิชาการของบทความนั้นโดยประจักษ์</li> </ul> <p><strong>ประเภทบทความที่สามารถลงตีพิมพ์</strong></p> <p> 1. นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) ได้แก่ บทความที่เสนอผลงานใหม่ที่ได้จากการศึกษาวิจัยที่ยังไม่เคย ตีพิมพ์ในวารสาร หรือหนังสืออื่นๆ<br /> 2. รายงานผู้ป่วย (case report) เป็นรายงานผู้ป่วยที่น่าสนใจ เช่น การบาดเจ็บ, ความผิดปกติหรือโรคที่ พบได้ยาก และที่น่าศึกษา ใช้วิธีการนวัตกรรม หรือเครื่องมือใหม่ ในการรักษาผู้ป่วย ควรเขียนตามลำดับ ได้แก่ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ บทนำ (เหตุผลที่ทำการศึกษานี้รวมทั้งวัตถุประสงค์) รายงานผู้ป่วย (รวมถึงวัสดุและ วิธีการศึกษา) วิจารณ์สรุปอภิปรายผล และเอกสาร อ้างอิง<br /> 3. บทความพิเศษ (special article) เป็นบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ทันตแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาลการสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจมีลักษณะเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์หรือ บทความทางด้านการบริหารที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าเป็นประโยชน์<br /> 4. บทความวิชาการ (review article) ได้แก่ บทความที่ได้จากการรวบรวมนำเอาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ ในวารสารหรือหนังสือต่าง ๆ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์นำมาเรียบเรียงและ วิเคราะห์วิจารณ์หรือ เปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความลึกซึ้งหรือเกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น<br /> 5. ปกิณกะ (miscellany) เป็นบทความหรือสาระความรู้ได้แก่ บทความอื่น ๆ หรือรายงานที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการแพทย์ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ หรือบทความที่ส่งเสริม ความเข้าใจอันดีต่อผู้ปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร<br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ <br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)<strong><br /></strong><em>*หมายเหตุ : วารสารเผยแพร่เฉพาะในเว็บไซต์ ไม่จัดพิมพ์รูปเล่ม</em></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> 1. บุคคลภายนอก จำนวน 4,000 บาท<br /> 2. บุคคลภายใน (โรงพยาบาลมหาสารคาม) จำนวน 1,500 บาท<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 1 :</span> เรียกเก็บเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์ก่อนส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 2 :</span> หากผู้เขียนดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์บทความแล้ว ทางวารสารฯ จะไม่คืนค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ทุกกรณี</p> <p> </p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271248
บทบาทพยาบาลเพื่อการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
2024-10-11T09:26:34+07:00
ฐิติชญาน์ ปิยภัทรธนัสไชย
sns020535@gmail.com
เพชรไพลิน พิบูลนิธิเกษม
petpailin@gmail.com
สุนิษา เชือกทอง
sunisa.c@rsu.ac.t
<p> กลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต เนื่องจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพลังสุขภาพจิตที่ไม่สามารถจัดการได้ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมถอยด้านร่างกายตามวัย และปัญหาสุขภาพด้านโรคเรื้อรังที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะต้องรักษาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต หากผู้สูงอายุไม่สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตตามมา ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กำหนดความสามารถของบุคคลในการจัดการกับวิกฤตการณ์อย่างสมดุลคือพลังสุขภาพจิต (Resilience quotient) การเสริมสร้างคุณลักษณะที่มีผลต่อสุขภาพจิตจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มพลังสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการที่เน้นการเสริมสร้างลักษณะเฉพาะบุคคล การส่งเสริมกลไกการเผชิญปัญหา การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวันอย่างต่อเนื่อง และการจัดหาการสนับสนุนทางสังคม</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271217
การพัฒนาระบบการปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยในที่มีการทำงานของไตบกพร่อง โรงพยาบาลวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
2024-10-16T09:57:06+07:00
ศิโรรัตน์ ชูสกุล
choosasirorat@gmail.com
พิชญาวรรณ ศรีมงคล
phitchayawan@gmail.com
ศศิธร แสงเนตร
sasithorn@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาระบบการปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยในที่มีการทำงานของไตบกพร่องของโรงพยาบาลวาปีปทุมและศึกษาผลลัพธ์ของระบบ</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ใช้วงจร PAOR จำนวน 4 วงรอบ ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ถึงธันวาคม 2566 กลุ่มตัวอย่าง คือ 1. ผู้ร่วมพัฒนาระบบ 20 คน 2. ผู้ป่วยในที่มี eGFR<60 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตรและได้รับยาที่ต้องปรับขนาดตามการทำงานของไต 764 คน 3. ผู้ที่ใช้ระบบ 30 คน รวบรวมข้อมูลโดยแบบสังเกต แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยและแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา Independent sample t-test และ Chi-square test ที่ระดับความเชื่อมั่น p≤0.05 ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้สถิติเชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ระบบการปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยในที่มีการทำงานของไตบกพร่องประกอบด้วย1. ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง 2. กำหนดขนาดยามาตรฐาน 3. แสดงค่า CrCl อัตโนมัติ4. ปรับชื่อยาให้สื่อสารชัดเจน 5. แสดงค่าการทำงานของไตทุกจุด 6. ให้ข้อมูลขนาดยาใน HOSxP7. ตรวจการทำงานของไตสม่ำเสมอในยาที่มีพิษต่อไต ผลจากการใช้ระบบ พบว่ามีการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากร้อยละ 43.04 เป็น 90.23 อาการไม่พึงประสงค์ลดลงจาก 3 คนเหลือ 0 คน มูลค่ายาที่สูญเสียลดลงจาก 291,340.00 บาท เป็น 31,868.50 บาท และผู้ใช้ระบบมีความพึงพอใจระดับมาก</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>:</strong> ระบบที่พัฒนามีประสิทธิผลในการเพิ่มการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมภายใต้บริบทของโรงพยาบาลวาปีปทุม</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271341
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการประเมินสภาพแรกรับผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-10-09T10:08:49+07:00
สิรินารถ ประพาศพงษ์
aveenardannie@gmail.com
สุวคนธ์ ทองดอนบม
suwakon@gmail.com
กัญญาพัชร บัณฑิตถาวร
kanyapat@gmail.com
สุรัติ สันโดษ
surat@gmail.com
พิไลวรรณ ปลอดโปร่ง
philaiwan@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลแนวปฏิบัติการพยาบาลในการประเมินสภาพแรกรับผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย</strong> <strong>: </strong>เป็นวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมอุบัติเหตุ จำนวน 15 คน และผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบจำนวน 30 คน แบ่งการศึกษาเป็น 2 ระยะ คือระยะพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล และระยะประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้ใช้แนวทาง แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและผลลัพธ์การดูแล <br />แบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลตามแนวปฏิบัติ และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้แนวปฏิบัติ รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>เกิดแนวปฏิบัติการพยาบาล (NAT-MT) ที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทการปฏิบัติงาน ภายหลังการนำสู่การปฏิบัติ พบว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลผ่านช่องทางด่วน (Activate fast track trauma) สูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 90.00 และมีอัตราการเสียชีวิตลดลงจากร้อยละ 5.12 เหลือเพียงร้อยละ 3.33 นอกจากนี้ยังพบว่า ปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลตามแนวปฏิบัติได้ร้อยละ 89.44 และมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (Mean 4.41 ± 0.66)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>: </strong>ผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบที่ได้รับการประเมินด้วยแนวปฏิบัติทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นนี้ ช่วยให้ได้รับการประเมินและการดูแลที่มีประสิทธิภาพ และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270917
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2
2024-10-09T11:18:33+07:00
ลมัย นิรมิตถวิล
yesterday909@gmail.com
เอกกวี หอมขจร
eakkawee.h@bcnsprnw.ac.th
อัญสุรีย์ ศิริโสภณ
ansuree@bcnsprnw.ac.th
สุวพิชญ์ ชัชวาลธีราพงศ์
Suwaphich@bcnsprnw.ac.th
จันทิมา นวะมะวัฒน์
่juntima@bcnsprnw.ac.th
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 159 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3.90 (SD=0.30) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ ปัจจัยด้านการรับรู้สุขภาพ (β=0.390, P<0.01) ปัจจัยด้านระบบบริการสุขภาพ (β=0.306 , P<0.01)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ ปัจจัยด้านการรับรู้สุขภาพ ปัจจัยระบบบริการสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลและบุคคลากรที่เกี่ยวข้อง ควรนำปัจจัยดังกล่าวมาพัฒนาโปรแกรมสร้างการรับรู้สุขภาพ และพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุ</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270387
Parathyroid carcinoma: รายงานผู้ป่วยสองรายในโรงพยาบาลขอนแก่น
2024-10-08T13:57:52+07:00
อภิญญา โชติญาโณ
chotiyanoapinya@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อรายงานผู้ป่วยมะเร็งต่อมพาราไธรอยด์ 2 รายที่ตรวจพบในโรงพยาบาลขอนแก่น</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>: </strong>ทบทวนและรายงานผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งต่อมพาราไธรอยด์ที่โรงพยาบาลขอนแก่น</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงอายุ 24 ปี มาด้วยการพบก้อนที่ตรงกลางลำคอขนาด 4 ซม. ตรวจพบค่าแคลเซียมสูงในเลือด (18.7 มก./เดซิลิตร) ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต่อมไธรอยด์ออกทั้งหมด (Total thyroidectomy) ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่าเป็นมะเร็งต่อมพาราไธรอยด์ ผู้ป่วยรายที่สองเป็นหญิงอายุ 53 ปีมาด้วยอาการอ่อนแรงและพบก้อนที่กลางลำคอ ผลการตรวจทางทดสอบในห้องปฏิบัติการพบภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรง (Severe hypercalcemia) และภาวะต่อมพาราไธรอยด์ทำงานเกิน (Hyperparathyroidism). หลังจากผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดพบว่ามีก้อน 2.5 ซม. ทางด้านซ้ายของต่อมพาราไธรอยด์ ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาและผลการย้อมสีพิเศษเพิ่มเติมยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมพาราไธรอยด์</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> มะเร็งต่อมพาราไธรอยด์มีลักษณะอาการสำคัญรวมถึงการตรวจพบก้อนบริเวณลำคอร่วมกับระดับแคลเซียมในเลือดที่สูงผิดปกติ ดังที่พบในผู้ป่วยสองรายจากโรงพยาบาลขอนแก่น ร่วมกับการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา โดยเฉพาะในกรณีที่พบเซลล์มะเร็งมีการรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ลักษณะอาการของผู้ป่วยมีความซับซ้อนหรือยากต่อการแยกแยะ การใช้เทคนิคการย้อมพิเศษสามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยได้</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271076
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST ยก (STEMI) ที่ได้รับการรักษาด้วยการให้ยาสเตร็ปโตไคเนสในโรงพยาบาลขอนแก่น
2024-10-09T11:20:55+07:00
สุทธิเทพ ดวงศร
drsudhithep@gmail.com
อุษาวดี ธารไพรสาณฑ์
usawadee@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วย STEMI ที่รักษาด้วย ยา Streptokinase ในโรงพยาบาลขอนแก่น</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย STEMI ที่รักษาในโรงพยาบาลขอนแก่นระหว่าง 1 มกราคม 2562-31 ธันวาคม 2564 จำนวน 524 ราย รวบรวมปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิต วิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยแบบโลจิสติกส์ (Simple and Multiple Logistics Regression) เสนอผลเป็น Crude and Adjusted Odds Ratio (OR) ช่วงเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95%CI)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วย STEMI ที่รักษาด้วยยา Streptokinase ทั้งหมด 524 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 77.0 อายุเฉลี่ย 63.2 <u>+</u> 11.3 ปี มีผู้ป่วยเสียชีวิต 41 คน (ร้อยละ7.8) เมื่อวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทั้งหมด พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิต ได้แก่ เพศหญิง AdjOR 6.25 (95%CI 2.00-20.00) และ Onset-to-needle time 121-360 นาที AdjOR 12.12 (95%CI 2.00-73.41)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วย STEMI ที่ได้รับยา Streptokinase ได้แก่ เพศหญิง และระยะเวลาเมื่อเริ่มมีอาการจนถึงได้รับยา 120-360 นาที</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271066
การวินิจฉัยความผิดปกติของอัณฑะด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ในโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา
2024-10-24T14:25:50+07:00
ศุทธพล ศรีศุภร
suttapol@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความผิดปกติของอัณฑะด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound; US) ผลการวินิจฉัยความผิดปกติระหว่างการวินิจฉัยสุดท้าย (Gold standard) และผลการตรวจอัลตราซาวด์ในโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษารูปแบบย้อนหลัง Retrospective study ทำการศึกษาความผิดปกติของอัณฑะด้วยวิธีการอัลตราซาวด์ ในโรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่มาด้วยอาการผิดปกติของอัณฑะที่เข้ารับการรักษา ในระหว่างปี 2562–2566 จากเวชระเบียน ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย ระยะเวลาที่มีอาการ ความผิดปกติของอัณฑะ ผลทางห้องปฏิบัติการ และความสามารถในการวินิจฉัยความผิดปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา นำเสนอค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และ Interquartile (IQR)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของอัณฑะ จำนวน 114 ราย อายุเฉลี่ย 46 ปี ความผิดปกติของอัณฑะที่มาด้วยอาการปวดอัณฑะร้อยละ 46.43 ซึ่งเป็นอาการสำคัญที่มักนำผู้ป่วยเข้ารับการตรวจ และพบก้อนนอกลูกอัณฑะร้อยละ 60.53 โดยส่วนใหญ่เป็น Hydrocele และ Inguinal hernia จากศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการวินิจฉัยความผิดปกติของผู้ป่วย พบว่าส่วนใหญ่วินิจฉัยความผิดปกติได้ตรงกัน แต่มีที่แตกต่างกัน ได้แก่ Epididymo-orchitis ตรวจ US ได้ 17 ราย วินิจฉัยสุดท้าย ได้ 14 ราย Focal inflammation พบเฉพาะการตรวจ US ได้ 2 ราย Lymphoma ตรวจ US ได้ 1 ราย วินิจฉัยสุดท้าย ได้ 4 ราย Orchitis ตรวจ US ได้ 3 ราย วินิจฉัยสุดท้าย ได้ 4 ราย และ TB orchitis ตรวจพบเฉพาะการวินิจฉัยสุดท้าย ได้ 1 ราย</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การตรวจอัลตราซาวด์มีประสิทธิภาพสูงในการวินิจฉัยความผิดปกติของอัณฑะในหลายภาวะ แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการวินิจฉัยเนื้องอกบางชนิด เช่น lymphoma</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271150
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อพฤติกรรมการดูแลตัวเองก่อนและหลังผ่าตัดต้อกระจกผู้ป่วยสูงอายุแบบฉีดยาชาเฉพาะที่ในโรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-11-01T10:17:40+07:00
ภคนันท์ ปะวรรณจะ
pakanann1973@gmail.com
วุฒิชัย โยตา
wuttichaiy@christian.ac.th
นงเยาว์ มีเทียน
nongyaow@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมระหว่างกลุ่มการพยาบาลตามปกติต่อพฤติกรรมการดูแลตัวเองก่อนและหลังการผ่าตัดต้อกระจกในผู้ป่วยสูงอายุแบบฉีดยาชาเฉพาะที่ในโรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองโดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 50 คน แบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มควบคุมได้รับการให้การพยาบาลตามปกติ 3 กิจกรรม กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม 4 กิจกรรมก่อนและหลังการผ่าตัดและตรวจตามนัดหลัง 1 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม 2) แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองก่อนการผ่าตัดต้อกระจก 3) แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อกระจก แบบประเมินพฤติกรรมก่อนและหลังมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.9 และ 0.8 ค่า Cronbach's Alpha เท่ากับ 0.715 และ 0.733 ตามลำดับ และการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ t test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> 1) ผู้ป่วยสูงอายุมีพฤติกรรมการดูแลตัวเองด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มก่อนการผ่าตัดต้อกระจกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value<0.05 2) ผู้ป่วยสูงอายุมีพฤติกรรมการดูแลตัวเองด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มภายหลังการผ่าตัดต้อกระจกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value<0.05</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> โปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถเพิ่มพฤติกรรมการดูแลตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกการให้บริการแก่ผู้ป่วยสูงอายุหลังผ่าตัดต้อกระจกแบบฉีดยาชาเฉพาะที่ได้ต่อไป</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270618
ผลการดูแลผู้ป่วยระยะกลางโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยร่วมกับทีมสหวิชาชีพต่อการเพิ่มความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน และระดับกำลังของกล้ามเนื้อในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-10-11T11:35:33+07:00
ประถมพร มาตย์วิเศษ
mskh.som@gmail.com
นาตยา วรรณการ
Nadtaya14499narak@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลการดูแลผู้ป่วยระยะกลางด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยร่วมกับการรักษาตามมาตรฐานของสหวิชาชีพต่อการเพิ่มความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและระดับกำลังของกล้ามเนื้อของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) ในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อน-หลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) จำนวน 32 คน ทำการรักษาด้วยการนวดแบบราชสำนัก 60 นาที และการประคบสมุนไพร 30 นาที วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ร่วมกับการรักษาฟื้นฟูตามมาตรฐาน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Barthel index) แบบประเมินระดับกำลังกล้ามเนื้อ (Motor power) ในผู้ป่วยแขนขาอ่อนแรง และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน คือ Wilcoxon signed-ranks test</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> หลังการรักษา กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันมากกว่าก่อนการรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และมีระดับกำลังของกล้ามเนื้อแขนและขาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดในด้านภาพรวม ด้านการให้บริการ และด้านผลการรักษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94±0.25 4.91±0.30 และ 4.47±0.67 ตามลำดับ และไม่พบอุบัติการณ์ที่ไม่พึงประสงค์</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การฟื้นฟูสภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยร่วมกับการฟื้นฟูตามมาตรฐาน สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและระดับกำลังของกล้ามเนื้อของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ และไม่พบอุบัติการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ จึงควรแนะนำรูปแบบการรักษานี้สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่เข้าเกณฑ์ทุกราย</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271210
ผลของการเตรียมความพร้อมในการฝึกรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1 ต่อความรู้และความมั่นใจในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์
2024-10-22T21:50:55+07:00
ทิพวัลย์ ธีรสิริโรจน์
tippawan@bcnsprnw.ac.th
นิตยา พรหมเย็น
nittaya@bcnsprnw.ac.th
ไกรศร จันทร์นฤมิตร
kraisorn@gmail.com
ชุลีพร ปิยสุทธิ์
chuleeporn@gmail.com
ดารารัตน์ อยู่เจริญ
dararat@gmail.com
วรรณี จิวสืบพงษ์
wannee@gmail.com
ศิริพร แก้วกุลพัฒน์
siriporn@gmail.com
ศิรินภา นาคคำแหง
sirinapha@gmail.com
อรญา ศรีนารอด
oraya@gmail.com
เกรียงไกร หร่ายอุดทา
kriangkrai@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ และความมั่นใจในการปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการเตรียมความพร้อมในการฝึกรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1</p> <p><strong>รูปแบบและระเบียบวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว โดยวัดก่อนและหลังการเข้าร่วม การเตรียมความพร้อมในการฝึกรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 จำนวน 125 คน จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์ ซึ่งฝึกปฏิบัติการพยาบาลในช่วง 8 สัปดาห์สุดท้ายของรายวิชา ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กิจกรรมเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการพยาบาล 2) แบบวัดความรู้ก่อนและหลังการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1 และ 3) แบบประเมินความมั่นใจในการฝึกปฏิบัติการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบจับคู่ (Paired t-test)</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาพบว่า ความรู้เกี่ยวกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 หลังการเตรียมความพร้อมสูงกว่าก่อนการเตรียมความพร้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 1.58, S.D. = 0.528; <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 2.01, S.D. = 0.449) นอกจากนี้ ความมั่นใจในการปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 หลังการเตรียมความพร้อมสูงกว่าก่อนการเตรียมความพร้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.72, S.D. = 0.736; <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.10, S.D. = 0.716)</p> <p><strong>สรุปผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> การเตรียมความพร้อมในการฝึกรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1 ก่อนการฝึกปฏิบัติงานจริง สามารถช่วยเพิ่มพูนความรู้และความมั่นใจในการปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยให้แก่นักศึกษาพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271430
ผลของการใช้โปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในโรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-10-11T09:01:33+07:00
กัญญา รังสี
kanyarungsee2@gmail.com
นงเยาว์ มีเทียน
nongyaow@gmail.com
ปุญญิสา ศรีสาร
punyisa@gmail.com
วุฒิชัย โยตา
wuttichai@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมให้ข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ในโรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มละ 25 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ ประกอบด้วย กิจกรรมการให้ความรู้เกี่ยวกับโรค การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด และการดูแลตนเองภายหลังผ่าตัดที่โรงพยาบาลและที่บ้าน โดยการเยี่ยมผู้ป่วยระยะก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มและการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยแบบ<br />D-METHOD ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย ก่อนและหลังการทดลอง มีค่าความเชื่อมั่น 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบใช้สถิติเชิงอนุมาน Independent t-test และ paired t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเท่ากับ 2.960 กลุ่มควบคุมเท่ากับ 2.420 ซึ่งแปลผลว่ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่ากลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) สรุปได้ว่า โปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับ ทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ดีขึ้น</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> โปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยในรูปแบบ D-Method โดยประยุกต์ทฤษฎีการดูแลตัวเองของโอเร็มทำให้พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบแบบวันเดียวกลับดีขึ้นมากกว่าการดูแลตามปกติ สามารถนำไปประยุกต์ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดอื่นๆ ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด <br />ระยะผ่าตัด ระยะหลังผ่าตัดและการติดตามการดูแลต่อเนื่อง</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270432
การระบาดของโรคพิษเมทานอลจากยาดองเถื่อนใน 3 ชุมชน จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย
2024-07-31T11:01:19+07:00
พัชรพร เดชบุรัมย์
p.dejburum@gmail.com
ชาโล สาณศิลปิน
chalo@gmail.com
ธนวดี จันทร์เทียน
thanawadee@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> วันที่ 20 ตุลาคม 2562 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับรายงานว่าพบผู้ป่วยด้วยอาการแน่นหน้าอก อาเจียนเป็นเลือดหลังดื่มยาดอง มาโรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 14 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทีมสอบสวนโรคได้ดำเนินการสอบสวนในวันที่ 21-22 ตุลาคม 2562 เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาดของโรค ศึกษาระบาดวิทยาของการเกิดโรค ค้นหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดความรุนแรงของโรค และให้คำแนะนำมาตรการในการควบคุมป้องกันโรค</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย</strong> <strong>:</strong> ศึกษาเชิงพรรณนาโดยทบทวนเวชระเบียน ตรวจหาสารพิษในยาดองที่เกี่ยวข้อง ศึกษาเชิงวิเคราะห์เพื่อระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของผู้ป่วย ตรวจสอบแหล่งผลิตยาดอง และกระบวนการผลิต</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> :</strong> จากผู้ดื่มยาดอง 25 ราย ใน 3 ชุมชน พบผู้ที่มีอาการ 22 ราย (ร้อยละ 88.0) เสียชีวิต 5 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 50.0 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำเป็นต้องฟอกเลือด ร้อยละ 31.8 มัธยฐานอายุเท่ากับ 42 ปี (IQR=16.3) มัธยฐานระยะเวลาแฝง (latent period) เท่ากับ 17 ชั่วโมง อาการที่พบมากที่สุด คือ สับสน (ร้อยละ 40.9) รองลงมา คือ คลื่นไส้/อาเจียน (ร้อยละ 36.4) และการมองเห็นผิดปกติ (ร้อยละ 18.2) ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจเลือดพบ High anion gap ระดับเมทานอลในตัวอย่างยาดองมีค่าสูงเกินมาตรฐาน (36.2 g/dl) การดื่มสุราในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความรุนแรงของผู้ป่วย (Coefficient 833.4, 95%CI 207.9-1459.0) ในด้านกระบวนการผลิตผู้ขายผสมยาดองขึ้นเองแล้วเดินหาบเร่ขายตามแต่ละบ้าน อย่างไรก็ตามทีมสอบสวนโรคไม่สามารถระบุส่วนประกอบของยาดองโดยละเอียดได้เนื่องจากผู้ผลิตหลบหนี</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong> :</strong> พบผู้ป่วยจากการดื่มยาดองปนเปื้อนเมทานอล โดยอัตราการตายของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยใกล้เคียงกับเหตุการณ์อื่น ๆ และยังพบความบกพร่องทางสายตาถาวร ปริมาณการดื่มยาดองส่งผลต่อความรุนแรงของอาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มาตรการที่ดำเนินการในพื้นที่ ได้แก่ แนะนำให้ให้ความรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับพิษของเมทานอลและเสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการขายสุราเถื่อน</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271441
การพัฒนาและประเมินผลกระบวนการประสานรายการยาแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลมหาสารคาม
2024-10-17T10:07:01+07:00
เพชรรัตน์ดา ราชดา
petchradda123456@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อประเมินผลของกระบวนการประสานรายการยา (Medication Reconciliation; MR) แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>: </strong>ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ และรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา (ME) ของงานบริการเภสัชกรรมในช่วง Phase I วันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 30 กันยายน 2564 และ Phase II วันที่ 1 ตุลาคม 2564-31 มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Fisher's exact test เปรียบเทียบแต่ละช่วงพัฒนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผลลัพธ์เมื่อเปรียบเทียบ Phase I และPhase II 1. ร้อยละการปฏิบัติตามแนวทาง MR ใน 24 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.10 เป็น 78.03 2. ความคลาดเคลื่อนทางยา (ME): ทั้งหมด 443 ครั้ง Potential harm (ระดับ B) ลดลงจาก 161 ครั้ง/ปี เป็น 101.20 ครั้ง/ปี Actual Harm (≥ระดับ C) ลดลงจาก 11 ครั้ง/ปีเป็น 7.20 ครั้ง/ปี ระดับความรุนแรงลดลงจาก F เหลือ C ระดับความรุนแรงที่คาดการณ์ไว้หากไม่ได้รับการแก้ไข น่าจะระดับ C-D ร้อยละ 75 ระดับ E-G ร้อยละ 25 พบมากคือสั่งยาผิดขนาดหรือผิดความถี่ การไม่ได้สั่งยาเดิม สั่งใช้ยาที่หยุดใช้แล้ว และสั่งยาผิดชนิด พบมากในยา warfarin ยาความดัน ยาเบาหวาน ผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์การจัดการปัญหาเภสัชบำบัดเท่ากับ 2,900 คะแนน คะแนนคุณภาพการจัดการปัญหาเภสัชบำบัด 6.54 คะแนน 3. มูลค่ายากลับบ้านที่ประหยัดได้ในยาพ่นคอและยาฉีดอินซูลินใน Phase II เท่ากับ 1,070,958.0 บาท</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การพัฒนาระบบ MR ช่วยป้องกันและลดระดับความรุนแรงของ ME ช่วยประหยัดมูลค่ายา นำไปพัฒนาขั้นตอนหลังผ่าตัดและกลับบ้านต่อไป</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/271461
ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดปอดอักเสบรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ภายหลังจากที่มีการระบาดของ โควิด-19
2024-10-08T13:42:26+07:00
ธิติภรณ์ ปินะทาใน
yui.thitiporn.pin@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดโรคปอดอักเสบที่มีอาการรุนแรงในผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีภายหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การศึกษาแบบ retrospective cohort study ระหว่างเดือนมกราคม 2565 -เดือนมิถุนายน 2566 ในกลุ่มประชากรเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือน - 5 ปี ที่ถูกวินิจฉัยปอดอักเสบแบบ community acquired pneumonia ในโรงพยาบาลมหาสารคาม โดยแบ่งระดับความรุนแรงของปอด- อักเสบตาม The Pediatric Respiratory Severity Score (PRESS) ออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง และกลุ่มมีอาการรุนแรง เครื่องมือการวิจัยคือแบบบันทึกเวชระเบียนข้อมูลผู้ป่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถูกวินิจฉัยปอดอักเสบทั้งสิ้น 334 ราย โดยพบว่าเป็นผู้ป่วยที่มี ภาวะปอดอักเสบรุนแรง จำนวน 147 ราย (ร้อยละ 44.01) เมื่อทำการวิเคราะห์แบบหลายตัวแปรพบว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การคลอดก่อนกำหนด (ORadj=3.1, 95%CI 1.4-6.7) การมีอาการที่แสดงถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจอย่างน้อยสองสามของ tachypnea, desaturation และ retraction (ORadj=5.5, 95%CI 3.9-7.9) การที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ leukocytosis with neutrophil predominates (ORadj=4.2, 95%CI 1.6-10.7) การที่พบ chest x-ray ผิดปกติแบบ patchy infiltration (ORadj=10.9, 95%CI 1.1-113.3)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา : </strong>ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิด severe pneumonia ได้แก่ การคลอดก่อนกำหนดการมีอาการที่แสดงถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจอย่างน้อยสองสามของ tachypnea, desaturation และ retraction มีภาวะ leukocytosis with neutrophil predominates และ chest x-ray ผิดปกติแบบ patchy infiltration ส่วนการเคยติดโควิดไม่มีผลต่อการเกิด severe pneumonia </p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270820
การทำฟันเทียมทั้งปากในผู้ป่วยบนสันเหงือกที่ละลายตัวมาก: รายงานผู้ป่วย
2024-12-02T10:01:04+07:00
วนิดา ประเสริฐศรี
Wanida.tiam@gmail.com
<p>ฟันเทียมทั้งปากเป็นฟันเทียมที่ใช้ทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องในช่องปาก ความสำเร็จในการทำฟันเทียมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยสภาพพื้นที่รองรับฐานฟันเทียมนั้นมีบทบาทสำคัญ ซึ่งการละลายตัวของสันเหงือกว่างที่เหลือเมื่อมีการสูญเสียฟันธรรมชาติ มีอัตราการละลายตัวของกระดูกเบ้าฟันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เป็นความท้าทายในการทำฟันเทียมทั้งปากให้ประสบความสำเร็จ รายงานผู้ป่วยนี้เป็นชายไทยอายุ 72 ปี อาการสำคัญคือฟันเทียมเดี่ยวบนและฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ล่างชิ้นเดิมหลวม ต้องการทำฟันเทียมชิ้นใหม่ ได้เสนอแนวทางรักษาโดยใช้แนวคิดเขตเป็นกลางในฟันเทียมล่าง ใช้วิธีพิมพ์ปากแบบขณะใช้งานในสันเหงือกที่มีการละลายตัวมาก ส่วนขากรรไกรบนที่มีเนื้อเยื่อน่วมประยุกต์ใช้วิธีพิมพ์แบบเลือกใช้แรงกด โดยใช้ถาดพิมพ์ปากเฉพาะบุคคลแบบมีช่อง การติดตามผลหลังการรักษาพบว่าผู้ป่วยมีความพึงพอใจในด้านสวยงาม ฟันเทียมแน่น ไม่หลวมหลุด เคี้ยวอาหารได้ดี</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272672
พฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์ของนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคม
2024-12-11T12:00:11+07:00
เจตณ์บดินทร์ วรเศยานนท์
Jadebordin@gmail.com
ชนิสรา แสนยบุตร
chanisara@smnc.ac.t
เอมอร อาจปรุ
aemon@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อสำรวจพฤติกรรมการติดสื่อออนไลน์ของนักเรียนโรงเรียนสารคามพิทยาคม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยเก็บข้อมูลจากนักเรียน โรงเรียนสารคามพิทยาคม ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง พฤศจิกายน 2567 โดยเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป รูปแบบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และแบบทดสอบการติดสื่อสังคมออนไลน์ (Social media addiction test; SMAT) ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นโดย รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล และ คณะภาค วิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2556)</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่างจำนวน 302 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 208 คน (ร้อยละ 68.9) ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 152 คน (ร้อยละ 50.3) มัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 150 คน (ร้อยละ 49.7) โดยพบจำนวนผู้ที่มีพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์อยู่ที่ 213 ราย (ร้อยละ 70.5) โดยมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่กลุ่มตัวอย่างใช้มากที่สุด ได้แก่ เฟซบุ๊ก (Facebook) จำนวน 289 คน (ร้อยละ 59.4) สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้บ่อยที่สุดพบว่า อินสตาแกรม (Instagram) เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่กลุ่มตัวอย่างใช้บ่อยที่สุด จำนวน 167 คน (ร้อยละ 33.3) ช่องทางในการใช้สื่อสังคมออนไลน์พบว่า กลุ่มตัวอย่างใช้ สมาร์ตโฟน (Smartphone) ในการเข้าใช้มากที่สุด จำนวน 257 คน (ร้อยละ 51.2) ความถี่ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ 5 ครั้งขึ้นไป/วัน จำนวน 232 คน (ร้อยละ 76.8) ระยะเวลาในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีระยะเวลาในการใช้ 6 ชั่วโมงขึ้นไป/วัน จำนวน 166 คน (ร้อยละ 55.0) วัตถุประสงค์หลักในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มากที่สุดคือ การพูดคุยกับเพื่อน จำนวน 95 คน (ร้อยละ 31.5) และน้อยที่สุด คือ การโพสต์ข้อความ/รูปภาพ จำนวน 9 คน (ร้อยละ 3.0)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การใช้สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงมัธยมศึกษาทั้งตอนต้นและตอนปลายที่พบว่ามีพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ซึ่งหากมีการนำไปใช้อย่างเหมาะสมและระมัดระวังก็จะเกิดประโยชน์แต่หากมีการเสพติดมากจนเกินไปก็จะส่งผลกระทบทางลบต่อทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของนักเรียนได้</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม