วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ <p>วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา<br />ISSN 2630-0214 E-ISSN 2821-9899<br />กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม–สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม<br />นโยบายของการตีพิมพ์ วารสารมีนโยบายตีพิมพ์รายงานวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Articles) ในด้านการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา</p> <p>นโยบายการประเมินบทความ<br />บทความที่จะตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนหรือไม่อยู่ในระหว่างส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น วารสารใช้ระบบการประเมินแบบ Double-blinded peer review บทความวิจัย (Research article) <br />และบทความวิชาการ (Review article) ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <br />และมีความเชี่ยวชาญตรงสาขากับบทความ อย่างน้อย 3 ท่าน ผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ จะถูกรวบรวมโดยบรรณาธิการเพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไข ผู้เขียนบทความต้องแก้ไขบทความจนเป็นที่พึงพอใจของผู้ทรงคุณวุฒิและบรรณาธิการ<br />บทความภาษาไทยที่ได้รับการตอบรับ ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เป็นเงิน 3,500 บาท</p> วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี th-TH วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา 2630-0214 บทบาทพยาบาลในการจัดการอาการอ่อนล้าในเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/266009 <p>ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากอาการที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายด้านทั้งที่เกิดขึ้นจากตัวโรคและจากอาการข้างเคียงจากการรักษา อาการอ่อนล้าเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต บทความนี้นำเสนอ ความหมาย ทฤษฏีอาการไม่พึงประสงค์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดอาการอ่อนล้าและผลกระทบ เพื่อเสนอแนวคิดการจัดการอาการ และบทบาทพยาบาลในการจัดการอาการอ่อนล้าในเด็กโรคมะเร็ง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดตลอดจนสิ้นสุดการรักษา</p> พัชรี ชูกันหอม สุวรรณี แสงอาทิตย์ อัจฉราวดี ศรียะศักดิ์ Copyright (c) 1970 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 69 81 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสุขภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/266003 <p>โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของบุคคลที่มีระยะเวลาการดำเนินโรคยาวนานและรักษาไม่หายขาด เมื่อประชาชนเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมและค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพของประเทศชาติ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคือการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสุขภาพเป็นกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการพยาบาลในด้านการให้ข้อมูลกับผู้ป่วย การติดตามและกระตุ้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ เพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างบุคคลากรสุขภาพกับผู้ป่วยให้มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคได้ด้วยตนเองและมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการดูแลตนเองได้และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ทางการพยาบาลจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องการการพัฒนา โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสุขภาพซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์ด้านสุขภาพดีขึ้น ดังนั้นเทคโนโลยีเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพบริการด้านสุขภาพ โดยเลือกใช้วิธีการทางเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสอดคล้องกับบริบทในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะตามลักษณะของโรคและมีกระบวนการจัดการข้อมูลของผู้ป่วยที่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย</p> จิราพร สุวะมาตย์ สิปป์ธวัฒน์ มณีวรรณ จเร ศรีมีชัย Copyright (c) 1970 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 82 93 ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาต้านฮอร์โมนชนิดกินของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/264663 <p>งานวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ยาต้านฮอร์โมนชนิดกิน และปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาต้านฮอร์โมนชนิดกินของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมทุกระยะทั้งเพศชายและหญิง อายุ 18 ปี ขึ้นไป รักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนชนิดกิน คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 50 คน เก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้แก่ 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 2)แบบสอบถามแรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว 3) แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของอาการ 4) แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของโรค 5) แบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์การรักษา 6) แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้ยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมมีพฤติกรรมการใช้ยาต้านฮอร์โมนชนิดกินอยู่ในระดับไม่ดี ( =1.99,<em>SD</em> =0.71) และปัจจัยด้านการรับรู้ประโยชน์ของการรักษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้ยาต้านฮอร์โมนชนิดกินของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>r</em>= 0.69, <em>p</em>&lt;.05) </p> <p>This research and development aimed to develop an oral care program. by applying Orem’s self-care theory on providing knowledge, skill training, encourage patients to oral self ’s care .The samples were oral cancer patients who received surgical in Udon Thani Cancer Hospital, 25 cases Tools used oral care program. oral health assessment from and oral care agency. The data was collected from February to May 2023. The data was analyzed with frequency statistics. Percentage and content Analysis method. <br />The result showed the programs reduce oral health problem. Patients had higher self-knowledge and ability to take care of their oral cavity.<br />Keywords: oral cancer patients , oral care program, oral health</p> <p> </p> <p> </p> ์์ชมภูนุช ผลไสว พัชรินทร์ น้อยลา ปิยะนุช พรหมสาขา ณ สกลนคร Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 1 11 การพัฒนาโปรแกรมการดูแลช่องปากสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่ได้รับการผ่าตัด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/264671 <p>บทคัดย่อ<br>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการดูแลช่องปาก โดยประยุกต์ทฤษฎีของโอเร็ม เน้นการให้ความรู้ ฝึกทักษะ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยดูแลช่องปากด้วยตนเอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่ได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีจำนวน 25 ราย เครื่องมือที่ใช้ในประกอบด้วย โปรแกรมการดูแลช่องปาก แบบประเมินสุขภาพช่องปากและความสามารถการดูแลช่องปาก ดำเนินการเก็บข้อมูลช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละและวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา<br>ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมการดูแลช่องปากช่วยให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น ผู้ป่วยมีความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเองสูงขึ้นและลดการติดเชื้อแผลผ่าตัดในช่องปาก<br>คำสำคัญ: ผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก โปรแกรมการดูแลช่องปาก สุขภาพช่องปาก</p> หนึ่งฤทัย แรงน้อย บุษบา สมใจวงษ์ Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 12 22 ต้นทุนกิจกรรมการส่องกล้องโพรงจมูก เพื่อประเมินผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/266593 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนทางตรง ทางอ้อม ต้นทุนรวม และ ต้นทุนต่อหน่วยของงานบริการการส่องกล้องโพรงจมูกในผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกเพื่อประเมินสภาวะของมะเร็งโพรงจมูก รวมถึงเปรียบเทียบเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยกับค่าบริการที่เรียกเก็บตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย ใช้วิธีวิเคราะห์ต้นทุนตามแบบวิธีการวิเคราะห์ต้นทุนกิจกรรม เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 ตัวอย่างที่ศึกษาคือประชากรทั้งหมด ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งให้ข้อมูลการทำกิจกรรมจำนวน 9 คน และผู้ป่วยจำนวน 103 คนที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้าที่กำหนดคือ ผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกอายุ 18 ปีขึ้นไปที่นัดเข้ามารับการส่องกล้องโพรงจมูกเพื่อประเมินรอยโรค มีผลชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็นมะเร็งชนิดเยื่อบุ มะเร็งเม็ดสี โดยไม่รวมผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีข้อห้ามในการส่องกล้องโพรงจมูก เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยพจนานุกรมกิจกรรม แบบบันทึกเวลา แบบบันทึกข้อมูลต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าลงทุน และแบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย โดยมีค่าความตรงของแบบบันทึกเท่ากับ 0.97 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนทางตรงของกิจกรรมการส่องกล้องโพรงจมูกคือ 41,774.79 บาท เป็นค่าแรงบุคลากร 25,671.30 บาท ค่าวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ 11,795.70 บาท และค่าเสื่อมครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 4,307.79 บาท ส่วนต้นทุนทางอ้อมคือ 20,867.15 บาท เป็นค่าเสื่อมอาคาร 12,618.04 บาท ค่าสาธารณูปโภค 7,666.13 บาท และค่าเสื่อมครุภัณฑ์สำนักงาน 582.98 บาท ต้นทุนรวมของกิจกรรมบริการการส่องกล้องโพรงจมูกคือ 62,641.93 บาท อัตราส่วนต้นทุนค่าแรง : ต้นทุนค่าวัสดุ : ต้นทุนค่าลงทุน เท่ากับ 40.98 : 18.83 : 40.19 ต้นทุนต่อหน่วยของกิจกรรมการส่องกล้องโพรงจมูกคือ 608.17 บาท และ (3) รายได้ที่โรงพยาบาลสามารถเรียกเก็บจากแต่ละกองทุนตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วยในราคา 800 บาทต่อราย เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนต่อหน่วยของกิจกรรมการส่องกล้องโพรงจมูกที่คำนวนได้จากการศึกษานื้ คือ 608.17 บาท เป็นจำนวนเงินที่มีความเหมาะสมสำหรับโรงพยาบาลเพื่อใช้ในการจัดบริการดังกล่าว</p> สิทธิ เชาวน์ชื่น พรทิพย์ กีระพงษ์ อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 23 31 การศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิต และป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน เขตสุขภาพที่ 8 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/266314 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี <br>และประเมินรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ต่อดัชนีความสุขในผู้สูงอายุติดบ้านและความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง มีกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน 222 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เชิงคุณภาพ คือ ภาคีเครือข่ายสุขภาพ 204 คน รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ระยะที่ 1 ผู้สูงอายุติดบ้านส่วนใหญ่พบปัญหาร่างกายไม่แข็งแรง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต และควรเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่สอดคล้องกับบริบทชุมชน ระยะที่ 2 ปฏิบัติการการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพจิตผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ดำเนินการคิดและขับเคลื่อนให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน เกิดเป็นรูปแบบ<br>“จิตสดใส หัวใจ 4 ดวง” ระยะที่ 3 หลังใช้รูปแบบการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพจิตผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน <br>เขตสุขภาพที่ 8 พบว่า สุขภาพจิตของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นหลังการเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br>(p-value &lt;0.05) และผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจหลังเข้าร่วมโครงการในระดับดีและดีมาก</p> ชญาน์นันท์ ศรีหาบุตร วีระพงษ์ เรียบพร อารยา ศรีสาพันธ์ น้ำทิพย์ รัตนนิมิตร เกศรา เชิงค้า สุพัฒชัย ปราบศัตรู ณัฏฐนันท์ โปธิ Copyright (c) 1970 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 32 44 การประเมินผลนวัตกรรมการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคไข้เลือดออก ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/265839 <p>การศึกษานี้เพื่อประเมินผลนวัตกรรมการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคไข้เลือดออกในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ดำเนินการ 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 พัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคไข้เลือดออกให้เหมาะกับบริบทของ รพ.สต. ขั้นตอนที่ 2 นำนวัตกรรมฯไปใช้ ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเด็กที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก 35 คน และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ในจังหวัดมหาสารคาม 15 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน- มิถุนายน 2566 เครื่องมือวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยเด็กของเจ้าหน้าที่ แบบประเมินความเป็นไปได้และความพึงพอใจของการนำนวัตกรรมไปใช้</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าได้นวัตกรรม 1) แผ่นอ่านผล Tourniquet test 2) สื่อความรู้เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก 3) แผ่นพับโรคไข้เลือดออก 4) แบบบันทึกของเจ้าหน้าที่ เมื่อนำนวัตกรรมไปใช้ อาการที่พบมากคือ มีไข้ หน้าแดง ปวดศีรษะ ร้อยละ 61.82 การตรวจ Tourniquet test วันแรกของการมีไข้ พบผลเป็นบวกร้อยละ 20 มีอาการขาดน้ำร้อยละ 58.33 จำเป็นต้องให้ดื่ม ORS เพื่อป้องกันขาดน้ำร้อยละ 40 ดื่มORS ได้ตามกำหนดร้อยละ 100 จำเป็นต้องส่งตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลร้อยละ71.43 การวินิจฉัยโรคสอดคล้องกับโรงพยาบาลร้อยละ 100 ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลร้อยละ 100 ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนการประเมินความเป็นไปได้และความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.60 SD = 0.91และ x̅ = 4.70 SD = 0.72)</p> วิราวรรณ์ คชสาร อัจฉรา มีนาสันติรักษ์ ประเสริฐ ไหลหาโคตร์ ยลธิดา หีบแก้ว Copyright (c) 1970 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 45 57 ผลของการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการให้คำปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/266203 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม ทดลองใช้ และประเมินหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการให้คำปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดในวัยรุ่น สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู โดยใช้กรอบแนวคิดของทาบา 1) การศึกษาสภาพและความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล จำนวน 15 คน 2) การกำหนดจุดมุ่งหมายของการฝึกอบรมหลังจากวิเคราะห์ความต้องการ 3) การเลือกเนื้อหาสาระ 4) การจัดรวบรวมเนื้อหา 5) การคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร 6) การจัดประสบการณ์ และ 7) การกำหนดการประเมินผล</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการให้คำปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดในวัยรุ่นสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู ประกอบด้วย หลักการและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร โครงสร้างเนื้อหา จำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ เครื่องมือวัดและประเมินผล โดยมีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรก่อนนำไปใช้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และหลังการทดลองใช้หลักสูตรกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน พบว่า 1) ค่าคะแนนความรู้หลังผ่านหลักสูตรฝึกอบรม ( = 16.17, SD = 1.44) สูงกว่าก่อนผ่านหลักสูตรฝึกอบรม (= 9.90, SD = 1.54) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 2) ค่าคะแนนเฉลี่ยความสามารถหลังผ่านหลักสูตรฝึกอบรม ( = 40.36, SD = 2.35) สูงกว่าก่อนการฝึกอบรม ( = 15.60, SD = 3.47) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p> พิมพ์ณัฐชา สุไลมาน สุพรรษา สุวรรณชาตรี ปาลิดา สายรัตทอง พัฒนพิชัย ญาดา ชีระจินต์ Copyright (c) 1970 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-30 2023-12-30 6 3 58 68