วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ <p>วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นวาสารวิชาการวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ พยาบาลและเกี่ยวข้องด้านการสาธารณสุขทุกสาขา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขและเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางด้านการแพทย์ พยาบาล และการสาธารณสุขทั้งในและนอก องค์กรสู่การสืบค้นแก่ผู้ที่สนใจ </p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong></p> <p> 1. วิทยาศาสตร์สุขภาพ <br /> 2. แพทยศาสตร์ (Medicine) <br /> 3. ทันตแพทยศาสตร์ (dentistry) <br /> 4. เภสัชศาสตร์ (pharmacy) <br /> 5. พยาบาลศาสตร์ (Nursing) <br /> 6. สาธารณสุขศาสตร์ (Health professions) <br /> 7. เทคนิคการแพทย์ (Medical technology) <br /> 8. กายภาพบำบัด (Physical Therapy) <br /> 9. รังสีเทคนิค (Radiological Technology) <br /> 10. สาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการ </strong><strong>Peer Review Process</strong></p> <ul> <li>กองบรรณาธิการวารสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review)</li> <li>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพ จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ และต่างหน่วยงาน/ต่างสถาบัน จำนวน 3 ท่าน <strong>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind)</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</li> <li>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์ หรือ เพิกถอนบทความในขั้นตอนใด ๆ ได้ หากมีการตรวจพบข้อผิดพลาดด้านเนื้อหาและ/หรือจรรยาบรรณทางวิชาการของบทความนั้นโดยประจักษ์</li> </ul> <p><strong>ประเภทบทความที่สามารถลงตีพิมพ์</strong></p> <p> 1. นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) ได้แก่ บทความที่เสนอผลงานใหม่ที่ได้จากการศึกษาวิจัยที่ยังไม่เคย ตีพิมพ์ในวารสาร หรือหนังสืออื่นๆ<br /> 2. รายงานผู้ป่วย (case report) เป็นรายงานผู้ป่วยที่น่าสนใจ เช่น การบาดเจ็บ, ความผิดปกติหรือโรคที่ พบได้ยาก และที่น่าศึกษา ใช้วิธีการนวัตกรรม หรือเครื่องมือใหม่ ในการรักษาผู้ป่วย ควรเขียนตามลำดับ ได้แก่ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ บทนำ (เหตุผลที่ทำการศึกษานี้รวมทั้งวัตถุประสงค์) รายงานผู้ป่วย (รวมถึงวัสดุและ วิธีการศึกษา) วิจารณ์สรุปอภิปรายผล และเอกสาร อ้างอิง<br /> 3. บทความพิเศษ (special article) เป็นบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ทันตแพทย์ เภสัชกรรม พยาบาลการสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจมีลักษณะเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์หรือ บทความทางด้านการบริหารที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าเป็นประโยชน์<br /> 4. บทความวิชาการ (review article) ได้แก่ บทความที่ได้จากการรวบรวมนำเอาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ ในวารสารหรือหนังสือต่าง ๆ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์นำมาเรียบเรียงและ วิเคราะห์วิจารณ์หรือ เปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความลึกซึ้งหรือเกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น<br /> 5. ปกิณกะ (miscellany) เป็นบทความหรือสาระความรู้ได้แก่ บทความอื่น ๆ หรือรายงานที่เกี่ยวข้องกับ ด้านการแพทย์ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ หรือบทความที่ส่งเสริม ความเข้าใจอันดีต่อผู้ปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร<br /></strong>จัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ <br /> ฉบับที่ 1 (เดือน มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (เดือน กันยายน – ธันวาคม)<strong><br /></strong><em>*หมายเหตุ : วารสารเผยแพร่เฉพาะในเว็บไซต์ ไม่จัดพิมพ์รูปเล่ม</em></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> 1. บุคคลภายนอก จำนวน 4,000 บาท<br /> 2. บุคคลภายใน (โรงพยาบาลมหาสารคาม) จำนวน 1,500 บาท<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 1 :</span> เรียกเก็บเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์ก่อนส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ<br /><span style="color: red;">หมายเหตุ 2 :</span> หากผู้เขียนดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมขอตีพิมพ์บทความแล้ว ทางวารสารฯ จะไม่คืนค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ทุกกรณี</p> <p> </p> th-TH <p>วารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลมหาสารคาม</p> mskh.journal@gmail.com (วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม) mskh.journal@gmail.com (โรงพยาบาลมหาสารคาม) Mon, 25 Aug 2025 16:39:04 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความเครียดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เตรียมบำบัดทดแทนทางไต: บทบาทที่ท้าทายของพยาบาลในการประเมินและช่วยเหลือ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275621 <p> ความเครียดเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับการบำบัดทดแทนไต โดยปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเครียด ได้แก่ ความกลัว ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต ความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ และการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต การประเมินและการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความวิชาการได้เขียนขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมและประสบการณ์เชิงวิชาชีพ เพื่อนำเสนอความหมาย อุบัติการณ์ ระดับความเครียด ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ระดับของความเครียด รวมถึงเสนอแนะบทบาทของพยาบาลในการประเมินและการช่วยเหลือภายใต้กลยุทธ์ 2As ได้แก่ การประเมินความเครียด (Assessment) และการให้ความช่วยเหลือ (Assistance) อันจะเป็นประโยชน์ต่อพยาบาลวิชาชีพ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญความเครียด ปรับตัวกับปัจจัยกระตุ้นที่เผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> เยาวนาถ คำแก้ว, อนุชา ไทยวงษ์ , วิไลลักษณ์ เผือกพันธ์, พฤฒิศักดิ์ จันทราทิพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275621 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การรักษากระดูกต้นแขนส่วนกลางหักด้วยการผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกบริเวณส่วนหน้าด้านใน ผ่านแผลผ่าตัดบริเวณส่วนหน้าด้านนอก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275674 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลการรักษากระดูกต้นแขนส่วนกลางหักโดยการผ่าตัดใส่แผ่นเหล็กดามกระดูกบริเวณส่วนหน้าด้านใน ผ่านแผลผ่าตัดบริเวณส่วนหน้าด้านนอก</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective descriptive study) ตั้งแต่ มกราคม 2560 ถึง ธันวาคม 2567 ในผู้ป่วยที่มาด้วยกระดูกต้นแขนส่วนกลางหัก และได้รับการผ่าตัดใส่แผ่นเหล็กดามกระดูก บริเวณส่วนหน้าด้านใน ผ่านแผลผ่าตัดบริเวณส่วนหน้าด้านนอกจากนั้นนำข้อมูลผู้ป่วย ผลการรักษาทางคลินิก และผลภาพถ่ายรังสีของกระดูกต้นแขน มาวิเคราะห์</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยในการศึกษาทั้งหมด 63 ราย เป็นผู้ชาย 44 ราย ผู้หญิง 19 ราย อายุเฉลี่ย 35.4 ปี (19-63 ปี) ระยะเวลาที่ใช้ผ่าตัดต่อเคสโดยเฉลี่ย 78 นาที (60-90 นาที) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการติดของกระดูกภายใน 12 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด (57 ราย) (ร้อยละ 90.5) ผู้ป่วยจำนวน 4 ราย (ร้อยละ 6.3) กระดูกติดภายใน 16 สัปดาห์ ไม่พบการบาดเจ็บของเส้นประสาทเรเดียลจากการผ่าตัด ผู้ป่วยทุกรายมีพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อศอกปกติภายหลังกระดูกติดสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การรักษากระดูกต้นแขนส่วนกลางหักในรายที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยวิธีการผ่าตัดใส่แผ่นเหล็กดามกระดูกบริเวณส่วนหน้าด้านใน ผ่านแผลผ่าตัดบริเวณส่วนหน้าด้านนอกให้ผลการรักษาที่ดีทั้งในเรื่องการติดของกระดูกและพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อศอกหลังผ่าตัด และไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือการบาดเจ็บของเส้นประสาทเรเดียลจากการผ่าตัดในการศึกษานี้</p> สุรศักดิ์ จิตบรรจง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275674 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปัจจัยทำนายและทักษะด้านการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย ในเขตสุขภาพที่ 7 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275787 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาระดับทักษะด้านการคิดเชิงบริหาร (Executive Function; EF) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงทำนายระหว่างปัจจัยด้านเด็กและด้านครอบครัวกับทักษะ EF ของเด็กปฐมวัยในเขตสุขภาพที่ 7</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย : </strong>เป็นการศึกษาเชิงสหสัมพันธ์เชิงทำนาย (Predictive Correlational Research Design) ดำเนินการในรูปแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Study) กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัย จำนวน 198 คน อายุระหว่าง 3 ถึง 5 ปี ซึ่งคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จากศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 ระหว่างเดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนพฤษภาคม 2563 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินทักษะ EF (MU.EF-101) ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และแบบสอบถามลักษณะประชากร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์สเปียร์แมน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยตัวแปรดัมมี่ โดยแปลผลคะแนน EF ตามค่ามาตรฐานที (T-score)</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.00 มีน้ำหนักแรกเกิดเฉลี่ย 3,120 กรัม ได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และอาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ ซึ่งผลการประเมินทักษะ EF ของเด็กปฐมวัยโดยรวมอยู่ในระดับดี (สูงกว่าค่าเฉลี่ย) (ค่าเฉลี่ย T-score=59.30, SD=7.73) ทั้งในด้านการยับยั้งทั้งในด้านการยับยั้งพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์ ความจำขณะทำงานและการยืดหยุ่นทางความคิดโดยมีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับ EF อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง น้ำหนักแรกเกิดตามเกณฑ์ การได้รับธาตุเหล็ก การกินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกอายุผู้เลี้ยงดู รายได้ครอบครัว ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผู้เลี้ยงกับเด็ก และรูปแบบการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ ซึ่งปัจจัยทั้ง 8 นี้สามารถร่วมกันทำนายระดับ EF ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R²=0.724, p&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> ทักษะ EF ของเด็กปฐมวัยได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและบริบทของครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ ซึ่งเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลเชิงทำนายมากที่สุด ดังนั้น การส่งเสริม EF อย่างมีประสิทธิภาพจึงควรเน้นที่การดูแลและปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมภายในครอบครัว อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเด็กให้มีศักยภาพที่เหมาะสมกับสังคมแห่งอนาคต</p> ธนิศรา นามบุญเรือง, ลัดดา ดีอันกอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275787 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการฝึกความต้านทานของลิ้นต่อการเพิ่มความแข็งแรงของการบีบมือในผู้มีภาวะมวล กล้ามเนื้อน้อย: การศึกษาแบบไปข้างหน้า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/274590 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของการฝึกความต้านทานของลิ้นเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ต่อความแข็งแรงของการบีบมือและความดันของลิ้นในวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะซาร์โคพีเนีย</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> การศึกษานำร่องเชิงไปข้างหน้าแบบก่อน–หลัง ในผู้เข้าร่วมอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่รับการดูแลในคลินิกผู้สูงอายุ จำนวน 38 คน ผู้เข้าร่วมทำแบบฝึกความต้านทานของลิ้นทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลา <br />8 สัปดาห์ โดยวัดแรงบีบมือด้วยเครื่องไดนาโมมิเตอร์ และวัดความดันของลิ้นด้วยอุปกรณ์ Iowa Oral Performance Instrument ทั้งก่อนและหลังการฝึก รวมถึงการเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับภาวะโภชนาการ (โดยใช้แบบประเมิน Mini Nutritional Assessment: MNA) และระดับกิจกรรมทางกายของผู้เข้าร่วมด้วย ข้อมูลได้รับการวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่ออธิบายลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้ t-test แบบจับคู่เพื่อตรวจสอบความแตกต่างของแรงบีบมือและแรงกดของลิ้นก่อนและหลังการฝึก กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> หลังการฝึก 8 สัปดาห์ แรงบีบมือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.4±2.5 กิโลกรัม (p=0.002) และความดันของลิ้นเพิ่มขึ้น 6.0±9.1 กิโลปาสกาล (p&lt;0.001) โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนพบในกลุ่มที่มีแรงบีบมือต่ำตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะในผู้หญิง</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การฝึกความต้านทานของลิ้นช่วยเพิ่มสมรรถภาพของกล้ามเนื้อทั้งในช่องปากและทั่วร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ วิธีนี้อาจช่วยเสริมการรักษาภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยแบบดั้งเดิม โดยช่วยให้การกลืนและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยรวมดีขึ้น</p> ณัฐปภัสร์ บุญสวัสดิ์, เทียนฉาย ขจรวงศ์สถิต , ณัฐศาสตร์ อุณาศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/274590 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด19 กับ ความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273639 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 และความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีการ </strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยายหาความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 คือ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 ของกลุ่มเสี่ยง 608 และ 3) แบบวัดความตั้งใจการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวกตามคุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 574 ราย แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลราษีไศล เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์ กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> <strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 อยู่ในระดับปานกลาง (x̄=14.62, SD=3.54) ความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 อยู่ในระดับต่ำ (x̄=4.62, SD=3.31) โดยการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.54, p-value&lt;0.01)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong> <strong>: </strong>การรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลแนวทางส่งเสริมการรับรู้ความเสี่ยงอันตรายจากการเกิดโรคโควิด 19 และความตั้งใจฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นของกลุ่มเสี่ยง 608 ที่มีปัญหาทางสุขภาพร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรง ควรมีการรณรงค์กระตุ้น สร้างความตระหนักให้กลุ่มเสี่ยง 608 นี้ได้รับวัคซีนที่ครอบคลุมสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ง่าย ซึ่งจะส่งผลให้ลดความรุนแรงของการดำเนินโรคและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด 19</p> เกตุนรินทร์ บุญคล้าย, วรรณชาติ ตาเลิศ, กนกวรรณ เวทศิลป์, อนุศร การะเกษ, กรรณิกา เพ็ชรักษ์, ปนัดดา โพธิ์พุ่ม, ชวนชม พืชพันธ์ไพศาล, สุกิจ ทองพิลา, ปิยะพร พรหมแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273639 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของการใช้บริการทางการแพทย์ทางไกลในกลุ่มการดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลวารินชำราบ: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/274565 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการใช้บริการทางการแพทย์ทางไกลในกลุ่มการดูแลแบบประคับประคองโรงพยาบาลวารินชำราบ</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย :</strong> เป็นการศึกษาทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มารับบริการการดูแลแบบประคับประคอง ในโรงพยาบาลวารินชำราบ ระหว่างปี พ.ศ. 2566 - 2567 ได้แก่ กลุ่มทดลอง คือ กลุ่มที่ได้รับการบริการการแพทย์ทางไกล (telemedicine) และกลุ่มควบคุม คือ กลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ กลุ่มละ 28 ราย</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสัปดาห์ที่ 1 และสัปดาห์ที่ 4 พบว่า Palliative Performance Scale (PPS) ค่าเฉลี่ยเริ่มต้นในกลุ่มทดลอง 56.09±6.56 ลดลงเหลือ 49.56±14.29 (p=0.022) ในขณะที่กลุ่มควบคุมเริ่มต้นที่ 52.22±7.51 ลดลงเหลือ 50.74±9.97 (p=0.515) สำหรับคะแนนอาการปวดจาก Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยลดลงจาก 5.09±2.63 เป็น 1.52±1.56 (p&lt;0.001) ในขณะที่กลุ่มควบคุมลดลงจาก 6.52±2.62 เป็น 2.41±1.99 (p&lt;0.001) อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (Admit) การเข้ารับบริการคลินิกผู้ป่วยนอก (OPD) และการใช้บริการฉุกเฉิน (ER) ระหว่างกลุ่มที่ได้รับ Telepalliative care และกลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.585 0.704 และ 0.440 ตามลำดับ) ความพึงพอใจของครอบครัวเฉลี่ยอยู่ที่ 40.67±6.14 ในกลุ่มทดลอง เทียบกับ 38.48±6.76 ในกลุ่มควบคุม (p=0.235)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การใช้ Telepalliative care ช่วยลดอาการปวดในกลุ่มผู้ป่วย และช่วยลดภาระการดูแลของครอบครัว โดยกลุ่มทดลองมีแนวโน้มได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงกว่า ดังนั้นควรมีการศึกษาต่อไปเพื่อพัฒนาระบบให้เหมาะสมกับบริบททางสังคม และสาธารณสุขของประเทศไทย</p> กฤติกา วานิชกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/274565 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่ โรงพยาบาลประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273713 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาระดับความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลประโคนชัย</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 28 ธันวาคม 2567 จำนวน 300 คน โดยใช้สูตรของ Krejcie &amp; Morgan คำนวณกลุ่มตัวอย่าง ได้จำนวน 169 คน เครื่องมือการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient)</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 169 คน พบหญิงตั้งครรภ์มีระดับความชุกของภาวะซึมเศร้า จำนวน 38 คน (ร้อยละ 22.5) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การมีสัมพันธภาพที่ดีกับครอบครัว (r=0.469, p&lt;0.01) ความพึงพอใจในชีวิตสมรส (r=0.741, p&lt;0.01) และความพึงพอใจในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ (r=0.280, p&lt;0.01)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ความชุกของภาวะซึมเศร้าในสตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลประโคนชัยร้อยละ 22.5 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่ การมีสัมพันธภาพที่ดีกับความครัว ความพึงพอใจในชีวิตสมรส และ ความพึงพอใจในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ </p> ปฐวี บุญไพศาลบันดาล, ปิยะนุช บังเอิญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273713 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี ที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า โดยการมีส่วนร่วม ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองสามัคคี ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275813 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 0–5 ปี ที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าโดยการมีส่วนร่วม ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองสามัคคี ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการใช้แนวคิดการพัฒนาของ Kemmis and McTaggart (1988) ร่วมกับแนวคิด Empowerment ของ Miller ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย เด็กอายุ 0-5 ปีที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าจำนวน 47 คน ผู้ปกครองเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าจำนวน 47 คน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 10 คน และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 32 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกันยายน 2567 – เมษายน 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบประเมินพัฒนาการเด็ก 2) แนวคำถามการสนทนากลุ่ม 3) แบบสอบถามผู้ปกครอง 4) แบบสอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานด้วย Paired T-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> 1) สถานการณ์ปัญหาของการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี พบว่า ยังไม่ได้รับการคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการอย่างมีคุณภาพและครอบคลุม ผู้ปกครองเด็กขาดทักษะในการส่งเสริมพัฒนาการขาดการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้น มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การวิเคราะห์ปัญหาและบริบท 2. บทบาทหน้าที่ผู้มีส่วนร่วม 3. ฐานข้อมูลเด็กกลุ่มเป้าหมาย 4. สร้างความรู้และฝึกทักษะ 5. การเสริมพลังและประเมินพัฒนาการา 6. การเชื่อมโยงข้อมูลและระบบส่งต่อ 7. ประเมินผลและประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเกิดรูปแบบ “SAMAKEE MODEL” 3) ผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้นพบว่าผู้ปกครองมีเจตคติ พฤติกรรม และความพึงพอใจต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (P-value&lt;0.001) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม. มีความรู้ การรับรู้ และการมีส่วนร่วมต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (P-value&lt;0.001) เด็กที่สงสัยพัฒนาการล่าช้าได้รับการกระตุ้นพัฒนาการทุกคน และกลับมามีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 95.7 เมื่อเปรียบเทียบพัฒนาการเด็ก พบว่าหลังการวิจัยเด็กมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 85.2 เป็นร้อยละ 95.7</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การนำรูปแบบส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า โดยใช้ SAMAKKEE MODEL ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี ที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าได้มากขึ้น และทำให้เด็กกลับมามีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้น จึงควรนำรูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี ที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า โดยการมีส่วนร่วมจากการวิจัยนี้ ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นต่อไป</p> ปารณี แข็งแรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275813 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการบริบาลเภสัชกรรมในผู้ป่วยเบาหวานที่นอนโรงพยาบาลด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือน้ำตาลในเลือดต่ำ ณ หอผู้ป่วยอายุกรรม โรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275760 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัญหาจากการใช้ยา ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) และระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) รวมถึงความรู้เกี่ยวกับโรคและการใช้ยาเบาหวาน ในผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเป็น cross-sectional study กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือน้ำตาลในเลือดต่ำ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมานใช้ paired t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยทั้งหมด 74 ราย ปัญหาการใช้ยาที่พบมากที่สุด คือความไม่ร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย จำนวน 29 ครั้ง (ร้อยละ 39.18) ได้แก่ ไม่รับประทานยา ไม่ฉีดยา ฉีดยาเบาหวานไม่ถูกต้อง และรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาหลังฉีดอินซูลิน หลังการให้บริบาลทางเภสัชกรรมพบว่าระดับ FBS เฉลี่ยและ ระดับ HbA1c อยู่ในเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซ้ำ (Re-admission) จากปัญหาการใช้ยา ลดลงจาก 4 เป็น 0 ครั้ง ความรู้ก่อนและหลังการบริบาลเภสัชกรรมมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 5.57±0.84 เป็น 7.43±0.72 คะแนน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การบริบาลเภสัชกรรมร่วมกับทีมสหวิชาชีพช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความรู้มากขึ้นระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และป้องกันการ Re-admission จากปัญหาการใช้ยา</p> อรอนงค์ แสวงดี, เพชรรัตน์ดา ราชดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275760 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้โปรแกรมบริหารสมองร่วมกับนวัตกรรมลำเต้ยต่อความพึงพอใจและการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272602 <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษา 1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนแบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น Mini-Mental State Examination (MMSE) ของผู้สูงอายุก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้สูงอายุภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมบริหารสมองร่วมกับนวัตกรรมลำเต้ย</p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong>วิธีการศึกษา :</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (Quasi-experimental research, one group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 20 คน ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการจนครบกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมบริหารสมองร่วมกับนวัตกรรมลำเต้ย แบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น MMSE (ของกรมสุขภาพจิต)แบบสอบถามความพึงพอใจมีค่าความเชื่อมั่น 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test</p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong>ผลการศึกษา :</strong> ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนน MMSE ภายหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง t=-6.49 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ระดับมากที่สุด (x̄=4.91)</p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การป้องกันภาวะสมองเสื่อม โดยการใช้โปรแกรมบริหารสมองร่วมกับนวัตกรรมลำเต้ย ช่วยในการส่งเสริมการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในด้านการกระตุ้นการรู้คิดและการส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้สูงอายุในมิติด้านสังคมโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อจะช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ดีขึ้น</p> ทองมี ผลาผล, อติญา โพธิ์ศรี, กิตติพงษ์ พลทิพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272602 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วยติดเตียง กรณีศึกษาอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273169 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยติดเตียง ในด้านสุขภาพ ช่องปาก ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ และความต้องการของผู้ป่วยและผู้ดูแลในการดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วย รวมถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเฉพาะด้านสุขภาพช่องปาก</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากร คือ ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง (Caregiver) ในเขตพื้นที่อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเป็นผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 13 ราย และผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง 13 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอ้างอิงใช้ Wilcoxon signed-rank test และข้อมูลคุณภาพวิเคราะห์ในเชิงเนื้อหา โดยมีรูปแบบที่พัฒนา คือ การให้ความรู้ การมอบคู่มือและอุปกรณ์เพิ่มเติม การฝึกทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากให้แก่ผู้ดูแล เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสัมภาษณ์ และแบบตรวจสุขภาพช่องปาก</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> ด้านสุขภาพช่องปากของผู้ป่วย พบว่า ดัชนีคราบจุลินทรีย์รายบุคคล ต่ำกว่าก่อนการมีกิจกรรมการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าเฉลี่ยดัชนีคราบจุลินทรีย์ ก่อนและหลังการมีกิจกรรมพัฒนา 0.74 และ 0.60 ตามลำดับ ผู้ป่วยมีดัชนีคราบจุลินทรีย์ลดลง ร้อยละ 53.85 กลุ่มที่มีค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์คงเดิมนั้น เนื่องมาจากมีดัชนีเป็น 0 ทั้งก่อนและหลังการมีกิจกรรมการพัฒนา ร้อยละ 23.07 และจากการติดตามต่อเนื่องไปอีกทุก 6 เดือน เป็นเวลา 2 ปี พบว่า คราบจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ยังคงมีค่าใกล้เคียงเดิม</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และฝึกการปฏิบัติของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง รวมทั้งการมอบอุปกรณ์จำเป็นและมอบคู่มือในการดูแลสุขภาพช่องปากผู้ป่วย ส่งผลให้สุขภาพช่องปากผู้ป่วยติดเตียงดีขึ้น</p> เจนจิรา ศรีกงพาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273169 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะด้านปฏิบัติการพยาบาลเด็กวิกฤตของนักศึกษาพยาบาล: บทบาทที่ท้าทายของอาจารย์พยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273109 <p> การเจ็บป่วยรุนแรงวิกฤตของเด็กอาจนำไปสู่อัตราการตายที่สูงขึ้น ผู้ป่วยเด็กที่เข้าสู่ภาวะวิกฤตผู้ให้บริการจะต้องให้การดูแลผู้ป่วยอย่างทันท่วงที ปลอดภัย เหมาะสม และเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เป้าหมายการดูแลสุขภาพจึงต้องเน้นที่ความปลอดภัย (Patient safety) และคุณภาพของการดูแล (Quality of care) พยาบาลมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการปกป้องสิทธิผู้ป่วย (Advocating) การสอน (Educating) การจัดการและกำกับระบบการดูแลผู้ป่วย (Management) ดังนั้นสมรรถนะทางการพยาบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสูงจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะนักศึกษาพยาบาลและบุคลากรด้านสุขภาพ อันจะส่งผลต่อการดูแลที่ปลอดภัยและมีคุณภาพของผู้ป่วยเด็ก</p> <p> การพัฒนาสมรรถนะนักศึกษาพยาบาล จึงต้องมุ่งเน้นทั้งด้าน 1) ความรู้ ทักษะการปฏิบัติ หัตถการที่สำคัญ 2) มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพหรือมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ 3) การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีพฤติกรรมจริยธรรมที่แสดงออกอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ควรทำความเข้าใจสาระเกี่ยวกับความหมายของการพยาบาลเด็กวิกฤต สมรรถนะด้านปฏิบัติการพยาบาลเด็กวิกฤต และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะ เพื่อเป็นข้อเสนอแนะในการพัฒนาสมรรถนะปฏิบัติการพยาบาลเด็กวิกฤตของนักศึกษาพยาบาล ระดับปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ต่อไป</p> นุชนาถ บุญมาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273109 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพจิตของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273660 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพจิตของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา :</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์เชิงทำนาย กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาคลอดปกติ โรงพยาบาลตรัง จำนวน 144 ราย เครื่องมือประกอบด้วย 1) ข้อมูลพื้นฐาน 2) แบบประเมินสุขภาพจิต 3) แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม และ 4) แบบประเมินความสำเร็จในการดำรงบทบาทการเป็นมารดาวัยรุ่น โดยเครื่องมือทั้งชุดมีค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.89 แบบประเมินชุดที่ 2 3 และ 4 มีค่าเท่ากับ 0.85 0.91 และ 0.87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการศึกษา :</strong> สุขภาพจิตของมารดาวัยรุ่นหลังคลอดอยู่ในระดับเท่ากับคนทั่วไป ร้อยละ 90.97 ได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับมาก (Mean=3.83, SD=0.195) และมีความสำเร็จในการดำรงบทบาทความเป็นมารดาวัยรุ่นในระดับมาก (Mean=3.93, SD=0.216) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบว่า การสนับสนุนทางสังคมและความสำเร็จในการดำรงบทบาทความเป็นมารดาวัยรุ่นสามารถทำนายสุขภาพจิตของมารดาหลังคลอดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R²=0.242, F=2.911, p&lt;0.001) โดยการสนับสนุนทางสังคมมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย β=0.186 (p&lt;0.05) และความสำเร็จในการดำรงบทบาทความเป็นมารดาวัยรุ่นมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย β=-0.288 (p&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา :</strong> การสนับสนุนทางสังคมและความสำเร็จในการดำรงบทบาทความเป็นมารดาวัยรุ่นสามารถทำนายสุขภาพจิตของมารดาวัยรุ่นหลังคลอดได้ ดังนั้น การให้เวลาในการให้ความรู้ การฝึกทักษะ การให้กำลังใจ ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาทางสุขภาพจิตของมารดาวัยรุ่นหลังคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด</p> สุริยา ยอดทอง, รุ่งฤดี อุสาหะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/273660 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ด้วยการระดมพลังทางสังคมร่วมกับการจัดการรายกรณี อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275640 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ระยะเวลาวิจัย มกราคม 2565– เมษายน 2567 กลุ่มเป้าหมายและผู้ร่วมวิจัย 151 คน ได้แก่ ผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด ญาติหรือผู้ดูแล แกนนำชุมชน ตำรวจ เรือนจำ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พระภิกษุ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสหวิชาชีพ ในโรงพยาบาลมหาสารคามและเครือข่าย เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> 1) ปี 2564-2565 ผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงอำเภอเมืองมหาสารคามมีจำนวนเพิ่มขึ้น และขาดรูปแบบเชื่อมโยงการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงการดูแลต่อเนื่องในชุมชน 2) การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง อำเภอเมืองมหาสารคาม ดังนี้ ศึกษาสถานการณ์ ประสานแผนงานคณะกรรมการยาเสพติดระดับอำเภอ ประชุม และดำเนินกิจกรรมตามแผน นำผลที่ได้ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคไปแก้ไข และปรับปรุงในวงรอบต่อไป จนวงรอบที่ 3 ได้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง โดยการระดมพลังทางสังคมร่วมกับการจัดการรายกรณี ดังนี้ การดูแลก่อนถึงโรงพยาบาลร่วมกับบูรณาการ 3 หมอ การดูแลในโรงพยาบาลรับบริการในหน่วยบริการ และการดูแลต่อเนื่องหลังจำหน่าย 3) ปี 2567 ผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดรับการดูแลไม่ก่อความรุนแรงซ้ำ ร้อยละ 98.97</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง โดยการระดมพลังทางสังคมร่วมกับการจัดการรายกรณี เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการคัดกรองส่งต่อ บำบัดรักษา และติดตามดูแลต่อเนื่องอย่างเหมาะสม</p> นันท์พญาน์ พิมพ์บุตร, นิตยา ฤทธิ์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275640 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์การให้บริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินขณะนอนโรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275748 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> ศึกษาผลลัพธ์การบริบาลเภสัชกรรมในการแก้ไขปัญหาจากการใช้ยา และปัจจัยที่มีแนวโน้มสัมพันธ์กับระดับ INR ของผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินขณะนอนรักษาในโรงพยาบาล</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง ให้การบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินทุกรายร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ตั้งแต่1 กันยายน 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 ค้นหาปัญหาจากการใช้ยาและประเมินความรู้เรื่องยาวาร์ฟารินโดยการสัมภาษณ์ ประเมินค่างานเภสัชกรรมในการแก้ไขปัญหาจากการใช้ยา(SumRwDTP) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปSPSS version 26</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผู้ป่วย 527 ราย พบปัญหาจากการใช้ยา 221 ครั้ง เภสัชกรแก้ไขปัญหาจากการใช้ยาได้ 180 ครั้ง (ร้อยละ 81.45) พบมากคือ การปรับขนาดยาสูง แก้ไขได้ 62 ครั้ง (ร้อยละ 87.32), การเกิดอันตรกิริยากับยา อาหาร สมุนไพร แก้ไขได้ 34 ครั้ง (ร้อยละ 53.12) และความไม่ร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยแก้ไขได้ 46 ครั้ง (ร้อยละ 100) ในกลุ่ม INR เป้าหมาย 2.00-3.00 ค่า INR อยู่ในช่วงเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากวันแรกร้อยละ 29.09 เป็นร้อยละ 78.81 ในวันกลับบ้าน และ ในกลุ่ม INR เป้าหมาย 2.50-3.50 พบว่าจากร้อยละ 12.50 เพิ่มเป็น 87.50 ปัจจัยที่มีแนวโน้มสัมพันธ์กับระดับ INR ได้แก่ การปรับขนาดยา ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา และผู้ป่วยวาร์ฟารินรายเก่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>การบริบาลเภสัชกรรมช่วยแก้ไขปัญหาจากการใช้ยา ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มสัมพันธ์กับระดับ INR ร่วมกับมีระบบส่งต่อไปโรงพยาบาลเครือข่าย ช่วยให้ผู้ป่วยมีระดับ INR เข้าสู่ช่วงเป้าหมายมากขึ้น</p> เพชรรัตน์ดา ราชดา, ลือรัตน์ อนุรัตน์พานิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275748 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาระบบการบริหารคลังเวชภัณฑ์ยาย่อย โดยใช้ข้อมูลการสั่งใช้ยาของแพทย์ งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275740 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการคลังยาย่อย งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยนอก โดยใช้ข้อมูลการสั่งใช้ยาของแพทย์</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ช่วง 1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568 โดยร่วมกันประชุมหารือในกลุ่มงาน เพื่อปรับระบบการเบิกยาใหม่ด้วยหลักการลีน (Lean) และนำข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาระบบ โดยเก็บข้อมูลจำนวนครั้ง และรายการเบิกยาด่วนฉุกเฉิน มูลค่าการสำรองยา เวลาที่ใช้ในการทำงาน มูลค่าการเบิกยา จำนวนรายการยาที่เบิก และจำนวนใบเบิกต่อสัปดาห์ ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Paired t-test เปรียบเทียบ ก่อนและหลังการพัฒนาระบบการเบิกยา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> สามารถลดขั้นตอนการเบิกยาไป 3 ขั้นตอนโดยใช้โปรแกรม Inventory (INV) ในการพัฒนาการเบิกยา ในการศึกษามีใบเบิกยาทั้งหมด 438 ใบ 14,194 รายการ พบว่าการเบิกยาด่วนฉุกเฉินลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;0.05 จาก 95 ครั้งเหลือ 35 ครั้ง (ร้อยละ 63.16) จำนวนรายการ 251 รายการ ลดเหลือ 48 รายการ (ร้อยละ 80.88) มูลค่าการสำรองยาลดลง 8,571,134.49 บาท (ร้อยละ 32.81) และเวลาที่ใช้ในการทำงานลดลง 37 ชั่วโมง/เดือน หรือ 9.25 ชั่วโมง/สัปดาห์ (ร้อยละ 33.95) เปรียบเทียบผลการเบิกยาด่วนฉุกเฉินคลังยาย่อยห้องอื่นที่ยังใช้ระบบเดิม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;0.05 เช่นกัน ทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนรายการยา</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การนำข้อมูลการสั่งใช้ยาของแพทย์ สามารถใช้คำนวณปริมาณความต้องการยาสำรองที่คลังยาย่อยได้อย่างเหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเวชภัณฑ์คลังยาย่อย ทั้งยังสามารถขยายผลและพัฒนาเป็นต้นแบบสำหรับทุกคลังยาย่อยภายในโรงพยาบาลได้ในอนาคต</p> วรรณา ฉายแก้วมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/275740 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการดูแลการคลอดปกติของพยาบาลห้องคลอด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272740 <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการดูแลการคลอดปกติของพยาบาลห้องคลอด</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Analytical Cross-sectional Study) <br />กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลห้องคลอดในเขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 155 คน ที่ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ระหว่าง 1 มิถุนายน 2567 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูลส่วนบุคคล (2) ทัศนคติ (3) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (4) การรับรู้ความสามารถในการควบคุม (5) ความรู้เกี่ยวกับใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และ (6) พฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหูคูณแบบเพิ่มตัวแปรเป็นขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และการรับรู้ความสามารถในการควบคุมอยู่ในระดับสูง ส่วนความรู้เกี่ยวกับการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และพฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ อยู่ในระดับปานกลาง การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงเป็นตัวแปรที่สามารถทำนายความแปรปรวนของพฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้ร้อยละ 11 (R<sup>2</sup>=0.11) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา </strong><strong>:</strong> การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในการดูแลการคลอดปกติสามารถทำนายพฤติกรรมการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการดูแลการคลอดปกติ </p> วิลาสินี บุตรศรี, เปรมฤทัย น้อยหมื่นไวย, จันทิมา นวะมะวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MKHJ/article/view/272740 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700