https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/issue/feed วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ 2025-11-11T10:41:14+07:00 ดร.สุภัทรา สามัง supattrasamung@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยเเละพัฒนาระบบสุขภาพเป็นวารสารที่ใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลศึกษาวิจัย ทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุขเเละคุณภาพชีวิตนำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน <br />บุคลากรทางด้านสาธารณสุข และทางการเเพทย์ ทั้งในระดับประเทศเเละระดับนานาชาติ รวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจทั่วไป</p> <p>ISSN 3027-6845 (Print)</p> <p>ISSN 3027-6853 (Online)</p> <p> </p> <p> </p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275378 ผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ สำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ 2025-10-26T10:02:14+07:00 วัชรา เลิศแก้ว thawatchai.yeun@gmail.com ธวัชชัย ยืนยาว thawatchai.yeun@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ประชากรในการศึกษา จำนวน 40 คน ตัวอย่างเป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ จำนวน 34 คน โดยใช้แบบสอบถาม 3 ส่วน โดยเข้าร่วมโปรแกรม 3 ครั้ง (6 สัปดาห์) ได้แก่ ครั้งที่ 1 การเตรียมความพร้อม ครั้งที่ 2 การฝึกประสบการณ์เพิ่มพูนสมรรถนะฯ (4 สัปดาห์) และครั้งที่ 3 การประเมินผลและสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ด้านความรู้ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุหลังโปรแกรม (M = 28.13, S.D. = 0.47) สูงกว่าก่อนโปรแกรม (M = 22.38, S.D.= 3.95) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt; 0.001 และด้านสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ ก่อนและหลังโปรแกรม พบว่า คะแนนสมรรถนะเฉลี่ยหลังโปรแกรม(M = 227.93, S.D. = 8.11) สูงกว่าก่อนโปรแกรม (M = 187.34, S.D. = 22.18) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt; 0.001</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีนำไปใช้ในเครือข่ายหน่วยบริการอื่นๆ และพัฒนาสมรรถนะด้านการประเมินและการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน Fast Track เพื่อให้ได้รับการรักษาแบบเร่งด่วนและป้องกันภาวะคุกคามต่อชีวิต</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/277404 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกินในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดกลุ่ม Taxane 2025-09-15T17:22:18+07:00 กัมพล อินทรทะกูล kampon.int@gmail.com ปิยรัตน์ ภาคลักษณ์ Naphatsorn@bcnchainat.ac.th รัศมิ์สุนันท์ จันทรภักดี Naphatsorn@bcnchainat.ac.th อนุชา ดวงแก้ว Naphatsorn@bcnchainat.ac.th นภัสสร ยอดทองดี Naphatsorn@bcnchainat.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกิน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและบันทึกทางการพยาบาลของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 135 ราย ได้จากการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้หลักการคัดเลือกประชากรทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์การศึกษาตามคุณสมบัติที่กำหนด วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Simple logistic regression และ Multiple logistic regression</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความชุกของระดับความรุนแรง พบ ระดับ I และ II คิดเป็นร้อยละ 45.93 และ 54.07 ตามลำดับ จำแนกระดับความรุนแรงตามเกณฑ์ Common Terminology Criteria for Adverse Events (CTCAE) วิเคราะห์สถิติถดถอยพหุลอจิสติกส์ พบ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ได้แก่ อายุ (OR<sub>adj</sub> = 3.58; 95% CI = 1.32-9.75) ประวัติการแพ้ยา (OR<sub>adj</sub> = 5.53; 95% CI = 2.00-15.27) จำนวนรอบของการรักษา (OR<sub>adj</sub> = 7.27; 95% CI = 2.70-19.55) ความเข้มข้นของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ (OR<sub>adj</sub> = 7.22; 95% CI = 2.09-24.96) และปริมาณยาเคมีบำบัดที่ได้รับขณะเกิดภาวะภูมิไวเกิน (OR<sub>adj</sub> = 6.99; 95% CI = 2.07-23.58)</p> <p>ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวทางการคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะภูมิไวเกิน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการบริหารยาเคมีบำบัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-12-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275994 ผลของโปรแกรม 3Rs ต่อความรู้ แรงจูงใจ และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ครัวเรือนของประชาชนตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร 2025-10-26T10:01:19+07:00 วิริญจ์ชนก พงษ์นิล virinchanok@hotmail.com สรญา แสนมาโนช soraya.sa@udru.ac.th ปิยพร แผ้วชำนาญ piyabhorn.ph@udru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม 3Rs ต่อความรู้ แรงจูงใจ การรับรู้ความสามารถตนเอง พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือน และปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือนของประชาชนตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนครัวเรือน ประกอบด้วย กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 50 คน ศึกษาช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2567 กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม 3Rs ที่ผู้วิจัยได้นำหลัก 3Rs มาออกแบบโดยใช้ทฤษฎีการให้ข้อมูลข่าวสาร การสร้างแรงจูงใจ และการพัฒนาทักษะ และทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเอง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบบันทึกปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test, Independent t-test และ Repeated-Measures ANOVA</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม 3Rs กลุ่มทดลองมีความรู้ แรงจูงใจ การรับรู้ความสามารถตนเอง และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนตามหลัก 3Rs ดีขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) หลังเข้าร่วมโปรแกรม 3Rs และระยะติดตามผล กลุ่มทดลองมีปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือนลดลงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและลดลงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001)</p> <p>ดังนั้น จึงควรประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดปริมาณ<br />ขยะมูลฝอยครัวเรือนและชุมชนในอนาคต</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275445 ผลของโปรเเกรมประยุกต์แนวคิดเกมมิฟิเคชันต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของ นักเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดสมุทรปราการ 2025-10-26T10:02:05+07:00 จารุจินดา คำวิลานนท์ kumvilanon.j@gmail.com เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์ pajaree@go.buu.ac.th นิภา มหารัชพงศ์ pajaree@go.buu.ac.th ปาจรีย์ อับดุลลากาซิม pajaree@go.buu.ac.th <p>การไม่ออกกำลังกายในเด็กประถมศึกษายังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว แม้ว่าการใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันจะได้รับการศึกษาต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังขาดงานวิจัยที่ประยุกต์ใช้แนวคิดนี้กับการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในเด็กอย่างชัดเจน</p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมประยุกต์แนวคิดเกมมิฟิเคชันต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองเป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.33 และเพศชาย ร้อยละ 46.66 ส่วนกลุ่มควบคุมเป็นเพศชาย ร้อยละ 56.66 และเพศหญิง ร้อยละ 43.33 ทั้งสองกลุ่มมีอายุเฉลี่ย 11 ปี กลุ่มทดลองไม่มีโรคประจำตัว ขณะที่กลุ่มควบคุมมีโรคประจำตัว ร้อยละ 13.33</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 9.97±3.17 เป็น 23.24±1.30 (t = 21.92, p-value &lt; 0.001) หลังเข้าร่วมโปรแกรม และพฤติกรรมการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 34.13±4.62 เป็น 39.53±0.68 (t = 6.23, p-value &lt; 0.001) แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมเกมมิฟิเคชันสามารถส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการออกกำลังกายในเด็กประถมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276016 การพัฒนาตำรับอาหารพื้นถิ่นเพื่อการดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานในจังหวัดนครพนม 2025-11-07T14:30:50+07:00 จรินทร โคตพรม jarintorn@npu.ac.th พัชนี สมกำลัง jesusjpatch@gmail.com นาฎนภา อารยะศิลปธร nadnapa_a@npu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้และพัฒนาตำรับอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ระยะศึกษาสถานการณ์ คือ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดและปราชญ์ท้องถิ่น จำนวน 12 คน ระยะพัฒนาตำรับอาหาร คือ <br />นักโภชนากร 2 คน ผู้เชี่ยวชาญอาหารถิ่น 12 คน พยาบาล 7 คน นักเทคโนโลยีและออกแบบสิ่งพิมพ์ จำนวน 1 คน ระยะประเมินผล คือ ผู้ป่วยเบาหวาน 20 คน และบุคลากรทางสุขภาพ 10 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสังเคราะห์องค์ความรู้ แบบสรุปกิจกรรมสนทนากลุ่ม และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ความรู้ในการดูแลด้านอาหาร ได้แก่ การคำนวณสัดส่วนอาหาร <br />การประเมินภาวะโภชนาการ และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การสาธิตการจัดอาหารต่อมื้อ <br />การค้นหาแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2) ตำรับอาหารสุขภาพ ประกอบด้วย ปลาจุ่ม ต้มส้มปลา ลาบปลาปาก แจ่วฮ้อน หมกหม้อพวงไข่ นึ่งปลาเอือบ เมี่ยงไก่นึ่ง แกงอ่อมผักรวม หมกจ๊อ ซั้วไก่นา ซุปมะเขือ และแกงอ๋อมหวาย 3) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อรูปแบบของตำรับอาหารในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.50, S.D. = 0.78) และมีความพึงพอใจต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในระดับมากที่สุด(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.69, S.D. = 0.87) ความพึงพอใจโดยรวม ระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.60, S.D. = 0.83)</p> <p>ตำรับอาหารนี้ เป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่จังหวัดนครพนม</p> 2025-11-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275563 คู่มือการออกกำลังกายผู้สูงอายุแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย : เทศบาลเมืองเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี 2025-10-26T10:01:58+07:00 พงศธร ไพจิตร pongsathorn.p@lawasri.tru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาคู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย 2) เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมตามคู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุเพศชาย และเพศหญิง จำนวน 20 คน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกาย ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย และแบบประเมินสมรรถภาพทางกายเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้มในผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้วยค่าที</p> <p>ผลการวิจัย 1) ได้คู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.94 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา<br />ครอนบาค เท่ากับ 0.84<strong> </strong>2) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุในแต่ละด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยของรายการทดสอบก่อนการทดลองที่มีความแตกต่างจาก<br />หลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีจัดกิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนอื่นๆ ต่อไป</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276087 ประสิทธิผลของการรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกรังแกและการรังแกผู้อื่น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-09-21T12:36:21+07:00 อภิรักษ์ ตรียวง aphirak.tr@ku.th สิริยาพร นิติคุณเกษม siriyaporn33@gmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุระหว่าง 13-16 ปี จำนวน 39 คน ซึ่งได้รับสื่ออินโฟกราฟิกผ่านเว็บไซต์โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง จำนวน 3 เนื้อหาสาระ เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติค่าทีแบบจับคู่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.43, S.D. = 0.35) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.89, S.D. = 0.46) การรับรู้การควบคุมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.77, S.D. = 0.31) และความตั้งใจทำพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 4.10, S.D. = 0.33) สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) และมีระดับความพึงพอใจสื่ออินโฟกราฟิกผ่านเว็บไซต์โดยภาพรวม (M = 3.84, S.D. = 0.30) อยู่ในระดับสูง</p> <p>สรุปได้ว่า การรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตามองค์ประกอบของทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนของนักเรียน</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275592 ผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้พืชกระท่อม ในเกษตรกร ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-10-26T10:01:50+07:00 จีรารัตน์ อุ่นเพ็ญ aussadawut.yo@vru.ac.th อัษฎาวุฒิ โยธาสุภาพ aussadawut.yo@vru.ac.th สิริยาพร จันทร์ชู aussadawut.yo@vru.ac.th วริสา สง่าพาโชค aussadawut.yo@vru.ac.th อาทิตยา เหลืองประเสริฐ aussadawut.yo@vru.ac.th ลักษมี บัวสัมฤทธิ์ aussadawut.yo@vru.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการทดลองกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้พืชกระท่อมในเกษตรกร ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกร 40 คน ที่คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูล 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนเข้าร่วม หลังเข้าร่วม 8 สัปดาห์ และระยะติดตาม 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติฯ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม และโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired-Samples T-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 40 คน เป็นเพศชายร้อยละ 70.0 เมื่อเปรียบเทียบผลในแต่ละช่วง พบว่า ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเสี่ยง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br />โดยพบว่า หลัง 12 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 100.0 ทัศนคติและพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 92.5 ร้อยละ 87.5 ตามลำดับ</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมมีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ ปรับทัศนคติ และลดพฤติกรรมเสี่ยงโดยอาศัยการสร้างความรู้และความตระหนักผ่านกระบวนการสุขศึกษา อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้มีข้อจำกัด ได้แก่ ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ขนาดกลุ่มตัวอย่างเล็ก มาจากพื้นที่เดียว และระยะติดตามสั้น</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276279 ผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 2025-10-17T15:11:37+07:00 ดวงนภา ปงกา pumpuilove7@gmail.com กิระพล กาละดี pumpuilove7@gmail.com วรางคณา จันทร์คง pumpuilove7@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ศึกษาจากประชากร คือ เด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี จำนวน 35 คน โปรแกรมประกอบด้วย การให้ความรู้และฝึกทักษะผู้ปกครองและให้ผู้ปกครองทำกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่บ้านเป็นเวลา 1 เดือน และประเมินพัฒนาการเด็ก 2 ครั้ง ก่อนหลังเข้าร่วมโปรแกรม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยและแบบประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยจากคู่มือ DSPM วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ McNemar’s test และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value = 0.001 และผู้ปกครองมีความรู้ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.001 และผู้ปกครองมีพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.001</p> <p>ข้อเสนอแนะ โปรแกรมนี้มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ โรงเรียนพ่อแม่ แผนกิจกรรมร่วมกับเด็กและการยืมนิทาน จึงทำให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น และผู้ปกครองมีความรู้และพฤติกรรมส่งเสริมพัฒนาการดีขึ้น</p> 2025-11-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275730 การวิจัยและพัฒนารูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อยกระดับการจัดการ องค์กรสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 2025-10-26T10:01:42+07:00 ทรรศนีย์ บุญมั่น tatsanee.skto@hotmail.com ธัญญารัตน์ สิทธิวงศ์ tatsanee.skto@hotmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาแบบการประเมินผลหลายขั้นตอน ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยใช้แบบสอบถามกับบุคลากรสาธารณสุข จำนวน 416 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจากการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มจากผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน โดยใช้แนวคิด M-PWR เป็นกรอบในการพัฒนารูปแบบ SMART-DT ระยะที่ 3 ทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบด้วยการวิจัยกึ่งทดลองแบบ One Group Pre-Post Test Design เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการใช้รูปแบบกับบุคลากรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย จำนวน 30 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อยกระดับการจัดการองค์กรสาธารณสุข ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การใช้ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 2) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารงานและให้บริการ 3) การพัฒนาทักษะดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของบุคลากร 4) การสร้างระบบแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และ 5) การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานด้วยเครื่องมือดิจิทัล และดำเนินงานผ่านแผนงานการนำไปปฏิบัติด้วยปัญญาประดิษฐ์จังหวัดสุโขทัย การทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ เวลาเฉลี่ยในการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน ความพึงพอใจของบุคลากร ทักษะดิจิทัลของบุคลากรและทัศนคติต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276629 ประสิทธิผลของระบบ และกลไกการรายงานโรคที่เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา จังหวัดหนองบัวลำภู 2025-09-17T16:08:49+07:00 ณัฐญากร มอญขันธ์ tuiinooy@gmail.com <p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบ และกลไกการรายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อประเมินประสิทธิผลของระบบและกลไกที่พัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ระหว่างวันที่ วันที่ 5 สิงหาคม 2567-วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568 วิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงอนุมานใช้สถิติ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังทดลองใช้ระบบและกลไก เจ้าหน้าที่ระบาดวิทยามีคะแนนความรู้เกี่ยวกับระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อทางระบาดวิทยา หลังทดลองมากกว่าก่อนทดลอง (Mean diff 2.27, 95% CI = 2.54-4.16) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และทัศนคติต่อการใช้งานระบบหลังทดลองมากกว่าก่อนทดลอง (Mean diff 3.94, 95% CI = 3.75-5.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>การพัฒนาระบบ และกลไกการรายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ทันสถานการณ์โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังในจังหวัดหนองบัวลำภู และกำหนดนโยบายในการวางแผนสนับสนุน การเฝ้าระวังโรคติดต่อ ตามบริบทในพื้นที่ให้เหมาะสม รวมถึงลดอัตราป่วย และอัตราตายที่ส่งผลกระทบทางสุขภาพ</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275932 ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการตนเองกับความเครียดของ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในเขตเทศบาลชุมชนเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 2025-09-14T19:19:39+07:00 โสฬส พิรักษา Sakmongkon@bcns.ac.th ศักดิ์มงคล เชื้อทอง sakmongkon@bcns.ac.th ปาริชาติ ทาเผือก Sakmongkon@bcns.ac.th เปรมฤทัย ด่านสวัสดิ์ Sakmongkon@bcns.ac.th จินห์จุฑา ภู่แพร Sakmongkon@bcns.ac.th ชนากานต์ โตยิ่ง Sakmongkon@bcns.ac.th ชมพูนุช ดีเฉย Sakmongkon@bcns.ac.th <p>โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่อาจนำไปสู่ความพิการ ความเครียด และอัตราการเสียชีวิตสูง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (2) ระดับการจัดการตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการตนเองกับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในชุมชนเทศบาลเมือง อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี จำนวน 94 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความเครียด และแบบประเมินการจัดการตนเอง วิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Pearson’s correlation coefficient </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับต่ำ ระดับการจัดการตนเองของผู้ดูแลอยู่ในระดับมาก และการจัดการตนเองของผู้ดูแลมีความสัมพันธ์<br />ทางลบกับระดับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value &lt; 0.01 (r = -0.576) โดยมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการศึกษาการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเครียด ตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อนำมามาวางแผนในการจัดการตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p> 2025-10-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275044 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะอ้วนในวัยเรียน และวัยผู้ใหญ่ กับภาวะความดันโลหิตสูง ในวัยผู้ใหญ่: เขตสุขภาพที่ 7 2025-10-26T10:02:22+07:00 กัญญา จันทร์พล kanyanana@yahoo.com <p>ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง การศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะอ้วนในวัยเด็กต่อความดันโลหิตสูงในวัยผู้ใหญ่ในประเทศไทยยังมีจำกัด การวิจัยแบบ retrospective cohort ครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะอ้วนในวัยเด็กกับความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงในวัยผู้ใหญ่ ดำเนินการศึกษาในเขตสุขภาพที่ 7 โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป จำนวน 5,110 คน ที่สามารถระลึกถึงรูปร่างในวัยประถมศึกษา และไม่เคยได้รับการวินิจฉัยความดันโลหิตสูง เก็บข้อมูลสัดส่วนร่างกาย พฤติกรรมสุขภาพ และความดันโลหิต วิเคราะห์ด้วย Multiple Logistic Regression กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt; 0.05</p> <p>กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง 54.3% อายุเฉลี่ย 53.1±11.9 ปี อ้วนในวัยเด็ก 6% และอ้วนในปัจจุบัน 29.9% ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มที่อ้วนทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง 2.44 เท่า (95%CI:1.55-3.86) กลุ่มอ้วนเฉพาะวัยเด็ก 2.43 เท่า (95%CI:1.51-3.92) และกลุ่มอ้วนเฉพาะวัยผู้ใหญ่ 1.74 เท่า (95%CI:1.41-2.16) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยอ้วน นอกจากนี้ การบริโภคผักไม่เพียงพอ และการดื่มแอลกอฮอล์ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ภาวะอ้วนในวัยเด็กส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การป้องกันโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็กจึงควรเป็นยุทธศาสตร์หลักของระบบสาธารณสุข พร้อมทั้งพัฒนาระบบติดตามสุขภาพระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276636 ประสิทธิผลของการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี 2025-11-11T10:41:14+07:00 หทัย ธาตุทำเล thanthai1850@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโดยประยุกต์หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต ศึกษาในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 30 ราย ที่ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินดัชนีสภาวะสุขภาพผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาซ เท่ากับ 0.832 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา และ paired t-test</p> <p>พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 46-60 ปี ศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า อาชีพเกษตรกร มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่สูง มีพฤติกรรมการปฏิบัติตนตามหลักเวชศาสตร์<br />วิถีชีวิตโดยรวม อยู่ในระดับถูกต้องที่สุด (= 3.97, S.D. = 0.07) โดยการปฏิบัติตนด้านการนอนหลับที่มีคุณภาพ มีค่าสูงสุด อยู่ในระดับถูกต้องที่สุด ( = 4.00, S.D. = 0.01) ส่วนการจัดการความเครียด <br />มีค่าน้อยที่สุด อยู่ในระดับถูกต้องบ้าง (= 3.92, S.D. = 0.29) ประสิทธิผลของการพัฒนาการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโดยประยุกต์หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตโดยเปรียบเทียบค่าดัชนีสภาวะสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม พบว่า ค่าดัชนีสภาวะสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมการป้องกันโรคเบาหวานตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-11-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275934 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในบุคลากร โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี 2025-10-26T10:01:31+07:00 สุริยะ เครือจันต๊ะ tawantop259@gmail.com ชญานันท์ นันทเพชร tawantop259@gmail.com <p>ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงเป็นพิเศษจากลักษณะการทำงาน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในบุคลากรโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ใช้ข้อมูลจากการตรวจสุขภาพประจำปี พ.ศ. 2567 ของบุคลากร 210 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการถดถอยโลจิสติก กำหนดภาวะไขมันในเลือดผิดปกติตามเกณฑ์ NCEP ATP III</p> <p>ผลการศึกษา พบ ความชุกของภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ร้อยละ 66.7 โดย Total Cholesterol และ LDL-Cholesterol มีค่าผิดปกติ ร้อยละ 54.3 และ 58.1 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ 39 ปีขึ้นไป (OR = 1.89, 95% CI: 1.05-3.40, p-value = 0.033) และตำแหน่งคนงานเทียบกับผู้ปฏิบัติงานด้านการรักษาพยาบาล (OR = 1.86, 95% CI: 1.13-3.12, p-value = 0.040) ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ดัชนีมวลกาย และระดับเอนไซม์ตับ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &gt; 0.05)</p> <p>สรุปว่า ความชุกของภาวะไขมันในเลือดผิดปกติอยู่ในระดับสูง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ อายุ 39 ปีขึ้นไป และตำแหน่งงานประเภทคนงาน ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพที่มุ่งเน้นกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้เป็นพิเศษเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์