https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/issue/feed
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
2024-11-21T17:13:07+07:00
ดร.สุภัทรา สามัง
supattrasamung@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยเเละพัฒนาระบบสุขภาพเป็นวารสารที่ใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลศึกษาวิจัย ทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุขเเละคุณภาพชีวิตนำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน <br />บุคลากรทางด้านสาธารณสุข และทางการเเพทย์ ทั้งในระดับประเทศเเละระดับนานาชาติ รวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจทั่วไป</p> <p>ISSN 3027-6845 (Print)</p> <p>ISSN 3027-6853 (Online)</p> <p> </p> <p> </p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266210
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลสายออ อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา
2023-12-17T16:01:25+07:00
สุพจน์ กอบสันเทียะ
sp012@ymail.com
<p>การวิจัยนี้ เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาสภาพการดำเนินงาน การพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน และประเมินและถ่ายทอดรูปแบบของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล การคัดเลือกประชากรที่ศึกษาในครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีบทบาทในการปฏิบัติงาน ในองค์กรส่วนท้องถิ่น องค์กรรัฐ องค์กรชุมชน ในพื้นที่ จำนวน 244 คน เพื่อศึกษาข้อมูลด้านความรู้ ทัศนคติ และการมีส่วนร่วม ก่อนและหลังดำเนินการ โดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ผลข้อมูล ด้วยสถิติ Paired T-test จากนั้น คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 40 คน จากผู้นำทั้ง 3 องค์กร เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้านนโยบายการดำเนินงานตำบลจัดการคุณภาพชีวิต โครงสร้างการดำเนินงาน ด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus Group) และสังเกตการณ์มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้มีโครงการเพื่อดำเนินการพัฒนางานตำบลจัดการคุณภาพชีวิต 6 โครงการ และการมีส่วนร่วม ก่อนและหลังดำเนินการ พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001)</p>
2024-01-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/263218
การจัดบริการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ผ่านระบบการแพทย์ทางไกล ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (Telemedicine NCDs on Cloud)
2023-10-05T16:11:21+07:00
ประเสริฐ บินตะคุ
epi.bkph@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ผ่านระบบการแพทย์ทางไกล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกด้วยวิธีเจาะจงเป็นตัวแทนผู้ป่วยเบาหวาน เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ กลุ่มละ 10 คน ผู้ป่วยเบาหวาน 166 คน ขั้นตอนการพัฒนา ศึกษาความต้องการ การจัดบริการของผู้ป่วย และผู้ให้บริการ พัฒนาและประเมินผลการพัฒนารูปแบบ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความเป็นไปได้ และแบบประเมินผลการจัดบริการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบที่พัฒนาประกอบด้วย การเชื่อมต่อระบบสื่อสาร และฐานข้อมูล Hosxp-PCU การจัดหาเตรียมอุปกรณ์เชื่อมต่อ และขั้นตอนการบริการตั้งแต่เตรียมข้อมูล เชื่อมโยงระบบสื่อสาร และฐานข้อมูล ตรวจร่างกาย บันทึกการรักษา จัดยา ให้คำแนะนำ และออกวันนัดติดตามผลการพัฒนา ผู้ป่วยรับบริการเฉลี่ย 347 ราย/เดือน ร้อยละ 77.39 ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี ร้อยละ 20.96 ค่าใช้จ่ายลดลงจากรายละ 500 บาท/ครั้ง เหลือ 50-100 บาท/ครั้ง ลดเวลารอคอยลงเฉลี่ย 8 ชั่วโมง เป็นเฉลี่ย 4 ชั่วโมง และความพึงพอใจต่อการบริการระดับมาก <strong>(</strong> <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /><strong>= </strong>2.93, S.D.= 0.87<strong>)</strong>ผู้ให้บริการมีความเป็นไปได้การจัดบริการระดับมาก <strong>(</strong> <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /><strong>= </strong>4.30, S.D.= 0.59<strong>) </strong>เห็นว่า ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระงาน ช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น ง่ายและลดขั้นตอน เป็นบริการทางเลือกของผู้ป่วย</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265383
การพัฒนาแนวทางการตรวจคัดกรองการได้ยินของทารกแรกเกิดเครือข่ายโรงพยาบาลยโสธร
2023-10-26T11:14:15+07:00
พรรณี ตุยาใส
piewtuyasaii@gmail.com
ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท
doungpornwatt@gmail.com
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อศึกษาผลการใช้แนวทางการตรวจคัดกรองการได้ยินของทารกแรกเกิด มี 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน และวิเคราะห์สถานการณ์ โดยใช้แนวคิดของโดนาบีเดียน 2) ออกแบบพัฒนาเครื่องมือ และบุคลากร <br />3) ทดลองใช้เครื่องมือ 4)นำผลการทดลองมาปรับปรุง และประเมินผล กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ 1) พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 26 คน 2) ทารกแรกเกิดที่คลอดระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 จำนวน 469 คน</p> <p>ผลการวิจัย แนวทางการคัดกรองที่พัฒนาขึ้นเป็นการจัดบริการโดยแบ่งเขตโซนบริการ ตรวจการได้ยินเป็น 4 โซน จัดระบบการส่งต่อทารกเพื่อตรวจรักษา หลังพัฒนาทารกได้รับการตรวจคัดกรองร้อยละ 95.73 พบทารกผิดปกติ ร้อยละ 0.85 ทุกรายได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษา พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนความรู้ และทักษะสูงกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ พยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด, มารดามีความพึงพอใจระดับมาก</p> <p>แนวทางการคัดกรองทารกแรกเกิดช่วยให้เข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากการพัฒนาในรูปแบบโซนบริการและพัฒนาศักยภาพบุคลากรในเครือข่าย ควรให้คำแนะนำกับมารดาขณะตั้งครรภ์เพื่อสร้างความตระหนักและเห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองการได้ยินจะช่วยให้ทารกได้รับการคัดกรองมากขึ้น</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264505
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบ ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
2023-11-10T13:16:54+07:00
ปรีชา สุวรรณทอง
prchas@msn.com
วนิชา อินทรสร
prchas@msn.com
วาริศา บุญเกิด
prchas@msn.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 100 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 84 ปัจจัยการรับรู้ของบุคคลมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ได้แก่ รับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรค การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันและควบคุมโรค ปัจจัยด้านทรัพยากร ได้แก่ ความเพียงพอของงบประมาณ ความเพียงพอของวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันและควบคุมโรค ทักษะการใช้ทรัพยากรในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก การใช้นวัตกรรมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสาร และการได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การเข้าร่วมรณรงค์ป้องกันโรคและการยกย่องชื่นชม</p> <p>หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ผลการวิจัยนี้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อไป</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266320
ผลของโปรแกรมเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อลดปัญหาโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์
2023-12-09T10:36:47+07:00
มกรารัตน์ หวังเจริญ
makara2523@gmail.com
จีรพรรณ ซ่อนกลิ่น
makara2523@gmail.com
จุราพร สุรมานิต
makara2523@gmail.com
อาภัสรา มาประจักษ์
makara2523@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุ่มวัดผลก่อน-หลัง เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ต่อระดับฮีมาโตคริต (Hct) และความรอบรู้ด้านสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงและภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดยกลุ่มตัวอย่างมาฝากครรภ์ครั้งแรก อายุครรภ์ไม่เกิน12 สัปดาห์ กลุ่มควบคุม 30 ราย ดูแลตามมาตรฐาน และกลุ่มทดลอง 30 ราย เข้าโปรแกรมฯ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ทั้งนี้ โปรแกรมประกอบด้วย 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) สร้างสัมพันธภาพ ความตระหนัก ร่วมกับผู้ดูแล บันทึกข้อตกลง และปฏิทินเตือนกินยา 2) การเข้าถึงข้อมูล 3) คลังความรู้ แผ่นพับเมนูเสริมธาตุเหล็ก E book 4) ติดตามเยี่ยม ทำแบบประเมินการรับประทานยา และอาหาร 5) บันทึกความสำเร็จ โดยทั้งสองกลุ่มทำแบบสอบถามที่ตอบด้วยตนเอง ก่อนหลัง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test, Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และวัดความเข้มข้นของเลือดที่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์</p> <p>ผลการศึกษา : ค่าเฉลี่ย Hct ก่อน-หลังในกลุ่มควบคุมลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) ในขณะที่กลุ่มทดลองสามารถคงระดับของ Hct และมีแนวโน้มที่ค่าเฉลี่ย Hct สูงกว่ากลุ่มควบคุม ค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพในกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นด้านทักษะการเข้าถึงข้อมูล </p> <p>โปรแกรมฯ มีแนวโน้มช่วยพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ และช่วยคงระดับ Hct ไม่ให้ลดลงได้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/263741
การจัดบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชนเพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ ของบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง
2023-08-10T16:07:38+07:00
อาริตา สมุห์นวล
pannee.ban@vru.ac.th
พรรณี บัญชรหัตถกิจ
pannee.ban@vru.ac.th
เฌอลินญ์ สิริเศรษฐ์ภพ
pannee.ban@vru.ac.th
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพเแบบปรากฎการณ์วิทยานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชนบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นบุคลากรสาธารณสุขผู้ให้บริการสุขภาพทุกคนในคลินิกวัยรุ่นที่ให้บริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึก ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การจัดบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน ให้บริการโดยทีมสหวิชาชีพแบบบูรณาการความร่วมมือ ได้แก่ พยาบาลทั่วไป แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ด้านสูตินรีเวช พยาบาลจิตเวช และนักสังคมสงเคราะห์ ให้บริการคำแนะนำ ปรึกษา ส่งต่อและรักษาแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกมิติของปัญหาของพฤติกรรมสุขภาพ กระบวนการจัดบริการทำทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ครอบครัวให้ร่วมมือในการดูแลวัยรุ่น ทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคลากรสาธารณสุข โรงเรียน และชุมชน หลักการปฏิบัติตัวของผู้ให้บริการต่อวัยุร่นและเยาวชนใช้สัมพันธภาพที่ดี มีความไว้วางใจ มีความสุภาพ ไม่แสดงท่าทางหรือความรู้สึกในเชิงลบต่อผู้รับบริการ ปัญหาหรืออุปสรรคในการให้บริการ พบว่า ส่วนใหญ่มาจากทัศนคติของผู้ปกครอง ใช้คำหยาบหรือซ้ำเติมเด็ก และการมารับบริการไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น การบริการสำหรับวัยรุ่นและเยาวชนควรวางแผนและพัฒนาแนวทางการดำเนินการจัดบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชนต่อไป</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265407
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของจังหวัดกาฬสินธุ์
2023-10-26T14:35:31+07:00
อภิชัย ลิมานนท์
krwcr5954@gmail.com
คงฤทธิ์ วันจรูญ
krwcr5954@gmail.com
สม นาสอ้าน
krwcr5954@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยและพัฒนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กอายุ 3–5 ปี และผู้เลี้ยงดูหลัก จำนวน 56 คู่ โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ระยะเวลาดำเนินการ เดือนตุลาคม 2565–กรกฎาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือ DSPM แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ และแบบวัดพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการของผู้เลี้ยงดู สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบความแตกต่างภายในกลุ่มด้วย Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยครอบครัวมีส่วนร่วม และการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในชุมชน ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยหลังการทดลอง 89.5% ,ความฉลาดทางอารมณ์สูงกว่าก่อนการทดลอง 2.75 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI = 0.17–5.33, p-value = 0.037) และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กของผู้ปกครองมีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมสูงกว่าก่อนการทดลอง 17.32 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI = 11.6-23.03, <br />p-value < 0.001)</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีการบูรณาการกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยครอบครัวมีส่วนร่วมในหลักสูตรสาระการเรียนรู้ เพื่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ต่อเนื่องทุกช่วงวัย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264554
ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้ากับแนวทางการป้องกันการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
2023-08-25T10:50:31+07:00
สมเด็จ ภิมายกุล
educmru@gmail.com
กนกวรรณ คชสีห์
educmru@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้ากับแนวทางการป้องกันการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1-5 จำนวน 425 คน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดย การหาค่าความเที่ยงตรง (Item-Objective Congruence : IOC) และการหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ทัศนคติการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 2.88 , S.D.= 0.55) พฤติกรรมการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษา อยู่ในระดับน้อย (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 2.14, S.D.= 0.95) แนวทางการป้องกันการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษา มี 5 ประเด็น คือ (1) การรณรงค์ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ (2) สร้างกฎระเบียบ (3) การพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ดี (4) การจัดการเรียนรู้ (5) การจัดกิจกรรมต่างๆ </p> <p>ข้อเสนอแนะ มหาวิทยาลัยที่สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สามารถนำผลการวิจัยใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาแผนกิจกรรม การจัดทำแผนหรือนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษาได้</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266420
ผลของการวางแผนจำหน่ายมารดาหลังคลอด โรงพยาบาลยโสธร
2023-12-09T18:23:58+07:00
สุปัญญา บุญถูก
supunya1111@gmail.com
ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท
pattama.kb66@gmail.com
<p>การดูแลมารดาหลังคลอดมุ่งเน้นการให้มารดามีความรู้ และทักษะการดูแลตนเองและทารก เพื่อให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลของการวางแผนจำหน่ายมารดาหลังคลอด 2) ผลลัพธ์ทางการพยาบาลของการวางแผนจำหน่ายมารดาหลังคลอด ได้แก่ อัตราการกลับเข้ารับการรักษาซ้ำในโรงพยาบาล ความพึงพอใจของมารดาหลังคลอด ความพึงพอใจของบุคลากร เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอด <br />การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการเลือกแบบสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จำนวน 30 คน เก็บข้อมูลในหอผู้ป่วยสูติกรรม โรงพยาบาลยโสธร</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า คะแนนความรู้ และทักษะในการดูแลตนเองของมารดาหลังคลอดและทารกหลังการใช้แผนการจำหน่ายมีคะแนนสูงกว่าก่อนการใช้แผนการจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลลัพธ์ทางการพยาบาลการกลับเข้ารับการรักษาซ้ำในโรงพยาบาลลดลง คะแนนความพึงพอใจของมารดาหลังคลอด และความพึงพอใจของบุคลากรอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ให้มีการติดตามประเมินผลการใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ กลุ่มตัวอย่างครั้งนี้มีจำนวนน้อย การวิจัยครั้งต่อไปควรเพิ่มจำนวนกลุ่มตัวอย่าง และส่งเสริมมารดาทบทวนความรู้ และทักษะผ่าน QR Code</p>
2024-01-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264034
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ในจังหวัดกาฬสินธุ์
2023-10-24T16:15:06+07:00
น้ำทิพย์ สีก่ำ
namthip975.sk@gmail.com
ปุณณดา มูลศรี
namthip975.sk@gmail.com
วิภาวี เหล่าจตุรพิศ
namthip975.sk@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) โดยวิเคราะห์ข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) เพื่อศึกษาสถานการณ์ และพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง คือคณะกรรมการและ ผู้ประสานงาน คปสอ.จำนวน 230 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน F-test one way ANOVA – Post hoc Scheffe test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การบริหารจัดการของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ( คปสอ.) ให้ความสำคัญ ด้านการนำองค์กรและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการพัฒนาบุคลากรและการบริหารทรัพยากร การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย <br />4 องค์ประกอบ ได้แก่ การนำองค์กรเชิงกลยุทธ์ การบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ การจัดการความรู้และนวัตกรรม และการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ สามารถยกระดับของ คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) สู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงได้อย่างมีประสิทธิผล อย่างไรก็ตาม การนำรูปแบบไปใช้จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ และการปรับใช้ให้เหมาะสม</p> <p>การวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา คปสอ. ในจังหวัดกาฬสินธุ์และพื้นที่อื่นๆ สู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณสุขในระดับอำเภอต่อไป</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265408
การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉิน เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเลย
2023-10-28T14:10:12+07:00
สิริพงษ์ วัฒนศรีทานัง
srp.wat@gmail.com
ระพีพรรณ นันทะนา
srp.wat@gmail.com
ชินกร สุจิมงคล
srp.wat@gmail.com
เชาว์ธวัจน์ ราชพัฒน์
srp.wat@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเลย ศึกษาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งหมด 100 แห่ง ศึกษาระหว่างมิถุนายน-กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา, การวิเคราะห์เนื้อหาและการสรุปความแบบอุปนัย </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระบบระบบบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเลย ด้านทรัพยากรบุคคล ค่าคะแนนเฉลี่ย 3.24 (29.20/45) ด้านงบประมาณค่าคะแนนเฉลี่ย 2.38 (14.29/30) ด้านวัสดุอุปกรณ์ ค่าคะแนนเฉลี่ย 2.69 (13.45/25) และด้านการบริหารจัดการ ค่าคะแนนเฉลี่ย 2.84 (19.90/35) อุปสรรคสำคัญในการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉิน คืองบประมาณของท้องถิ่นมีจำกัด ทัศนคติผู้บริหารท้องถิ่นต่อการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉิน สมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เห็นความสำคัญโดยเฉพาะกรณีเป็นท้องถิ่นขนาดเล็กมีจำนวนการออกเหตุที่ต่ำ ไม่มีความคุ้มค่าในการจัดบริการ</p> <p>แนวทางการพัฒนาระบบการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการกำหนดเป็นนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัด ขับเคลื่อนผ่านท้องถิ่นจังหวัดเลย โดยการจัดทำแผนการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จัดทำแผนพัฒนาบุคลากร และการจัดทำแผนที่การจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดเลย แนวทางนี้สามารถเพิ่มความครอบคลุมจากร้อยละ 38 เป็นร้อยละ 56 ของท้องถิ่นทั้งหมด</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/262146
การศึกษาพฤติกรรมผู้มาใช้บริการศูนย์ออกกำลังกายร่วมกับการใช้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัล: กรณีศึกษาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา
2023-08-16T15:43:52+07:00
กมลมาลย์ พลโยธา
austtasit@go.buu.ac.th
กันทิมา ชะระภิญโญ
austtasit@go.buu.ac.th
อัตถสิทธิ์ ไชยณรงค์
austtasit@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้บริการศูนย์ออกกำลังกายร่วมกับการใช้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลในกรณีศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา โดยประชากรในการวิจัยเป็นผู้ที่เข้าใช้บริการห้องออกกำลังกายจำนวน 100 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับโดยมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p> จากผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 66) โดยเหตุผลหลักที่เลือกออกกำลังกาย คือ การลดน้ำหนัก โดย Facebook เป็นช่องทางอันดับต้นๆ ในการรับข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการศูนย์ออกกำลังกาย การตัดสินใจของผู้เข้าร่วมที่จะใช้ศูนย์ออกกำลังกายได้รับอิทธิพลจากตัวผู้ใช้บริการเป็นหลัก และความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นเหตุผลหลักในการเลือกใช้บริการ ความถี่ในการใช้ศูนย์ออกกำลังกายพบบ่อยที่สุด คือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกมาแล้ว 5-6 เดือน</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264742
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ในจังหวัดกาฬสินธุ์
2023-11-26T18:40:17+07:00
นิสากร พละสาร
nisapls58@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 272 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง กระทรวงสาธารณสุข MoPH-4T และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์วิเคราะห์สัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตามเกณฑ์การพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง กระทรวงสาธารณสุข MoPH-4T ในภาพรวมอยู่ในระดับกำลังพัฒนา(คะแนนเฉลี่ย 78.64)2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูงโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.09, S.D.= 0.64) 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (X<sub>3</sub>) และด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน (X<sub>5</sub>) สามารถร่วมกันพยากรณ์ได้ ร้อยละ 59.9 ข้อเสนอแนะ ควรมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความสามารถในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับสมรรถนะของผู้นำองค์กร และควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/266428
ผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในโรงพยาบาลยโสธร
2023-12-02T19:27:21+07:00
ปัทมา กระบิลมัต
pattama.kb66@gmail.com
ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท
pattama.kb66@gmail.com
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติการพยาบาลดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในโรงพยาบาลยโสธร โดยใช้แนวคิดการดูแลตนเองของ โอเร็ม และแนวคิดพฤติกรรมสุขภาพ ด้านแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ดำเนินการระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่ถูกเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย 1) พยาบาลวิชาชีพ 2) หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับการดูแลตามแนวปฏิบัติการพยาบาล สามารถชะลอการคลอด ทำให้ตั้งครรภ์ได้จนครบกำหนด หรือใกล้ครบกำหนดมากขึ้น จากเดิมร้อยละ 54.28 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85.71 เมื่อเทียบกับในช่วงระยะเดียวกันในปี พ.ศ. 2565 การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลช่วยให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองระดับมากร้อยละ 75.0 พยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจโดยรวมที่ระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 4.23, S.D. = 0.43)</p> <p>ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยหญิงตั้งครรภ์ที่มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมมีผลต่อการลด หรือทุเลาอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ และการติดตามเยี่ยมจากพยาบาลหลังจำหน่ายสามารถส่งเสริมความมั่นใจให้หญิงตั้งครรภ์ในการดูแลตนเองให้ดียิ่งขึ้น</p>
2024-01-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264151
ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของโรงพยาบาลชุมชน สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
2023-11-11T13:04:34+07:00
วรรณภา นิติมงคลชัย
n.wannapa2013@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของโรงพยาบาลชุมชน สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 400 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัด 5 ระดับ มีค่า<br />ความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.836 สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของโรงพยาบาลชุมชน สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมประเภทงานทั้ง 7 สายงาน แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.05) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารทรัพยากรบุคคล จำนวน 6 ด้าน พบว่า ปัจจัย<br />ทุกด้านมีความความสัมพันธ์ทางบวกต่อการบริหารทรัพยากรบุคคล และเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกมากที่สุด ได้แก่ การทำงานเป็นทีม (r = 0.702) การได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา (r = 0.698) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกปานกลาง ได้แก่ การพัฒนาทักษะหรือประสบการณ์ (r = 0.500) ความก้าวหน้าในวิชาชีพ (r = 0.421) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกน้อยได้แก่ ค่าตอบแทน (r = 0.331) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (r = 0.309) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value = 0.01</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265464
สมรรถภาพสมองและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุ ในโรงเรียนผู้สูงอายุ เขตสุขภาพที่ 7
2023-11-26T19:21:58+07:00
ประภาศรี ทุมสิงห์
prapasri.t888@gmail.com
กัญญา จันทร์พล
Prapasri.t888@gmail.com
สดุดี ภูห้องไสย
Prapasri.t888@gmail.com
<p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถภาพสมองและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุเขตสุขภาพที่ 7 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป จำนวน 310 คน ในโรงเรียนผู้สูงอายุ 8 แห่ง สุ่มตัวอย่างอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใช้สถิติ Binary logistic regression</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 69.6 ± 5.6 ปี อายุน้อย-มากที่สุด 60-86 ปี เพศหญิง ร้อยละ 82.3 สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 50.3 การศึกษาระดับต่ำกว่ามัธยม ร้อยละ 82.6 ปัจจุบันยังประกอบอาชีพ ร้อยละ 54.5 มีโรคประจำตัวร้อยละ 54.2 สมรรถภาพสมองปกติ ร้อยละ 87.1 มีคะแนน AMT (Abbreviated Mental Test) อยู่ในช่วง 4-10 คะแนน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 8.5, S.D. = 1.0)ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพสมองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ได้แก่ <br />อายุที่มากขึ้น การไม่ได้ประกอบอาชีพ และการมีโรคประจำตัว พบว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม</p> <p>สรุปผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุเขตสุขภาพที่ 7 มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมร้อยละ 12.9 ดังนั้น ควรมีการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การส่งเสริมอาชีพในผู้สูงอายุให้ผู้สูงอายุมีงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ทำในยามว่างซึ่งเป็นการส่งเสริมสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุ</p>
2024-01-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/262306
ปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในภาคตะวันออก: กรณีศึกษาอำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว
2023-08-11T14:32:25+07:00
ฉันท์ทิพย์ พลอยสุวรรณ
chunthip.ploysuwan@gmail.com
รัตนชัย เพ็ชรสมบัติ
duangoh@gmail.com
ดวงรัตน์ เหลืองอ่อน
chunthip.ploysuwan@gmail.com
ธนะวัฒน์ รวมสุก
duangoh@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมที่มีผลต่อสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในภาคตะวันออก: กรณีศึกษาอำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว ของผู้สูงอายุ จำนวน 245 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ไคสแควร์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอยู่ในระดับมาก ความรู้เรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ทัศนคติต่อการดูแลผู้สูงอายุ สามารถร่วมกันทำนายสมรรถนะการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้ร้อยละ 21 การรับรู้นโยบายด้านการดูแลผู้สูงอายุ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการดูแลผู้สูงอายุ ร่วมกันทำนายสมรรถนะการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้ร้อยละ 17 และการสนับสนุนของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถร่วมกันทำนายสมรรถนะการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้ร้อยละ 22 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ควรให้การส่งเสริมสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นเรื่องการนำครอบครัวของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุ</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264760
ความชุกของการเกิดอุบัติเหตุทางตาของผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลอำนาจเจริญ
2023-10-27T16:24:01+07:00
ญาณสิริ เมธาพิสิทธิกุล
yanasiri.metha@gmail.com
จุฑามาศ รวมวงศ์
yanasiri.metha@gmail.com
<p>การบาดเจ็บต่อดวงตามีความหลากหลาย และส่งผลกระทบต่อการมองเห็น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุก สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางตาของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอำนาจเจริญ โดยเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2564-31 พฤษภาคม 2566</p> <p>ผลการศึกษา พบผู้ป่วยอุบัติเหตุทางตาทั้งหมด 696 คน เป็นเพศชาย 481 คน อายุเฉลี่ย 42.55 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในเขตอำเภอเมือง อุบัติเหตุเกิดกับตาขวามากกว่าตาซ้าย ทั้งหมดไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน พบบ่อยในอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 36.2 เกษตรกร ร้อยละ 35.2โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 58 คน ระยะเวลาเฉลี่ย 2.88 วัน ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 12,855 บาทต่อคน การวินิจฉัยโรคที่พบมากที่สุด คือ Corneal foreign body สาเหตุที่พบมากสุดเกิดจากการทำงาน หลังสิ้นสุดการรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่มีระดับการมองเห็นปกติ แต่พบสูญเสียการมองเห็นถาวรหลังสิ้นสุดการรักษา 5 คน</p> <p>การวิเคราะห์สถิติของผู้ป่วยอุบัติเหตุต่อดวงตามีประโยชน์อย่างมากในการวางแผนการรักษา และป้องกัน สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการรณรงค์การใช้อุปกรณ์ป้องกัน</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264271
ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
2023-11-13T13:45:02+07:00
ณัฐพล ผลโยน
modx17@hotmail.com
<p>การใช้ยาไม่สมเหตุผลเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทั่วโลก การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้และพฤติกรรมสุขภาพด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จำนวน 348 คน โดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาโดยกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดี ร้อยละ 35.3 และมีพฤติกรรมสุขภาพด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 65.8 และความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมสุขภาพด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.02 (r = 0.125)</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และพฤติกรรมสุขภาพด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลโดยการพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้สามารถนำไปถ่ายทอดแก่ชุมชนเพื่อลดปัญหาการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผลในชุมชนต่อไป</p>
2024-01-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265698
การพัฒนาศักยภาพการจัดการคุณภาพระบบประปาหมู่บ้าน ที่อยู่ในความดูแล ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดตราด
2023-10-02T11:29:30+07:00
ปราการ อภิบาลศรี
persian.apibalsri@gmail.com
<p>การวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพการจัดการคุณภาพระบบประปาหมู่บ้าน ที่อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดตราด โดยใช้กระบวนงานมาตรฐาน EHA 2001 เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ระบบประปาหมู่บ้านที่มีผลการประเมินคุณภาพน้ำไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และเกณฑ์คุณภาพน้ำดื่ม ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดตราด จำนวน 4 แห่ง ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนา ประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารกิจการประปา 60 คน และผู้ใช้น้ำ จำนวน 400 หลังคาเรือน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึกข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า คณะกรรมการบริหารกิจการประปา มีความรู้เกี่ยวกับระบบประปาหมู่บ้านและการจัดการระบบประปาหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 66.6 ผลการประเมินคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน พบว่า หมู่บ้านที่เข้าร่วมการพัฒนาการจัดการคุณภาพระบบประปาหมู่บ้าน<br />ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน และประชาชนผู้ใช้น้ำประปามีความพึงใจต่อการให้บริการของระบบประปาหมู่บ้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>การจะนำรูปแบบการพัฒนาคุณภาพน้ำประปา ไปใช้ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรต้องพัฒนาทีม และคณะทำงานให้เข้าใจ และมีความตระหนักในระบบการทำงานที่ต้องแสวงหาการสนับสนุนจากเครือข่าย พร้อมทั้งควรมีการจัดทำคู่มือ แนวทางการปฏิบัติงาน ที่กำหนดขั้นตอนวิธีปฏิบัติงานที่จำเป็น เพื่อสร้างความเข้าใจ และใช้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติงานในแต่ละระดับให้สอดคล้อง ตรงกัน</p>
2024-01-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/262860
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในผู้ป่วยโรคมะเร็งและแนวทางการรักษาผู้ป่วยในปัจจุบัน
2023-10-03T17:47:03+07:00
ระวีวรรณ วิฑูรย์
r_aumy@hotmail.com
รัชนีพร ชื่นสุวรรณ
r_aumy@hotmail.com
<p>ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเป็นภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์ที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคมะเร็ง งานวิจัยนี้ทำขึ้นเพื่อทบทวนองค์ความรู้ด้านอุบัติการณ์, กลไกการเกิดโรค, ลักษณะอาการทางคลินิก, การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในผู้ป่วยโรคมะเร็ง <br />ตามข้อมูลการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน โดยค้นคว้ารวบรวมวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูล PubMed, Ovid, medRxiv ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ถึง เมษายน พ.ศ. 2566</p> <p>ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในผู้ป่วยมะเร็ง ประกอบด้วย 3 กลไกหลัก ได้แก่ การหลั่งสารที่มีลักษณะคล้ายฮอร์โมนพาราไทรอยด์จากเซลล์มะเร็ง<strong>, </strong>มะเร็งระยะแพร่กระจายเข้ากระดูกเกิดการหลั่งสารสลายกระดูก และความผิดปกติของผลิตวิตามินดีจากเซลล์มะเร็ง การรักษาเพื่อลดระดับแคลเซียมในเลือด ทำได้โดยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ให้ยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการขับแคลเซียมทางปัสสาวะและยาลดการสลายตัวของกระดูก ร่วมกับการรักษาโรคมะเร็งของผู้ป่วย</p> <p>ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในผู้ป่วยโรคมะเร็งส่งผลต่ออัตรานอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น และการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็ง การให้การรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ช่วยลดอาการแสดงของผู้ป่วย เพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มโอกาสในการรับการรักษาโรคมะเร็งให้แก่ผู้ป่วย</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265078
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในการป้องกันโรคโควิด-19 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในจังหวัดชัยภูมิ
2023-11-06T15:09:16+07:00
สุพัตรา หงษ์คำ
supattahongkum@gmail.com
รชานนท์ ง่วนใจรัก
rachanon.n@nrru.ac.th
<p>การได้รับวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันมีความสำคัญต่อการป้องกันควบคุมโรค และลดความรุนแรงจากโรคโควิด-19 การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional analytical study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในการป้องกันโรคโควิด-19 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 575 คน สุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มหลายขั้นตอน (Multi-stage stratified cluster random sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์แบบพหุถดถอยลอจิสติก (Multiple logistic regression analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในการป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าหรือเท่ากับ 3 เข็ม เป็นร้อยละ 76.87 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในการป้องกันโรคโควิด-19 ดังกล่าว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (AOR = 1.85; 95%CI: 1.17–2.92; p-value = 0.008) สิทธิการรักษาพยาบาล (AOR = 2.94; 95%CI: 1.05-8.33; p-value = 0.041) โรคประจำตัวร่วม (AOR = 3.49; 95%CI: 1.43–8.53; p-value = 0.006) การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (AOR = 2.86; 95%CI:1.54–5.33; p-value = 0.001) จาก อสม. (AOR = 3.02; 95%CI: 1.20–7.58; p-value = 0.019) จากสื่อออนไลน์ (AOR = 1.89; 95%CI: 1.10–3.32; p-value = 0.021) และพฤติกรรมการปฏิบัติตัว (AOR = 1.78; 95%CI: 1.14–2.77; p-value = 0.010)</p>
2023-12-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264273
ประสบการณ์อาการ กลวิธีการจัดการอาการ และผลของการจัดการอาการ ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เลือกการดูแลแบบประคับประคอง
2023-09-07T17:13:26+07:00
ปิยพร พรพนม
beepiyapron6@gmail.com
สุพัตรา บัวที
supatra.b@msu.ac.th
นงเยาว์ มีเทียน
supatra.b@msu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ เพื่อศึกษาประสบการณ์อาการ วิธีการจัดการและผลของการจัดการอาการในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เลือกการดูแลแบบประคับประคอง โดยใช้แนวคิดการจัดการอาการของดอดด์และคณะ (2001) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เลือกการดูแลแบบประคับประคอง มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จำนวน 89 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามประสบการณ์อาการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า อาการที่พบบ่อย 5 อันดับแรก ได้แก่ อาการเหนื่อยล้า คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ วิงเวียน และปวดมึนชา โดยอาการเหนื่อยล้า เป็นอาการที่เป็นมากทั้งความถี่ ความรุนแรง และการรบกวนประจำวันมากที่สุด ส่วนกลวิธีจัดการอาการกลุ่มตัวอย่างปฏิบัติด้วยตนเอง ได้แก่<br />การจัดการอาหารและน้ำ การปรับพฤติกรรมพักผ่อน การแพทย์ทางเลือก การปรับความคิดและจิตใจ การจัดการด้วยสิ่งแวดล้อม ผลของการจัดการส่วนใหญ่ พบว่า ดีขึ้น</p> <p>จากการศึกษาที่ได้ พยาบาลควรนำประสบการณ์ของผู้ป่วยไปใช้ในการพัฒนา และวางแผนการดูแลเพื่อสนับสนุนให้มีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265811
การพัฒนาระบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลท่าคันโท อำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์
2023-11-08T09:08:52+07:00
เมตตา สุริยะ
tan.metta2011@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ 1 วงรอบ เพื่อพัฒนาระบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลท่าคันโท ในกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 128 คน และภาคีเครือข่าย จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม และเครื่องมือเชิงคุณภาพด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ระยะเวลาการศึกษา 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) การพัฒนาระบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งนำข้อมูลสถานการณ์ และพฤติกรรมเสี่ยงร่วมกับการส่งเสริมความรอบรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง การสนับสนุน การแก้ไขปัญหา และอุปสรรคในการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง (2) การทดลองใช้ระบบการพัฒนา และผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง พบว่า <br />การอบรมเชิงปฏิบัติการแบบบูรณาการจากผู้ที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนการจัดระบบการติดตามกลุ่มเสี่ยง การบูรณาการร่วมกันของทุกสหวิชาชีพ และการพัฒนาศักยภาพชุมชนในรูปแบบการดำเนินงานสร้างความร่วมมือจากโรงพยาบาล เทศบาล และทุกภาคส่วนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในพื้นที่ต่อไป</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/262952
ประสบการณ์การดูแลเด็กก่อนวัยเรียนโรคหืดที่ควบคุมโรคไม่ได้ของผู้ดูแล
2023-09-25T10:59:46+07:00
กานต์รวี โบราณมูล
gantrawee@smnc.ac.th
ศิราณี อิ่มน้ำขาว
siranee@smnc.ac.th
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสบการณ์การดูแลเด็กก่อนวัยเรียนโรคหืดที่ควบคุมโรคไม่ได้ของผู้ดูแล</p> <p><strong>รูปแบบและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 15 ราย ได้แก่ ผู้ดูแลเด็กโรคหืด อายุระหว่าง 3 - 6 ปี ที่อยู่ในกลุ่มควบคุมโรคไม่ได้ตามเกณฑ์ของ GINA guideline รับการรักษาในคลินิกโรคหืด โรงพยาบาลมหาสารคาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์</p> <p><strong>ผลการศึกษา : </strong>ผู้ดูแลให้ความหมายของโรคหืดเป็นโรคภูมิแพ้ ติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรง น่ากลัวและเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เกิดจากการแพ้สิ่งต่างๆ รับรู้และจัดการเมื่อมีอาการไอ เป็นหวัด และมีหอบ จมูกบาน เชื่อว่าการพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และการดูแลให้เด็กแข็งแรง หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นจะหายขาด แต่การดูแลโดยเฉพาะการพ่นยาแตกต่างกันมาก หลายรายไม่มั่นใจ ส่งผลให้อาการกำเริบรุนแรงและเกิดความกังวลมาก กลัวเด็กเสียชีวิต</p> <p>การจัดการที่คิดว่าทำได้ยาก คือ การลดสิ่งกระตุ้นและต้องการให้มีการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน การพยาบาลต้องประเมินตามสภาพการณ์จริงของแต่ละครอบครัว เพื่อนำสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้ดูแล ครอบครัว เพื่อการจัดการดูแลอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป</p> <p> </p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/265365
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ในชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด
2023-10-28T14:08:25+07:00
อรพรรณ สุนทวง
orapunsun101@gmail.com
<p>แนวปฏิบัติการพยาบาลเป็นเครื่องมือสำคัญของการพยาบาลเพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล และ 3) ศึกษาผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่าง ตามเกณฑ์ คือ พยาบาลในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และผู้ป่วยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในเดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2565 จำนวน 1,132 ราย เครื่องมือประกอบด้วย แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบสอบถาม และคู่มือแนวปฏิบัติการพยาบาล มีดัชนี<br />ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ได้เท่ากับ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าร้อยละ และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ยังไม่มีแนวปฏิบัติการพยาบาล แนวปฏิบัติการพยาบาล ประกอบด้วยการพยาบาลใน 3 ระดับ โดยแบ่งตามระดับความรุนแรงพฤติกรรมก้าวร้าว คือ ระดับ 1 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ระดับ 2 ในโรงพยาบาลชุมชน และระดับ 3 ในโรงพยาบาลจังหวัด ปฏิบัติตามกระบวนการพยาบาล ผลลัพธ์หลังการดำเนินการ พบว่า ผู้ป่วยมารักษาในโรงพยาบาลลดลงจากร้อยละ 13 เหลือเป็นร้อยละ 7.6</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ : จังหวัดร้อยเอ็ดมีแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงในชุมชนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน และลดการมารักษาในโรงพยาบาล ควรมีการทำการวิจัยเชิงทดลองต่อ เพื่อให้สามารถแสดงถึงประสิทธิผลได้อย่างชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งควรมีการติดตามระยะเวลานานขึ้น</p>
2023-12-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/264295
ผลของการใช้โปรแกรมการจัดการอาการต่อทักษะการพ่นยา และอาการหายใจลำบาก ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
2023-10-26T13:51:51+07:00
วรรณนภา โพธิยา
supatra.b@msu.ac.th
สุพัตรา บัวที
wanbeebee@hotmail.com
สุรชาติ สิทธิปกรณ์
wanbeebee@hotmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง Quasi-experimental research แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการอาการต่อทักษะการพ่นยาและอาการหายใจลำบากในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ณ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 48 คน กลุ่มละ 24 คน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการอาการ 5 ขั้นตอน คือ 1) ประเมินประสบการณ์ 2) ให้ความรู้การจัดการอาการ 3) ฝึกทักษะการจัดการอาการ 4) ปฏิบัติการจัดการอาการ 5) ประเมินผลการจัดการอาการ ใช้แบบประเมินอาการหายใจลำบาก และทักษะการพ่นยา ใช้สถิติt-test พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการพ่นยา กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมสูงกว่ากลุ่มการพยาบาลปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 9.61, p-value < 0.001) 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนอาการหายใจลำบาก กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมน้อยกว่ากลุ่มการพยาบาลปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -5.85, p-value < 0.001) 3) ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการพ่นยา กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 10.93, p-value < 0.05) 4) ค่าเฉลี่ยคะแนนอาการหายใจลำบาก กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมน้อยกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -3.42, p-value < 0.05)</p> <p>ข้อเสนอแนะ การนำโปรแกรมการจัดการอาการมาใช้ผู้ป่วยรับรู้อาการและสามารถจัดการอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดอาการหายใจลำบาก</p>
2024-01-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์