วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ
<p>วารสารวิจัยเเละพัฒนาระบบสุขภาพเป็นวารสารที่ใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลศึกษาวิจัย ทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุขเเละคุณภาพชีวิตนำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน <br />บุคลากรทางด้านสาธารณสุข และทางการเเพทย์ ทั้งในระดับประเทศเเละระดับนานาชาติ รวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจทั่วไป</p> <p>ISSN 3027-6845 (Print)</p> <p>ISSN 3027-6853 (Online)</p> <p> </p> <p> </p>
Research and Development Health System Journal
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
3027-6845
<p><span style="font-weight: 400;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</span><span style="font-weight: 400;">บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักณอักษรจากวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยก่อนเท่านั้น</span></p>
-
ประสิทธิผลของระบบ และกลไกการรายงานโรคที่เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา จังหวัดหนองบัวลำภู
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276629
<p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบ และกลไกการรายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อประเมินประสิทธิผลของระบบและกลไกที่พัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ระหว่างวันที่ วันที่ 5 สิงหาคม 2567-วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568 วิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงอนุมานใช้สถิติ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังทดลองใช้ระบบและกลไก เจ้าหน้าที่ระบาดวิทยามีคะแนนความรู้เกี่ยวกับระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อทางระบาดวิทยา หลังทดลองมากกว่าก่อนทดลอง (Mean diff 2.27, 95% CI = 2.54-4.16) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และทัศนคติต่อการใช้งานระบบหลังทดลองมากกว่าก่อนทดลอง (Mean diff 3.94, 95% CI = 3.75-5.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>การพัฒนาระบบ และกลไกการรายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ทันสถานการณ์โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังในจังหวัดหนองบัวลำภู และกำหนดนโยบายในการวางแผนสนับสนุน การเฝ้าระวังโรคติดต่อ ตามบริบทในพื้นที่ให้เหมาะสม รวมถึงลดอัตราป่วย และอัตราตายที่ส่งผลกระทบทางสุขภาพ</p>
ณัฐญากร มอญขันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-20
2025-11-20
18 3
168
180
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.276629
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการตนเองกับความเครียดของ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในเขตเทศบาลชุมชนเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275932
<p>โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่อาจนำไปสู่ความพิการ ความเครียด และอัตราการเสียชีวิตสูง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (2) ระดับการจัดการตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการตนเองกับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในชุมชนเทศบาลเมือง อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี จำนวน 94 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความเครียด และแบบประเมินการจัดการตนเอง วิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Pearson’s correlation coefficient </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับต่ำ ระดับการจัดการตนเองของผู้ดูแลอยู่ในระดับมาก และการจัดการตนเองของผู้ดูแลมีความสัมพันธ์<br />ทางลบกับระดับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value < 0.01 (r = -0.576) โดยมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการศึกษาการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเครียด ตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อนำมามาวางแผนในการจัดการตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p>
โสฬส พิรักษา
ศักดิ์มงคล เชื้อทอง
ปาริชาติ ทาเผือก
เปรมฤทัย ด่านสวัสดิ์
จินห์จุฑา ภู่แพร
ชนากานต์ โตยิ่ง
ชมพูนุช ดีเฉย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-20
2025-10-20
18 3
69
81
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275932
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะอ้วนในวัยเรียน และวัยผู้ใหญ่ กับภาวะความดันโลหิตสูง ในวัยผู้ใหญ่: เขตสุขภาพที่ 7
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275044
<p>ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง การศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะอ้วนในวัยเด็กต่อความดันโลหิตสูงในวัยผู้ใหญ่ในประเทศไทยยังมีจำกัด การวิจัยแบบ retrospective cohort ครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะอ้วนในวัยเด็กกับความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงในวัยผู้ใหญ่ ดำเนินการศึกษาในเขตสุขภาพที่ 7 โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป จำนวน 5,110 คน ที่สามารถระลึกถึงรูปร่างในวัยประถมศึกษา และไม่เคยได้รับการวินิจฉัยความดันโลหิตสูง เก็บข้อมูลสัดส่วนร่างกาย พฤติกรรมสุขภาพ และความดันโลหิต วิเคราะห์ด้วย Multiple Logistic Regression กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value < 0.05</p> <p>กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง 54.3% อายุเฉลี่ย 53.1±11.9 ปี อ้วนในวัยเด็ก 6% และอ้วนในปัจจุบัน 29.9% ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มที่อ้วนทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง 2.44 เท่า (95%CI:1.55-3.86) กลุ่มอ้วนเฉพาะวัยเด็ก 2.43 เท่า (95%CI:1.51-3.92) และกลุ่มอ้วนเฉพาะวัยผู้ใหญ่ 1.74 เท่า (95%CI:1.41-2.16) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยอ้วน นอกจากนี้ การบริโภคผักไม่เพียงพอ และการดื่มแอลกอฮอล์ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ภาวะอ้วนในวัยเด็กส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การป้องกันโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็กจึงควรเป็นยุทธศาสตร์หลักของระบบสาธารณสุข พร้อมทั้งพัฒนาระบบติดตามสุขภาพระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ</p>
กัญญา จันทร์พล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
26
40
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275044
-
ประสิทธิผลของการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276636
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโดยประยุกต์หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต ศึกษาในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 30 ราย ที่ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินดัชนีสภาวะสุขภาพผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาซ เท่ากับ 0.832 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา และ paired t-test</p> <p>พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 46-60 ปี ศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า อาชีพเกษตรกร มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่สูง มีพฤติกรรมการปฏิบัติตนตามหลักเวชศาสตร์<br />วิถีชีวิตโดยรวม อยู่ในระดับถูกต้องที่สุด (= 3.97, S.D. = 0.07) โดยการปฏิบัติตนด้านการนอนหลับที่มีคุณภาพ มีค่าสูงสุด อยู่ในระดับถูกต้องที่สุด ( = 4.00, S.D. = 0.01) ส่วนการจัดการความเครียด <br />มีค่าน้อยที่สุด อยู่ในระดับถูกต้องบ้าง (= 3.92, S.D. = 0.29) ประสิทธิผลของการพัฒนาการป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโดยประยุกต์หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตโดยเปรียบเทียบค่าดัชนีสภาวะสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม พบว่า ค่าดัชนีสภาวะสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมการป้องกันโรคเบาหวานตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
หทัย ธาตุทำเล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-07
2025-11-07
18 3
139
153
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.276636
-
ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในบุคลากร โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275934
<p>ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงเป็นพิเศษจากลักษณะการทำงาน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในบุคลากรโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ใช้ข้อมูลจากการตรวจสุขภาพประจำปี พ.ศ. 2567 ของบุคลากร 210 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการถดถอยโลจิสติก กำหนดภาวะไขมันในเลือดผิดปกติตามเกณฑ์ NCEP ATP III</p> <p>ผลการศึกษา พบ ความชุกของภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ร้อยละ 66.7 โดย Total Cholesterol และ LDL-Cholesterol มีค่าผิดปกติ ร้อยละ 54.3 และ 58.1 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ 39 ปีขึ้นไป (OR = 1.89, 95% CI: 1.05-3.40, p-value = 0.033) และตำแหน่งคนงานเทียบกับผู้ปฏิบัติงานด้านการรักษาพยาบาล (OR = 1.86, 95% CI: 1.13-3.12, p-value = 0.040) ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ดัชนีมวลกาย และระดับเอนไซม์ตับ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value > 0.05)</p> <p>สรุปว่า ความชุกของภาวะไขมันในเลือดผิดปกติอยู่ในระดับสูง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ อายุ 39 ปีขึ้นไป และตำแหน่งงานประเภทคนงาน ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพที่มุ่งเน้นกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้เป็นพิเศษเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด</p>
สุริยะ เครือจันต๊ะ
ชญานันท์ นันทเพชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
82
95
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275934
-
ผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ สำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275378
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ประชากรในการศึกษา จำนวน 40 คน ตัวอย่างเป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ จำนวน 34 คน โดยใช้แบบสอบถาม 3 ส่วน โดยเข้าร่วมโปรแกรม 3 ครั้ง (6 สัปดาห์) ได้แก่ ครั้งที่ 1 การเตรียมความพร้อม ครั้งที่ 2 การฝึกประสบการณ์เพิ่มพูนสมรรถนะฯ (4 สัปดาห์) และครั้งที่ 3 การประเมินผลและสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ด้านความรู้ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุหลังโปรแกรม (M = 28.13, S.D. = 0.47) สูงกว่าก่อนโปรแกรม (M = 22.38, S.D.= 3.95) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value < 0.001 และด้านสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ ก่อนและหลังโปรแกรม พบว่า คะแนนสมรรถนะเฉลี่ยหลังโปรแกรม(M = 227.93, S.D. = 8.11) สูงกว่าก่อนโปรแกรม (M = 187.34, S.D. = 22.18) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value < 0.001</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีนำไปใช้ในเครือข่ายหน่วยบริการอื่นๆ และพัฒนาสมรรถนะด้านการประเมินและการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน Fast Track เพื่อให้ได้รับการรักษาแบบเร่งด่วนและป้องกันภาวะคุกคามต่อชีวิต</p>
วัชรา เลิศแก้ว
ธวัชชัย ยืนยาว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
1
14
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275378
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกินในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดกลุ่ม Taxane
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/277404
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกิน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและบันทึกทางการพยาบาลของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 135 ราย ได้จากการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้หลักการคัดเลือกประชากรทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์การศึกษาตามคุณสมบัติที่กำหนด วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Simple logistic regression และ Multiple logistic regression</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความชุกของระดับความรุนแรง พบ ระดับ I และ II คิดเป็นร้อยละ 45.93 และ 54.07 ตามลำดับ จำแนกระดับความรุนแรงตามเกณฑ์ Common Terminology Criteria for Adverse Events (CTCAE) วิเคราะห์สถิติถดถอยพหุลอจิสติกส์ พบ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ได้แก่ อายุ (OR<sub>adj</sub> = 3.58; 95% CI = 1.32-9.75) ประวัติการแพ้ยา (OR<sub>adj</sub> = 5.53; 95% CI = 2.00-15.27) จำนวนรอบของการรักษา (OR<sub>adj</sub> = 7.27; 95% CI = 2.70-19.55) ความเข้มข้นของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ (OR<sub>adj</sub> = 7.22; 95% CI = 2.09-24.96) และปริมาณยาเคมีบำบัดที่ได้รับขณะเกิดภาวะภูมิไวเกิน (OR<sub>adj</sub> = 6.99; 95% CI = 2.07-23.58)</p> <p>ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวทางการคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะภูมิไวเกิน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการบริหารยาเคมีบำบัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
กัมพล อินทรทะกูล
ปิยรัตน์ ภาคลักษณ์
รัศมิ์สุนันท์ จันทรภักดี
อนุชา ดวงแก้ว
นภัสสร ยอดทองดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-07
2025-12-07
18 3
P195
208
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.277404
-
ผลของโปรแกรม 3Rs ต่อความรู้ แรงจูงใจ และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ครัวเรือนของประชาชนตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275994
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม 3Rs ต่อความรู้ แรงจูงใจ การรับรู้ความสามารถตนเอง พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือน และปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือนของประชาชนตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนครัวเรือน ประกอบด้วย กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 50 คน ศึกษาช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2567 กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม 3Rs ที่ผู้วิจัยได้นำหลัก 3Rs มาออกแบบโดยใช้ทฤษฎีการให้ข้อมูลข่าวสาร การสร้างแรงจูงใจ และการพัฒนาทักษะ และทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเอง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบบันทึกปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test, Independent t-test และ Repeated-Measures ANOVA</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม 3Rs กลุ่มทดลองมีความรู้ แรงจูงใจ การรับรู้ความสามารถตนเอง และพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนตามหลัก 3Rs ดีขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) หลังเข้าร่วมโปรแกรม 3Rs และระยะติดตามผล กลุ่มทดลองมีปริมาณขยะมูลฝอยครัวเรือนลดลงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและลดลงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001)</p> <p>ดังนั้น จึงควรประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดปริมาณ<br />ขยะมูลฝอยครัวเรือนและชุมชนในอนาคต</p>
วิริญจ์ชนก พงษ์นิล
สรญา แสนมาโนช
ปิยพร แผ้วชำนาญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275994
-
ผลของโปรเเกรมประยุกต์แนวคิดเกมมิฟิเคชันต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของ นักเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดสมุทรปราการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275445
<p>การไม่ออกกำลังกายในเด็กประถมศึกษายังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว แม้ว่าการใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันจะได้รับการศึกษาต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังขาดงานวิจัยที่ประยุกต์ใช้แนวคิดนี้กับการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในเด็กอย่างชัดเจน</p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมประยุกต์แนวคิดเกมมิฟิเคชันต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองเป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.33 และเพศชาย ร้อยละ 46.66 ส่วนกลุ่มควบคุมเป็นเพศชาย ร้อยละ 56.66 และเพศหญิง ร้อยละ 43.33 ทั้งสองกลุ่มมีอายุเฉลี่ย 11 ปี กลุ่มทดลองไม่มีโรคประจำตัว ขณะที่กลุ่มควบคุมมีโรคประจำตัว ร้อยละ 13.33</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 9.97±3.17 เป็น 23.24±1.30 (t = 21.92, p-value < 0.001) หลังเข้าร่วมโปรแกรม และพฤติกรรมการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 34.13±4.62 เป็น 39.53±0.68 (t = 6.23, p-value < 0.001) แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมเกมมิฟิเคชันสามารถส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการออกกำลังกายในเด็กประถมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
จารุจินดา คำวิลานนท์
เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์
นิภา มหารัชพงศ์
ปาจรีย์ อับดุลลากาซิม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
15
25
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275445
-
การพัฒนาตำรับอาหารพื้นถิ่นเพื่อการดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานในจังหวัดนครพนม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276016
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้และพัฒนาตำรับอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ระยะศึกษาสถานการณ์ คือ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดและปราชญ์ท้องถิ่น จำนวน 12 คน ระยะพัฒนาตำรับอาหาร คือ <br />นักโภชนากร 2 คน ผู้เชี่ยวชาญอาหารถิ่น 12 คน พยาบาล 7 คน นักเทคโนโลยีและออกแบบสิ่งพิมพ์ จำนวน 1 คน ระยะประเมินผล คือ ผู้ป่วยเบาหวาน 20 คน และบุคลากรทางสุขภาพ 10 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสังเคราะห์องค์ความรู้ แบบสรุปกิจกรรมสนทนากลุ่ม และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ความรู้ในการดูแลด้านอาหาร ได้แก่ การคำนวณสัดส่วนอาหาร <br />การประเมินภาวะโภชนาการ และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การสาธิตการจัดอาหารต่อมื้อ <br />การค้นหาแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2) ตำรับอาหารสุขภาพ ประกอบด้วย ปลาจุ่ม ต้มส้มปลา ลาบปลาปาก แจ่วฮ้อน หมกหม้อพวงไข่ นึ่งปลาเอือบ เมี่ยงไก่นึ่ง แกงอ่อมผักรวม หมกจ๊อ ซั้วไก่นา ซุปมะเขือ และแกงอ๋อมหวาย 3) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อรูปแบบของตำรับอาหารในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.50, S.D. = 0.78) และมีความพึงพอใจต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในระดับมากที่สุด(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.69, S.D. = 0.87) ความพึงพอใจโดยรวม ระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.60, S.D. = 0.83)</p> <p>ตำรับอาหารนี้ เป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่จังหวัดนครพนม</p>
จรินทร โคตพรม
พัชนี สมกำลัง
นาฎนภา อารยะศิลปธร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-07
2025-11-07
18 3
125
138
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.276016
-
คู่มือการออกกำลังกายผู้สูงอายุแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย : เทศบาลเมืองเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275563
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาคู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย 2) เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมตามคู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุเพศชาย และเพศหญิง จำนวน 20 คน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกาย ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย และแบบประเมินสมรรถภาพทางกายเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้มในผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้วยค่าที</p> <p>ผลการวิจัย 1) ได้คู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้การออกกำลังกายแบบประยุกต์เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.94 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา<br />ครอนบาค เท่ากับ 0.84<strong> </strong>2) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุในแต่ละด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยของรายการทดสอบก่อนการทดลองที่มีความแตกต่างจาก<br />หลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีจัดกิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนอื่นๆ ต่อไป</p>
พงศธร ไพจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
41
53
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275563
-
ประสิทธิผลของการรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกรังแกและการรังแกผู้อื่น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276087
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุระหว่าง 13-16 ปี จำนวน 39 คน ซึ่งได้รับสื่ออินโฟกราฟิกผ่านเว็บไซต์โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง จำนวน 3 เนื้อหาสาระ เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติค่าทีแบบจับคู่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.43, S.D. = 0.35) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.89, S.D. = 0.46) การรับรู้การควบคุมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 3.77, S.D. = 0.31) และความตั้งใจทำพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น (M = 4.10, S.D. = 0.33) สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และมีระดับความพึงพอใจสื่ออินโฟกราฟิกผ่านเว็บไซต์โดยภาพรวม (M = 3.84, S.D. = 0.30) อยู่ในระดับสูง</p> <p>สรุปได้ว่า การรับสื่ออินโฟกราฟิกตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนผ่านเว็บไซต์ในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันถูกรังแกและรังแกผู้อื่น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตามองค์ประกอบของทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนของนักเรียน</p>
อภิรักษ์ ตรียวง
สิริยาพร นิติคุณเกษม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-30
2025-11-30
18 3
181
194
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.276087
-
ผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้พืชกระท่อม ในเกษตรกร ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275592
<p>การวิจัยนี้เป็นการทดลองกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้พืชกระท่อมในเกษตรกร ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกร 40 คน ที่คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูล 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนเข้าร่วม หลังเข้าร่วม 8 สัปดาห์ และระยะติดตาม 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติฯ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม และโปรแกรมสร้างเสริมความรู้และทัศนคติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired-Samples T-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 40 คน เป็นเพศชายร้อยละ 70.0 เมื่อเปรียบเทียบผลในแต่ละช่วง พบว่า ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเสี่ยง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br />โดยพบว่า หลัง 12 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 100.0 ทัศนคติและพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 92.5 ร้อยละ 87.5 ตามลำดับ</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมมีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ ปรับทัศนคติ และลดพฤติกรรมเสี่ยงโดยอาศัยการสร้างความรู้และความตระหนักผ่านกระบวนการสุขศึกษา อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้มีข้อจำกัด ได้แก่ ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ขนาดกลุ่มตัวอย่างเล็ก มาจากพื้นที่เดียว และระยะติดตามสั้น</p>
จีรารัตน์ อุ่นเพ็ญ
อัษฎาวุฒิ โยธาสุภาพ
สิริยาพร จันทร์ชู
วริสา สง่าพาโชค
อาทิตยา เหลืองประเสริฐ
ลักษมี บัวสัมฤทธิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
96
110
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275592
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/276279
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ศึกษาจากประชากร คือ เด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลดอนฉิมพลี จำนวน 35 คน โปรแกรมประกอบด้วย การให้ความรู้และฝึกทักษะผู้ปกครองและให้ผู้ปกครองทำกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่บ้านเป็นเวลา 1 เดือน และประเมินพัฒนาการเด็ก 2 ครั้ง ก่อนหลังเข้าร่วมโปรแกรม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยและแบบประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยจากคู่มือ DSPM วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ McNemar’s test และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value = 0.001 และผู้ปกครองมีความรู้ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value < 0.001 และผู้ปกครองมีพฤติกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value < 0.001</p> <p>ข้อเสนอแนะ โปรแกรมนี้มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ โรงเรียนพ่อแม่ แผนกิจกรรมร่วมกับเด็กและการยืมนิทาน จึงทำให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น และผู้ปกครองมีความรู้และพฤติกรรมส่งเสริมพัฒนาการดีขึ้น</p>
ดวงนภา ปงกา
กิระพล กาละดี
วรางคณา จันทร์คง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-10
2025-11-10
18 3
154
167
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.276279
-
การวิจัยและพัฒนารูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อยกระดับการจัดการ องค์กรสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/275730
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาแบบการประเมินผลหลายขั้นตอน ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยใช้แบบสอบถามกับบุคลากรสาธารณสุข จำนวน 416 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจากการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มจากผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน โดยใช้แนวคิด M-PWR เป็นกรอบในการพัฒนารูปแบบ SMART-DT ระยะที่ 3 ทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบด้วยการวิจัยกึ่งทดลองแบบ One Group Pre-Post Test Design เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการใช้รูปแบบกับบุคลากรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย จำนวน 30 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อยกระดับการจัดการองค์กรสาธารณสุข ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การใช้ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 2) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารงานและให้บริการ 3) การพัฒนาทักษะดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของบุคลากร 4) การสร้างระบบแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และ 5) การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานด้วยเครื่องมือดิจิทัล และดำเนินงานผ่านแผนงานการนำไปปฏิบัติด้วยปัญญาประดิษฐ์จังหวัดสุโขทัย การทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ เวลาเฉลี่ยในการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน ความพึงพอใจของบุคลากร ทักษะดิจิทัลของบุคลากรและทัศนคติต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
ทรรศนีย์ บุญมั่น
ธัญญารัตน์ สิทธิวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-11
2025-10-11
18 3
10.64962/rdhsj.v18i3.2025.275730