วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ
<p>วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา<br />ISSN 2630-0214 E-ISSN 2821-9899<br />กำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม–สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม<br />นโยบายของการตีพิมพ์ วารสารมีนโยบายตีพิมพ์รายงานวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Articles) ในด้านการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา</p> <p>นโยบายการประเมินบทความ<br />บทความที่จะตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนหรือไม่อยู่ในระหว่างส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น วารสารใช้ระบบการประเมินแบบ Double-blinded peer review บทความวิจัย (Research article) <br />และบทความวิชาการ (Review article) ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <br />และมีความเชี่ยวชาญตรงสาขากับบทความ อย่างน้อย 3 ท่าน ผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ จะถูกรวบรวมโดยบรรณาธิการเพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไข ผู้เขียนบทความต้องแก้ไขบทความจนเป็นที่พึงพอใจของผู้ทรงคุณวุฒิและบรรณาธิการ<br />บทความภาษาไทยที่ได้รับการตอบรับ ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เป็นเงิน 3,500 บาท</p>
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี
th-TH
วารสารการพยาบาล สุขภาพ และการศึกษา
2630-0214
-
การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์การบริหารยาเคมีบำบัดกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะภูมิไวเกิน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/268192
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ส่งผลให้โรครุนแรงขึ้น หากนำความสะดวกทางเทคโนโลยีมาใช้มีแอปพลิเคชันที่สะดวกต่อการดูแลตนเอง จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้มากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: เพื่อพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: การวิจัยและพัฒนาดำเนินการ 2 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การสร้างและพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นโดยรวบรวมข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเบาหวาน พยาบาล ผู้ป่วยและญาติที่ดูแล นำมาสร้างเว็บแอพพลิเคชั่นแล้วเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่นพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ ขั้นที่ 2 นำเว็บแอพพลิเคชั่นไปใช้และประเมินผล ทดลองใช้กับผู้ป่วยเบาหวานในจังหวัดมหาสารคาม 12 คน พยาบาลผู้รับผิดชอบดูแลผู้ป่วยใน รพ.สต 4 คน เครื่องมือรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์และแบบประเมินความพึงพอใจต่อเว็บแอพพลิเคชั่น วิเคราะห์โดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: 1) ได้เว็บแอพพลิเคชั่นในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีฟังก์ชันการทำงาน 2 ส่วน สำหรับพยาบาลและสำหรับผู้ป่วย 2) การประเมินคุณภาพด้านความสะดวกของผู้ป่วยในการดูผลจากเว็บแอพพลิเคชั่นพบว่าดีมาก 3) การประเมินความพึงพอใจต่อเว็บแอพพลิเคชั่นพบว่าพยาบาลและผู้ป่วยมีความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด และ มาก (Mean = 4.52, SD.= 0.56 และ Mean = 4.39, SD.= 0.48 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: เว็บแอพพลิเคชั่นนี้มีความเหมาะสมที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: การใช้เว็บแอพพลิเคชั่นนี้มีข้อมูลช่วยปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ทำกิจกรรม ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตนเอง นำไปสู่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น </p>
ทรรศนีย์ นครชัย
สุเมธา ขวัญส่ง
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-28
2024-08-28
7 2
1
13
-
การพัฒนาการละเล่นพื้นบ้านไทย “จิกเส้น” สู่กีฬานันทนาการสำหรับเยาวชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/268301
<p>การออกกำลังกายและเล่นกีฬาที่เหมาะสมสามารถช่วยพัฒนาสมรรถภาพทางกายของเด็กและเยาวชนได้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนากีฬาจิกเส้นเพื่อนันทนาการสำหรับเยาวชน อายุระหว่าง 15-24 ปี โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนา ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นเยาวชนสุขภาพดีอายุระหว่าง 15-24 ปี จำนวน 50 คน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและพลศึกษา จำนวน 9 คน สำหรับประเมินความเป็นไปได้และความตรงเฉพาะหน้าของกีฬาต้นแบบที่คณะผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และ 2) ขั้นตอนการประเมินคุณภาพ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาและผู้ร่วมชมการแข่งขันกีฬาจิกเส้น จำนวน 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ได้รูปแบบกีฬาจิกเส้นเพื่อนันทนาการสำหรับเยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปี จำนวน 1 ต้นแบบ โดยมีค่าความตรงเฉพาะหน้า เท่ากับ 0.91 และ 2) กีฬาจิกเส้นต้นแบบที่คณะผู้วิจัยพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.66 ± 0.52 คะแนน และเมื่อพิจารณาในประเด็นการพัฒนาสมรรถภาพทางกาย พบว่า กีฬาจิกเส้นต้นแบบช่วยพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้านการประสานสัมพันธ์ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อสูงที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.78 ± 0.42 คะแนน สรุปได้ว่ากีฬาจิกเส้นต้นแบบ ที่คณะผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีอุปกรณ์การเล่น สนาม กฎ และกติกา ในการเล่นที่เหมาะสม สามารถใช้จัดการแข่งขันในระดับเยาวชน และสามารถใช้เป็นกิจกรรมนันทนาการเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายสำหรับเยาวชนอายุ 15-24 ปี ได้</p>
เตชภณ ทองเติม
เมธาวุฒิ พงษ์ธนู
ขนิษฐา ฉิมพาลี
ธรรญญพร เพ็งสีแสง
จีรนันท์ แก้วมา
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-30
2024-08-30
7 2
14
28
-
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/268852
<p>บทนำ: การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสามารถเพิ่มความเสี่ยงให้แก่เกษตรกร ในการรับสัมผัสสารเคมีและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ<br />วัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อศึกษาภาวะสุขภาพและปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช<br />ระเบียบวิธีวิจัย: การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จำนวน 130 คน โดยใช้สถิติถดถอยโลจิสติกในการวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลด้านการทำงาน ความรู้ พฤติกรรมความปลอดภัย และภาวะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช <br />ผลการวิจัย: พบว่า พนักงานเกษตรกรผู้ปลูกข้าวส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 78.5 ความชุกของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นภายหลังการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ร้อยละ 25.4 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการปลูกข้าว 10 – 30 ปี คิดเป็นร้อยละ 65.4 ประสบการณ์ปลูกข้าวเฉลี่ย 29.74 ปี (±9.164) ปลูกข้าวนาปรัง ร้อยละ 85.4 ส่วนใหญ่มีความรู้อยู่ในระดับมากคิดเป็นร้อยละ 67.7 และมีพฤติกรรมความปลอดภัยในระดับดี ร้อยละ 60 จากการศึกษาพบว่า ประสบการณ์ในการปลูกข้าว (P-value <0.001) ลักษณะการปลูกข้าว (P-value = 0.003) พฤติกรรมความปลอดภัย (P-value <0.001) มีผลต่อภาวะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช<br />สรุปผล: ประสบการณ์ในการปลูกข้าว ลักษณะการปลูกข้าว และพฤติกรรมความปลอดภัย มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช<br />ข้อเสนอแนะ: ควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้งานสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยเสริมสร้างจิตสำนึกและพฤติกรรมความปลอดภัยอย่างเหมาะสม</p>
จินต์จุฑา ขำทอง
ขนิษฐา นิลาลาด
นันท์นภัส มาตราช
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-30
2024-08-30
7 2
29
41
-
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้เรื่องภาวะโลหิตจางร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัว แบบออนไลน์ต่อการรับรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจาง พฤติกรรมการรับประทานอาหารและ ยาเสริมธาตุเหล็กของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นในโรงพยาบาลชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/270226
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์เป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น พฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเป็นปัจจัยเกี่ยวข้องที่สำคัญเนื่องจากสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นมีความเฉพาะด้านพฤติกรรม การบริโภค การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจร่วมกับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบออนไลน์ สามารถส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพให้บุคคลได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้เรื่องภาวะโลหิตจางร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวแบบออนไลน์ต่อการรับรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจาง พฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็กของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบกึ่งทดลองรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม เป็นกลุ่มทดลอง 24 ราย และกลุ่มควบคุม 25 ราย วัดผลก่อนและหลังการศึกษา เครื่องมือทดลองพัฒนาขึ้นภายใต้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามความรู้ที่มีคุณภาพ (KR-20 เท่ากับ 0.73) แบบสอบถามพฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก (ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.71 ) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบความแตกต่าง</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้ พฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้าร่วมการศึกษาและมีการเปลี่ยนแปลงค่าคะแนนภายหลังการศึกษาสูงกว่าสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการให้ความรู้เรื่องภาวะโลหิตจางร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวแบบออนไลน์ ช่วยส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์ พฤติกรรมการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็กในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มตัวอย่างได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>สามารถนำรูปแบบการดูแลจากการศึกษาไปประยุกต์ใช้ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ในคลินิกได้</p> <p><strong> คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น, ภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์, การสนับสนุนของครอบครัว</p>
มุก อิงคประเสริฐ
สมสกูล นีละสมิต
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-30
2024-08-30
7 2
42
54
-
ผลของโปรแกรมให้ความรู้อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพต่อความรู้และทัศนคติ ในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/270210
<p style="font-weight: 400;"><strong>บทนำ:</strong> สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การป้องกันการเริ่มต้นของการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการควบคุมการบริโภคยาสูบ รูปแบบการจัดกิจกรรมที่ผ่านมายังขาดความน่าสนใจทำให้ได้รับความรู้ไม่เต็มที่และไม่เหมาะสมกับบริบทของวัยรุ่นทำให้ไม่สามารถลดจำนวนผู้สูบหน้าใหม่ลงได้</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมให้ความรู้อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพต่อความรู้และทัศนคติในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง 120 คน ได้รับการสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 60 คน กลุ่มควบคุมได้รับการเรียนการสอนตามปกติที่ทางโรงเรียนจัดให้ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับการเรียนการสอนตามปกติที่ทางโรงเรียนจัดให้ร่วมกับการได้รับความรู้อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพเพื่อส่งเสริมความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยแบบประเมินความรู้และทัศนคติในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีค่าครอนบาซแอลฟ่าเท่ากับ 0.92 (n = 30) ก่อนการทดลอง และ 0.86 (n = 120) หลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติที (Independent t-test)</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่า ก่อนการทดลองทั้งสองกลุ่มมีคะแนนความรู้และทัศนคติในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในระดับปานกลาง ภายหลังการได้รับความรู้อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยผลต่างของคะแนนความรู้และทัศนคติในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ระหว่างก่อนและหลังการทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมให้ความรู้อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพในการป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้านี้มีประสิทธิผลในการทดสอบเบื้องต้น</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ต่อไป และควรศึกษาเพิ่มเติมในระยะยาว เพื่อติดตามผลว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ทัศนคติและความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่</p>
สุกัญญา สุรังษี
บุศยรินทร์ เอกมั่นเศรษฐ์
ปิยธิดา โพธิ์ดง
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-31
2024-08-31
7 2
55
66
-
ผลของการใช้โปรแกรมเมตาเวิร์สเป็นฐานการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ และการรับรู้พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตอนปลาย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/269158
<p>การศึกษาวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่มทดสอบหลังทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมเมตาเวิร์สเป็นฐานการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ และการรับรู้พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นตอนปลาย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 อายุ 18 - 21 ปี 50 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 25 คน และ กลุ่มทดลอง 25 คน เครื่องมือทดลอง คือโปรแกรมเมตาเวิร์สเป็นฐานการเรียนรู้ที่ใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ กับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ค่า IOC เท่ากับ .66 - 1.0 เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกัน<br>การตั้งครรภ์ และแบบวัดการรับรู้พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .83 และ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของสองกลุ่มด้วยสถิติ independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของความรอบรู้ทางสุขภาพด้านความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพเพื่อป้องกัน การตั้งครรภ์ของกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ย 9.84 (SD 1.34) สูงมากกว่ากลุ่มทดลอง 5.72 (SD = 1.67) อย่างมีนัยยสำคัญทางสถิติ (P< .000) ส่วนค่าเฉลี่ยด้านอื่นๆไม่แตกต่าง ส่วนการรับรู้พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ พบว่ากลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย 67.36 (SD = 3.78) สูงมากกว่ากลุ่มควบคุม 62.40 (SD = 10.77) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< .05) การใช้โปรแกรมเมตาเวิร์สเป็นฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ตอนปลายสามารถส่งเสริมการรับรู้พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ได้</p>
ณัชพล บุญแต้ม
จารุภา งามฉวี
ณัฏฐณิดา ฉ่ำพงษ์
ทิพาภัสสร์ สายทอง
ธันยพร หมู่พยัคฆ์
นันทกา โสดา
นิรัตศัย รักษ์สิงห์
นิสา ช้างเปรม
บุญสืบ โสโสม
เกรียงไกร หร่ายอุดทา
ชุติมา บูรณธนิต
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-31
2024-08-31
7 2
67
80
-
ทีมสุขภาพในห้องผ่าตัดเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ผ่าตัดคลอดลูกทางหน้าท้อง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/NHEJ/article/view/268624
<p>บทนำ: ปัจจุบันการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว 6 เดือน ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยเฉพาะในมารดาที่ได้รับการผ่าตัดคลอดเนื่องจากมีอาการไม่สุขสบาย อ่อนเพลียจากการเสียเลือดมาก ต้องการการพักฟื้นมากกว่าการคลอดปกติ ทำให้การเริ่มให้ลูกดูดนมแม่ล่าช้า จึงขัดขวางกระบวนการสร้างและหลั่งน้ำนมของมารดา ทำให้มีน้ำนมน้อย มารดาเกิดความวิตกกังวลว่าทารกจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงเสริมนมผสมให้กับทารก ทำให้ทารกติดกับรสชาติของนมผสม เคยชินกับการได้รับน้ำนมที่ไหลเร็ว คุ้นชินกับการดูดนมจากขวดทำให้ดูดนมแม่ได้ไม่ถูกต้อง ผลที่ตามมาคือ ทารกมักปฏิเสธการดูดนมจากเต้า ดังนั้น การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากทีมสหสาขาวิชาชีพตั้งแต่ในห้องผ่าตัด โดยทุกคนมีบทบาทและหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมให้มารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องสามารถให้นมบุตรได้เร็วที่สุด เริ่มตั้งแต่การให้ความรู้เกี่ยวกับการได้รับยาระงับความรู้สึกต่อการให้นมบุตร การประเมินความพร้อมของมารดาและทารกในห้องผ่าตัด การส่งเสริมให้ทารกดูดนมมารดาภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบความสำเร็จ<br />วัตถุประสงค์: เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ<br />ประเด็นสำคัญ: มารดาที่ผ่าตัดคลอดมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่น้อยกว่ามารดาที่คลอดทางช่องคลอด<br />สรุป: การส่งเสริมให้มารดาที่ผ่าตัดคลอดสามารถให้นมบุตรได้เร็วต้องอาศัยความร่วมมือจาก<br />ทีมสหสาขาวิชาชีพในห้องผ่าตัด ซึ่งประกอบไปด้วย วิสัญญีแพทย์ สูตินรีแพทย์ กุมารแพทย์ และพยาบาลประจำห้องผ่าตัด<br />ข้อเสนอแนะ: หากมีการร่วมกันทำงานเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพในห้องผ่าตัด จะช่วยเหลือและสนับสนุนให้มารดาที่ผ่าตัดคลอดสามารถเริ่มเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้เร็ว และประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในระยะยาวต่อไป</p>
ภัททิยา ชัยนาคิน
ปรมาภรณ์ วชิรวณิชกิจ
ศศิปรีญา ไชโย
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-31
2024-08-31
7 2
81
90