วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ
<p>วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา<br />ISSN 2630-0214 E-ISSN 2821-9899<br />กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม–สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม<br />นโยบายของการตีพิมพ์ วารสารมีนโยบายตีพิมพ์รายงานวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Articles) ในด้านการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา</p> <p>นโยบายการประเมินบทความ<br />บทความที่จะตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนหรือไม่อยู่ในระหว่างส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น วารสารใช้ระบบการประเมินแบบ Double-blinded peer review บทความวิจัย (Research article) <br />และบทความวิชาการ (Review article) ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <br />และมีความเชี่ยวชาญตรงสาขากับบทความ อย่างน้อย 3 ท่าน ผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ จะถูกรวบรวมโดยบรรณาธิการเพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไข ผู้เขียนบทความต้องแก้ไขบทความจนเป็นที่พึงพอใจของผู้ทรงคุณวุฒิและบรรณาธิการ<br />บทความภาษาไทยที่ได้รับการตอบรับ ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เป็นเงิน 3,500 บาท</p>
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี
th-TH
วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา
2630-0214
-
ผลของการใช้แอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาวต่อการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหาร แบบ DASH และควบคุมความดันโลหิตสูง ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/270556
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ให้สูง เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหาร DASH สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>ศึกษาผลของการใช้แอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาวต่อการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภค อาหารแบบDASH และควบคุมความดันโลหิตสูง ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง </p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 30 คน สุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ แอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาวประยุกต์ใช้ทฤษฎีการจัดการตนเอง แบบสอบถามพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และแบบสอบถามการรับรู้ความสามารถของตนเองในการรับประทานอาหารในรูปแบบ DASH วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ สถิติ Paired t-test และ Willcoxon Signed Ranks Test </p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong> กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย = 64.79, SD ± 11.88 หลังจากการใช้แอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาว มีคะแนนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการรับรู้ความสามารถในการรับประทานอาหาร DASH สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ระดับความดันโลหิตตัวบน หลังการเข้าร่วมแอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาวลดลงกว่าก่อนใช้แอพพลิเคชั่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.002) </p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>แอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาว มีผลทำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีคะแนนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการรับรู้ความสามารถในการรับประทานอาหาร DASH ทำให้สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดี</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ควรมีการนำแอพพลิเคชั่นกินดีอยู่ยาว ปรับใช้ให้กับผู้ป่วย เพื่อให้มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดูแลตนเองจากโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างเหมาะสม</p> <p> </p>
ณัฐพล เทียมสอน
กรรณิการ์ กาศสมบูรณ์
ศลิษา ขจรโมทย์
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-28
2024-12-28
7 3
1
11
-
ผลของการวางแผนจำหน่ายต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง และอัตราการติดเชื้อในผู้ป่วย คาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนัง โรงพยาบาลลำพูน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/271002
<h2>บทคัดย่อ</h2> <p><strong>บทนำ:</strong> การติดเชื้อจากการคาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนัง มีสาเหตุจากพฤติกรรมการดูแลที่ไม่ถูกต้อง การวางแผนจำหน่ายจะช่วยให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่เหมาะสมหลังการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาผลของการวางแผนจำหน่ายต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง และอัตราการติดเชื้อในผู้ป่วยคาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนัง</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุม วัดก่อนหลังการทดลอง สุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 16 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการสอนให้คำแนะนำการดูแลตนเอง คู่มือการดูแลตนเอง แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบบันทึกการติดเชื้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Fisher’s exact test และ Mann-Whitney U Test</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>คะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่ได้รับการคาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนังในกลุ่มทดลอง มีคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และกลุ่มทดลองมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 6.25 ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มควบคุมที่มีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 56.25 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จะเห็นได้ว่า การวางแผนจำหน่าย ส่งผลให้ผู้ป่วยคาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนังมีพฤติกรรมการดูแลตนเองดีขึ้น และลดอัตราการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การวางแผนจำหน่ายช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยที่ใส่สายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไต<br>มีพฤติกรรมในการดูแลตนเองดีขึ้น และช่วยลดอัตราการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ใส่สายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านผิวหนัง</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่คาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนัง</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การวางแผนจำหน่าย, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ผู้ป่วยคาสายระบายน้ำปัสสาวะออกจากกรวยไตผ่านทางผิวหนัง</p>
พัชรินทร์ มูลรังษี
ปัทมาภรณ์ กิติ
แสงอรุณ สุขสำราญ
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-28
2024-12-28
7 3
-
คุณภาพการนอนหลับและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/271071
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>นักศึกษาพยาบาลมีคุณภาพการนอนหลับที่ดีจะทำให้กระบวนการคิดวิเคราะห์ การปฏิบัติงาน และการเรียนและประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาคุณภาพการนอนหลับและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong></p> <p>กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ที่กำลังศึกษาในชั้นปีที่ 1-4 ปีการศึกษา 2567 โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วนนักศึกษาในแต่ละชั้นปี จำนวน 268 คน เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามคุณภาพการนอนหลับของพิตต์สเบิร์ก แบบสอบถามความเครียด แบบสอบถามการรับรู้การรบกวนจากสิ่งแวดล้อม แบบสอบถามสุขนิสัยการนอนหลับ แบบสอบถามการใช้โซเชียลมีเดีย และแบบสอบถามภาระงาน โดยผ่านการทดสอบความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิและทดสอบความเชื่อมั่น โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .80, .80, .82, .83, .83 และ .81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติิเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: กลุ่มอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 93.3 อยู่ชั้นปีที่ 1 ร้อยละ 28.0 เกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ระหว่าง 3.01 – 3.50 ร้อยละ 32.10 มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี ร้อยละ 52.40 ปัจจัยด้านความเครียด การรับรู้การรบกวนจากสิ่งแวดลอม การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ภาระงาน และสุขนิสัยการนอนหลับ มีีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติิ (r<sub>s</sub> = .467 p < .001; r<sub>s</sub> = .254 p < .001; r<sub>s</sub> = .238 p < .001; r<sub>s</sub> = .294 p < .001; r<sub>s</sub> = .361 p < .001 ตามลำดับ) ส่วนระดับชั้นปี และเกรดเฉลี่ยสะสมมีีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติิ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong><strong> </strong>นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี และความเครียด การรับรู้การรบกวนจากสิ่งแวดลอม การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ภาระงาน สุขนิสัยการนอนหลับ มีีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติิ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขนิสัยการนอน การดููแลช่วยเหลือปัญหาสุขภาพจิต ภาระงาน การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อต่อการนอนหลับของนักศึกษาพยาบาลที่่เหมาะสม</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: คุณภาพการนอนหลับ นักศึกษาพยาบาล </p>
สุดกัญญา ปานเจริญ
พลธนวัฒน์ ยิ้มศิริวัฒนะ
ณิชาภัทร คงสุวรรณ
นงลักษณ์ ทะวะรุ่งเรือง
พรหมพร ไล้ทอง
สกุลรัตน์ ศิริกุล
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-28
2024-12-28
7 3
25
39
-
ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกที่ได้รับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมประสาท
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/272404
<p style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ที่ได้รับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมประสาท โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 90 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 45 คน และกลุ่มทดลอง 45 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินงานวิจัยคือ แนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกที่ได้รับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับผู้ป่วย ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง แบบคัดกรองระดับความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมองแตก แบบประเมินแบบประเมินระดับความพิการหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และแบบบันทึกการเกิดภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา <em>Chi</em><em>-</em><em>squared</em><em> </em>test<em>, </em><em>Fisher's exact test</em><em>,</em> Independent t-test, Repeated measure ANOVA ผลการวิจัยพบว่าหลังใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลสามารถลดความดันโลหิตซีสโตลิก หลังเข้ารับการรักษา 1 ชั่วโมง และ 24ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อุบัติการณ์การเกิดภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงและอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการควบคุมความดันโลหิตและลดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ในหอผู้ป่วยวิกฤตเพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลและผลลัพธ์ทางคลินิกต่อไป</p>
ปิยฉัตร เตี้ยวซี
จิรัญญา กาญจนโบษย์
แสงรวี มณีศรี
วันเพ็ญ ชำนาญธรรม
นิภาดา ธารีเพียร
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-28
2024-12-28
7 3
40
52
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลอุดรธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/272316
<p><strong>บทนำ:</strong> การให้ความรู้ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและทักษะในการจัดการภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของมารดาและคุณภาพชีวิตโดยรวม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างคือสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน จำนวน 40 ราย ที่มารับบริการที่คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลอุดรธานี โปรแกรมพัฒนาขึ้นตามทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มและทฤษฎีการเรียนรู้ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาล และผลทางคลินิกได้แก่ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) และระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) โปรแกรมประกอบด้วยกิจกรรมการให้ความรู้ 3 ครั้งในระยะเวลา 4 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ Paired T-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลการวิจัยพบว่าภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม คะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นจาก 12.9 เป็น 18.4 คะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจาก 50.2 เป็น 58.3 (p<.001) ผลทางคลินิกพบว่าค่าเฉลี่ย FBS ลดลงจาก 165.3 เป็น 115.6 มก./ดล. และ HbA1C ลดลงจาก 7.7% เป็น 5.1% (p<.001)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการมีประสิทธิผลในการพัฒนาความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และผลลัพธ์ทางคลินิกในสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> ควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้เป็นแนวทางมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ขยายผลไปยังสถานพยาบาลใกล้เคียง และควรทำการศึกษาเพิ่มเติมโดยมีกลุ่มควบคุมเพื่อยืนยันประสิทธิผลของโปรแกรม</p>
สุพิชญ์นันท์ เมืองเหลา
สุนันทา ชิโนะฮาระ
จิตตานันท์ ศรีสุวรรณ์
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
7 3
53
67
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในเขตความรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/272239
<p><strong>บทนำ</strong>:</p> <p>กระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายให้ประชาชนสุขภาพดี ดังนั้นบุคคลจำเป็นต้องมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องจึงจะนำไปสู่สุขภาพดี ซึ่งพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพเป็นกิจกรรมที่กระทำเพื่อช่วยเพิ่มระดับความผาสุกและบรรลุเป้าหมายในชีวิตของบุคคล ชุมชนและสังคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong></p> <p>เพื่อศึกษาระดับปัจจัยส่งเสริมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมสุขภาพของของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของ (อสม.) ในเขตความรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (<strong>descriptive research) </strong>ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ อสม. ในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน <strong>124 </strong>คน </p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong></p> <p>ปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ส่วนมากเป็นเพศหญิง ร้อยละ <strong>85.5 </strong>อายุ <strong>60-69 </strong>ปี ร้อยละ <strong>37.90 </strong>การศึกษาระดับประถม ร้อยละ <strong>53.20 </strong>สถานภาพสมรส ร้อยละ <strong>53.20 </strong>มีระยะเวลาการเป็น อสม. <strong>11-20 </strong>ปี ร้อยละ <strong>26.61 </strong>มีโรคประจำตัวร้อยละ <strong>75</strong> ปัจจัยการส่งเสริมสุขภาพอยู่ในระดับมาก พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p><strong>สรุปผล</strong>:</p> <p>ปัจจัยที่มีอิทธิพลได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล คือ อายุ การศึกษา ระยะเวลาการเป็น อสม. และโรคประจำตัว ปัจจัยส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถแห่งตน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>:</p> <p>เปิดโอกาสให้ อสม. พูดคุยแสดงความคิดเห็นเพื่อค้นหาอุปสรรค เสริมสร้างการรับรู้ความประโยชน์ ความสามารถของตน</p> <p> </p>
ณัฐปภัสร์ เจียรภักษ์ดี
นันชพัฒน์ แก้วทอง
พรพรรณ จิตบรรจง
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-31
2024-12-31
7 3
68
82