https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/issue/feed วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ 2024-03-27T12:04:37+07:00 ดร.สุภัทรา สามัง supattrasamung@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยเเละพัฒนาระบบสุขภาพเป็นวารสารที่ใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลศึกษาวิจัย ทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุขเเละคุณภาพชีวิตนำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน <br />บุคลากรทางด้านสาธารณสุข และทางการเเพทย์ ทั้งในระดับประเทศเเละระดับนานาชาติ รวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจทั่วไป</p> <p>ISSN 3027-6845 (Print)</p> <p>ISSN 3027-6853 (Online)</p> <p> </p> <p> </p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/268424 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลถึงทารกแรกเกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2565 2024-03-27T12:04:37+07:00 จตุชัย มณีรัตน์ m.jatuchai@gmail.com <p>การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ระหว่างตั้งครรภ์ส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากการติดเชื้อโควิด 19 ในหญิงตั้งครรภ์ต่อมารดาและทารกแรกเกิด รวมถึงผลของวัคซีนต่อการติดเชื้อ โดยเป็นการศึกษาย้อนหลัง จากข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ที่ให้กำเนิดทารกในปี พ.ศ. 2565 ในระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพของจังหวัดเชียงใหม่ และข้อมูลการได้รับวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ผลการศึกษา พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่เดี่ยวมีการคลอดในสถานพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง31 ธันวาคม 2565 จำนวนทั้งหมด 9,073 คน มีประวัติติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างตั้งครรภ์ ร้อยละ 8.93โดยผลกระทบต่อทารกในหญิงตั้งครรภ์ที่ให้กำเนิดทารกเดี่ยว และติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ทั้งหมด 771 ราย ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อยและการเกิดภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด ส่วนผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนมีร้อยละการเกิดภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกคลอด (Birth Asphyxia) น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน (RR 0.64, 95% CI = 0.35-1.15) อย่างไรก็ตามแม้ไม่พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ควรมีการติดตามข้อมูลต่อเนื่องเพื่อกำหนดนโยบายการในการให้วัคซีนในหญิงตั้งครรภ์เพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรง และป้องกันผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266182 การพัฒนารูปแบบการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ เครือข่ายโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ จังหวัดปทุมธานี 2023-12-30T14:18:00+07:00 สุนิธิ เธียระวิบูลย์ sunithis@hotmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ เครือข่ายโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 210 คน ระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอน และแบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา, paired samples T-Test และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวิเคราะห์สถานการณ์ การพัฒนาโปรแกรม จัดกิจกรรมตามโปรแกรม และการประเมินผล แผนการสอน มี 5 กิจกรรม ได้แก่ การสร้างสัมพันธภาพที่ดี, ประเมินการรับรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปาก และการเข้ารับบริการทันตกรรม, เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับโอกาสเสี่ยง การรับรู้ประโยชน์ ความรุนแรงและอุปสรรคของการดูแลทันตสุขภาพ, การลดความรู้สึกกลัว และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ โดยพบว่า หลังพัฒนาผู้สูงอายุมีการรับรู้ และพฤติกรรมการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปากระดับสูงเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 57.6 คะแนน (95%CI = 1.93-2.73, p-value &lt; 0.001) พฤติกรรมการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปาก เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 53.3 คะแนน (95%CI = 1.81-2.49, p-value &lt; 0.001) และคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพช่องปาก เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20.5 คะแนน (95%CI = 7.21-10.05, p-value &lt; 0.001)</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถตนเองในการดูแลดูแลสุขภาพช่องปากในชมรมผู้สูงอายุ เพื่อคุณภาพชีวิตทางสุขภาพช่องปากที่ดีเพิ่มขึ้น</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266989 ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินในผู้ป่วยที่มารับบริการโรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น 2024-01-17T16:32:22+07:00 ศรีสุรางค์ มั่งมี srisurang4444@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระดับความรุนแรงของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินในโรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น ที่มารับบริการที่คลินิกโรคผิวหนังของโรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น ระหว่างช่วงเวลา 1 สิงหาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2566 จำนวน 291 คน ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม และเวชระเบียนผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ในกลุ่มตัวอย่าง 291 คนที่เป็นผู้ป่วยที่มารับการรักษาโรคสะเก็ดเงินที่โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น มีผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก จำนวน 205 คน (ร้อยละ 70.45) โดยพบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ภาวะเครียด การรับประทานอาหารบางชนิด การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และอากาศร้อน</p> <p>จากผลการศึกษานี้ แพทย์ควรให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โดยควรหลีกเลี่ยงสาเหตุของความเครียดต่างๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อน จัดที่อยู่อาศัยให้มีอากาศถ่ายเท รวมถึงควรพบแพทย์ตามนัด</p> 2024-03-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265089 การประเมินแผนยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดขอนแก่น ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565) 2023-12-14T11:13:47+07:00 วรินทร์ทิพย์ ศรีกงพลี varintaras@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินแผนยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดขอนแก่น ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565) โดยใช้ CIPP Model เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย คณะกรรมการวางแผนและประเมินผลด้านสาธารณสุข จังหวัดขอนแก่น ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดระดับจังหวัด อำเภอ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวม 203 คน และประเมินผลการดำเนินงานยุทธศาสตร์สุขภาพ จำนวน 31 ตัวชี้วัด เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านบริบท ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.25, S.D. = 0.63) รองลงมา คือ ด้านกระบวนการ อยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.12, S.D. = 0.65) ด้านปัจจัยนำเข้า อยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 3.99, S.D. = 0.65) โดยด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า บุคลากรไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตาม บุคลากรได้รับการพัฒนาความรู้ทางวิชาการที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ และสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์</p> <p>ผลการประเมินตัวชี้วัด จำนวน 31 ตัวชี้วัด บรรลุผล จำนวน 20 ตัวชี้วัด คิดเป็นร้อยละ 68.97 ไม่บรรลุผล จำนวน 9 ตัวชี้วัด คิดเป็นร้อยละ 31.03 ตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายสูงสุด จำนวน 2 ตัวชี้วัด คือ อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด และอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี ไม่บรรลุตามเป้าหมาย </p> <p>ข้อเสนอแนะ (1) พัฒนาระบบสนับสนุนการดำเนินงาน การกำกับติดตามและประเมินผลให้มีประสิทธิภาพ (2) ควรมีการปรับยุทธศาสตร์สุขภาพให้สอดคล้องกับภารกิจปัจจุบัน เพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจบริการสุขภาพปฐมภูมิไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266331 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเข้าถึงบริการทันตกรรมของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ ปีงบประมาณ 2566 2023-11-27T20:26:36+07:00 ปิยะนุช วิรัตน์เกษ offjet39@hotmail.com <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเข้าถึงบริการทันตกรรมของผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 221 คน สุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ดังนี้ คุณลักษณะส่วนบุคคล <br />ความเชื่อเรื่องทันตสุขภาพ การสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพ และการเข้าถึงบริการทันตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมานด้วสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 97.29 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 75.35 มีอายุเฉลี่ย 61.06 ปี ระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวานเฉลี่ย 8.95 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดล่าสุดเฉลี่ย 145.23 มก./ดล. และเข้ารับบริการทันตกรรมในรอบปีที่ผ่านมา ร้อยละ 45.12 ทั้งนี้ <br />ความเชื่อเรื่องทันตสุขภาพ ส่วนใหญ่มีค่าคะแนนระดับสูง ร้อยละ 52.56, การสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพ ส่วนใหญ่มีค่าคะแนนระดับปานกลาง ร้อยละ 50.70 และ การเข้าถึงบริการทันตกรรม ส่วนใหญ่มีค่าคะแนนระดับสูง ร้อยละ 82.79 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเข้าถึงบริการทันตกรรมของผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ รายได้ (r = 0.174, p-value = 0.011), ระดับน้ำตาลในเลือดล่าสุด (r = -0.129, p-value = 0.047), ระดับความดันโลหิตตัวบน (r = -0.228, p-value = 0.001), ระดับความดันโลหิตตัวล่าง (r = 0.137, p-value = 0.045), ความเชื่อเรื่องทันตสุขภาพ (r = 0.296, p-value &lt;0.001) และการสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพ (r = 0.251, p-value &lt; 0.001)</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266245 การพัฒนาคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาล ห้องผ่าตัด โรงพยาบาลแพร่ 2024-01-29T13:29:40+07:00 พิชามญชุ์ อินแสน twolovebaby@gmail.com สมใจ ศิระกมล twolovebaby@gmail.com เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล twolovebaby@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาล ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลแพร่ โดยใช้กระบวนการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องโฟกัส-พีดีซีเอ กลุ่มประชากรที่ศึกษา ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพทีมพัฒนาคุณภาพ 4 คน และพยาบาลวิชาชีพทีมปฏิบัติการบันทึก 28 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บันทึกทางการพยาบาลผ่าตัดของผู้ป่วยในที่เข้ารับการผ่าตัดแผนกผ่าตัดสูติกรรม และแผนกผ่าตัดกระดูกและข้อ ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 แผนกละ 40 ฉบับ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 1) แนวคำถามปัญหาการบันทึกทางการพยาบาล 2) แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้แบบบันทึกทางการพยาบาล 3) แบบบันทึกแบบชี้เฉพาะ และคู่มือการบันทึกทางการพยาบาลห้องผ่าตัดแบบชี้เฉพาะ และ 4) แบบตรวจสอบคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการพัฒนาคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาลของห้องผ่าตัดแผนกผ่าตัดสูติกรรมและของห้องผ่าตัดแผนกผ่าตัดกระดูกและข้อ มีความครบถ้วนสมบูรณ์ตามเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 93.25 และร้อยละ 89.00 ตามลำดับ ซึ่งผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ คือ มากกว่าร้อยละ 80.00</p> <p>จากผลการศึกษา ควรนำแบบบันทึกและคู่มือการบันทึกทางการพยาบาลห้องผ่าตัดแบบชี้เฉพาะ ไปประยุกต์ใช้ในแผนกอื่นๆ ต่อไป และทีมพัฒนาคุณภาพควรมีการประเมินคุณภาพการบันทึกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพบันทึกทางการพยาบาลห้องผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง</p> 2024-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/267109 เปรียบเทียบความสามารถในการทำหน้าที่ สมรรถภาพสมอง และภาวะซึมเศร้า ในผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ระหว่างผู้สูงอายุที่รับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา กับผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลในชุมชน 2024-02-09T10:02:34+07:00 ประเสริฐ ประสมรักษ์ prasert.pra@mahidol.edu กิติมา เศรษฐ์บุญสร้าง Prasert.pra@mahidol.edu <p>ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ เป็นผลจากกระบวนการชราและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการทำหน้าที่ สมรรถภาพสมอง <br />ภาวะซึมเศร้า ในผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ระหว่างผู้สูงอายุที่รับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา กับผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลในชุมชน ในเขตพื้นที่อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง กลุ่มละ 52 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมิน ADL, IADL, MMSE และ TGDS วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Independent Sample T-test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม ส่วนใหญ่ อายุ 60-69 ปี ได้รับการดูแลกิจวัตรประจำวันจากญาติพี่น้อง มีภาวะพึ่งพิงปานกลาง ร้อยละ 5.80 ผู้สูงอายุที่รับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง มีภาวะสมองเสื่อม ร้อยละ 11.10 ส่วนผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลในชุมชน มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 7.70 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของภาวะสุขภาพผู้สูงอายุ พบว่า มีเพียงภาวะซึมเศร้า ที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) โดยผู้สูงอายุที่รับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า ดังนั้น จึงควรพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุร่วมกันของชุมชนและโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265213 เรียน ผู้แต่ง ขอส่ง file บทความฉบับสมบูรณ์ เพื่อตรวจสอบก่อนตีพิมพ์ online กรณีพบข้อแก้ไขขอให้ผู้แต่งแจ้งมาทางกองบรรณาธิการ ภายในวันที่ 5 มีนาคม 2567 หากพ้นกำหนดทางวารสารถือว่า ผู้แต่งไม่พบข้อแก้ไขของบทความ ทางวารสารจะขอปฏิเสธไม่รับแก้ไขบทความ ภายหลังวันที่กำหนดไว้ กองพิสูจน์อักษร 2023-11-08T09:24:25+07:00 วาทินี จันทร์เจริญ watinee.08@gmail.com ปิยมาภรณ์ ดวงมนตรี pia4003@gmail.com <p>การจัดการสิ่งปฏิกูลที่ไม่ถูกหลักสุขาภิบาล เป็นสาเหตุของโรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ การมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งปฏิกูลที่ถูกหลักสุขาภิบาล ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพกับการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งปฏิกูลที่ถูกหลักสุขาภิบาล ของประชาชน ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 500 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และไคสแควร์ </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ประชาชนในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 มีค่าเฉลี่ยของร้อยละความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพในภาพรวม ร้อยละ 82.0 โดยค่าเฉลี่ยของร้อยละความรอบรู้ด้านการตอบโต้ซักถามแลกเปลี่ยนข้อมูลผลกระทบต่อสุขภาพ มากที่สุด ร้อยละ 88.5 ด้านการมีส่วนร่วม พบว่าค่าเฉลี่ยรวมของค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วม 4.53 อยู่ในระดับการมีส่วนร่วมมากที่สุด และพบความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ กับการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งปฏิกูล<br />ที่ถูกหลักสุขาภิบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ดังนั้น กรมอนามัยจึงควรพัฒนาหลักสูตรและสร้างความรอบรู้แก่ผู้ประกอบการรถสูบ สิ่งปฏิกูล เจ้าหน้าที่เทศบาล/อบต. อสม. และประชาชนทั่วไป เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพจากการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยเฉพาะพยาธิใบไม้ตับ</p> 2024-03-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266379 ปัจจัยพยากรณ์ความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ของข้าราชการครูหลังเกษียณ อายุราชการ ชมรมครูบำนาญอำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก 2024-01-17T11:06:15+07:00 จิระภา ขำพิสุทธิ์ jpisut@gmail.com ปัทมา สุพรรณกุล psk287@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยพยากรณ์ความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ของข้าราชการครูหลังเกษียณอายุราชการ ชมรมครูบำนาญอำเภอเมือง จังหวัดตาก เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 จากตัวอย่างจำนวน 150 ราย ด้วยวิธีการสุ่มแบบสะดวก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 <br />ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 75.3 เป็นเพศหญิง มีอายุอยู่ในช่วง 60–69 ปี มากที่สุด พบร้อยละ 86.0 ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีการรับรู้ภาวะสุขภาพตนเองอยู่ในระดับมาก และ<br />มีความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองในระดับมากเพียงพอ รองลงมามีความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองในระดับเพียงพอ ผลการวิเคราะห์พบ 4 ตัวแปรที่มีอำนาจพยากรณ์ความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ของข้าราชการครูหลังเกษียณอายุราชการ พบการรับรู้ภาวะสุขภาพ มีอำนาจ<br />การพยากรณ์สูงที่สุด (β = 0.341, p-value = &lt;0.001) รองลงมาได้แก่ อายุ (β = -0.256, p-value &lt;0.001) การสนับสนุนด้านกำลังใจ (β = 0.218, p-value = 0.005) และการสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสารสุขภาพ (β = 0.200, p-value = 0.003) ตามลำดับ ตัวแปรทั้ง 4 ตัว ร่วมพยากรณ์ความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ของข้าราชการครูหลังเกษียณอายุราชการ ได้ร้อยละ 42.7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-03-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266257 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานโรงเรียนพ่อแม่ในสถานบริการสาธารณสุข ทุกระดับศูนย์เด็กเล็กปฐมวัยและสถานศึกษาในเขตสุขภาพที่ 7 2023-11-26T19:49:55+07:00 สุจิรา ขวาแซ้น sujira_jew@hotmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Study) ครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อทดลองใช้รูปแบบการดำเนินงานโรงเรียนพ่อแม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ บิดา มารดา หรือผู้เลี้ยงดูเด็กที่ได้รับความรู้จากหลักสูตรโรงเรียนพ่อแม่ที่พัฒนาขึ้น จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม คือ บิดา มารดา หรือผู้เลี้ยงดูเด็กซึ่งไม่ได้เข้าหลักสูตรโรงเรียนพ่อแม่ จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบทดสอบความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้านความรู้ ด้วย Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยทดลองใช้หลักสูตรและรูปแบบปรับปรุง พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีคุณลักษณะทั่วไปใกล้เคียงกัน เพศ อายุ เป็นบิดา/มารดาของเด็ก สถานภาพสมรส โดยความรู้ในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัย จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน กลุ่มศึกษามีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ 25.10±2.75 คะแนน สูงกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งมีคะแนน 21.73±3.19 คะแนนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่า p-value &lt; 0.001</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรจัดกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่อย่างครอบคลุมทุกหน่วยบริการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลส่งเสริมสุขภาพสตรีและเด็กปฐมวัย โดยปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทของตนต่อไป</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/267215 หลักการสอนแอโรบิกดานซ์สมัยใหม่ 2024-01-17T15:01:42+07:00 ยรรยงค์ พานเพ็ง yanyong.pha@lru.ac.th อัตถสิทธิ์ ไชยณรงค์ austtasit@go.buu.ac.th ชวิศ วงษ์เขียว chawis.won@lru.ac.th <p>รูปแบบแอโรบิกดานซ์ในอดีตได้ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายน่าสนใจ ในปัจจุบันแอโรบิกดานซ์ได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการออกกำลังกายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพสำหรับทุกเพศทุกวัย</p> <p>การเติบโตทางธุรกิจด้านสุขภาพได้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ความทันสมัยของรูปแบบการออกกำลังกายแบบกรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์จึงได้มีวิวัฒนาการรูปแบบการสอนมีความเฉพาะประเภท <br />โดยจัดโปรแกรมให้มีความสอดคล้องกับสมรรถนะทางกาย 3 ประเภท คือ กรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์ประเภทที่หนึ่งเป็นการพัฒนาระบบหัวใจไหลเวียนเลือด กรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์ประเภทที่สองพัฒนาด้านความทนทานและเสริมสร้างความแข็งแรง และกรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์ประเภทที่สามพัฒนาด้านความอ่อนตัวและยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ โดยนำหลักการของการสอนแอโรบิกดานซ์ FFITT ซึ่งประกอบด้วย สนุกสนาน (Fun, F) ความบ่อย (Frequency, F) ความหนัก (Intensity, I) ระยะเวลา (Time, T) ชนิดของการออกกำลังกาย (Types of Activity, T) เพื่อให้การสอนมีความทันสมัย และปลอดภัย</p> <p>ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้นำเสนอเพิ่มเติมหลักการของความหลากหลายของการสอน (Variety, V) <br />และความปลอดภัยในการเต้น และการเคลื่อนไหว (Safety, S) ซึ่งประเด็นสำคัญทั้ง 2 ประการ<br />มีความเกี่ยวข้องกับการจัดโปรแกรม และผู้นำการออกกำลังกายสามารถยึดเป็นแนวปฏิบัติในการสอนด้วยหลักการ FFITT-VS สำหรับจัดโปรแกรมกรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์ในอนาคต</p> 2024-03-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265712 ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้ำ ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ปีงบประมาณ 2566 2023-11-14T08:48:17+07:00 วีระวรรณ เหล่าวิทวัส vaccine2543@gmail.com เอมวิกา แสงชาติ Vaccine2543@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้ำในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ใช้รูปแบบการวิจัยแบบย้อนหลัง (Retrospective Cohort Analysis Study) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยวัณโรคอายุ 15 ปีขึ้นไปที่รักษาหาย และเสียชีวิตด้วยวัณโรคที่ขึ้นทะเบียนในโปรแกรม NTIP (National Tuberculosis Information Program) กระทรวงสาธารณสุข ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565–18 กันยายน 2566 ของพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน 550 ราย ได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบรวบรวมข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไคสแควร์ (chi-square) และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก (Logistic Regression Analysis) ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ 1) อายุ 2) การติดเชื้อ HIV 3) ตำแหน่งของการติดเชื้อวัณโรค และ 4) การมีโรคร่วม คือ โรคไตเรื้อรัง (CKD) และโรคตับ</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ คือ ในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคควรนำข้อมูลด้านปัจเจกบุคคลของผู้ป่วย เช่น ผู้สูงอายุ การมีโรคประจำตัว การตรวจหาเชื้อ HIV มาประกอบการวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับบริบทของผู้ป่วยเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266413 ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการจัดการอาการกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน งานห้องผู้ป่วยหนัก 1 โรงพยาบาลลำพูน 2023-12-25T11:29:46+07:00 อรทัย ธรรมป๊อก orataithummapok@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองศึกษากลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อประเมินความรู้ของพยาบาลวิชาชีพเกี่ยวกับการจัดการอาการกลืนลำบาก และอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการสำลักในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน ก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติ<br />ทางคลินิกสำหรับการจัดการอาการกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน <br />กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในงานห้องผู้ป่วยหนัก 1 จำนวน 17 คน และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน ที่เข้ารับการรักษาในงานห้องผู้ป่วยหนัก 1 เดือนเมษายน – มิถุนายน 2566 จำนวน 24 คน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการจัดการอาการกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน พยาบาลวิชาชีพมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการอาการกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และไม่พบอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก</p> <p>สรุปได้ว่า การใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการจัดการอาการกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน ช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก</p> 2024-03-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266271 การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉียบพลันที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำรูปแบบดริพและชิฟ ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ : กรณีศึกษา 2 ราย 2023-12-27T11:25:50+07:00 จุฑาทิพย์ คนตรง juthatip59@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลกรณีศึกษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉียบพลันที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำรูปแบบดริพและชิฟ (Drip and ship model) ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 2 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบบันทึกข้อมูลรวบรวมจากการสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล และข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยของโรงพยาบาลเพื่อค้นหาปัญหา กำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาล และวางแผนการพยาบาล วิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉียบพลัน พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การรักษาและข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กรณีศึกษารายที่ 1 ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำและส่งต่อไปที่โรงพยาบาลแม่ข่ายมีระยะเวลาเริ่มมีอาการจนได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด (Onset to needle time) 160 นาที และ ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมาถึงห้องฉุกเฉินจนได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด (Door to needle time) 40 นาที กรณีศึกษารายที่ 2 ได้รับการรักษาด้วยยาละลาย<br />ลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ และส่งต่อไปที่โรงพยาบาลแม่ข่าย มี onset to needle time 58 นาที และ door to needle time 34 นาที</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/267432 ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ครีมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากลูกประคบ เพื่อลดความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อในกลุ่มเกษตรกร จังหวัดสระแก้ว 2024-01-22T14:13:51+07:00 เฟื่องฟ้า รัตนาคณหุตานนท์ fuangfah@vru.ac.th จันทรรัตน์ จาริกสกุลชัย fuangfah@vru.ac.th นาตยา ดวงประทุม fuangfah@vru.ac.th รัฐพล ศิลปรัศมี fuangfah@vru.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ครีมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากลูกประคบเพื่อลดความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อในเกษตรกร จังหวัดสระแก้ว จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบวัดระดับความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการใช้ผลิตภัณฑ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติการทดสอบที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สารสกัดหลักที่ได้จากสมุนไพรในลูกประคบ คือ ไพล ผิวมะกรูด ขมิ้นชัน ใบมะขาม ตะไคร้ และดอกระกำ ได้ของเหลวข้นสีน้ำตาล มีความหนืดเล็กน้อย ได้ %yield เท่ากับ 4.32 สารสกัดจากสมุนไพรนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความคงตัวเหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผลการทดสอบประสิทธิภาพพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารสกัดร้อยละ 4 สามารถลดความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของกลุ่มทดลอง หลังใช้ผลิตภัณฑ์เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยใช้แบบประเมินระดับความปวดเมื่อย Visual Analogue Scales (VAS)</p> <p>ผลจากการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำสารสกัดหลักจากลูกประคบมาพัฒนารูปแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน เป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาพ และเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทยเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ต่อไป</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265865 การประเมินผลการจัดการภาวะวิกฤตการเงินการคลัง โรงพยาบาลน้ำพอง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 2023-12-02T19:01:59+07:00 ศิริธร ยอดสะอึ siritorntoto@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการจัดการภาวะวิกฤตการเงินการคลัง โรงพยาบาลน้ำพอง ปี 2563-2565 ตามแนวคิดการประเมินแบบซิพพ์ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) บริบท 2) ปัจจัยนำเข้า 3) กระบวนการ 4) ผลผลิต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลวิกฤตการเงินการคลัง ข้อมูลประเมินประสิทธิภาพการเงินการคลัง ข้อมูลอัตราส่วนประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและบริหารจัดการ รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหาร กรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรรมการจัดเก็บรายได้</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ด้านบริบท โรงพยาบาลขยายบริการรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ในปี 2563 เกิดวิกฤตการเงินการคลัง ค่าความเสี่ยงทางการเงิน ระดับ 3 ด้านปัจจัยนำเข้า เพื่อจัดการปัญหา เช่น งบประมาณ บุคลากร การบริหารคลังพัสดุ การควบคุมค่าใช้จ่าย การเฝ้าระวังสถานการณ์การเงินต่อเนื่อง และเทคโนโลยี ด้านกระบวนการ เช่น การบริหารรายได้ ควบคุมรายจ่ายตามแผนเงินบำรุงและแผนการเงินการคลัง พัฒนาระบบเรียกเก็บรายได้ จัดหาคณะกรรมการทบทวนสรุปวิเคราะห์สถานการณ์การเงินการคลัง ติดตามตรวจสอบต่อเนื่อง ด้านผลผลิต ภาวะวิกฤตการเงินการคลัง ระดับ 2-4 ในปี 2563-2564 ลดลงจนไม่มีภาวะวิกฤต ตลอดปี 2565 เงินบำรุงมีสภาพคล่อง และแนวโน้มดีขึ้นทุกด้าน ผลประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง</p> <p>การประเมินแบบซิพพ์ สามารถใช้ประเมินการจัดการภาวะวิกฤตทางการเงิน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นโอกาสพัฒนาหรือปัจจัยแห่งความสำเร็จ นำไปสู่กระบวนการจัดการภาวะวิกฤตทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266434 ผลของโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาต่ออาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา 2023-12-30T14:24:28+07:00 นิตยา ยวงเดชกล้า y_nittaya@yahoo.com อภิญญา ตันเจริญ apinya-beerz@hotmail.com <p>ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพโดยรวม การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า และผลของโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษาต่อภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่ซึมเศร้าระดับเล็กน้อย และปานกลาง 32 คน สุ่มเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 16 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษา 6 ครั้งๆ ละ 1.30 ชั่วโมง/สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับดูแลตามปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้า 9Q ประเมินก่อนทดลอง หลังทดลอง และติดตามผล 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลการศึกษาระหว่าง 2 กลุ่ม โดยสถิติ Chi-square และ paired sample t-test</p> <p>ผลวิจัย พบ ผู้สูงอายุเพศหญิงซึมเศร้ามากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่ซึมเศร้าในระดับเล็กน้อย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า ได้แก่ เพศ ความเพียงพอของรายได้ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้าได้รับโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษา มีคะแนนภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งในระยะหลังทดลอง และระยะติดตามผล คะแนนภาวะซึมเศร้าในระยะหลังทดลอง และในระยะติดตามผลไม่แตกต่างกัน</p> <p>โปรแกรมสุขภาพจิตศึกษามีประสิทธิผลในการลดอาการซึมเศร้าได้ บุคลากรสาธารณสุขสามารถนำโปรแกรมสุขภาพจิตศึกษามาประยุกต์ใช้ เพื่อลดอาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้</p> 2024-02-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266287 การพัฒนาโปรแกรมการให้ความรู้แบบเข้มข้นต่อความรู้และพฤติกรรมการจำกัดน้ำของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลลำพูน 2023-12-27T21:48:33+07:00 เพ็ญจันทร์ นันทะชัย penchan.nantachai13@gmail.com เมธาวี ดวงแก้ว Penchan.Nantachai13@gmail.com ทิวากร สุภากาศ Penchan.Nantachai13@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการให้ความรู้แบบเข้มข้น และศึกษาผลของโปรแกรมด้านความรู้ พฤติกรรมการจำกัดน้ำ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย รับการรักษาด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลลำพูน ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน พ.ศ. 2566 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้แบบเข้มข้น เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อส่วนบุคคลของผู้ป่วย แบบวัดความรู้การจำกัดน้ำ และแบบวัดพฤติกรรมการจำกัดน้ำ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired Sample t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมการให้ความรู้แบบเข้มข้น สร้างขึ้นโดยใช้กระบวนการสอนสุขภาพ ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) การใช้ตัวแบบที่ประสบผลสำเร็จในการควบคุมน้ำ 2) การให้ความรู้โดยการสนทนา การสาธิต และการฝึกปฏิบัติ และ 3) การติดตามการดื่มน้ำ และอาหารในชีวิตประจำวัน ผลของโปรแกรม พบว่าหลังการใช้โปรแกรมกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยมีความรู้การจำกัดน้ำเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=-9.137, <em>P</em>-value=.000) และมีพฤติกรรมการจำกัดน้ำที่ดีขึ้นอยู่ในระดับดีมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=-24.538, <em>P</em>-value=.000)</p> <p>กล่าวได้ว่า โปรแกรมช่วยเสริมสร้างให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้วยตนเองในการควบคุมภาวะน้ำเกิน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/267465 การพัฒนาการดูแลสุขภาพระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (LTC) ตำบลนาคู อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ 2024-03-03T14:28:25+07:00 สร้อยศรี วรสาร mysoiploymai@gmail.com Santi Uttharang numputri_am@hotmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อศึกษาการพัฒนาการบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลนาคู อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จำนวน 85 คน ใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยหาค่าสถิติพรรณนา และ Paired Sample t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัย การพัฒนาการบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลนาคู <br />อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 1) พัฒนาระบบสารสนเทศทางคลินิก 2) พัฒนา<br />การสนับสนุนการตัดสินใจ 3) พัฒนาระบบบริการ 4) พัฒนาการสนับสนุนการดูแลตนเอง <br />5) พัฒนาการใช้ทรัพยากรและนโยบายชุมชน จากผลการดำเนินงาน พบว่า ผู้สูงอายุกลุ่มสังคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.88 มีภาวะโภชนาการปกติ ร้อยละ 75.29 มีความเศร้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 88.24 <br />ไม่มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม ร้อยละ 85.88 ไม่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มร้อยละ 49.42 มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ร้อยละ 32.94 และมีความเสี่ยงสูงต่อการพลัดตกหกล้มร้อยละ17.64 ผู้สูงอายุมีค่าเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในภาพรวมเพิ่มขึ้นทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกายจิตใจ สัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม</p> 2024-03-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265876 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบโรงพยาบาลสกลนคร 2023-11-11T12:53:38+07:00 เกศกัญญา ไชยวงศา kedkanya.gibb@bcnu.ac.th ทัศนีย์ กลีบรัง kedkanya.gibb@bcnu.ac.th วิภาจรีย์ วันดี kedkanya.gibb@bcnu.ac.th จารุพร ไชยวงศา kedkanya.gibb@bcnu.ac.th <p>ภาวะปอดอักเสบในผู้ป่วยสูงอายุ ทำให้นอนโรงพยาบาล และเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นและรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตถ้ามีการติดเชื้อในกระแสโลหิต เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาและประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบ โรงพยาบาลสกลนคร ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 1) พยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกฯ จำนวน 18 คน 2) ผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบที่เข้ารับการรักษา<br />ตึกอายุรกรรมชาย 2 โรงพยาบาลสกลนคร จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก (CNPGs) 2) แบบประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลวิจัย พบว่า แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบ แบ่งเป็น ผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบที่ยังไม่ได้ใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ และใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ ประเมินผลลัพธ์ด้านพยาบาลวิชาชีพ ส่วนใหญ่ปฏิบัติทุกครั้ง มากกว่าร้อยละ 83.73 ส่วนด้านผู้ป่วยตรวจไม่พบ เชื้อก่อโรค ภาวะดื้อต่อยาจุลชีพ ภาวะแทรกซ้อนในขณะพักรักษาตัว อัตราการเสียชีวิตลดลง แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก (CNPGs) ที่พัฒนาขึ้นนำไปใช้ได้ง่าย</p> <p>ควรมีการติดตาม กำกับและประเมินผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วย</p> 2024-01-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266713 ความท้าทายในการดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรงพยาบาลสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์: กรณีศึกษา 2 ราย 2024-03-08T16:10:40+07:00 ศักดิ์สิทธิ์ พลตื้อ saksit12@gmail.com <p>ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การรักษาเบื้องต้นจากโรงพยาบาลชุมชน เป็นหนึ่งในทางรอดสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล การให้ยา Streptokinase ในโรงพยาบาลชุมชนช่วยเพิ่มโอกาสรอดสำหรับผู้ป่วย ในการให้ยา Streptokinase พยาบาลต้องมีความรู้และทักษะการเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการให้ยา การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจึงมีความท้าทายสำหรับพยาบาล การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 2 ราย ดังนี้</p> <p>กรณีศึกษาที่ 1 ชายไทย อายุ 74 ปี 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ <br />ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบ ST-elevation ที่ Lead II, III, AVF แพทย์วินิจฉัยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ให้ยา Streptokinase ขณะให้ยาผู้ป่วยหมดสติ คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็น Ventricular Tachycardia แพทย์ทำ Cardioversion 100 Joule และส่งต่อไปที่โรงพยาบาลขอนแก่น</p> <p>กรณีศึกษาที่ 2 หญิงไทย อายุ 75 ปี 4 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยเพลียความดันโลหิต 72/46 มิลลิเมตรปรอท คลื่นไฟฟ้าหัวใจ พบ ST segment elevation lead V2-V4 แพทย์วินิจฉัยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันร่วมกับภาวะช็อกจากเหตุหัวใจ ให้ยากระตุ้นความดันโลหิตก่อน ให้ยา Streptokinase และส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลขอนแก่น ระหว่างส่งต่อผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นได้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ 30 นาที ผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างนำส่ง</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264428 ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกในการใช้งานแอพพลิเคชั่น “อสม. ออนไลน์” ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2023-12-09T18:26:15+07:00 พันธะกานต์ ยืนยง yy.phanthakan@gmail.com ญาณันธร กราบทิพย์ yy.phanthakan@gmail.com กนกกร จงประสิทธิ์ yy.phanthakan@gmail.com กนกรดา แก้วอ่อน yy.phanthakan@gmail.com ณิชกานต์ ส่งแจ้ง yy.phanthakan@gmail.com ธมนวรรณ นาลัย yy.phanthakan@gmail.com ปาริฉัตร ทองนา yy.phanthakan@gmail.com สุพรรษา ศรีโมรา yy.phanthakan@gmail.com ฐิติมา เดียววัฒนวิวัฒน์ yy.phanthakan@gmail.com สินีนาฏ โคตรบรรเทา yy.phanthakan@gmail.com <p>ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกเป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคลที่เป็นองค์ประกอบของพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกในการใช้งานแอพพลิเคชั่น “อสม. ออนไลน์” ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 84 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย ภูมิหลัง และมาตราวัดทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกในการใช้งานแอพพลิเคชั่น “อสม. ออนไลน์” วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมานประกอบด้วย Independent T-test และ One-way ANOVA</p> <p>ผลวิจัย พบว่า ภาพรวมทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกในการใช้งาน แอพพลิเคชั่น “อสม. ออนไลน์” ของ อสม. อยู่ในระดับดีมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 3.74, S.D. = 0.41) คุณลักษณะด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง ความหวัง การมองโลกในแง่ดี และความหยุ่นตัว อยู่ในระดับดีมาก เมื่อเปรียบเทียบทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก พบว่า ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับภูมิหลัง และองค์ประกอบรายด้านของทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก พบว่า สถานภาพแตกต่างกัน มีด้านความหวัง แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ดังนั้น ควรสร้างแรงจูงใจ ติดตาม และให้คำแนะนำในการใช้แอพพลิเคชั่น “อสม. ออนไลน์” โดยคำนึงถึงบริบทของชุมชนในการนำแอพพลิเคชั่นนี้ไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางพิจารณาในการพัฒนาสำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน</p> 2024-02-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266301 การเปรียบเทียบคุณลักษณะส่วนบุคคลกับค่าเฉลี่ยคุณภาพการนอนหลับของสามเณร ในโรงเรียนปริยัติธรรม จังหวัดอุบลราชธานี 2024-02-02T11:15:39+07:00 นฤมล กิ่งแก้ว nkingkaew@scphub.ac.th <p>คุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีสัมพันธ์กับการทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพการนอนหลับ และเปรียบเทียบคุณลักษณะส่วนบุคคลกับค่าเฉลี่ยคุณภาพการนอนหลับของสามเณรในโรงเรียนปริยัติธรรม จังหวัดอุบลราชธานี เก็บตัวอย่างระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2564 โดยการสัมภาษณ์ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 317 รูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One-Way ANOVA กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระยะเวลาในการบวชมากที่สุด 1-2 ปี ร้อยละ 40.4, คุณภาพการนอนหลับโดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ร้อยละ 57.4 และระดับไม่ดี ร้อยละ 42.6, ร้อยละ 71.0 ของกลุ่มตัวอย่างถูกรบกวนการนอนหลับ โดยมีค่าคะแนนระหว่าง 1-9 คะแนน มีคุณภาพการนอนหลับเชิงอัตนัยในระดับดีมาก ร้อยละ 62.1 และมีประสิทธิภาพการนอนมากกว่า 85% ร้อยละ 55.5 <br />ผลการวิเคราะห์ One-Way ANOVA พบว่า ค่าเฉลี่ยคุณภาพการนอนหลับระหว่างกลุ่มอายุ ระยะเวลาการบวช และโรคประจำตัวไม่แตกต่างกัน</p> <p>ข้อเสนอแนะ: กลุ่มตัวอย่างบางส่วนมีปัญหาการนอนหลับจากการถูกรบกวนภายใต้สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ นอนหลับยาก ดังนั้น จึงควรมีการแนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> 2024-03-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/267861 โรงพยาบาลบุษราคัม ต้นแบบการพัฒนารับมือ COVID-19 และโรคระบาดในอนาคต สู่การขยายผลในพื้นที่ 2024-02-23T15:02:58+07:00 ณปภัช นฤคนธ์ napapat111@hotmail.com <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ต้นแบบพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 <br />ในโรงพยาบาลบุษราคัม กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คือ <br />1) ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องการจัดการระบบบริการจำนวน 10 คนเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก <br />2) กลุ่มตัวอย่างผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในโรงพยาบาลจำนวน 30 คน เก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img title="\ddot{\bar{X}}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\ddot{\bar{X}}" />) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>พบว่า ผู้บริหารให้ความสำคัญการกำหนดนโยบาย ทิศทางดำเนินงาน การจัดระบบบริการ<br />ทางการแพทย์ พัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ มีการกำกับ ติดตาม ประเมินผล และผู้ปฏิบัติภารกิจในโรงพยาบาลบุษราคัมให้ความคิดเห็นโรงพยาบาลบุษราคัมมีความพร้อมการจัดระบบบริการต่อ COVID-19 ผลภาพรวมระดับมาก (<img title="\ddot{\bar{X}}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\ddot{\bar{X}}" />= 4.02, S.D. = 0.73) ปัจจัยความสำเร็จ คือ ความร่วมมือทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการที่เป็นระบบ การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคบุคลากรไม่เพียงพอ มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายงบประมาณ</p> <p>ข้อเสนอแนะ มีการเตรียมการแผนรองรั[สถานการณ์ฉุกเฉินโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นอีก การบริหารจัดการระบบบริการ หน่วยงานกลางมีการบูรณาการกำหนดแนวทาง มาตรฐาน ข้อระเบียบ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องรองรับกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต</p> 2024-03-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266172 ความรอบรู้และพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนต่อกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียนของครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2023-12-14T10:24:03+07:00 ศิริชัย รินทะราช Sirichai.ph.d@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้และประเมินพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในกลุ่มเปราะบางเด็กก่อนวัยเรียน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กลุ่มตัวอย่างครูผู้ดูแลเด็ก<br />ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 36 คน ระยะเวลาศึกษาเดือน กุมภาพันธ์ 2566 - มีนาคม 2566 </p> <p> ผลวิจัย พบว่า ครูผู้ดูแลเด็ก มีระดับความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาพรวมในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.97 เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า ครูผู้ดูแลเด็ก มีระดับความรอบรู้ ด้านการเข้าถึงข้อมูลอนามัยสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.23 ส่วนความรอบรู้ด้านเข้าใจข้อมูล การตรวจสอบข้อมูล และการตัดสินใจด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันสุขภาพ อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.97, 3.85 และ 3.86 ตามลำดับ ในขณะที่ผลการประเมินพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของครูผู้ดูแลเด็ก<br />อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.39 </p> <p> สรุปว่า ระดับความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของครูผู้ดูแลเด็กเล็ก ด้านสามารถเข้าถึงข้อมูล อยู่ระดับมากที่สุด และด้านเข้าใจข้อมูล ด้านการตรวจสอบข้อมูล ด้านการตัดสินใจ อยู่ระดับ<br />ความรอบรู้มาก ข้อเสนอแนะหน่วยงานสาธารณสุข ควรมีการอบรมเสริมสร้างพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในกลุ่มครูผู้ดูแลเด็กซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง</p> 2024-03-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266892 ผลการศึกษาการจ้างงานโครงการจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข และ สายงานบริการทางการแพทย์อื่น เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อพัฒนารูปแบบการจ้างงานให้สอดคล้องเหมาะสม กับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ 2024-01-17T13:52:24+07:00 เสาวลักษณ์ ฉิมจาด mind1146@hotmail.com อรพิน ทองสมนึก nok_orapin@hotmail.co.th ปัทมาภรณ์ กุสุมภ์ pattama.pu29@gmail.com ปรีชา บุญญาภิสิทธิ์โสภา dark_berg@hotmail.com ทองพูน พลทัพ chaymoph@hotmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis) โครงการจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข และสายงานบริการทางการแพทย์อื่น ของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับการจัดสรรกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจ จำนวน 5,000 อัตรา ระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจ้างงานและกลไกในการจ้างงาน เอกสารที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรี มติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) หนังสือของหน่วยงานราชการ และนำแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังของสำนักงาน ก.พ. มากำหนดขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย 1) กลไกการอนุมัติกรอบอัตรากำลัง และการจัดสรรงบประมาณ 2) แนวทางในการบริหารกรอบอัตรากำลัง 3) แนวทางในการสรรหาและเลือกสรร 4) ระยะเวลาการจ้างงานหรือเลิกจ้างก่อนสิ้นสุดตามสัญญา 5) การตรวจสอบและประเมินผล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) กระทรวงสาธารณสุขได้รับงบประมาณในการจ้างงาน จำนวน 2,402 อัตรา 2) มีการเกลี่ยอัตรากำลัง และเปลี่ยนตำแหน่งให้เหมาะสมตามความจำเป็น 3) การสรรหาและเลือกสรรมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ชัดเจน 4) สำหรับกลไกในการจ้างงาน มีระบบสัญญาจ้างกำหนดเงื่อนไข ระยะเวลาการจ้างไม่เกิน 3 เดือน เมื่อสิ้นสุดโครงการ พบว่า มีการจ้างงาน จำนวน 1,933 อัตรา คิดเป็นร้อยละ 80</p> <p>ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านบริหารงานบุคคล และด้านงบประมาณ ควรมีการทบทวนกฎหมาย และขั้นตอนวิธีการทางงบประมาณ และกำหนดแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังในภาวะวิกฤติ และวงเงินงบประมาณไปในคราวเดียวกัน</p> 2024-03-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264507 ประสิทธิผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2023-10-10T10:18:58+07:00 ปรีชา สุวรรณทอง prchas@msn.com อมรรัตน์ ถิ่นซื่อตรง prchas@msn.com สิรินภา เตียวศิริ prchas@msn.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 19 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มี 4 กิจกรรมได้แก่ การค้นหาสภาพปัญหาการจัดกลุ่มการเรียนรู้ร่วมกัน พฤติกรรมการดูแลตนเอง การประเมินผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การทดสอบสมมติฐานของกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง ระยะเวลาศึกษาเดือนมกราคม-มีนาคม 2566 พบว่า ก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเท่ากับ 70.15 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 9.17 ภายหลังการทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนของพฤติกรรมการดูแลตนเองเท่ากับ 85.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 6.27 มีค่าสถิติ (<em>t</em>) เท่ากับ -6.775 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่า p-value &lt;0.001</p> <p>การศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ มีประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยสามารถปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองในด้านการรับประทานอาหาร <br />ด้านการออกกำลังกาย และด้านการรับประทานยา จึงควรมีการส่งเสริมและนำไปใช้ต่อไป</p> 2024-02-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266318 คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากและปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้งานฟันเทียมของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการของกลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2023-11-27T12:50:31+07:00 จุฑารัตน์ หาญอาษา jutharathanasa@gmail.com <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฟันเทียมของผู้สูงอายุที่รับการใส่ฟันเทียมจากกลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลร่องคำ พ.ศ.2561-2565 กลุ่มตัวอย่าง 149 คน สุ่มแบบเป็นระบบ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ดังนี้ ข้อมูลทั่วไป, คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากสำหรับผู้ป่วยไร้ฟัน, พฤติกรรมในการดูแลและใช้ฟันเทียม และการใช้งานฟันเทียม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน ด้วย Chi-Square และ Fisher’s exact test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียม ตอบแบบสอบถามกลับ ร้อยละ 93.96 ซึ่งผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 56.43 มีอายุเฉลี่ย 73.79 ปี และใช้งานฟันเทียมได้ปกติ ร้อยละ 50.71 คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากระดับสูง ร้อยละ 52.14 และพฤติกรรมการดูแลและใช้ฟันเทียม ระดับสูง ร้อยละ 51.42 ทั้งนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฟันเทียมของผู้สูงอายุ ได้แก่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (p-value = 0.020), คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก (p-value &lt; 0.001), และ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก (p-value &lt; 0.001) การศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากมีความสัมพันธ์ต่อการใช้งานฟันเทียมของผู้สูงอายุ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปพัฒนาระบบการให้บริการฟันเทียมของผู้สูงอายุในพื้นที่</p> 2024-02-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์