https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/issue/feed
วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2024-09-30T20:26:45+07:00
Assoc. Prof. Dr.Pornchai Jullamate
jnurse@nurse.buu.ac.th
Open Journal Systems
<p>คณะพยาบาลศาสตร์ เป็นสถาบันผลิตบุคลากรพยาบาลทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความรู้ทางการพยาบาลและเผยแพร่สู่สังคมวิชาชีพการพยาบาล จึงได้จัดทำวารสารคณะพยาบาลศาสตร์เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่วิชาชีพการพยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ โดยวารสารฉบับแรกได้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2535 มีกำหนดออกปีละ ๓ ฉบับ และได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอดจนวารสารของคณะพยาบาลศาสตร์มีคุณภาพที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการระดับชาติ ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงภาษาไทยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและในโอกาสที่คณะฯ ครบรอบ 25 ปี งานวารสารจึงได้เพิ่มกำหนดการออกเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2550 เป็นต้น</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/269598
ความยืดหยุ่นในชีวิต เป้าหมายในชีวิต และการปรับตัวเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกของประเทศไทย: การวิจัยเชิงคุณภาพ
2024-07-01T12:06:19+07:00
ตระกูลวงศ์ ฦาชา
trakulw@buu.ac.th
วณิตา ขวัญสำราญ
wanita@buu.ac.th
จิณห์จุฑา ชัยเสนา ดาลลาส
jinjuthatawan@gmail.com
ไพบูลย์ โสภณสุวภาพ
sopaiboon@gmail.com
ดวงใจ วัฒนสินธุ์
duangjaivat@yahoo.com
วัชรา ตาบุตรวงศ์
tabootwong@buu.ac.th
พวงทอง อินใจ
puangtong@buu.ac.th
ดาราวรรณ ต๊ะปินตา
darawan1955@gmail.com
<p> การศึกษาเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายของความยืดหยุ่นทางจิตใจ เป้าหมายในชีวิต และการปรับตัวเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคตามมุมมองนักศึกษาที่ใช้ยาเสพติดในมหาวิทยาลัย ผู้ให้ข้อมูลคือนักศึกษาที่มีอายุในช่วง 20–23 ปี ที่ใช้สารเสพติดจากสถาบันอุดมศึกษาในภาคตะวันออก ประเทศไทย จำนวน 11 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญทางการวิจัยเชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระเนื้อหา ประกอบด้วยการจัดระเบียบข้อมูล การกำหนดรหัส และการจัดกลุ่มประเด็น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาให้ความหมายความยืดหยุ่นทางจิตใจตามการรับรู้ว่าเป็นการปล่อยวางด้านความรู้สึก ไม่จมหรือยึดติดกับปัญหาหรือความคิดบางอย่าง มีวิธีการปรับตัวต่อปัญหาของตนเองและแรงกระทบ โดยมองว่าความยืดหยุ่นทางจิตใจมีความสำคัญสำหรับการเรียนในระดับอุดมศึกษานอกจากนี้ยังมองว่าเป้าหมายในชีวิตหมายถึงการมีชีวิตที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า การได้อยู่กับครอบครัวทำให้เขามีความสุข สามารถเอาตัวเองให้รอดจากโลกที่รอบเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดี ด้วยการพัฒนาทักษะให้ชำนาญแล้วตั้งเป้าหมายจากตรงนั้น ในส่วนของมุมมองการปรับตัวเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคและปัญหา จากความคิดเห็นของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ใช้สารเสพติด ได้ให้แนวทางการปรับตัว 3 แนวทาง คือ ทางออกของความเครียดคือการใช้สารเสพติด ยอมรับความเจ็บปวดในเชิงบวก เปิดใจรับสิ่งใหม่และรับฟังผู้อื่น และการปลดปล่อย ไม่จมดิ่งไปกับความคิดยึดติด</p> <p> พยาบาลสามารถนำผลการศึกษาไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมป้องกันการใช้สารเสพติดที่เน้นการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจ การตั้งเป้าหมายในชีวิต และการปรับตัวเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคและปัญหาในบริบทของนักศึกษามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการผลการวิจัยในการออกแบบกิจกรรมทางการพยาบาลและและกิจกรรมพัฒนานักศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการความเครียด การปรับตัว และการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดและป้องกันปัญหาการใช้สารเสพติดในนักศึกษามหาวิทยาลัย</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270364
การพัฒนารูปแบบการจัดการความปวดหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก
2024-08-30T08:46:47+07:00
รุ่งอรุณ ทศชา
Jetaime-Rung@hotmail.co.th
ทศพร ทองย้อย
ben_nu41@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการความปวดหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก 30 คน และพยาบาลวิชาชีพ 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการจัดการความปวดหลังได้รับการผ่าตัดฯ 2) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและประเมินความปวดของผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้สูงอายุ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดการความปวดหลังได้รับการผ่าตัดฯ ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 2 ระยะ คือ ระยะก่อนการผ่าตัดและระยะหลังการผ่าตัด หลังจากนำรูปแบบการจัดการความปวดหลังได้รับการผ่าตัดฯ ไปปฏิบัติพบว่า ผู้สูงอายุมีระดับความปวดที่ปวดเล็กน้อย ร้อยละ 73.33 ผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักมีระดับความพึงพอใจต่อการจัดการความปวดตามรูปแบบฯ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em>=4.51, <em>SD</em>=.58) และพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่มีระดับความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบฯ ภาพรวมในระดับมากที่สุด (<em>M</em>=4.56, <em>SD</em>=.52) ดังนั้นควรนำรูปแบบการจัดการความปวดที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้มีรูปแบบการจัดการความปวดที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณภาพการพยาบาลผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมให้ดียิ่งขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270327
ความต้องการของนิสิตพยาบาลในหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างจาก มาตรฐานการอุดมศึกษาของคณะพยาบาลศาสตร์
2024-08-14T16:33:26+07:00
ดาราวรรณ ต๊ะปินตา
darawan1955@gmail.com
นฤมิตร์ รอดโสภา
naruemit@buu.ac.th
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจเพื่อศึกษาความต้องการของนิสิตพยาบาลในการจัดหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ จากทั่วประเทศ จำนวน 410 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสำรวจความต้องการของนิสิตในการเรียนในหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผลการศึกษาพบว่า 3 หลักสูตรที่มีความต้องการมากที่สุด ได้แก่ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารสภาวะฉุกเฉินและวิกฤตทางการพยาบาล ร้อยละ 61.7 หลักสูตรพยาบาลศาสตรควบปริญญาตรี และปริญญาโท ร้อยละ 49.3 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ ร้อยละ 47.1 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาการสอนทางการพยาบาล ร้อยละ 46.3 ควรนำเสนอผู้บริหารของคณะพยาบาลศาสตร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างหลักสูตร Sandbox ในสาขาการพยาบาล และควรทำการสำรวจความต้องการของนิสิตพยาบาล ทุก 4-5 ปี เนื่องจากความต้องการในหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษาของคณะพยาบาลศาสตร์ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมในแต่ละช่วงเวลา</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270444
ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมมวลกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม
2024-08-30T17:12:12+07:00
วนิดา อินทราชา
Wanida.i@mail.bcnlp.ac.th
พัชร์นันทน์ วิวรากานนท์
phatchanun.v@mail.bcnlp.ac.th
พัชรพล คำงาม
Patcharapon.k@mail.bcnlp.ac.th
ตยารัตน์ พุทธิมณี
Tayarat.p@mail.bcnlp.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมมวลกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมในชุมชนได้จากการสุ่มอย่างง่ายตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 30 คน ได้รับโปรแกรมการสร้างเสริมมวลกล้ามเนื้อประยุกต์ใช้แนวคิดตามทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ประกอบด้วย การส่งเสริมรับรู้สมรรถนะแห่งตน การให้คู่มือการปฎิบัติตัวโรคข้อเข่าเสื่อม และบันทึกการปฎิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่องนาน 6 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อและสมรรถนะทางกายก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 6 กลุ่มตัวอย่างมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญ (p < .05) จาก 16.83 kg (SD=7.45) เป็น 20.61 kg (SD = 2.99) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของมวลกล้ามเนื้อ พบว่ามวลกล้ามเนื้อรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> = .04) โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 4 เท่ากับ 2.59 กิโลกรัม และเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่ 4 เท่ากับ 1.19 กิโลกรัม ด้านสมรรถนะทางกายโดยภาพรวมพบว่า หลังการใช้โปรแกรมสมรรถนะทางกายของกลุ่มทดลอง 6 สัปดาห์ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบก่อนการใช้โปรแกรมที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p <.05</em>) โดยการลุกยืนจากเก้าอี้ภายใน 30 วินาทีดีขึ้นเฉลี่ย 15.61 ครั้ง (SD = 7.22) การเดินย้ำเท้าอยู่กับที่ใน 2 นาทีดีขึ้นเฉลี่ย 148.17 ครั้ง (SD = 28.15) การลุกนั่งจากเก้าอี้ไป-กลับใช้เวลาลดลง 10.46 วินาที (SD = 5.02) และการทรงตัวทำได้ดีขึ้นเฉลี่ย 11.67 วินาที (SD = 26.56) ผลการศึกษาครั้งนี้ พยาบาลสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในการส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม ให้มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและคงสมรรถนะทางกาย ชะลอความเสื่อมของข้อเข่า</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/269878
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาครรภ์แรกที่ผ่าตัดคลอดแบบวางแผนล่วงหน้า
2024-06-24T15:11:14+07:00
สุภาพรรณ วรผล
supapanwo@gmail.com
สุพิศ ศิริอรุณรัตน์
supits@go.buu.ac.th
ตติรัตน์ เตชะศักดิ์ศรี
tatirat@buu.ac.th
<p> การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาครรภ์แรกที่ผ่าตัดคลอดแบบวางแผนล่วงหน้า กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาครรภ์แรกที่ผ่าตัดคลอดแบบวางแผนล่วงหน้าและพักฟื้นที่หอผู้ป่วยหลังคลอดของโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี จำนวน 52 ราย เลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 26 ราย และกลุ่มทดลอง 26 ราย เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แบบประเมินทักษะการให้นมแม่ และแบบบันทึกการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา Mann-Whitney U test และ Chi-square test</p> <p> ผลวิจัยพบว่า กลุ่มทดลอง มีคะแนนทักษะในการให้นมแม่ที่ 72 ชั่วโมงหลังคลอด และคะแนนการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ 2 สัปดาห์หลังคลอดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> <.001) กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ 72 ชั่วโมงหลังคลอด และอัตราของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 2 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>=.087, <em>p </em>=.465) ดังนั้น พยาบาลและผดุงครรภ์ควรส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่มารดาหลังคลอดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความเชื่อมั่น และประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270464
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-08-23T14:38:30+07:00
บุญประจักษ์ จันทร์วิน
boonprajuk2518@gmail.com
สิงห์ กาญจนอารี
sing@bcnnakhon.ac.th
วัลลภา ดิษสระ
wanlapad@bcnnakhon.ac.th
จิฑาภรณ์ ยกอิ่น
jithaphon@bcnnakhon.ac.th
<p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยนำ ปัจจัยเสริมหรือปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยเอื้อ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของประชาชน และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราช ตัวอย่าง 4,126 คน วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อหรือปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม มีค่าแอลฟ่าครอนบาช เท่ากับ 0.921 วิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา Odds ratio และ Multiple logistic regression</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรค ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.90 และ 50.97) ส่วนการรับรู้ความสามารถของตนเอง อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 50.92) การเข้าถึงอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารลดโซเดียมอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 58.41) แรงสนับสนุนทางสังคมในการลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.53) พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 55.45) เมื่อวิเคราะห์โดยการควบคุมตัวแปร พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของประชาชน ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ ความเพียงพอของรายได้ ระดับการศึกษา การประกอบอาหารรับประทาน การมีโรคประจำตัว การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถของตนเอง และแรงสนับสนุนทางสังคม</p> <p> ฉะนั้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราชควรส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้การบริโภคอาหารที่มีโซเดียม และให้เครือข่ายในชุมชนสนับสนุนลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม</p> <p> </p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/268568
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก และความเข้มข้นของเลือด ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางของ โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
2024-07-31T09:34:09+07:00
อมรเลิศ พันธ์วัตร์
Amornlert.p@gmail.com
กัญญาพัชญ์ จาอ้าย
kanyapatchaeye@gmail.com
เจนนารา วงศ์ปาลี
genapalee@gmail.com
ชัชฎาภรณ์ นันทขว้าง
chadchadaporn.n@cmu.ac.th
ศิริรัตน์ วรรธกจตุรพร
tewdee1@hotmail.co.th
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ศึกษาผลของโปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยาในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางที่มารับบริการที่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 50 ราย คัดเลือกด้วยเทคนิคการสุ่มตามคุณสมบัติที่กำหนด สุ่มแบ่งเป็น กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามมาตรฐานและกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา เป็น 2 กลุ่ม ตามวันที่มาฝากครรภ์ คือ กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามมาตรฐานในวันจันทร์ และวันพฤหัสบดี กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมฯ เป็นวันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ ใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 เครื่องมือที่ใช้ในดำเนินการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา แผนการสอน คู่มือการบริโภคอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก และการติดตามทางแอปพลิเคชันไลน์ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินพฤติกรรมการบริโภคอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก ค่าความเข้มข้นของเลือด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติค่าที</p> <p> ผลวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา มีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ยาเสริมธาตุเหล็กและค่าความเข้มข้นของเลือดหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมโภชนาการสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามมาตรฐาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-3.466, <em>p</em><.05) (t=-3.53, <em>p</em><.05) นอกจากนี้หลังได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา มีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ยาเสริมธาตุเหล็ก และความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-6.913, <em>p</em><.05) (t=-2.680, <em>p</em><.05) จากผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าพยาบาลแผนกฝากครรภ์สามารถนำโปรแกรมในการส่งเสริมการดูแลตนเองและการรับประทานยา ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และยาเสริมธาตุเหล็กในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270089
ผลการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชันต่อความสุขในการเรียนและความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนของนักศึกษาพยาบาลในรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง
2024-08-28T18:02:07+07:00
ชลธิชา ชลสวัสดิ์
chon_wat_24@hotmail.co.th
พิมฉวี จันทร์เพ็ญ
pim.2506@hotmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความสุขในการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนของนักศึกษาพยาบาล ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเทคนิคเกมมิฟิเคชันในสถาบันการศึกษาเอกชนแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ที่กำลังศึกษารายวิชาพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ปีการศึกษา 2566 จำนวน 104 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือน เมษายน- กรกฎาคม 2567 โดยได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชันผ่านการใช้แอปพลิเคชันเกมออนไลน์แบบกลุ่มเป็นเวลา 11 สัปดาห์ ประเมินความรู้หลังจัดการเรียนการสอนใช้เวลาครั้งละ 30 นาที เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรม ได้รับการประเมินด้วยเครื่องมือ แบบประเมินความสุขในการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบpaired t-test </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เมื่อสิ้นสุดการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความสุขในการเรียนหลังการทดลองเท่ากับ 4.64 (SD =0.46) สูงกว่าก่อนการทดลอง (M = 4.12, SD = 0.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-7.857, p< .001) และมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยเทคนิคเกมมิฟิเคชันเท่ากับ 4.62 (SD=0.48) ผลการศึกษานี้เสนอแนะว่า ควรนำกิจกรรมการเรียนรู้โดยเทคนิคเกมมิฟิเคชันไปประยุกต์ใช้ในรายวิชานี้ต่อไป โดยมีการปรับเปลี่ยนเกมออนไลน์ให้น่าสนใจ สนุกสนาน และท้าทาย</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024