https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/issue/feed
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
2025-06-13T08:52:46+07:00
ดร.สุภัทรา สามัง
supattrasamung@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยเเละพัฒนาระบบสุขภาพเป็นวารสารที่ใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลศึกษาวิจัย ทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุขเเละคุณภาพชีวิตนำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน <br />บุคลากรทางด้านสาธารณสุข และทางการเเพทย์ ทั้งในระดับประเทศเเละระดับนานาชาติ รวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจทั่วไป</p> <p>ISSN 3027-6845 (Print)</p> <p>ISSN 3027-6853 (Online)</p> <p> </p> <p> </p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273686
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในชุมชน ของผู้ช่วยเหลือดูแล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
2025-05-09T10:21:06+07:00
ชไมพร แพงโท
chamaiphon.pha@gmail.com
นิรุวรรณ เทิร์นโบล์
niruwan.o@msu.ac.th
จินดาวัลย์ วิบูลย์อุทัย
Jindawan.w@msu.ac.th
ฤชากร คงมั่น
Ruchakron.k@msu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์พฤติกรรมการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของผู้ช่วยเหลือดูแล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง 145 คน เก็บข้อมูลด้วย แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์ของตัวแปรด้วยสถิติ Point-Biserial Correlation สถิติ Eta Correlation Coefficient และสถิติ Pearson’s Correlation</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เป็นเพศหญิง ร้อยละ 95.17 อายุ 30-59 ปี ร้อยละ 74.47 เป็นเกษตรกร ร้อยละ 63.45 เคยจัดการมูลฝอยติดเชื้อด้วยการทิ้งรวมไปกับมูลฝอยชุมชน ร้อยละ 21.46 กำจัดด้วยการเผา ร้อยละ 17.56 และขุดหลุมฝังกลบ ร้อยละ 18.05 มีความรู้ด้านการจัดการมูลฝอยติดเชื้อดี <br />(mean = 15.53, S.D. = 2.53) มีพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยติดเชื้อดี (mean = 3.90, S.D. = 0.49) และมีเจตคติต่อการจัดการมูลฝอยติดเชื้อปานกลาง (mean = 3.62, S.D. = 0.51) การทดสอบความสัมพันธ์พบว่า อาชีพ (r = 0.102, p-value < 0.05) ความรู้ (r = 0.247, p-value < 0.01) และเจตคติ (r = 0.427, p-value < 0.01) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ดังนั้น ควรจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่ถูกต้อง เพิ่มการสื่อสารเชิงบวก เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่ไม่ถูกต้อง</p>
2025-07-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273874
การพัฒนาระบบและกลไกการดำเนินงานสถานีสุขภาพประจำหมู่บ้านต้นแบบ จังหวัดอำนาจเจริญ
2025-05-03T11:36:30+07:00
วุฒิพงษ์ สินทรัพย์
wutmeesri@gmail.com
ประวุฒิ พุทธขิน
duannie2536@gmail.com
เสฐียรพงษ์ ศิวินา
wutmeesri@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกลไก และทดลองใช้และขยายผลการดำเนินงานสถานีสุขภาพประจำหมู่บ้านต้นแบบ การวิจัยแบ่งเป็นการพัฒนาระบบและกลไก และการทดลองใช้และขยายผล ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานสาธารณสุข ตัวแทนท้องถิ่น และกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหรือผู้ดูแล โดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึก และแนวคำถามการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบและกลไกการดำเนินงานสถานีสุขภาพประจำหมู่บ้านต้นแบบ ประกอบด้วย การสร้างการมีส่วนร่วม การคืนข้อมูลสภาพปัญหา การสร้างระบบและกลไกการจัดระบบดูแลสุขภาพในชุมชน และการติดตามและประเมินผล และ 2) ผลดำเนินงาน พบว่า ได้มีการจัดตั้งสถานีสุขภาพประจำหมู่บ้าน 637 แห่ง และให้บริการคัดกรองโรคเบาหวาน ร้อยละ 70.26 โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 70.26 ประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 80.22 และใช้ Smart อสม. และแอพพิเคชั่นไลน์ ร้อยละ 100 Telemedicine 15 แห่ง ร้อยละ 2.35 และสถานีสุขภาพมีสมรรถนะเพิ่มขึ้นทุกระดับ</p> <p>ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงการคัดกรองและติดตามภาวะความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดนอกสถานพยาบาล โดยความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้อง</p>
2025-06-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273951
การศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ของครูงานอนามัยโรงเรียน ในศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร (กพด.)
2025-04-02T17:47:24+07:00
ปรมาภรณ์ ม่วงปัทม์
m.paramaporn@gmail.com
ศุภวิทย์ อมรยุทธ์
wizawitt@gmail.com
ณัฐพงศ์ พลพงษ์
Nattapong.polpong@gmail.com
วันเฉลิม ฤทธิมนต์
Wanchaream.r@gmail.com
อภิชาติ วิทย์ตะ
apichatv@nu.ac.th
อัญชลี ฐานวิสัย
aunchaleet@nu.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของครูงานอนามัยโรงเรียนในศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร (กพด.) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 179 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับอนามัยสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับดีจำนวน 168 ราย คิดเป็นร้อยละ 93.85 ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.40, S.D. = 0.46) และพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเกี่ยวกับอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ ปัจจัยส่วนบุคคล<br />ในด้านเพศ (X<sup>2</sup> = 52.832) ระยะเวลาในการเป็นครู (r = 0.978<sup>*</sup>, p-value < 0.001) ความรู้ (r = 0.854<sup>*</sup>, p-value < 0.001) และเจตคติ (r = 0.973<sup>*</sup>, p-value < 0.001) ผลการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและป้องกัน รวมถึงวางแผนการดำเนินงานและพัฒนางานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อไป</p>
2025-06-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273991
การประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมทันตสุขภาพ และคุณภาพชีวิต ด้านสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุประเทศไทย
2025-05-20T09:11:45+07:00
ณัฐมนัสนันท์ ศรีทอง
ืnutdentalhealth@gmail.com
พัชรวรรณ สุขุมาลินท์
ืnutdentalhealth@gmail.com
ปางพุฒิพงษ์ เหมมณี
ืnutdentalhealth@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมทันตสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุไทย (อายุ 60-79 ปี) และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางประชากร พฤติกรรมสุขภาพช่องปาก และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก โดยใช้การวิจัยภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,544 คน จาก 8 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี สระแก้ว น่าน สุโขทัย เลย ยโสธร สงขลา และระนอง เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยสถิติ<br />เชิงพรรณนา และการทดสอบสมมติฐานด้วย Pearson’s correlation และ Multiple regression analysis </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุมีความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากไม่เพียงพอ ร้อยละ 36.96มีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร และเพียงร้อยละ 28.84 เท่านั้นที่เคยไปพบทันตแพทย์ภายใน 1 ปีผลการทดสอบสมมติฐานชี้ให้เห็นว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมทันตสุขภาพ<br />มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพช่องปาก (p-value < 0.05)</p> <p>ข้อเสนอแนะ การวิจัยนี้ ความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมทันตสุขภาพมีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ จึงควรส่งเสริมสร้างความตระหนัก เจตคติที่ดี และการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง นอกจากนี้ จำเป็นต้องจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านสุขภาพช่องปากแก่ผู้สูงอายุในพื้นที่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไป</p>
2025-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273329
การพัฒนาระบบการคัดกรองคำสั่งการใช้ยางานบริการเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลหนองคาย จังหวัดหนองคาย
2025-03-14T10:50:53+07:00
กมลรัตน์ ณ หนองคาย
kamolrat1975@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรองคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกการศึกษาวิจัยมี 3 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบดำเนินการและการประเมินผล เครื่องมือสำหรับงานวิจัย ได้แก่ แนวทางการคัดกรองคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอก แบบเก็บข้อมูลการคัดกรองคำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอก แบบบันทึกความคลาดเคลื่อนทางยา และรายงานความเสี่ยงทางยาในระบบ HRMS เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ช่วง คือ ก่อนพัฒนาระบบเดือนตุลาคม 2566 ถึง เดือนมีนาคม 2567 และหลังพัฒนาระบบเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังการพัฒนาระบบการคัดกรองคำสั่งการใช้ยาผู้ป่วยนอก สามารถดักจับความคลาดเคลื่อนด้านการสั่งใช้ยาเพิ่มขึ้นจาก 1.826 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา เป็น 2.815 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา ระดับความรุนแรงของความคลาดเคลื่อนด้านการสั่งใช้ยาหลังการพัฒนาพบความรุนแรงระดับ B เท่านั้น อัตราความคลาดเคลื่อนก่อนจ่ายยาขั้นตอนการคีย์และบันทึกคำสั่งการใช้ยา พบว่า หลังการพัฒนาลดลงจาก 0.574 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา เป็น 0.185 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา ผลการยอมรับคำปรึกษาโดยเภสัชกรของแพทย์ พบว่า ส่วนใหญ่แพทย์ยอมรับคำปรึกษาของเภสัชกร จำนวน 430 ครั้ง คิดเป็น ร้อยละ 99.31</p> <p>ดังนั้น การคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยาโดยเภสัชกรสามารถป้องกันปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาก่อนถึงผู้ป่วยได้</p>
2025-06-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/274294
ผลการสร้างเสริมความเข้มแข็งของผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชนในการดูแลสุขภาพเพื่อลดเสี่ยงลดป่วยความดันโลหิตสูงด้วยวิถีใหม่พัฒนา บ้านใหม่พัฒนา ตำบลสร้างถ่อน้อย อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ
2025-05-16T16:09:53+07:00
มัญชุภา ถาวรวรรณ์
phamunchupha@gmail.com
วรวุฒิ หามฤทธิ์
vorawut.hamrit@gmail.com
อามีน ยูโซะ
ameenys1998@gmail.com
ศิริพร ศิริกัญญาภรณ์
siriporn.sin@mahidol.edu
ประเสริฐ ประสมรักษ์
prasert.pra@mahidol.edu
สมเกียรติ ธรรมสาร
vorawut.hamrit@gmail.com
อมรรัตน์ บุตรจันทร์
vorawut.hamrit@gmail.com
ทับทิม ลอยหา
vorawut.hamrit@gmail.com
มิรา วุฒิชา
vorawut.hamrit@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ป่วยครอบครัว และชุมชนในการดูแลสุขภาพเพื่อลดป่วยลดเสี่ยงความดันโลหิตสูง ในพื้นที่บ้านใหม่พัฒนา ตำบลสร้างถ่อน้อย อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยกลุ่มป่วยและกลุ่มเสี่ยง จำนวน 32 คนคัดเลือกแบบแบ่งกลุ่มตามหมู่บ้าน และการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บข้อมูลด้านพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired Sample T-Test</p> <p>รูปแบบการสร้างเสริมความเข้มแข็ง ประกอบด้วย 1) การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล 2) การสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว 3) การสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชน พบว่า ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value< 0.001, p-value = 0.007 และ p-value < 0.001) และค่าเฉลี่ยความดันโลหิตส่วนบนและส่วนล่างลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001 และ p-value = 0.002) ดังนั้น จึงควรนำรูปแบบไปปรับใช้ เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง</p>
2025-06-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273477
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
2025-05-20T08:06:36+07:00
สายฝน แนวสุภาพ
fon65869@gmail.com
ศศิมา กันณาลักษ์
ssima9364@gmail.com
สรัญญา กลัดนุ่ม
saranyajajar@gmail.com
อรุณวดี ทองบุญ
t.arunwadee@hotmail.com
นริศรา ชาญณรงค์
narissara.c@nsru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง และปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 198 คน คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Chi-Square test, Independent t-test และ ANOVA </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 47.47 ปัจจัยด้านระดับการศึกษา การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และการได้รับอิทธิพลระหว่างบุคคล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของกลุ่มตัวอย่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และการได้รับอิทธิพลระหว่างบุคคลที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของกลุ่มตัวอย่าง แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ดังนั้น ควรนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน เพื่อกำหนดแนวทางในการวางแผน และดำเนินกิจกรรมให้กับผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานให้มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป</p>
2025-06-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/274757
ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการดำเนินของโรคไตเรื้อรังอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วย โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่รับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลสกลนคร
2025-06-13T08:52:46+07:00
สุทธิพงษ์ กองวงษา
soottipong23@gmail.com
<p>ผู้ป่วยที่มีการดำเนินของโรคไตเรื้อรังอย่างรวดเร็ว คือ อัตราการกรองของไตลดลง > 5 mL/min/1.73 m²/ปี จะเพิ่มความเสี่ยงเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายและเพิ่มการเสียชีวิต การศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง (Retrospective cohort study) มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์การดำเนินของโรคไตเรื้อรังอย่างรวดเร็วในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยที่มารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองร่มเกล้าและสุขเกษม โรงพยาบาลสกลนคร วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566-31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 คำนวณขนาดตัวอย่างได้ 119 คน ผู้ป่วยผ่านเกณฑ์คัดเลือก 117 คน</p> <p>ผลการวิจัย ผู้ป่วยอายุเฉลี่ย 72.0 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.8 มีโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 93.2 ติดตามผู้ป่วยเฉลี่ย 1.0 ปี ความชุกผู้ป่วยที่มีการดำเนินของโรคไตเรื้อรังอย่างรวดเร็ว <br />ร้อยละ 26.5 การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุลอจิสติกส์ พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการดำเนินของโรคไตเรื้อรังอย่างรวดเร็ว ได้แก่ โปรตีนในปัสสาวะ (OR adj = 4.1; 95% CI = 1.4-11.5) ความดันโลหิต SBP > 140 mmHg (OR adj = 5.7; 95% CI = 1.6-19.6) และยูริกสูง (OR adj = 3.1; 95% CI = 1.1-8.3)</p> <p>จากปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ดังกล่าว ควรมีแนวทางการจัดการผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง และยูริกสูง ในหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อชะลอการดำเนินของโรคไต</p>
2025-07-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/273483
ผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุโดยใช้นโยบาย 3 หมอ ในอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
2025-02-27T10:20:55+07:00
ธนพงษ์ ภูมิสายดร
tongthana@gmail.com
<p>การหกล้มเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ความพิการ หรือเสียชีวิตได้ การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบการดูแล การป้องกัน การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ จากการแบ่งกลุ่มการรับบริการ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดำเนินการโดย 3 หมอ และกลุ่มดำเนินการโดย 2 หมอ กลุ่มตัวอย่างละ 119 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิก การป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ โดยใช้กลุ่มดำเนินการโดย 2 หมอ และกลุ่มดำเนินการโดย 3 หมอ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มดำเนินการโดย 3 หมอ มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ก่อนเข้ารับการฟื้นฟู ร้อยละ 15.87 มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มหลังเข้ารับการฟื้นฟู ร้อยละ 96.20 คะแนน Time up and go ก่อนเข้ารับการฟื้นฟู น้อยกว่า 12 วินาที ร้อยละ 94.96% คะแนน Time up and go <br />หลังเข้ารับการฟื้นฟู น้อยกว่า 12 วินาที ร้อยละ 94.96% และมากกว่า 12 วินาที ร้อยละ 5.04 เปรียบเทียบการทดสอบการเคลื่อนไหวทางกาย (Time up and go) ของผู้สูงอายุ ก่อนและหลังการฟื้นฟู กลุ่ม 3 หมอแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001)</p> <p>ผลการวิจัยมีประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย วางแผน แนวปฏิบัติบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บ ความพิการ และเสียชีวิต</p>
2025-06-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์