https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/issue/feedวารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา2025-09-30T21:56:12+07:00Assoc. Prof. Dr.Pornchai Jullamatejnurse@nurse.buu.ac.thOpen Journal Systems<p>คณะพยาบาลศาสตร์ เป็นสถาบันผลิตบุคลากรพยาบาลทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความรู้ทางการพยาบาลและเผยแพร่สู่สังคมวิชาชีพการพยาบาล จึงได้จัดทำวารสารคณะพยาบาลศาสตร์เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่วิชาชีพการพยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ โดยวารสารฉบับแรกได้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2535 มีกำหนดออกปีละ ๓ ฉบับ และได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอดจนวารสารของคณะพยาบาลศาสตร์มีคุณภาพที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการระดับชาติ ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงภาษาไทยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและในโอกาสที่คณะฯ ครบรอบ 25 ปี งานวารสารจึงได้เพิ่มกำหนดการออกเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2550 เป็นต้น</p>https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/274604ปัจจัยทำนายพฤติกรรมเนือยนิ่งในเด็กวัยเรียน2025-04-09T18:51:10+07:00นาราวินท์ ศิริพงศ์วัฒนาnarawins@gmail.comชนัญชิดาดุษฎี ทูลศิริstoonsiri@yahoo.comพัชรินทร์ พูลทวีlarnkha@gmail.com<p><strong> </strong>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมเนือยนิ่งในเด็กวัยเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ในเขตอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จำนวน 183 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ทัศนคติต่อพฤติกรรมเนือยนิ่ง การเข้าถึงสนามเด็กเล่นและอุปกรณ์กีฬาในโรงเรียนและชุมชน การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมเนือยนิ่ง เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมเนือยนิ่งของกลุ่มตัวอย่างในวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) อยู่ในระดับน้อย (<em>M</em> = 3.57, <em>SD</em> = 1.242) และในวันหยุดอยู่ในระดับปานกลาง (<em>M</em> = 3.70, <em>SD</em> = 1.362) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมเนือยนิ่งได้ คือ ทัศนคติต่อพฤติกรรมเนือยนิ่ง (b = .179) ซึ่งสามารถทำนายได้ร้อยละ 3.2 (<em>R²</em> = .032, <em>p</em> < .05)</p> <p> จากผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและบุคลากรด้านสุขภาพควรนำผลการวิจัยไปพัฒนารูปแบบกิจกรรมเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่งในเด็กวัยเรียน โดยเน้นการปรับทัศนคติต่อพฤติกรรมเนือยนิ่ง</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/276209Fear of Falling and Correlated-Factors in Community-Dwelling Older Adults in the Eastern Thailand2025-07-07T15:18:40+07:00Wanida Noimontreenoimontree@buu.ac.thUraiwan Ngamsrisakulkae-uu@hotmail.comHelen W Lachhelen.lach@slu.edu<p> Older adults with fear of falling and activity restriction are at high risk for future falls and disability<u>.</u> This cross-sectional study aims to examine the prevalence and correlates of fear of falling among Thai older adults. We used multi-stage sampling to recruit 175 older adults from six areas across eastern Thailand. Questionnaires were used to collect participants’ characteristics, health-related characteristics, and fear of falling. A full tandem stance test and Snellen chart were used to assess balance performance and visual acuity, respectively. Descriptive statistics and multivariate logistic regression were used for data analyses. The participants were 67.4% female, 28% experienced one or more fall in the past year, 85.1% reported fear of falling, and 39.4% restricted their activities due to this fear. All had no limitation of basic functional performance. Multivariate analysis indicated that female gender (OR 3.70, 95% CI 1.34- 10.21), fall history (OR 10.16, 95% CI 1.14- 90.37), and anticipation of difficulty from falling (OR 1.32, 95% CI 1.16- 1.50) were independently associated with fear of falling. About one-third of older participants received fall prevention education, 25.7% received home safety education, and only 18.3% received fear of falling education. The findings suggest a high prevalence of fear of falling in Thai older adults even though they are still having high functional performance. However, fall, fear of falling, and home safety education interventions were low delivered to older adults living in the eastern Thai communities. Community nurses should deliver more education regarding fall, fear of falling, and home safety, and health screening by targeting older women who experience falling and anticipate difficulty from falling.</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/275360Factors Predicting Family Caregiver Burden in Older Adults with Stroke Patients in Wenzhou, China2025-06-12T18:25:24+07:00Yuanyuan Cai815596513@qq.comChanandchidadussadee Toonsiristoonsiri@yahoo.com<p> This study aimed to characterize the burden level experienced by family caregiver and to investigate the factors predicting family caregiver burden in older adults with stroke in Wenzhou, China. A simple random sampling method was used to recruit the sample of 101 patient-caregiver dyads in the Second Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University. Research instruments included the Demographic questionnaire, the Zarit Burden Interview Scale, the Modified Barthel Index scale, A New Post-Stroke Depression Scale, Chinese version of the Social Support Rating Scale. Descriptive statistics and stepwise multiple regression analysis were used to analyze the data.</p> <p> The results revealed that the sample had mean score of the family caregiver's burden at a moderate level (M=44.97, SD=18.43). The significant predictors of burden for family caregivers of older adults with stroke were activities of daily living (β= -0.400, P<0.001), social support (β= -0.353, P<0.001), and post-stroke depression (β= 0.188, P=0.039). The caregiver-patient relationship: cousin (β= -0.177, P=0.017) was a significant predictor, as opposed to being a spouse or child. These predictors could together explain 49.7% of the variance in burden for family caregivers of older adults with stroke. (<em>R</em><sup>2</sup>= 0.497, p < 0.001)</p> <p> Activities of daily living, post-stroke depression, social support, and caregiver-patient relationship are the significant predictors of burden for family caregivers of older adults with stroke. The results of this study serve as a reference for healthcare personnel should be developing the intervention based on the activities of daily, strengthening social suport systems, enhancing stroke outcomes, and improving the caregiver-patient relationship, thereby effectively reducing the burden of family caregivers.</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/276137การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหัวเวียง จังหวัดลำปาง2025-09-10T15:55:11+07:00กรรณิการ์ กองบุญเกิดkongbunkird@hotmail.comปนัดดา สวัสดีPanadda.s@mail.bcnlp.ac.thณัฐกมล ดำรงวุฒิโชติnatthakamon.dumr@mail.bcnlp.ac.thกานต์จรัส ศีติสาร2ll2AN.karn@gmail.com<p> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ พัฒนาและประเมินผลโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ที่เข้ารับการรักษาในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จำนวน 2 กลุ่มๆ ละ 35 คน เครื่องมือทดลองคือ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เครื่องมือรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และ พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 และ 0.70 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติที</p> <p> ผลการวิจัย ระยะที่ 1 ความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับสูง พฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ระยะที่ 2 โปรแกรมฯ มีกิจกรรมพัฒนาทักษะ 6 ด้าน ดำเนินการ 12 สัปดาห์ และระยะที่ 3 หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคฯ สูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุม และระดับ Thai CV Risk Score ต่ำกว่าก่อนทดลองและต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (p < 0.01) ในขณะที่น้ำหนัก ส่วนสูง และเส้นรอบเอว ไม่แตกต่างกัน (p > .05)</p> <p> จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า หน่วยบริการปฐมภูมิควรนำโปรแกรมฯที่พัฒนาขึ้นไปปรับใช้กับกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในพื้นที่อื่น ๆ เนื่องจากโปรแกรมฯ นี้ช่วยเพิ่มทั้งความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/273272ประสิทธิผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยเทคนิคการสร้างแรงจูงใจ ร่วมกับเครื่องมือปิงปองจราจร 7 สี สำหรับกลุ่มโรคความดันโลหิตสูง2025-09-12T18:05:30+07:00นิสากร เห็มชนานnisakorn@bcnsurin.ac.thวรนาถ พรหมศวรworanart@bcnsurin.ac.thชัชฎาพร จันทรสุขshutchadaporn@bcnsurin.ac.thนัยนา นวพรเดชาวัตan.nanaina69@gmail.comธิดารัตน์ คณึงเพียรthidarat@bcnsurin.ac.thอดิศักด์ แสงเมืองa-disak@bcnsurin.ac.th<p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองเพื่อเปรียบเทียบระดับความดันโลหิตสูงก่อนและหลังการเข้าร่วมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยเทคนิคการสร้างแรงจูงใจร่วมกับเครื่องมือปิงปองจราจร 7 สี กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ในพื้นที่ตำบลนอกเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยสุ่มอย่างง่าย จากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 60 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล เครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ และเครื่องมือปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างของความดันโลหิต ระหว่างก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมโดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยเทคนิคการสร้างแรงจูงใจร่วมกับเครื่องมือปิงปองจราจร 7 สี พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าความดันโลหิตซิสโตลิคและไดแอสโตลิค หลังการทดลอง ต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .05</p> <p> จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรทางสุขภาพควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยการใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจร่วมกับเครื่องมือปิงปองจราจร 7 สี เพื่อควบคุมป้องกันโรคความดันโลหิตสูง</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/275980ผลของโปรแกรม Line Use – Good Oral Health ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ ช่องปากของผู้ปกครองเด็กอายุ 1-3 ปี2025-08-21T08:40:10+07:00สุวัจณี พฤกษ์ไพรวันsuwatjanee.pr@buu.ac.thลาวัลย์ สิงห์สายlawan.sin@mahidol.ac.thอัจฉรียา ปทุมวันraapw@mahidol.ac.th<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม Line Use – Good Oral Health ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากของผู้ปกครองเด็กอายุ 1-3 ปี กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองเด็กอายุ 1-3 ปี จานวน 46 คน ที่พาเด็กมารับบริการที่คลินิกเด็กสุขภาพดีที่ศูนย์สุขภาพชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม (จำนวน 23 คน) ที่รับบริการทางทันตกรรมตามปกติ และกลุ่มทดลอง (จำนวน 23 คน) ซึ่งได้รับโปรแกรม Line Use – Good Oral Health เป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน ครั้งละ 10-15 นาที เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากของผู้ปกครองเด็กอายุ 1-3 ปี วัดก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที</p> <p> ผลของการศึกษาพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม Line Use – Good Oral Health กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมากกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p < .05) และหลังเข้าร่วมโปรแกรม Line Use – Good Oral Health กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/270189Factors Related to Pre-Operative Anxiety Among Older Adult Undergoing General Surgery in Jinzhou, China2025-03-18T15:50:23+07:00Yaqian Zhangqian111777@163.comChanandchidadussadee Toonsiristoonsiri@yahoo.com<p> As a special group of general surgical patients, elderly patients have relatively weak mental ability, and the problem of pre-operative anxiety is more prominent. This correlational descriptive study aimed to identify factors related to pre-operative anxiety among older adult undergoing general surgery in Jinzhou, China. A simple random sampling method was used to recruit the sample of 82 older adults undergoing general surgery in the Third Affiliated Hospital of Jinzhou Medical University in Jinzhou, Liaoning Province, China. Research instruments included questionnaires to gather data for demographic information, State Anxiety Inventory (S-AI), and Social Support Rating Scale (SSRS). Descriptive statistics and point biserial correlation coefficients, Pearson’s product moment correlation coefficients were used to analyze the data.</p> <p> The results revealed that most of the sample (87.80 %) had moderate pre-operative anxiety (score 41-60). For correlation analysis, pre-operative anxiety was significant negatively correlated with age and social support (<em>r</em> = -0.268, <em>p</em> < .05; <em>r</em> = -0.508, <em>p</em> < .01), and positively correlated with married marital status (<em>r</em> =0.398, <em>p</em> < .01).</p> <p> The findings suggest that nurses and other health care providers could apply these study results to develop activities/ programs to prevent pre-operative anxiety in older adults undergoing general surgery by focusing on enhancing social support.</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/273553ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากลีลาการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ 2025-09-05T15:14:21+07:00ฝนทอง จิตจำนงfontong@bcnsurin.ac.thดาริณ โพธิ์แก้วdarin1@bcnsurin.ac.thอดิศักดิ์ แสงเมืองa-disak@bcnsurin.ac.thธิดารัตน์ คณึงเพียรthidarat@bcnsurin.ac.thธิดารัตน์ ครุฑทองthidarat_kr@bcnsurin.ac.th<p> การวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และอำนาจทำนายจากลีลาการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1-4 ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ จำนวน 129 คน เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง แบบสอบถามลีลาการเรียนรู้ และ แบบสอบถามผลสัมฤทธิ์การเรียน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา IOC =1 หาค่าความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค ได้ค่า 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาอำนาจทำนายลีลาการเรียนรู้ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยสถิติถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์อยู่ในระดับปานกลาง (M=2.99, SD=1.03) ลีลาการเรียนรู้แบบจักษุประสาท และแบบปฏิบัติหรือเคลื่อนไหว ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) และแบบโสต ประสาท ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p < .01) ทั้งนี้ลีลาการเรียนรู้ สามารถทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ร้อยละ 4.1 (R<sup>2</sup> = 0.41 , F =5.487,<em> p</em> =.05)</p> <p> จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์โดยคำนึงถึงปัจจัยลีลาการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แบบจักษุประสาท แบบปฏิบัติหรือเคลื่อนไหว และแบบโสตประสาท เพื่อประสิทธิภาพการเรียนที่มากขึ้น</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/274410ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อความรู้ ทัศนคติ และความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง2025-09-12T17:58:42+07:00ดาลิมา สำแดงสาร Dalima@bcnnakhon.ac.thกนกรัตน์ จิตราkanokrat@bcnnakhon.ac.thพิมพวรรณ เรืองพุทธ Pimpawan@bcnnakhon.ac.thสุพัตรา สหายรักษ์nakien08759_publichealth@outlook.comวัฒนา วาระเพียงThungnode@hotmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อความรู้ ทัศนคติ และความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย จำนวน 20 คน ดำเนินการวิจัยในช่วง กรกฎาคม ถึงตุลาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพ อสม. ประกอบด้วยกิจกรรม ขั้นที่ 1 การพัฒนาศักยภาพของอสม. โดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ขั้นที่ 2 ขั้นปฏิบัติของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โดยลงเยี่ยมบ้าน เพื่อติดตามอาการพร้อมทั้งให้ความรู้และคำแนะนำแก่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป (2) แบบประเมินความรู้ (3) แบบประเมินทัศนคติ และ (4) แบบประเมินความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 1 ทดสอบค่าความเชื่อมั่นคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) เท่ากับ .82 และตรวจสอบค่าความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติค่าที (dependent t-test)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังได้รับโปรแกรมฯ อสม. มีความรู้ ทัศนคติ และความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง สูงกว่าก่อนได้รับร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01, p < .05 และ p< .05 ตามลำดับ) แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมฯ สามารถพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงให้เพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังในโรคกลุ่มอื่นเพื่อพัฒนาให้เหมาะสมต่อไป</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/view/275346ประสิทธิผลของโปรแกรมการบำบัดทางจิตสังคมต่ออาการซึมเศร้า ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้าไทย: การวิเคราะห์อภิมาน2025-09-23T16:55:17+07:00พรประเสริฐ แก้วคำpornprasert.ka@buu.ac.thอนงค์นาฎ คุณประสาทanongnad@nurse.tu.ac.thสาธิตา สืบทายาทsathita.phong@gmail.comปริฉัตร อยู่คงmj_ft@hotmail.com<p> การวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์อภิมาน มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ประสิทธิผลของโปรแกรมบำบัดทางจิตสังคมต่ออาการซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้าในประเทศไทย โดยสืบค้นจาก 6 ฐานข้อมูลในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย ฐานข้อมูลดัชนีการอ้างอิงวารสารสำหรับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ศูนย์ข้อมูลการวิจัย Digital "วช." ฐานข้อมูลวิจัยด้านสุขภาพจิตและจิตเวช และ คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย โดยประยุกต์ใช้กระบวนการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเชิงประสิทธิผลและการวิเคราะห์อภิมาน คัดเลือกงานวิจัยเชิงทดลองหรือกึ่งทดลองในประเทศไทย ที่มีการเผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2557–2567 และที่ศึกษาในผู้สูงอายุไทยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า โดบมีการรายงานข้อมูลทางสถิติสำหรับใช้วิเคราะห์ค่าขนาดอิทธิพลด้วยโปรแกรม SPSS</p> <p> จากการสืบค้นงานวิจัย ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2568 พบงานวิจัยจำนวน 1,915 เรื่อง มีงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและประเมินคุณภาพงานวิจัยทั้งหมดจำนวน 12 เรื่อง มีจำนวนกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้าในประเทศไทย 548 คน โดยมีค่าขนาดอิทธิพลเฉลี่ยรวมเท่ากับ -1.20 (95% CI -1.67, -0.73, p <.001) จากการวิเคราะห์อภิมานชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมบำบัดทางจิตสังคมมีขนาดอิทธิพลที่แตกต่างกัน การบำบัดด้วยการยอมรับและพันธะสัญญา (-2.99), การฟื้นคืนสู่สุขภาวะ (-1.85), การบำด้วยการกระตุ้นพฤติกรรม (-1.44), การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ (-1.38), การให้สุขภาพจิตศึกษา (-0.99), จิตบำบัดแบบประคับประคอง (-0.82) และ การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (-0.72) ซึ่งสามารถลดอาการซึมเศร้าได้แตกต่างกัน</p> <p> จากผลการวิเคราะห์อภิมานโปรแกรมบำบัดทางจิตสังคมมีประสิทธิผลในการลดอาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุโรคซึมเศร้า ที่แตกต่างกันตามแต่ละประเภท การวิจัยในอนาคตควรพัฒนาและประเมินโปรแกรมด้วยการวิจัยแบบผสานวิธี รวมทั้งติดตามผลในระยะยาวเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ</p>2025-09-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025