https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/issue/feed วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา 2025-08-29T05:25:22+07:00 ผศ.ดร.กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง journal@bcnu.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา<br />ISSN 2630-0214 E-ISSN 2821-9899<br />กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม–สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม<br />นโยบายของการตีพิมพ์ วารสารมีนโยบายตีพิมพ์รายงานวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Articles) ในด้านการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา</p> <p>นโยบายการประเมินบทความ<br />บทความที่จะตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนหรือไม่อยู่ในระหว่างส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น วารสารใช้ระบบการประเมินแบบ Double-blinded peer review บทความวิจัย (Research article) <br />และบทความวิชาการ (Review article) ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <br />และมีความเชี่ยวชาญตรงสาขากับบทความ อย่างน้อย 3 ท่าน ผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ จะถูกรวบรวมโดยบรรณาธิการเพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไข ผู้เขียนบทความต้องแก้ไขบทความจนเป็นที่พึงพอใจของผู้ทรงคุณวุฒิและบรรณาธิการ<br />บทความภาษาไทยที่ได้รับการตอบรับ ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เป็นเงิน 3,500 บาท</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/274642 การพัฒนาคุณภาพการรายงานอุบัติการณ์ของหอผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี 2025-06-06T17:29:49+07:00 ชนพิชา แผ่นทอง panthong.chonphicha@gmail.com อภิรดี นันทศุภวัฒน์ apiradee.n@cmu.ac.th เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล petsunee.t@cmu.ac.th <p><strong>บทนำ:</strong> การรายงานอุบัติการณ์ เป็นขั้นตอนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในการลดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เพื่อให้เกิดคุณภาพบริการสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย การดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า การรายงานอุบัติการณ์มีจำนวนน้อยกว่าความเป็นจริง การรายงานไม่ถูกต้อง ไม่ทันเวลาที่กำหนด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อพัฒนาคุณภาพการรายงานอุบัติการณ์ของหอผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>:เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Developmental study) ใช้กรอบแนวคิดกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องโฟกัสพีดีซีเอ (FOCUS-PDCA) ประกอบด้วย 9 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ค้นหากระบวนการที่ต้องการปรับปรุง 2) สร้างทีมงานที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ 3) ทำความเข้าใจกระบวนการที่ต้องการปรับปรุง 4) ทำความเข้าใจสาเหตุความแปรปรวนของกระบวนการ 5) เลือกกระบวนการที่ต้องการปรับปรุง 6) วางแผนการปรับปรุง 7) ดำเนินการการปรับปรุง 8) ตรวจสอบผล 9) ดำเนินการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงคือบุคลากรที่ปฏิบัติในหอผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลน้ำโสม จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ศึกษา ได้แก่ แนวคำถามในการประชุมกลุ่ม แนวทางการรายงานอุบัติการณ์ แบบตรวจสอบการรายงานอุบัติการณ์ด้วยการบันทึกมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเที่ยงของการประเมิน 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ภายหลังการพัฒนาตามกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องโฟกัสพีดีซีเอ ทีมปฏิบัติสามารถรายงานอุบัติการณ์ได้ถูกต้อง ครบถ้วนมากกว่าร้อยละ 80 และสามารถรายงานทันเวลามากกว่าร้อยละ 80 อย่างไรก็ตามพบว่าบุคลากรบางคนประเมินระดับความรุนแรงและการค้นหาความเสี่ยงในอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ครบถ้วน เนื่องจากบุคลากรขาดทักษะและประสบการณ์ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุบัติการณ์</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การใช้กระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องโฟกัสพีดีซีเอทำให้มีการรายงานอุบัติการณ์ได้ครบถ้วน ถูกต้อง และทันเวลา</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ผู้บริหารทางการพยาบาลควรสนับสนุนการปฏิบัติ ติดตาม <br />ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง พัฒนาทักษะและประสบการณ์เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงให้กับบุคลากร และพัฒนาคุณภาพการรายงานอุบัติการณ์หน่วยงานอื่นต่อไป<strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/274788 ผลของการใช้แบบประเมิน SOS Score ต่อผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร 2025-05-09T15:23:33+07:00 ทัศวรรณ คำหล้า tatsawan.k545@gmail.com ชัญญาวีร์ ไชยวงศ์ ccchaiwong78@gmail.com <p><strong> </strong><strong>บทนำ:</strong> การใช้ SOS Score ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดของพยาบาลวิชาชีพที่ช่วยให้อัตราการเกิด Septic Shock และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาผลการใช้ SOS Score ต่อผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) แบบ 2 กลุ่มคือกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 42 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 21 ราย กลุ่มควบคุม 21 ราย และพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบรวบรวมข้อมูลการใช้ SOS Score จากเวชระเบียนผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด และแบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ วิเคราะห์ความแตกต่างของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วย Independent t-test</p> <p> <strong>ผลการวิจัย:</strong> กลุ่มทดลองที่ใช้ SOS Score ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ในโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร มีอัตราการเกิด Septic Shock และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดน้อยกว่ากลุ่มควบคุมที่ให้การพยาบาลแบบปกติ (p&lt; .05) และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อแนวปฏิบัติการใช้ SOS Score ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดอยู่ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยข้อคิดเห็นที่มีคะแนนความพึงพอใจมากที่สุดคือการใช้ SOS Score มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยและหน่วยงาน ข้อคิดเห็นที่มีคะแนนความพึงพอใจน้อยที่สุดคือ การนำไปใช้ง่าย</p> <p> <strong>สรุปผล:</strong> การใช้ SOS Score ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย และความคิดเห็นของพยาบาลวิชาชีพคือการใช้ SOS Score มีประโยชน์ต่อคนไข้แต่มีความยาก</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรส่งเสริมให้พยาบาลวิชาชีพใช้ SOS Score อย่างต่อเนื่องโดย 1) ส่งเสริมความรู้เรื่องการใช้ SOS Score 2) ควบคุมกำกับ ติดตามประเมินผลการใช้ SOS Score อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/276370 ผลการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านต่อทักษะปฏิบัติการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็กของนักศึกษาพยาบาล 2025-08-21T09:09:17+07:00 พัชรี วัฒนชัย patcharee.w@bcn.ac.th วรางคณา อุดมทรัพย์ warangkana.u@bcn.ac.th โสภา รักษาธรรม sopha.r@bcn.ac.th <p><strong>บทนำ</strong> การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped classroom) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> : เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านต่อทักษะปฏิบัติการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็กของนักศึกษาพยาบาล และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong> : การวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 88 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1)แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เรื่องการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็ก 2) สื่อวีดิทัศน์เรื่องการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็ก มีค่าความตรงตามเนื้อหา (CVI) เท่ากับ .93 3) แบบประเมินทักษะการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกแก่เด็ก มีค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมิน (Inter rater reliability) เท่ากับ .93 4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มอิสระต่อกัน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : พบว่าคะแนนทักษะปฏิบัติการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็กของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน หลังเรียนสูงกว่านักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=7.29, p &gt; .01) และนักศึกษากลุ่มทดลองมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.69, SD=.50)</p> <p><strong>สรุปผล</strong> : การจัดการเรียนการสอนแบบ Flipped Classroom ในทักษะการใส่สายยางให้อาหารทางจมูกในเด็ก ส่งผลดีทั้งต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักศึกษา โดยเฉพาะเมื่อนำเทคโนโลยีและสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอย่างมีระบบมาใช้ร่วมด้วย ถือเป็นแนวทางการสอนทักษะปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาลที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong> :</strong> ควรมีการศึกษาต่อยอดให้มีการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านในการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลในหัวข้อหรือรายวิชาอื่นๆ</p> <p> </p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/276414 การประเมินพัฒนาการและผลกระทบในระยะยาวของทารกที่เกิดจากมารดาที่ตรวจพบการใช้สารแอมเฟตามีนระหว่างการตั้งครรภ์: การศึกษาทิศทางคู่ 2025-08-21T09:13:08+07:00 ระพีพรรณ จันทร์อ้วน rapeep_29549@hotmail.com <p><strong>บทนำ: </strong>ปัจจุบันพบการใช้แอมเฟตามีนในหญิงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว จังหวัดเลย สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า สารแอมเฟตามีนผ่านรกส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการระบบประสาททารก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> เพื่อประเมินพัฒนาการและผลกระทบในระยะยาวของทารกที่เกิดจากมารดาที่ตรวจพบการใช้สารแอมเฟตามีนระหว่างการตั้งครรภ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว จังหวัดเลย</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบทิศทางคู่ 2 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาย้อนหลังเวชระเบียนมารดาและทารกโรงพยาบาลรัฐจังหวัดเลย พ.ศ. 2563-2566 เปรียบเทียบกลุ่มศึกษามารดาตรวจพบแอมเฟตามีน 32 ราย กับกลุ่มควบคุม 32 ราย จับคู่ตามอายุมารดา อายุครรภ์ สถานะเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ติดตามพัฒนาการตั้งแต่อายุ 12 เดือน ประเมินทุก 6 เดือน ใช้ DENVER II และ Bayley-III วิเคราะห์ด้วย t-test, Chi-square, Multiple logistic regression</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบว่ามารดาที่ใช้สารแอมเฟตามีนระหว่างตั้งครรภ์ กลุ่มศึกษามีอัตราทารกน้ำหนักแรกเกิดต่ำ (&lt;2,500 กรัม) ร้อยละ 46.9 เทียบกับกลุ่มควบคุม ร้อยละ 21.9 (OR=3.21, p=0.029) น้ำหนักแรกเกิดเฉลี่ยต่ำกว่า 237.1 กรัม (p=0.018) การติดตามพัฒนาการที่อายุ 18.3±6.8 เดือน พบเด็กกลุ่มศึกษามีพัฒนาการล่าช้าทุกด้าน โดยเฉพาะด้านภาษา (OR=7.22, p=0.007) และด้านอารมณ์-สังคม ร้อยละ 42.9 มีความเสี่ยงพัฒนาการล่าช้าหลายด้านสูงกว่า 9 เท่า (p=0.024) พบปัญหาสมาธิสั้น (OR=5.20, p=0.044) และปัญหาการนอน (OR=3.45, p=0.040) มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การใช้แอมเฟตามีนระหว่างตั้งครรภ์ส่งผลต่อน้ำหนักแรกเกิดและพัฒนาการเด็ก ควรเพิ่มมาตรการป้องกัน พัฒนาระบบคัดกรองและติดตามเด็กกลุ่มเสี่ยง ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ชายแดน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> เพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารเสพติดในสตรีตั้งครรภ์ พัฒนาระบบคัดกรองและติดตามพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยง ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จัดทำแนวทางการดูแลแบบสหวิชาชีพสำหรับพื้นที่ชายแดน</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/274447 การพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลหนองคาย 2025-04-12T08:17:50+07:00 ทัศนาวรรณ ดวงดี tatsanawan@hotmail.com ณัฐกฤตา วงศ์ละคร nuttagritta@gmail.com <p><strong>บทนำ: </strong>การคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของมารดาและทารก แนวปฏิบัติการพยาบาลที่ชัดเจนและเหมาะสมมีบทบาทสำคัญในการยืดระยะเวลการตั้งครรภ์ให้ครบกำหนดคลอดได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> 1) เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลหนองคาย 2) เพื่อลดอัตราทารกคลอดก่อนกำหนด และอัตราหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดกลับมารักษาซ้ำ ภายใน 28 วัน</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนา โดยใช้ทฤษฎีการวิจัยและพัฒนาโดยการตรวจสอบและปรับปรุงต้นแบบนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในลักษณะของ R&amp;D (Research and Development) เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล (CNPG)ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ตามที่สภาวิจัยทางการแพทย์ ประเทศออสเตรเลีย (NHMRC, 1998)กำหนดไว้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลหนองคาย ที่ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แนวปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 2) แบบประเมินการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า Chi-square </p> <p> <strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่าการใช้แนวปฏิบัติฯไม่ทำให้อัตราการ Re-admit ภายใน 28 วันลดลง แต่มีการคลอดครบกำหนดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> <p> <strong>สรุปผล: </strong>การพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ทำให้ได้แนวปฏิบัติการพยาบาลที่มีขั้นตอนชัดเจน เข้าใจง่าย สามารถปฏิบัติได้อย่างครอบคลุม ประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาลได้ง่าย ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้รับการดูแล สามารถยืดอายุการตั้งครรภ์ออกไปจนครบกำหนดได้มากขึ้น</p> <p> <strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรนำแนวปฏิบัติการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ไปใช้อย่างต่อเนื่องและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาแนวให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางการแพทย์และเป็นปัจจุบัน</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/275473 การพัฒนาแนวปฏิบัติในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร 2025-08-02T20:50:59+07:00 มาริสา หมื่นจูม puttimatebenten@gmail.com จารุพร ไชยวงศา bcnu23jaruporn@bcnu.ac.th <p><strong>บทนำ: </strong>การติดเชื้อดื้อยาทำให้ความรุนแรงของการเจ็บป่วยมากขึ้น อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาจึงมีความสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติ สามารถปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและลดโอกาสการติดเชื้อดื้อยาซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> 1) เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา 3) เพื่อประเมินความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและญาติ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อแนวปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> เป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนา (Research and Development) &nbsp;เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล (CNPG) การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา จำนวน 42 ราย และพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แนวปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินผลการปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา แบบประเมินความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาและการป้องกันการแพร่เชื้อดื้อยาของผู้ป่วย/ญาติ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อแนวปฏิบัติฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>ผลการวิจัย:</strong> 1) แนวปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา ใช้เอกสารหลักฐานเชิงประจักษ์ จำนวน 16 ฉบับ 2) สามารถปฏิบัติตามแนวปฏิบัติในระดับมาก 3) ความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาของผู้ป่วยและญาติอยู่ในระดับสูง 4) ความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติในระดับมาก 5) ความพึงพอใจของพยาบาลอยู่ในระดับมาก&nbsp; 6) อัตราการ Re-admit ก่อนใช้แนวปฏิบัติฯ มากกว่าหลังการใช้แนวปฏิบัติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>สรุปผล: </strong>แนวปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาที่พัฒนาขึ้น มีขั้นตอนที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้อย่างครอบคลุม ประเมินผลได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยและญาติปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและลดโอกาสการติดเชื้อดื้อยาซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ควรนำแนวปฏิบัติการปฏิบัติการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาไปใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วย/ญาติ มีความความพร้อมและมั่นใจในการดูแลตนเองเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/274896 กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพบริการโทรเวชกรรมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง 2025-08-26T15:58:21+07:00 ชญานิศ ชำนาญจันทร์ patoo_550@hotmail.com ธนกฤต ทุริสุทธิ์ Thanakrit_T@hotmail.com <p><strong>บทนำ:</strong> โทรเวชกรรมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีสำคัญอย่างมาก กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพบริการโทรเวชกรรม สามารถให้บริการอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ อย่างยั่งยืน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อพัฒนากลยุทธ์คุณภาพการบริการโทรเวชกรรมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: วิจัยเพื่อพัฒนาแบบผสมผสาน ประกอบด้วย 3 ระยะ 1) ศึกษาสภาพปัญหา มี 2 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ศึกษาระดับปัญหา ประชากร จำนวน 193 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (2) ศึกษาสภาพปัญหาผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา 2) กำหนดกลยุทธ์การพัฒนา 3) ประเมินกลยุทธ์การพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 30 คน ใช้แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง และผู้ให้บริการโทรเวชกรรม โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี เลือกแบบเจาะจง&nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่าด้านคุณภาพระบบการใช้งาน ปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง (<strong> x<sup>-</sup></strong>= 2.58, SD = 0.98) ดังนี้ ความมีเสถียรภาพ ความง่ายในการใช้งาน และ ความรวดเร็วในการตอบสนอง&nbsp; สภาพปัญหาคือ ระบบมีเสถียรภาพไม่เพียงพอ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ระบบซับซ้อนสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่สูงอายุ และต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแลและผู้ให้บริการโทรเวชกรรม&nbsp; ด้านคุณภาพการบริการปัญหาอยู่ในระดับน้อย (<strong> x<sup>-</sup></strong><strong>&nbsp;</strong>= 2.29, SD = 1.02) ดังนี้&nbsp; การตอบสนอง&nbsp; รูปธรรม และ การให้ความมั่นใจ สภาพปัญหาคือ การประสานงาน&nbsp; สถานที่ ขั้นตอนบริการ การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสาร กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการบริการโทรเวชกรรม มี 6 กลยุทธ์ 11 โครงการ และผลการประเมินมีความเหมาะสม สามารถนำไปใช้ได้</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการบริการโทรเวชกรรม สามารถนำพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยโรคมะเร็งได้อย่างเหมาะสม</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: ควรนำกลยุทธ์การบริการโทรเวชกรรมไปปรับใช้ให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อให้การ</p> <p>บริการมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: กลยุทธ์, คุณภาพการบริการ, โทรเวชกรรม, โรคมะเร็ง</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี