วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ <p>วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นวาสารวิชาการวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ พยาบาลและเกี่ยวข้องด้านการสาธารณสุขทุกสาขา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขและเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางด้านการแพทย์ พยาบาล และการสาธารณสุขทั้งในและนอก องค์กรสู่การสืบค้นแก่ผู้ที่สนใจ </p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong></p> <p> 1. วิทยาศาสตร์สุขภาพ <br /> 2. แพทยศาสตร์ (Medicine) <br /> 3. ทันตแพทยศาสตร์ (dentistry) <br /> 4. เภสัชศาสตร์ (pharmacy) <br /> 5. พยาบาลศาสตร์ (Nursing) <br /> 6. สาธารณสุขศาสตร์ (Health professions) <br /> 7. เทคนิคการแพทย์ (Medical technology) <br /> 8. กายภาพบำบัด (Physical Therapy) <br /> 9. รังสีเทคนิค (Radiological Technology) <br /> 10. สาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการ </strong><strong>Peer Review Process</strong></p> <ul> <li>กองบรรณาธิการวารสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review)</li> <li>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> <li>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์ หรือ เพิกถอนบทความในขั้นตอนใด ๆ ได้ หากมีการตรวจพบข้อผิดพลาดด้านเนื้อหาและ/หรือจรรยาบรรณทางวิชาการของบทความนั้นโดยประจักษ์</li> </ul> <p><strong>ประเภทบทความที่สามารถลงตีพิมพ์</strong></p> <p> 1. นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) ได้แก่ บทความที่เสนอผลงานใหม่ที่ได้จากการศึกษาวิจัยที่ยังไม่เคย ตีพิมพ์ในวารสาร หรือหนังสืออื่นๆ<br /> 2. รายงานผู้ป่วย (case report) เป็นรายงานผู้ป่วยที่น่าสนใจ เช่น การบาดเจ็บ, ความผิดปกติหรือโรคที่ พบได้ยาก และที่น่าศึกษา ใช้วิธีการนวัตกรรม หรือเครื่องมือใหม่ ในการรักษาผู้ป่วย ควรเขียนตามลำดับ ได้แก่ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ บทนำ (เหตุผลที่ทำการศึกษานี้รวมทั้งวัตถุประสงค์) รายงานผู้ป่วย (รวมถึงวัสดุและ วิธีการศึกษา) วิจารณ์สรุปอภิปรายผล และเอกสาร อ้างอิง<br /> 3. บทความพิเศษ (special article) เป็นบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ทันตแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาลการสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจมีลักษณะเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์หรือ บทความทางด้านการบริหารที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าเป็นประโยชน์<br /> 4. บทความวิชาการ (review article) ได้แก่ บทความที่ได้จากการรวบรวมนำเอาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ ในวารสารหรือหนังสือต่าง ๆ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์นำมาเรียบเรียงและ วิเคราะห์วิจารณ์หรือ เปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความลึกซึ้งหรือเกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น<br /> 5. ปกิณกะ (miscellany) เป็นบทความหรือสาระความรู้ได้แก่ บทความอื่น ๆ หรือรายงานที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการแพทย์ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ หรือบทความที่ส่งเสริม ความเข้าใจอันดีต่อผู้ปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร<br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ <br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)<strong><br /></strong><em>*หมายเหตุ : วารสารเผยแพร่เฉพาะในเว็บไซต์ ไม่จัดพิมพ์รูปเล่ม</em></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> 1. บุคคลภายนอก จำนวน 4,000 บาท<br /> 2. บุคคลภายใน (โรงพยาบาลมหาสารคาม) จำนวน 1,500 บาท<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 1 :</span> เรียกเก็บเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์ก่อนส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 2 :</span> หากผู้เขียนดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์บทความแล้ว ทางวารสารฯ จะไม่คืนค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ทุกกรณี</p> <p> </p> th-TH <p>วารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลมหาสารคาม</p> mskh.journal@gmail.com (วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม) mskh.journal@gmail.com (โรงพยาบาลมหาสารคาม) Tue, 17 Sep 2024 09:49:53 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนารูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าตามแนวคิดซาเทียร์ในคลินิกสุขภาพจิตและยาเสพติด โรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269044 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์การบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า และ 3. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าในคลินิกสุขภาพจิตและยาเสพติด โรงพยาบาลมหาสารคาม </p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยเชิงปฏิบัติการ ระยะเวลา 1 มกราคม 2566–30 เมษายน 2567 กลุ่มเป้าหมายและผู้ร่วมวิจัย ได้แก่ ผู้ติดยาเสพติดที่บำบัดแบบผู้ป่วยนอกและมีภาวะซึมเศร้า ญาติหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลเฉพาะทางจิตเวชและยาเสพติด รวม 62 คน เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> 1. ในปี 2563-2565 พบผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดในระบบโดยสมัครใจแบบผู้ป่วยนอกมีอาการซึมเศร้าระดับรุนแรงเพิ่มขึ้น และในปี 2566 ผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัด 240 คน พบมีภาวะซึมเศร้ารุนแรง 24 คน (ร้อยละ 10) 2. การพัฒนารูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานระดับอำเภอ วิเคราะห์สถานการณ์ แบ่งบทบาทหน้าที่ของสหวิชาชีพคืนข้อมูลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานแต่ละวงรอบ จนได้รูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้า ได้แก่ การใช้โปรแกรมบำบัดยาเสพติดผู้ป่วยนอก ร่วมกับโปรแกรมการบำบัดตามแนวคิดซาเทียร์ โดยมีครอบครัวเข้าร่วมกระบวนการกลุ่ม 3. ผลของการพัฒนารูปแบบการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้าพบผู้ติดยาเสพติดที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง 24 คน ไม่พบภาวะซึมเศร้า (ร้อยละ 87.50) และมีภาวะซึมเศร้าระดับน้อยร้อยละ 12.50 </p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การใช้รูปแบบการบำบัดตามแนวคิดซาเทียร์สามารถลดอาการซึมเศร้าในผู้ติดยาเสพติดได้ เพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองให้มีทางเลือกตัดสินใจใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพายาเสพติดต่อไป</p> ชโลธร โกสาทอง Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269044 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 พลังสุขภาพจิตในนักศึกษาพยาบาลที่มีผลต่อการการจัดการความเครียด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/267999 <p>พลังสุขภาพจิตมีความสำคัญอย่างยิ่งในนักศึกษาพยาบาล เพราะพลังสุขภาพจิตที่ดีช่วยให้นักศึกษามีความสามารถในการจัดการกับความเครียดและแรงกดดันในชีวิตการศึกษาได้ดีขึ้น สามารถเผชิญปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักศึกษาพยาบาลที่มีพลังสุขภาพจิตที่แข็งแกร่งจะมีสมาธิ มีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดี มีทักษะในการแก้ไขปัญหา จัดการกับความเครียดของตนเองได้ การส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลมีพลังสุขภาพจิตที่ดีนั้นนอกจากตัวนักศึกษาเองต้องเป็นคนพัฒนาริเริ่มแล้ว การส่งเสริมจากปัจจัยภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ</p> ฐิติชญาน์ ปิยภัทรธนัสไชย Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/267999 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ความชุกและรูปแบบของฟันฝัง ฟันที่ไม่ขึ้นและฟันเกิน บริเวณฟันหน้าและฟันกรามน้อยในผู้ป่วย อายุ 15-25 ปี ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269496 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>เพื่อศึกษาความชุก รูปแบบรวมถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคลของการเกิดฟันฝัง ฟันที่ยังไม่ขึ้น และฟันเกิน บริเวณฟันหน้าและฟันกรามน้อยในผู้ป่วยอายุ 15-25 ปี ที่มารับการรักษาทางทันตกรรมที่โรงพยาบาลบรบือ</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (retrospective cohort study) จากเวชระเบียนและภาพถ่ายรังสีพานอรามิก (Panoramic) ผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี ที่เข้ารับการรักษาทางทันตกรรมที่โรงพยาบาลบรบือ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2562 ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 397 ราย ทำการเก็บบันทึกข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคลและแปลผลจากภาพรังสีชนิดพานอรามิกหาความชุกของฟันและรูปแบบที่ขึ้นผิดปกติ และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและสถิตอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก logistic regression นำเสนอผลการวิเคราะห์ด้วย Odd Ratio(OR) และช่วงเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95%CI)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>กลุ่มประชากรที่ศึกษา จำนวน 397 ราย เป็นเพศหญิงร้อยละ 72.54 อายุเฉลี่ย 19.21±2.83 ปี จากการประเมินภาพถ่ายรังสีพานอรามิก พบความชุกของฟันที่ผิดปกติ ร้อยละ 5.79 จำแนกเป็นฟันฝัง ร้อยละ 39.13 ฟันที่ไม่ขึ้น ร้อยละ 26.09 ฟันเกิน ร้อยละ 30.43 และฟันฝังร่วมกับฟันเกิน ร้อยละ 4.35 สำหรับรูปแบบการวางตัวฟัน พบว่า ฟันฝังส่วนใหญ่มีการวางตัวในแนวขวางมากที่สุด ร้อยละ 50.00 ในขณะที่ฟันที่ไม่ขึ้นและฟันเกินพบว่ามีการวางตัวแบบปกติที่ร้อยละ 71.43 และ 64.29 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า รูปร่างของฟันเกินส่วนใหญ่มีแบบรูปร่างเหมือนฟันปกติ ร้อยละ 78.57 โดยเพศชายมีโอกาสเกิดฟันที่ขึ้นผิดปกติมากกว่าเพศหญิง เท่ากับ 3.12 เท่า ( 95%CI=1.33 - 7.29, p-value 0.010) </p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การเฝ้าระวังการเกิดฟันขึ้นผิดปกติของผู้ป่วย จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการการรักษาทางทันตกรรมที่เหมาะสม ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาและผลกระทบของสุขภาพช่องปากที่ส่งผลต่อระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ประพัทธ์ สุระะรรม Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269496 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ร่วมกับการกดจุดสะท้อนเท้าต่อพฤติกรรมการลดสูบบุหรี่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269621 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ร่วมกับการกดจุดสะท้อนเท้าต่อพฤติกรรมการลดสูบบุหรี่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ร่วมกับการกดจุดสะท้อนเท้า 2. แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 3. แบบสอบถามพฤติกรรมการลดสูบบุหรี่ และ 4. แบบประเมินระดับการติดนิโคติน (FTND) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเปรียบเทียบ t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการลดสูบบุหรี่ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และระดับการติดสารนิโคตินของกลุ่มทดลองลดลงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ร่วมกับการกดจุดสะท้อนเท้า สามารถช่วยให้นักศึกษามีพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ดีขึ้นและยังช่วยลดระดับการติดสารนิโคติน</p> นิวัฒน์ วงศ์ใหญ่, อรุณรัตน์ ปัญจะ กลิ่นเกษร Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269621 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของยาฉีดเฉพาะที่ Triamcinolone Acetonide ขนาด 10 มิลลิกรัม ในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อก Green’s classification ระดับ III ของโรงพยาบาลสังขะ จ.สุรินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268972 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการฉีดยา Triamcinolone acetonide ขนาด 10 มิลลิกรัมแบบเฉพาะที่ ในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อกความรุนแรงตาม Green’s classification ระดับ III และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของผู้ป่วยกับผลสำเร็จของการรักษา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> การศึกษากึ่งทดลองแบบวัดก่อน-หลัง โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยโรคนิ้วล็อกระดับ III ที่ได้รับการฉีดยา Triamcinolone acetonide ขนาด 10 มิลลิกรัมแบบเฉพาะที่ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 1 เมษายน 2567 รวม 40 ราย ปัจจัยที่ศึกษา ได้แก่ เพศ อายุ ระยะเวลาที่มีอาการก่อนเข้ารับการรักษา การได้ยา NSAIDs ก่อนฉีดยา มือข้างที่ถนัด และนิ้วที่เป็นโรค ติดตามผลด้วยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับความรุนแรงของอาการปวด การหายจากอาการล็อกสะดุด และภาวะแทรกซ้อนในระยะเวลา 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบตัวแปรเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติก</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ประสิทธิภาพการลดปวดและหายจากอาการล็อกสะดุดดีสุดที่ 6 สัปดาห์หลังฉีดโดยประสิทธิภาพมีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป คิดเป็นอัตราความสำเร็จเท่ากับร้อยละ 92.5 และที่ 3 เดือน เท่ากับร้อยละ 75 โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ปัจจัยเรื่องเพศ อายุ นิ้วมือที่มีอาการ ระยะเวลาที่มีอาการก่อนเข้ารับการรักษา มือข้างที่ถนัด และการได้ยา NSAIDs ก่อนรับการฉีดยา ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับผลสำเร็จของการรักษา</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การฉีดยา Triamcinolone acetonide ขนาด 10 มิลลิกรัมแบบเฉพาะที่ในผู้ป่วยนิ้วล็อกระดับ III มีความปลอดภัย และให้ผลการรักษาดีที่สุดที่เวลา 6 สัปดาห์</p> วันฉัตร ทิมาสาร Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268972 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลผู้ป่วยติดเตียงที่ใส่ท่อเจาะคอในชุมชน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269570 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลผู้ป่วยติดเตียงที่ใส่ท่อเจาะคอในชุมชน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) พื้นที่ศึกษาคือหน่วยบริการปฐมภูมิ 21 แห่ง ผู้ร่วมดำเนินการวิจัยเป็นผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วย 19 ราย การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) ระยะเตรียมการ 2) ระยะดำเนินการ 3) ระยะประเมินผล ดำเนินการวิจัยระหว่างเมษายน 2565 - มีนาคม 2566 เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบประเมินความรู้/ทักษะการดูแลผู้ป่วย แบบประเมินความพึงพอใจต่อการบริการและนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>รูปแบบการบริการพยาบาลผู้ป่วยติดเตียงที่ใส่ท่อเจาะคอในชุมชน ด้วย 7 aspects model of care ประกอบด้วย 7 ประเด็นดังนี้ 1) การประเมินผู้ป่วย ในระยะแรกรับระยะการดูแลต่อเนื่องและระยะจำหน่าย 2) การจัดการกับอาการรบกวนต่าง ๆ 3) การดูแลความปลอดภัยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่าง ๆ 4) การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างรักษาพยาบาลด้วยการเสริมทักษะการดูแลผู้ป่วยด้วยโปรแกรมวางแผนจำหน่าย “B&amp;TT-D-METHOD” 5) การให้การดูแลต่อเนื่องด้วยโปรแกรมระบบ Smart continuum of care (Smart COC) ประเมินความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังกลับบ้าน สอนสาธิตพร้อมให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวเพิ่มเติมโดยการติดตามเยี่ยมบ้าน 6) การช่วยเหลือสื่อสารเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจและการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยผ่านระบบ Tele-nursing และ Application line และ 7) การสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ โดยแพทย์และพยาบาล จากการสร้างความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือโดยพัฒนาทักษะการเปลี่ยนท่อเจาะคอผลการพัฒนารูปแบบการดูแล กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 19 ราย มีผู้ดูแลมีความรู้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.89 เป็น 91.21 มีทักษะการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 59.87 เป็น 90.79 มีความพึงพอใจต่อบริการพยาบาลและความพึงพอใจต่อศูนย์ดูแลผู้ป่วยเจาะคอในชุมชนอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>:</strong> การพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลผู้ป่วยติดเตียงที่ใส่ท่อเจาะคอในชุมชนเป็นกระบวนการที่นำไปปฏิบัติโดยการส่งเสริมให้ผู้ดูแลผู้ป่วยและเครือข่ายในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย</p> บังอร ศรีป้อง, สุทธิรัตน์ บุษดี, พัชรี นุ่มแสง Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269570 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ในอำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/267338 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคามที่เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพสาขาการฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลาง (Intermediate Care) ครบ 6 เดือน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัย R2R เชิงพรรณนา แบบสหสัมพันธ์อย่างง่ายกลุ่มตัวอย่างจำนวน 38 ราย เก็บข้อมูลโดยการทบทวนเวชระเบียนและสัมภาษณ์</p> <p><strong>ผลการ</strong><strong>ศึกษา </strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านระดับความเข้มข้นในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลักษณะการดูแลผู้ป่วย และความพร้อมของผู้ป่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ส่วนปัจจัยด้านอายุและระดับความรุนแรงไม่มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการ</strong><strong>ศึกษา</strong> <strong>:</strong> ระดับความเข้มข้นในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลักษณะการดูแลผู้ป่วย และความพร้อมของผู้ป่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p> ศุภรินทร์ ยิ้มศิริ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/267338 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ผลการบริบาลทางเภสัชกรรมแก่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในโรงพยาบาลยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268892 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลการบริบาลทางเภสัชกรรมแก่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในโรงพยาบาลยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ด้วยการวัดคะแนนความร่วมมือในการใช้ยาต้านไวรัส ค่า CD4 cell count ค่า viral load และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับยา ก่อนและหลังได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย</strong> <strong>: </strong>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ดำเนินการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565-30 กันยายน 2566 ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ที่รับบริการที่โรงพยาบาลยางสีสุราช รวบรวมข้อมูลจากแฟ้มเวชระเบียนผู้ป่วยและแบบบันทึกการบริบาลทางเภสัชกรรม จำนวน 90 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป คะแนนความร่วมมือในการใช้ยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา ค่า CD4 cell count และค่า viral load โดยค่าความถี่และร้อยละ เปรียบเทียบคะแนนความร่วมมือในการใช้ยา CD4 cell count และ viral load ก่อนและหลังการให้บริบาลทางเภสัชกรรมโดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> <strong>: </strong>หลังได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมพบว่าคะแนนความร่วมมือเพิ่มขึ้นจาก 90.23±0.66 เป็น 97.29±0.24 (p-value&lt;0.05) พบเกิดอาการไม่พึงประสงค์มากสุดคือ MP rash 6 ครั้ง (ร้อยละ 6.67) ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาที่พบมากที่สุดคือความไม่ร่วมมือในการใช้ยาจำนวน 16 ครั้ง (ร้อยละ 45.71) พบปัญหาการใช้ยาทั้งหมดจำนวน 16 ปัญหา ได้รับการแก้ไขจำนวน 14 ปัญหา (ร้อยละ 87.50) ค่า CD4 cell count เพิ่มขึ้น (p-value&lt;0.05) และค่า viral load ลดลง (p-value&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การให้การบริบาลทางเภสัชกรรมมีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการรับประทานยาต้านไวรัสดีขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาได้ และทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์มีผลการรักษาที่ดีขึ้น</p> อัจฉรา มีดวง Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268892 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 Beta-catenin expression and S100-positive stromal component in basal cell adenoma: a case report and literature reviews https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269263 <p><strong>Objective : </strong>To present a case of basal cell adenoma (BCA) that features beta-catenin expression and S100-positive cells in the stromal component.</p> <p><strong>Method : </strong>We report a case of BCA with clinical data collected from medical records at Chaiyaphum Hospital.</p> <p><strong>Result :</strong> A 79-year-old female presented with a painless, slow-growing mass in the right parotid gland. Macroscopic examination showed a circumscribed mass, 2.7 cm in greatest dimension, in the deep lobe. Cut surfaces revealed a solid-cystic, greyish-white appearance with a rubbery consistency. Microscopic examination showed an encapsulated mass composed of basaloid and luminal cells with focal nuclear palisading at the periphery of the tumor nest. Immunohistochemical studies indicated that luminal cells were positive for EMA and CD117, while abluminal cells were positive for p63 and SMA. Beta-catenin showed nuclear localization in the peripheral cell layer and spindle stromal cells. Spindle stromal cells were diffusely positive for S100 but negative for p63, SMA, and EMA.</p> <p><strong>Conclusion : </strong>The spindle cells within the stromal component of our case showed distinct nuclear localization of beta-catenin and diffuse positivity for S100, which is rarely seen in other types of benign and malignant salivary neoplasms.</p> Pisuth Nibhondhratana Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269263 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 อัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมินในการพยากรณ์การเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269848 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาค่าจุดตัดที่เหมาะสมของอัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมินในการพยากรณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย</strong> <strong>: </strong>เป็นการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง Retrospective cohort study ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อในโรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ 1 เมษายน 2565-31 ธันวาคม 2566 กลุ่มตัวอย่าง 236 ราย เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน หาค่าจุดตัดที่เหมาะสม โดยใช้ Diagnostic test และหาปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตด้วย Logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> <strong>: </strong>ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวารินชำราบ จำนวน 236 ราย มีอัตราการเสียชีวิตที่ 30 วัน ร้อยละ 37.3 มีอายุเฉลี่ย 63.5±17.8 ปี จุดตัดที่เหมาะสมที่สามารถทำนายการเสียชีวิต 30 วัน ของค่าแลคเตทและอัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมิน เท่ากับ 4.3 และ 1.8 ตามลำดับ ซึ่งมีความไว (Sensitivity) ร้อยละ 87.1 และ 94.1 ความจำเพาะ (Specificity) ร้อยละ 73.5 และ 83.4 พื้นที่ใต้ส่วนโค้ง (AUROC) เท่ากับ 0.85 และ 0.92 ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตภายใน 30 วัน ของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ (รายตัวแปร) พบว่า อัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมินที่เพิ่มขึ้นทุก 1 หน่วยเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิต 1.6 เท่า (OR=1.6, 95%CI 1.4-1.8) และเมื่อวิเคราะห์โดยวิธีพหุนาม (หลายตัวแปร) พบว่า อัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมินที่เพิ่มขึ้นทุก 1 หน่วยเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิต 3.8 เท่า (Adj. OR=3.8, 95%CI 2.3-6.5) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อ มีอัตราการเสียชีวิตที่ 30 วันร้อยละ 37.3 จุดตัดที่เหมาะสมของค่าอัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมิน เท่ากับ 1.8 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนแลคเตทต่ออัลบูมินสามารถทำนายการเสียชีวิตได้แม่นยำกว่าค่าแลคเตท</p> คัคนางค์ วะรงค์ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269848 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 การนำดิจิทัลทางทันตกรรมมาประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลของรัฐ ในการบูรณะฟันหน้าด้วยครอบฟันและ วีเนียร์: รายงานผู้ป่วย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269347 <p>เทคโนโลยีดิจิทัลทางทันตกรรมเพื่อใช้ในการรักษาทางทันตกรรมสาขาต่าง ๆ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะจำกัดอยู่ในสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาลเอกชนเขตเมืองเท่านั้น ในส่วนโรงพยาบาลของรัฐนั้นมีระดับการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ความชำนาญของทันตแพทย์ในการใช้งานเทคโนโลยีนั้น ๆ และงบประมาณของโรงพยาบาล รายงานนี้ได้แสดงผลสำเร็จในการนำดิจิทัลทางทันตกรรมมาประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลของรัฐในการบูรณะฟันหน้าด้วยครอบฟันและวีเนียร์ ผู้ป่วยรายนี้มีวัสดุบูรณะเสื่อมสภาพและสูญเสียฟันหลายซี่ โดยมีความต้องการหลักคือปรับปรุงรอยยิ้มใหม่ ผู้ป่วยมีความคาดหวังด้านความสวยงามสูงและการรักษามีค่าใช้จ่ายสูง ดิจิทัลทางทันตกรรมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะมาช่วยทดแทนและเติมเต็มกระบวนการให้การรักษาแบบดั้งเดิม 3 ในขั้นตอน ได้แก่ 1) การออกแบบวัสดุบูรณะในซอฟต์แวร์โปรแกรมสำเร็จรูป 3 มิติ เพื่อวางแผนการรักษาและสื่อสารให้ผู้ป่วยเข้าใจโดยละเอียด ทราบข้อจำกัดและตัดสินใจร่วมกันในการเลือกการรักษา 2) การขึ้นรูปแบบจำลองฟันที่ผ่านการออกแบบแล้วด้วยเรซิน และ 3) การสื่อสารกับห้องปฏิบัติการ-ช่างทันตกรรมด้วยโปรแกรมออกแบบสำเร็จรูป 3 มิติ ดิจิทัลทันตกรรมนี้เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนทันตแพทย์ให้สามารถให้บริการทันตกรรมเฉพาะทางได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการทันตกรรมเฉพาะทางที่ยุ่งยากซับซ้อน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ และที่สําคัญคือเพิ่มศักยภาพของหน่วยงานในการให้บริการประชาชน สามารถนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในขั้นตอนอื่นของกระบวนการเดิมได้</p> อุษณีย์ กัลยาธิ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269347 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 บทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้อง: กรณีศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269178 <p>โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease; CKD) มีอุบัติการณ์การเกิดโรคสูงขึ้นและเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลกและประเทศไทย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่ไตวายระยะสุดท้าย (End Stage Renal Disease; ESRD) จำเป็นต้องรับการบำบัดทดแทนไต และเนื่องจากปัญหาขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้</p> <p>บทความนี้นำเสนอบทบาทพยาบาลผู้จัดการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis; CAPD) และมีการติดเชื้อของเยื่อบุช่องท้อง พยาบาลซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วย จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ ทั้งการดำเนินโรค วิธีการรักษา ภาวะแทรกซ้อน สามารถจัดการกับอาการแสดงที่เปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงพยาบาลต้องมีทักษะในการประยุกต์ใช้การพยาบาลในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเผชิญกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> เกตุนรินทร์ บุญคล้าย, พิชญาณัฏฐ์ แก้วอำไพ, สุกิจ ทองพิลา, กนกวรรณ เวทศิลป์, วรรณชาติ ตาเลิศ, อนุศร การะเกษ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269178 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการยา วัสดุทางการแพทย์ และวัคซีนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19: กรณีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269498 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>:</strong> เพื่อถอดบทเรียนระบบการบริหารจัดการยา วัสดุทางการแพทย์ และวัคซีนภายในจังหวัด มหาสารคาม รวมทั้งศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบ Face-to-face และ In-depth interview ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนที่มารับบริการวัคซีน และผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่หายแล้ว และผู้ป่วยโรคติดต่อไม่เรื้อรัง โดยใช้กรอบของ WHO Health System Framework ในการออกแบบแนวทางการสัมภาษณ์และเป็นกรอบในการวิเคราะห์ และสรุปผลการวิจัยโดยใช้ Content analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> พบประเด็นหลักที่สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1. นโยบายและการจัดการควบคุมการระบาดในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2. ระบบการบริหารจัดการยาและวัสดุทางการแพทย์และวัคซีน 3. ปัญหาอุปสรรคและการแก้ไขในแต่ละช่วงของการระบาด ซึ่งพบว่ามีการขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์ รวมทั้งวัคซีนในช่วงที่มีการระบาดมาก ปัญหาความไม่เท่าเทียมในการกระจายวัคซีน และปัญหาการเก็บรักษาวัคซีนตามระบบ Cold chain สำหรับการให้บริบาลเภสัชกรรม คลินิกเฉพาะโรค มีความจำเป็นต้องงดหรือลดการให้บริการลง ทำให้เกิดระบบบริการสุขภาพทางไกล และการส่งยาให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทางไปรษณีย์ และข้อจำกัดด้านงบประมาณจากส่วนกลาง ทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้เงินบำรุงของโรงพยาบาลและระดมเงินบริจาคในการปรับปรุงสถานที่ จัดหาเครื่องมือแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอต่อผู้ป่วยและประชาชน อัตรากำลังของบุคลการทางการแพทย์ทั้งเชิงรับและเชิงรุกไม่เพียงพอ แต่มีจิตอาสาเกิดขึ้นทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกโรงพยาบาลรวมทั้งประชาชนจิตอาสา และผู้ป่วยจิตอาสาในโรงพยาบาลสนาม</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การศึกษานี้ทำให้เข้าใจปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในกระบวนการบริหารยาและวัสดุทางการแทพย์ รวมทั้งวัคซีน นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปรับปรุงระบบการการทำงานให้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ เพื่อให้สามารถรองรับสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต</p> กาญจนาภรณ์ ตาราไต, ภัทรินทร์ กิตติบุญญาคุณ, พีรยา ศรีผ่อง, รัตนาพร เสนาลาด, ชุติมา อรรคลีพันธ์, ชาญเกียรติ์ เพียรชนะ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/269498 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 การประเมินผลโครงการป้องกันและควบคุมโรคไข้เด็งกีแบบบูรณาการในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค จังหวัดเชียงราย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270433 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อประเมินโครงการป้องกันควบคุมโรคไข้เด็งกีในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคแบบบูรณาการ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา :</strong> รูปแบบการศึกษาเป็นการศึกษาแบบ multiple cross-sectional design โดยทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยจำนวน 517 ข้อมูล ในช่วงก่อนโครงการ (1 มิถุนายน 2561–31 ธันวาคม 2561) และระหว่างโครงการ (1 มิถุนายน 2563–31 ธันวาคม 2563) ศึกษาคุณลักษณะเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการจำนวน 53 คน เพื่อหาผลกระทบจากโครงการวิจัยเรื่องการป้องกันควบคุมโรคไข้เด็งกีใน 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ โรงพยาบาลเวียงเชียงรุ้ง และโรงพยาบาลป่าแดด จังหวัดเชียงราย ทำการวิเคราะห์ตัวแปรเดียวและพหุตัวแปร (Univariable and multivariable analyses) เพื่อประเมินผลกระทบของโครงการต่อการวินิจฉัยโรคไข้เด็งกี สัดส่วนการนอนโรงพยาบาล สัดส่วนการเกิดผลการรักษาที่ไม่พึงประสงค์ ระยะเวลาจากวันเริ่มมีอาการจนถึงวันที่ได้รับการวินิจฉัย และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล ในผู้ป่วยโรคไข้เด็งกีและผู้ป่วยไข้เฉียบพลันที่ตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจนจากการตรวจร่างกาย (Acute Fever without localizing signs; AFWLS)</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> ในส่วนของการศึกษาเชิงปริมาณพบว่าการคงอยู่ของโครงการมีความสัมพันธ์กับการวินิจฉัยโรคไข้เด็งกีในผู้ป่วย AFWLS ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (adjusted OR=0.2, 95%CI 0.1-0.4) แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับสัดส่วนการนอนโรงพยาบาล และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล สำหรับผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่าเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยอมรับโครงการนี้และพบว่ามีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจากกองโรคติดต่อนำโดยแมลงมีความกังวลว่าโครงการนี้อาจก่อให้เกิดการใช้ชุดตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างไม่เหมาะสม</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> ผลของโครงการวิจัยเรื่องการป้องกันควบคุมโรคไข้เด็งกีในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคแบบบูรณาการด้วยชุดตรวจ SD BIOLINE Dengue Duo พบว่าการคงอยู่ของโครงการมีความสัมพันธ์กับการวินิจฉัยโรคไข้เด็งกีในผู้ป่วย AFWLS ลดลง ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล และลดภาระงานจากการสอบสวนการระบาดที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตามโครงการนี้อาจจะเพิ่มโอกาสการวินิจฉัยผิดพลาดของแพทย์และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย</p> พัชรพร เดชบุรัมย์, ภาณุพงศ์ ตันติรัต, ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270433 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบคุณภาพการถ่ายภาพรังสีสำหรับการวินิจฉัยทางการแพทย์ งานบริการผู้ป่วยนอก กลุ่มงานรังสีวิทยา โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268742 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาระบบคุณภาพการถ่ายภาพรังสีสำหรับการวินิจฉัยทางการแพทย์ให้มีความแม่นยำและปลอดภัย</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยแบบพรรณนา (Descriptive research) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเพศชายและหญิงจำนวน 100 ราย ที่แพทย์วินิจฉัยและสั่งการตรวจด้วยรังสีทางการแพทย์โดยเป็นการทบทวนผลของภาพถ่ายรังสีทางการแพทย์จากแพทย์ผู้ตรวจประเมินผู้ป่วย</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> พบว่าเป็นผู้ป่วยเพศชายร้อยละ 54 อายุเฉลี่ย 50.01 (S.D.=20.21) มีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ร้อยละ 27 และไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 67 มีผลลัพธ์ด้านคุณภาพและมีความแม่นยำสำหรับการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์จากภาพถ่ายรังสี ร้อยละ 99 ค่าเฉลี่ยความแม่นยำ (S.D.=0.00) และมีความไม่แม่นยำภาพและท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ร้อยละ 1 ค่าเฉลี่ยความไม่แม่นยำ (S.D.=0.00) ด้านระดับความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ในการอ่านภาพถ่ายรังสีพบว่าพึงพอใจระดับมาก และความพึงพอใจของผู้รับบริการอยู่ในระดับพึงพอใจมากเช่นเดียวกัน</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผลลัพธ์ของการถ่ายภาพรังสีสำหรับการวินิจฉัยทางการแพทย์มีคุณภาพและความแม่นยำสูงในการถ่ายภาพรังสีสำหรับผู้ป่วยที่มารับบริการ</p> ภัทรพร แก้วอำไพ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/268742 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270228 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลและศึกษาผลการใช้แนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจากการใส่คาสายสวนปัสสาวะ โรงพยาบาลมหาสารคาม </p> <p><strong>รูปแบบและวิธีการวิจัย : </strong>การวิจัยใช้รูปแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลตามวิธีของไอโอวา โมเดล พัฒนาโดย Tiler et al. (2001) และนำไปใช้ในกลุ่มพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 23 คน ผู้ป่วย 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ คู่มือและแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลของระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กที่คาสายสวนปัสสาวะและแผนผังแนวปฏิบัติ แบบประเมินการปฏิบัติและแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ ซึ่งแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลของระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กที่คาสายสวนปัสสาวะผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความแตกต่างโดยทดสอบสถิติไคสแควร์ (Chi-square test) และสถิติฟิชเชอร์ (Fisher’s exact probability test)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 67.0 และ 70.0 ตามลำดับ อายุอยู่ระหว่างมากกว่า 10-15 ปี ร้อยละ 52.3 ปี และ 54.8 สถานที่ใส่สายสวนปัสสาวะครั้งแรกที่มาโรงพยาบาลก่อน และหลังใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะในผู้ป่วยเด็ก พบที่หอผู้ป่วยหนักเด็ก ร้อยละ 68.7 และร้อยละ 71.4 ซึ่งส่วนมากมาด้วยติดเชื้อที่ปอดรุนแรง ร้อยละ 63.5 และ 68.8 ตามลำดับ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเด็กและหอผู้ป่วยหนักเด็ก มีการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะในผู้ป่วยเด็ก โดยรวมปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนร้อยละ 87.8 และไม่ปฏิบัติร้อยละ 12.3 อัตราการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ ก่อนและหลังใช้แนวปฏิบัติพยาบาลฯ ลดลงจาก 10.6 ครั้ง เป็น 0.9 ครั้งต่อพันวันที่คาสายสวนปัสสาวะ และพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจโดยรวมของพยาบาลวิชาชีพต่อแนวปฏิบัติการพยาบาลฯ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.5)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> จากผลการวิจัยผู้บริหารทางการพยาบาล ควรกำหนดแนวทางและนโยบาย ให้บุคลากรทางการพยาบาลปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการพยาบาลที่สามารถปฏิบัติได้ เพื่อให้บุคลากรใช้เป็นแนวทางได้อย่างชัดเจน</p> เตชินี พรมเลิศ Copyright (c) 2024 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/270228 Tue, 27 Aug 2024 00:00:00 +0700