https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/issue/feed
วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2024-12-30T00:03:57+07:00
Assoc. Prof. Dr.Pornchai Jullamate
jnurse@nurse.buu.ac.th
Open Journal Systems
<p>คณะพยาบาลศาสตร์ เป็นสถาบันผลิตบุคลากรพยาบาลทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความรู้ทางการพยาบาลและเผยแพร่สู่สังคมวิชาชีพการพยาบาล จึงได้จัดทำวารสารคณะพยาบาลศาสตร์เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่วิชาชีพการพยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ โดยวารสารฉบับแรกได้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2535 มีกำหนดออกปีละ ๓ ฉบับ และได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอดจนวารสารของคณะพยาบาลศาสตร์มีคุณภาพที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการระดับชาติ ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงภาษาไทยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและในโอกาสที่คณะฯ ครบรอบ 25 ปี งานวารสารจึงได้เพิ่มกำหนดการออกเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2550 เป็นต้น</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/271212
ผลของการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อความรู้และทักษะ ในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉินของนักศึกษาพยาบาล
2024-10-13T16:49:38+07:00
จินตภัค ประกอบ
chinta314@gmail.com
วโรดม เสมอเชื้อ
warodom_s@payap.ac.th
เจษฎา เจริญสิริพิศาล
่jettortor@gmail.com
ปรมาภรณ์ นิรมล
param_a@yahoo.com
จิรณัฐ ชัยชนะ
j-chaichana@hotmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มประเมินผลก่อน และหลังการทดลอง ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อความรู้ และทักษะในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉินของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 3 จำนวน 43 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) สถานการณ์จำลองเสมือนจริงสำหรับประเมินทักษะ และสำหรับสอนการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉินที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะก่อนนำไปใช้จริง 2) หุ่นผู้ป่วยเสมือนจริงสมรรถนะสูง และ 3) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง แบบประเมินความรู้ และแบบประเมินทักษะในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยแบบประเมินความรู้ในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉิน มีค่าความตรงของเนื้อหา เท่ากับ 1 และ ค่าความสอดคล้องภายในเท่ากับ .70 และแบบประเมินทักษะในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉิน มีค่าความตรงของเนื้อหา เท่ากับ .98 และ ค่าความสอดคล้องภายในเท่ากับ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Wilcoxon matched pairs sign-rank test และ Mann-Whitney U testผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉิน กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้หลังการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงฯ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p </em>> .05 อย่างไรก็ตามกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้หลังได้รับการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงฯ มากกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p </em>< .05 และคะแนนทักษะในการคัดแยกประเภทผู้ป่วยฉุกเฉินมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em> < .01 ผลการวิจัยนี้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการส่งเสริมการจัดการเรียนโดยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงร่วมกับการจัดการเรียนการสอนตามปกติสำหรับนักศึกษาพยาบาล</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270745
ผลของการใช้การจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ต่อการตัดสินทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล
2024-11-05T14:08:36+07:00
ละมัด เลิศล้ำ
Lamad@bcnsprnw.ac.th
ชนิดา ธนสารสุธี
chanida@bcnsprnw.ac.th
ทิพวัลย์ ธีรสิริโรจน์
Tippawan@bcnsprnw.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อการตัดสินทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์ ปีการศึกษา 2566 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่ 2 จำนวน 146 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือน ตุลาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 ด้วยแบบวัดการตัดสินทางคลินิกของลาซาเตอร์ ฉบับภาษาไทย ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าแบบคอร์นบาร์ค เท่ากับ 0.78 โดยนักศึกษาทำแบบประเมินด้วยตนเองก่อนเริ่มสถานการณ์จำลองเสมือนจริงกรณีแรกและเมื่อสิ้นสุดกรณีสุดท้าย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยสถิติ Paired T-Test ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนการตัดสินทางคลินิกหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (p<.001)</p> <p> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเรียนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักศึกษาและสามารถพัฒนาทักษะการตัดสินทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาลได้ จึงควรมีการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงในทุกรายวิชาทางการพยาบาลเพื่อพัฒนาทักษะการตัดสินทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/268104
การพัฒนาการมีส่วนร่วมต่องานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหนองพะวา ตำบลบางบุตร อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
2024-06-07T17:37:23+07:00
ปัญจ์ปพัชรภร บุญพร้อม
lloo_ve@hotmail.com
พิมพ์นภัส ภูมิกิตติพิชญ์
pimnapat_i@rmutt.ac.th
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมและปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ประชากรที่ศึกษาคือ อสม.ในหมู่บ้านหนองพะวา อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง จำนวน 114 คน คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 85 คนเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและไคสแควร์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า อสม. มีความรู้ความเข้าใจในการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนอยู่ในระดับปานกลางมีคะแนนเฉลี่ย 14.22 คะแนน ระดับการมีส่วนร่วมของ อสม.ในงานสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุทุกด้านมีค่าเฉลี่ย 4.04 (SD= 0.56) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การมีส่วนร่วมในการเสียสละพัฒนาและปฏิบัติมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.16, SD = 0.42) รองลงมา คือการมีส่วนร่วมในการประเมินผล (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.04, SD = 0.54) ปัจจัยด้านอายุ(r = -0.220 p < .05) และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน (r = -0.218, p < .05) มีความสัมพันธ์ทางลบกับระดับการมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ แนวทางในการสร้างเสริมให้ อสม. มีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการระบุปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและจัดกิจกรรม มีการมอบหมายงานให้สอดคล้องกับความรู้ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล รวมทั้งมีการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานระหว่าง อสม.ด้วยกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และทำความเข้าใจ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/271106
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมแรงจูงใจในการป้องกันโรคต่อการรับรู้การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในสตรีที่ีมารับการตรวจส่องกล้องปากมดลูก
2024-11-18T17:28:14+07:00
พิชชานันท์ สุริยรัตน์
spooky0313@gmail.com
สิริวรรณ ธัญญผล
thanyaphon1@gmail.com
ฉัตรตยา สุวรรณกาศ
csuwannakat2517@gmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมแรงจูงใจในการป้องกันโรคต่อการรับรู้การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ในสตรีที่มารับการตรวจส่องกล้องปากมดลูก กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ อายุ 30-60 ปี ที่มารับการตรวจส่องกล้องที่ห้องตรวจสูติ-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลแพร่ ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม 2566 จำนวน 80 ราย คัดเลือกตามคุณสมบัติที่กำหนด สุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 40 รายได้รับโปรแกรมการส่งเสริมแรงจูงใจในการป้องกันโรคประกอบด้วยวิดีทัศน์เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก การส่องกล้องตรวจปากมดลูก แผ่นพับเกี่ยวกับการส่องกล้องปากมดลูกและการปฏิบัติตัว และกลุ่มควบคุมจำนวน 40 รายได้รับการพยาบาลตามปกติ รวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามการรับรู้การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Rank test และ Mann Whitney U test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้การป้องกันโรคเพิ่มขึ้นจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความรุนแรงของโรคมะเร็งปากมดลูกและโอกาสเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) แต่ทั้งสองกลุ่มมีคะแนนความเชื่อมั่นผลลัพธ์การปฏิบัติตัวเพื่อตรวจส่องกล้องปากมดลูกและคะแนนการรับรู้ความสามารถของตนในการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคไม่ต่างกัน (p>.05) ทั้งนี้ ทั้งสองกลุ่มยินยอมเข้ารับการตรวจส่องกล้องปากมดลูกทุกราย (ร้อยละ 100)</p> <p> จากผลการศึกษาครั้งนี้ มีข้อเสนอว่าพยาบาลสามารถนำโปรแกรมการส่งเสริมแรงจูงใจในการป้องกันโรคโดยใช้สื่อวิดีทัศน์และแผ่นพับนี้ ไปใช้ส่งเสริมการรับรู้ความรุนแรงของโรคมะเร็งปากมดลูก โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคแก่สตรีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สตรียอมรับการตรวจส่องกล้องปากมดลูกเพื่อตรวจวินิจฉัยรอยโรคมะเร็งต่อไป</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/271013
ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ต่อพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพทางกาย ของพยาบาลวิชาชีพที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล
2024-10-16T15:17:39+07:00
อภันตรี ประยูรวงษ์
apuntree2511@gmail.com
วัชรวีร์ วชิรพันธ์ธรรม
wachiraphantham1@gmail.com
ปราณี ผลมานะ
aor.n.occ.518@gmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อต่อพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพทางกายของพยาบาลวิชาชีพที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล จำนวน 82 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แนวทางการแก้ไขอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพตามระเบียบปฏิบัติเลขที่ WI-OCC–002 คู่มือการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แผนการนิเทศทางการพยาบาล เรื่อง แนวทางการแก้ไขอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ แบบสอบถามความรู้ด้านการยศาสตร์ พฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และแบบบันทึกผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความรู้ด้านการยศาสตร์ และพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ เท่ากับ 0.79 และ 0.96 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบผลก่อน-หลังการทดลองโดยใช้สถิติ Paired t-test </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังใช้โปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ด้านการยศาสตร์ พฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สูงกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 22.30, p-value < 0.001; t = 17.89, p-value < 0.001; t = 10.01, p-value < 0.001; t = 10.40, p-value < 0.001) และค่าเฉลี่ยคะแนนอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดลงกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -17.21, p-value < 0.001) จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อมีประสิทธิผลทำให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ พฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น บุคลากรด้านสุขภาพหรือกลุ่มอาชีพอื่นที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกันสามารถนำโปรแกรมฯ ไปประยุกต์ใช้ได้</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/269316
ประสบการณ์การดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำของผู้ดูแลในครอบครัว
2024-10-31T12:01:50+07:00
เกียรติศักดิ์ ไร่หินถ่วง
plamuektong@hotmail.com
เพ็ญนภา แดงด้อมยุทธ์
Pennapa.D@chula.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายและประสบการณ์การดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำของผู้ดูแลในครอบครัว ผู้ให้ข้อมูลคือผู้ดูแลในครอบครัวที่ให้การดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำจำนวน 15 คน ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตและบันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการของโคไลซี</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าการให้ความหมายของการดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำของผู้ดูแลในครอบครัว แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) เป็นห่วง เข้าใจ พยายามช่วยให้เลิกยา 2) เป็นที่พึ่งพา และดูแลด้วยหัวใจ และประสบการณ์การดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำของผู้ดูแลในครอบครัว แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) การดูแลทั่วไปในชีวิตประจำวัน 2) รับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป 3) การดูแลไม่ให้เสพแอมเฟตามีนซ้ำ 4) ผลของการดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำ</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนที่เสพซ้ำของผู้ดูแลในครอบครัวและเป็นแนวทางในการให้ความรู้แก่ผู้ดูแลในครอบครัวให้สามารถดูแลผู้ติดแอมเฟตามีนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/271316
ผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้เป็นโรคเบาหวานในตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-11-05T15:02:40+07:00
วันจันทร์ เหรียญศิริ
salisamai@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 30 คน ซึ่งทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ และเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 ตอน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป การประเมินพฤติกรรมสุขภาพในด้านการรับประทานอาหาร การประเมินพฤติกรรมสุขภาพในด้านการออกกำลังกาย และการประเมินพฤติกรรมสุขภาพในด้านการจัดการความเครียด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p> ผลการวิจัยภายหลังการทดลองและระยะติดตาม 4 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพในด้านการรับประทานอาหาร ด้านการออกกำลังกาย และด้านการจัดการความเครียด เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง และภายหลังการทดลองและระยะติดตาม 4 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลปลายนิ้วลดลง มากกว่าก่อนการทดลอง (<em>p</em> < .05)</p> <p> จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการนำโปรแกรมไปใช้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรังกลุ่มอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เพื่อลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270661
อิทธิพลของพฤติกรรมการดูแลตนเองและความมั่นใจในการดูแลตนเอง ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลทุติยภูมิ จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-11-23T10:38:20+07:00
อุราภรณ์ เชยกาญจน์
ammy.au@hotmail.com
นันท์ณภัส สารมาศ
nannapath@bcnnakhon.ac.th
นฤเบศร์ โกศล
naruebeth@bcnnakhon.ac.th
พัชรีภรณ์ ช่วยวัง
patchareeporn1720@gmail.com
<p> การวิจัยแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของพฤติกรรมการดูแลตนเองและความมั่นใจในการดูแลตนเองต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลทุติยภูมิ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 155 คน ซึ่งได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเรื้อรัง และแบบประเมินความมั่นใจในการดูแลตนเอง มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค เท่ากับ 0.71 และ 0.93 ตามลำดับ เก็บi;[I;,ข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารและระดับน้ำตาลในเลือดสะสมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) ได้แก่ พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อคงภาวะสุขภาพ (r = -.390, r = -.380 ตามลำดับ) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อติดตามอาการ (r = -.414, r = -.399 ตามลำดับ) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อจัดการอาการ (r = -.286, r = -.369 ตามลำดับ) และความมั่นใจในการดูแลตนเอง (r = -.329, r = -.360 ตามลำดับ) นอกจากนี้พบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อคงภาวะสุขภาพ (β = -.247) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อติดตามอาการ (β = -.207) และความมั่นใจในการดูแลตนเอง (β = -.201) สามารถร่วมกันทำนายระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติร้อยละ 23.1 (Adjusted R<sup>2</sup> = .231, p < .001) ในขณะที่พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อติดตามอาการ (β = -.198) และความมั่นใจในการดูแลตนเอง (β = -2.419) สามรถร่วมกันทำนายระดับน้ำตาลในเลือดสะสมของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติร้อยละ 24.9 (Adjusted R<sup>2</sup> = .249, p < .001)</p> <p> ผลการวิจัยสามารถนำไปพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเอง โดยเน้นพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อคงภาวะสุขภาพ การติดตามอาการ และการจัดการอาการ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจในการดูแลตนเอง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้ดียิ่งขึ้น</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270963
ปัจจัยทำนายการเกิดภาวะ long covid ในกลุ่มผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิด-19
2024-11-19T11:16:55+07:00
ธิดารัตน์ คณึงเพียร
thidarat@bcnsurin.ac.th
นริศรา เสามั่น
naris2327nurse@gmail.com
อรนุช ประดับทอง
oranute@bcnsurin.ac.th
สุขุมาล แสนพวง
sukhumal@bcnsurin.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการเกิดภาวะ long covid ในกลุ่มผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งมารับบริการที่หน่วยบริการสุขภาพพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 129 คน ซึ่งได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือเก็บรวมรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามภาวะ long covid เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน มีนาคม ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา และสถิติสมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อาการ long covid ที่พบมากที่สุด คือ เหนื่อยอ่อนเพลีย จำนวน 70 ราย (ร้อยละ 54.3) รองลงมา คือ อ่อนเพลีย จำนวน 66 ราย (ร้อยละ 51.2) และเหนื่อยง่าย จำนวน 65 ราย (ร้อยละ 50.4) ปัจจัยที่สามารถร่วมทำนายการเกิดภาวะ long covid ได้แก่ โรคประจำตัว (b = .204) และความรุนแรงของการเจ็บป่วย (b = .477) โดยสามารถร่วมทำนายการเกิดภาวะ long covid ได้ร้อยละ 26.3 (R<sup>2</sup> = 0.263,<em> p</em> < .001)</p> <p> จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตามดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัวและมีความรุนแรงของโรคโควิด-19</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270202
Factors Related to Quality of Life Among Persons with Benign Prostatic Hyperplasia in Wenzhou, China: A Cross Sectional Study
2024-08-06T13:15:53+07:00
Chun Mei Li
250120575@qq.com
Niphawan Samartkit
nsamartkit@gmail.com
Chutima Chantamit-o-pas
chutimachantamit@hotmail.com
<p> The aim of this research was to describe quality of life (QOL) and examine its relationship with the severity of lower urinary tract symptoms (LUTS), sleep disturbance, depression, and social support among the persons with Benign Prostatic Hyperplasia (BPH) in Wenzhou, China. A simple random sampling technique was used to recruit 100 individuals with BPH, who came to follow up on their health at the Urological Clinic outpatient department of the Second Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University in Wenzhou, China. Research instruments included the demographic data questionnaire, the International Prostate Symptoms Score, the Verran and Snyder-Halpern Sleep Scale, the Geriatric Depression Scale-15, the Social Support Rating Scale, and the revised version of the Quality of Life Scale for BPH Patients, with Cronbach’s alpha values of 89, 92, 79, 88, and 94, respectively. Data was analyzed by descriptive statistics and Pearson’s correlation.</p> <p> The results of this study showed that the mean score of QOL of BPH persons was 102.2 (SD = 12.9) out of 160. There was a significant positive relationship between social support and QOL among persons with BPH (r = .485, p < .001). Severity of LUTS (r = -.736, p < .001), sleep disturbance (r = -.553, p < .001), and depression (r = -.670, p < .001) had a negative relationship with QOL among them.</p> <p>The findings in this study could make nurses and other health care providers have a better understanding towards the QOL of BPH persons in Wenzhou, China. Moreover, the results are useful for the development of effective interventions to reduce depression, sleep disturbances, LUTS, and increase social support, then improve the QOL of BPH persons.</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024