https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/issue/feed
วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
2024-11-08T10:53:00+07:00
ดร.สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี
DoctorSinsakchon@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 9</strong> เป็นวารสารวิชาการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่อยู่ใน<strong>ฐานข้อมูลการอ้างอิงวารสารไทย (Thailand Citation Index - TCI) กลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2567</strong></p> <p>รับบทความวิจัย (Research Articles) บทความวิชาการหรือบทความทบทวน (Review or Academic Articles) และบทความพิเศษ (Special Articles) โดยบทความวิจัยและบทความวิชาการทุกบทความ ต้องได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและประเด็นทางวิชาการของบทความ สำหรับบทความพิเศษ เป็นรูปแบบการเชิญของวารสารและไม่ต้องรับการประเมิน</p> <p><strong>วารสารใช้ระบบการประเมินบทความแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-Blinded Reviews)</strong> โดย<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer-Reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <span style="text-decoration: underline;">อย่างน้อย 2-3 ท่านต่อบทความ</span></strong> โดยผู้ส่งบทความระบุจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ต้องการให้ประเมิน (2 หรือ 3 ท่าน) ในหนังสือนำส่งบทความเพื่อรับการพิจารณา</p> <p>วารสารใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแวนคูเวอร์ (Vancouver Style) โดยสามารถศึกษารูปแบบการอ้างอิงได้จากเอกสารคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ <a title="คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" href="https://drive.google.com/file/d/1sgBVTt06wiwq2laYSa5XeYCbBuUC5tWM/view?usp=share_link">ศึกษาคำแนะนำสำหรับผู้เขียน</a></p> <p>การตีพิมพ์มีค่าใช้จ่าย<strong>บทความละ 3,500 บาท </strong>โดยชำระค่าใช้จ่ายเมื่อบทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์แล้ว</p> <p>วารสารตีพิมพ์บทความประมาณ 27-29 บทความในแต่ละฉบับ มีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน; ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม; ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม) ในรูปแบบออนไลน์ และแบบรูปเล่ม</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267581
การศึกษาความชุกของการได้รับยาไม่เหมาะสมและการใช้ยาร่วมกันหลายขนานของผู้ป่วยที่เข้ารับการคัดกรองผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลชำผักแพว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2566
2024-01-31T21:47:01+07:00
ลักษิกา เมธาคุปต์
luxsika.official@gmail.com
รุ่งฤดี แสงคำ
rungrudeesangkum@gmail.com
ชญาณี สุขสมบัติเจริญ
chayanees1974@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่อาจมีผลต่อการได้รับยาไม่เหมาะสม และความชุกของการได้รับยาร่วมกันหลายขนานของผู้สูงอายุที่เข้ารับการคัดกรองผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลชำผักแพว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> ศึกษาโดยเป็นการวิจัยภาคตัดขวางโดยการเก็บข้อมูลย้อนหลัง เก็บข้อมูลผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่เข้ารับการคัดกรองผู้สูงอายุ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565-31 สิงหาคม พ.ศ. 2566 มีการได้รับยาอย่างน้อย 1 รายการขึ้นไป และมีข้อมูลค่า Creatinine ในครั้งที่มารับบริการแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ทั้งหมด 343 คน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> จากกลุ่มตัวอย่าง 343 คน พบผู้สูงอายุที่มีการใช้ยาไม่เหมาะสม 147 คน (ร้อยละ 42.86), พบผู้สูงอายุที่ใช้ยาร่วมกันหลายขนาน ตั้งแต่ 5 รายการขึ้นไป 223 คน (ร้อยละ 65.01), ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับยาไม่เหมาะสมได้แก่ การได้รับยาตั้งแต่ 5 รายการขึ้นไป, เพศหญิง, การมีโรคเรื้อรังในกลุ่ม Bone and joint disease, Muscle and tendon disease และ Neuropsychiatric disease กลุ่มยาที่มีการใช้ยาไม่เหมาะสมมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ Skeletal muscle relaxants, Central nervous system drugs และ Antihistamine drugs รายการยาที่มีการใช้ยาไม่เหมาะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Dimenhydrinate, Chlorpheniramine, Tolperisone, Lorazepam และ NSAIDs</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> โรงพยาบาลบางแห่งยังไม่มียาที่ใช้ทดแทน Dimenhydrinate, Chlorpheniramine, Lorazepam และ Amitriptyline ซึ่งเป็นยาที่มีการสั่งใช้บ่อยในผู้สูงอายุ อาจพิจารณาเรื่องการนำเข้ารายการยาเพิ่มเติม และระมัดระวังในการใช้ยาในกลุ่มนี้มากขึ้น</p>
2024-04-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267828
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของผู้สูงอายุ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-02-17T09:04:35+07:00
สโรชา เชิดชูธรรม
sarocha.chird@gmail.com
ธาตรี โบสิทธิพิเชฎฐ์
tatreeb@gmail.com
กนกพร ก่อวัฒนมงคล
K.Kanokporn.a@gmail.com
ธนกมณ ลีศรี
thanakamon@sut.ac.th
<p>ภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ระหว่างการถดถอยลงตามปกติของผู้สูงอายุ กับภาวะสมองเสื่อม วินิจฉัยจำเป็นต้องใช้แบบประเมินที่มีความซับซ้อน เพื่อให้การดูแลและป้องกันการกลายเป็นโรคสมองเสื่อมของผู้สูงอายุ แต่พบข้อจำกัดในการตรวจคัดกรองที่หน่วยบริการปฐมภูมิ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อค้นหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย เพื่อเป็นแนวทางวางแผนตรวจคัดกรองภาวะนี้ในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p> <p>การศึกษาด้วยภาคตัดขวางในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่มีภาวะพึ่งพิง และอาศัยอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจำนวน 262 คน ตอบแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมิน Geriatric Depression Scale ฉบับภาษาไทย, Mental Status Examination Thai 10, Activities of Daily Living-Thai Assessment Scale และแบบประเมินพุฒิปัญญา Montreal Cognitive Assessment เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ถดถอยพหุลอจิสติก</p> <p>ผลการศึกษา พบผู้เข้าร่วมวิจัย 262 คน เพศชาย 112 คน เพศหญิง 150 คน อายุเฉลี่ย 66.39<u>+</u>4.86 ปี พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา โรคเบาหวาน ประวัติการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การตรวจคัดกรองภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยในสถานบริการปฐมภูมิอาจพิจารณาทำในผู้สูงอายุที่อายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ได้รับการศึกษาน้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 ปี เป็นโรคเบาหวาน มีประวัติการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 การสูบบุหรี่ หรือไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ เนื่องจากลักษณะดังกล่าว เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยในผู้สูงอายุ</p>
2024-04-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267829
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการใช้พัดลมชนิดมือถือกับการฝึกหายใจ โดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมเพื่อลดอาการเหนื่อยในผู้ป่วยระยะท้ายที่ เข้ารับการรักษาแบบประคับประคอง
2024-02-17T10:25:46+07:00
วิสสุตา ศรศุกลรัตน์
leejerdlj@gmail.com
ธาตรี โบสิทธิพิเชฎฐ์
tatreeb@gmail.com
ธัญพิชชา ธีรเวช
kimflongzz@gmail.com
ธนกมณ ลีศรี
thanakamon@sut.ac.th
<p>อาการเหนื่อยเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่รับการรักษาแบบประคับประคอง และนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานและความไม่สุขสบาย การลดความไม่สุขสบาย สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้ยา เช่น ยากลุ่ม Opioid และการไม่ใช้ยา เช่น การใช้พัดลมมือถือ (Handheld fan) หรือการฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังคม (Diaphragmatic breathing) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลด้านประสิทธิภาพของการใช้พัดลมมือในประเทศไทยยังมีจำกัด</p> <p>การวิจัยแบบ Quasi experimental research มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการใช้พัดลมชนิดมือถือเป่าบริเวณใบหน้า เปรียบเทียบกับวิธีการฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม ในการลดอาการเหนื่อยของผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลาม จำนวน 50 คน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย โดยประเมินจากค่าเฉลี่ยคะแนน Modified Borg Scale (MBS) ที่ลดลง</p> <p>ผลการศึกษา พบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนน MBS ในกลุ่มที่ใช้พัดลมชนิดมือถือ (-1.24±0.78) มีค่าลดลงมากกว่ากลุ่มที่ฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม (-0.86±1.25) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.02) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยอัตราการหายใจของกลุ่มที่ใช้พัดลมชนิดมือถือ มีค่าลดลงมากกว่ากลุ่มที่ฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.7)</p> <p>ในทางปฏิบัติ การเลือกใช้พัดลมชนิดมือถือเป่าบริเวณใบหน้าเพื่อลดความเหนื่อยในผู้ป่วยระยะท้าย ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม ทั้งนี้ ขึ้นกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วย</p>
2024-05-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267832
ผลของสมุดเบาหวานในการควบคุมโรคเบาหวาน และการเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในผู้ป่วยที่มีการควบคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดี
2024-02-17T13:57:26+07:00
พุทธิพันธ์ ทองรอด
folkffolk@gmail.com
ธาตรี โบสิทธิพิเชฏฐ์
tatreeb@gmail.com
ธนกมณ ลีศรี
thanakamon@sut.ac.th
<p>ผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ดี มีความรู้เกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นน้อย ขาดความเข้าใจต่ออันตรายจากการควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี ไม่ทราบเป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน โดยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมร่วมกัน ทั้งการรับประทานยา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การจัดทำสมุดสุขภาพเบาหวานโดยมีการให้ความรู้และข้อมูลที่เหมาะสม และเป็นเครื่องมือที่แพทย์ใช้แนะนำผู้ป่วยและผู้ป่วยทบทวนได้</p> <p>การวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของ HbA1c และ ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องโรคเบาหวาน ก่อนและหลังจากการได้รับสมุดสุขภาพเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ จำนวน 37 คน โดยผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับสมุดเบาหวานประจำตัวในการติดตามรักษาโรค ในสมุดมีเนื้อหาโรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อน การดูแลตนเอง ควบคุมอาหาร และเป้าหมายในการรักษา กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่องโรคเบาหวาน และเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar-FBS) และระดับน้ำตาลสะสมในเลือดเฉลี่ย (HbA1c) ก่อนและหลังดำเนินการวิจัย 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความแตกต่างทางสถิติเชิงอนุมานด้วย Paired-sample t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) เฉลี่ย ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาก 8.64% (SD=1.58) เป็น 8.07% (SD=1.88) (p-value=0.0061) และคะแนนเฉลี่ยระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาก 177.26 คะแนน (SD=14.87) เป็น 188.07 คะแนน (SD=11.18) (p-value=0.0003)</p> <p>สมุดเบาหวานสามารถเพิ่มความรู้และช่วยทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ การจัดทำสมุดเบาหวานร่วมใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ จะช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น</p>
2024-05-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267833
ภาวะหมดไฟจากการทำงานและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของบุคลากรด้านบริการปฐมภูมิ อำเภอพระนครศรีอยุธยา
2024-02-17T14:55:39+07:00
กช พิทักษ์วงศ์โรจน์
kod.phi@gmail.com
ธาตรี โบสิทธิพิเชฎฐ์
tatreeb@gmail.com
ศรัณย์ ศรีคำ
saransrikam@outlook.com
ธนกมณ ลีศรี
thanakamon@sut.ac.th
<p>ภาวะหมดไฟจากการทำงาน เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงานที่ไม่สามารถจัดการได้อย่างสัมฤทธิ์ผล การศึกษาพรรณนาเชิงภาคตัดขวาง โดยแบบสอบถามออนไลน์ในบุคลากรด้านการบริการปฐมภูมิอำเภอพระนครศรีอยุธยาทุกตำแหน่งงาน เพื่อสำรวจความชุกของภาวะหมดไฟภาพรวมและแยกรายด้านในบุคลากรด้านบริการปฐมภูมิ อำเภอพระนครศรีอยุธยา และศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะหมดไฟ</p> <p>บุคลากรตอบแบบสอบถามจำนวน 145 คน จาก 240 คน คิดเป็นร้อยละ 60.42 ความชุกภาวะหมดไฟภาพรวมร้อยละ 0.69 แยกรายด้าน ความชุกผู้ที่มีความอ่อนล้าทางอารมณ์ระดับสูง ร้อยละ 11.73 ความชุกผู้ที่มีการลดความเป็นบุคคลระดับสูงร้อยละ 9.65 ความชุกผู้ที่มีความสำเร็จ ส่วนบุคคลระดับต่ำร้อยละ 14.48 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความอ่อนล้าทางอารมณ์ระดับสูง ได้แก่ จำนวนบุคลากรเพียงพอกับงาน Adjusted OR 0.43 (0.19-0.97) และ มีอาการซึมเศร้าตั้งแต่ระดับน้อยขึ้นไป Adjusted OR 7.31 (1.45-36.73) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการลดความเป็นบุคคลระดับสูง ได้แก่ การใช้ยานอนหลับในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Adjusted OR 8.18 (1.96-34.25) และอาการซึมเศร้าตั้งแต่ระดับน้อยขึ้นไป Adjusted OR 4.11 (1.01-16.71) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสำเร็จส่วนบุคคลระดับต่ำ ได้แก่ การศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป Adjusted OR 0.28 (0.79-0.97) ได้ไปเที่ยว Adjusted OR 0.21 (0.06-0.72)</p> <p>ความชุกภาวะหมดไฟภาพรวมของบุคลากรปฐมภูมิอำเภอพระนครศรีอยุธยาระดับต่ำ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะหมดไฟแยกรายด้าน ปัจจัยป้องกัน ได้แก่ ความรู้สึกบุคลากรเพียงพอกับงาน การศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป การได้ไปเที่ยว ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ มีอาการซึมเศร้าตั้งแต่ระดับน้อยขึ้นไป การใช้ยานอนหลับ</p>
2024-05-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267775
การพัฒนารูปแบบการป้องกันภาวะพลัดตกหกล้มสำหรับผู้สูงอายุ โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น ในพื้นที่เป้าหมาย ABC 6-D จังหวัดชัยภูมิ
2024-02-13T19:46:35+07:00
จิรัชญา เหล่าคมพฤฒาจารย์
jungera2520@gmail.com
ปาริชาต ญาตินิยม
pyatniyom@yahoo.com
ธิติรัตน์ เหล่าคมพฤฒาจารย์
thitirat1115@gmail.com
<p>วิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ การพัฒนารูปแบบและการสร้างนวัตกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มสำหรับผู้สูงอายุ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะ 1 และ 2 เป็นการเตรียมพื้นที่และศึกษาสถานการณ์ โดยใช้ผู้สูงอายุ 533 คน ระยะ 3 และ 4 ดำเนินการวิจัยและประเมินผล โดยใช้ผู้สูงอายุ 60 คน ผู้ดูแล 60 คน และภาคีเครือข่าย 30 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม แบบประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบฯ การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มและการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มและพร่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันการหกล้ม 2) รูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชนและท้องถิ่นในทุกกระบวนการ ได้แก่ การประเมินภาวะเสี่ยง การให้ความรู้ การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเยี่ยมบ้าน การคืนข้อมูลแก่ชุมชน และการประเมินผล ผลการประเมินพบว่า ด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและการทรงตัว ในระหว่างก่อนและหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยทรงตัวอยู่ในช่วงเวลาน้อยกว่า 13.45 วินาที 27 คน (ร้อยละ 46.67) ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าก่อนทำกิจกรรม และช่วงเวลามากกว่า 20 วินาที ลดลงเหลือ 14 คน (ร้อยละ 23.33) และผลการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.52, SD=0.71) 3) นวัตกรรมด้านการป้องกันการพลัดตกหกล้มที่พัฒนาร่วมกัน คือ การใช้ยางยืดหรรษา ประกอบการออกกำลังกายและมีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.48, SD=0.74)</p>
2024-06-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267860
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มตำของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดบุรีรัมย์
2024-02-19T12:34:03+07:00
ศิริลักษณ์ สุวรรณวงษ์
siriluk.suw29@gmail.com
พงค์สุวรรณ สมาแฮ
Psuy001@gmail.com
ปิยะนุช บังเอิญ
nuchyizz255@gmail.com
จิตรประภา รุ่งเรือง
pairat834@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของมีคมทิ่มตำของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ปัจจัยนำได้แก่ อายุ และทัศนคติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน ปัจจัยเอื้อได้แก่ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมความปลอดภัยในการขึ้นฝึกปฏิบัติ และปัจจัยเสริม ได้แก่ ความเครียดจากอาจารย์นิเทศและผู้ปฏิบัติงานผู้อื่นจากอุบัติเหตุของมีคมทิ่มตำ มีผลต่อนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 248 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี (Binary logistic)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความชุกจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของมีคมทิ่มตำ ร้อยละ 19.1 โดยพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของมีคมทิ่มตำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ทัศนคติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน (AOR=0.50, 95% CI=0.26-0.96), สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมความปลอดภัยในการขึ้นฝึกปฏิบัติ (AOR=0.51, 95% CI=0.27-0.98) ข้อเสนอแนะเป็นข้อมูลสำหรับการจัดการความเครียดของนักศึกษา ในการสร้างแนวทางการจัดเตรียมสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ให้นักศึกษาก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติ</p> <p><br /><br /></p>
2024-06-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267854
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือน ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
2024-03-04T10:25:18+07:00
เฟื่องฟ้า รัตนาคณหุตานนท์
fuangfah@vru.ac.th
นาตยา ดวงประทุม นาตยา ดวงประทุม
Narttaya.duang@vru.ac.th
ฉัตรประภา ศิริรัตน์
chatprapa_89@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือน ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ จำนวน 360 ครัวเรือน ใช้การสุ่มแบบมีระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ตัวแทนครัวเรือนเกินกว่าครึ่งเป็นเพศหญิง ร้อยละ 52.8 อายุเฉลี่ย 45.4 ปี มีการปฏิบัติพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนในระดับดี ร้อยละ 73.6 (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.82, SD=0.251) มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนในระดับสูง ร้อยละ 52.2 (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=7.85, SD=1.310) และมีทัศนคติเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนในระดับปานกลาง ร้อยละ 66.9 (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.67, SD=0.426) จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนตำบลคลองควาย พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ปัจจัยข้อมูลทั่วไป คือ เพศ และความคิดเห็นต่อปัญหาขยะมูลฝอยของครัวเรือน และปัจจัยด้านทัศนคติเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือน ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 วิธีกำจัดขยะมูลฝอยในครัวเรือน ผลจากการวิจัยนี้ แม้ว่าพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยครัวเรือนในภาพรวมจะอยู่ในระดับดี แต่ยังพบปัญหาปริมาณขยะจำนวนมาก และมีการคัดแยกเฉพาะขยะที่สามารถนำไปจำหน่ายได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางเพื่อลดปัญหาขยะตกค้าง</p>
2024-06-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268005
ผลของโปรแกรมป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมต่อความรู้ ทัศนคติ และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ของนักศึกษาหญิงในสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง
2024-02-28T22:13:41+07:00
อัญชลี อ้วนแก้ว
anchalee@rtu.ac.th
สร้อย อนุสรณ์ธีรกุล
soianu@kku.ac.th
สุภาพักตร์ หาญกล้า
suphaphak@rtu.ac.th
นงนุช นงนุช
nungnuch@rtu.ac.th
กัตติกา วังทะพันธ์
kattikawangtapan1989@gmail.com
วรนุช ไชยวาน
woranuch@rtu.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต่อความรู้ ทัศนคติและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ของนักศึกษาหญิงในสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 3 จำนวน 73 คน ของสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง จังหวัดอุดรธานี เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยวีดิทัศน์ เกมส์ การฝึกปฏิบัติ และการแข่งขันตอบคำถาม เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามความรู้เรื่องการตั้งครรภ์และการคุมกำเนิด ทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=6.73, SD=1.45) ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=14.56, SD=3.03) ทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=56.62, SD=6.86) ทัศนคติต่อการคุมกำเนิด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=56.38, SD=6.45) และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=28.89, SD=5.89) อยู่ในระดับปานกลาง หลังการทดลอง คะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=8.47, SD=1.20) ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=17.07, SD=1.94) และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=33.89, SD=4.31) อยู่ในระดับดี ส่วนคะแนนเฉลี่ยทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=58.67, SD=7.53) และทัศนคติต่อการคุมกำเนิด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=56.73, SD=6.17) มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่าหลังการทดลองความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง คะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนทัศนคติต่อการคุมกำเนิดมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ สรุปได้ว่าโปรแกรมป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมนี้สามารถสร้างเสริมความรู้ ทัศนคติและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของนักศึกษาจึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้</p>
2024-06-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268058
การประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์และอาการผิดปกติของโครงร่างและกล้ามเนื้อของพนักงานเก็บขยะในตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
2024-03-11T11:00:37+07:00
สิทธิชัย สิงห์สุ
sitti1515@gmail.com
วริยา เคนทวาย
Wariya.K@ptu.ac.th
ชุลี โนจิตร
Chulee.n@ptu.ac.th
ศรายุทธ พิริยะเบญจวัฒน์
yut.nbc@gmail.com
วิชุดา จันทะศิลป์
Vichuda1105@gmail.com
กนกพร สมพร
Kanokporn.so@ssru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์ของพนักงานเก็บขนขยะ และความชุกอาการเจ็บปวดทางระบบกระดูกโครงร่างและกล้ามเนื้อของพนักงานเก็บขนขยะในตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 30 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินท่าทางร่างกายทุกส่วน (Rapid Entire Body Assessment-REBA) และแบบสอบถามอาการผิดปกติทางระบบกระดูกโครงร่างและกล้ามเนื้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ระดับความเสี่ยง</p> <p>ผลศึกษาพบว่า พนักงานส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 76.70 มีอายุช่วง 30-40 ปี ร้อยละ 66.70 มีประสบการณ์การทำงาน 1–3 ปี ร้อยละ 80.00 ระยะเวลาการทำงานน้อยกว่า 8 ชั่วโมง ลักษณะท่าทาง การทำงานของกลุ่มตัวอย่างโดยการดึงจำนวน 8 คน มีระดับความเสี่ยงสูง ร้อยละ 50.00 การยกจำนวน 15 คน มีระดับความเสี่ยงสูงมาก ร้อยละ 86.67 และการลากจำนวน 7 คน มีระดับความเสี่ยงสูง ร้อยละ 57.17 และกลุ่มตัวอย่างมีอาการปวดบริเวณต่างๆ ของร่างกายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 3 อันดับแรก พบมากที่สุดบริเวณหลังส่วนล่าง ร้อยละ 100.00 รองลงมาได้แก่ เข่า ร้อยละ 63.30 และส่วนไหล่ ร้อยละ 56.70 ตามลำดับ สรุปผลการศึกษา พนักงานเก็บขยะในตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี มีท่าทางในการทำงานอยู่ในระดับความเสี่ยงสูงมาก และพบความชุกอาการเจ็บปวดระบบกระดูกโครงร่างและกล้ามเนื้อมากที่สุดในบริเวณหลังส่วนล่าง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปรับปรุงท่าทางการทำงานต่อไป</p>
2024-06-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267884
การสังเคราะห์วรรณกรรมด้านการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ในช่วงปี พ.ศ. 2556-2565
2024-02-20T15:54:28+07:00
มธุรส สว่างบำรุง
marosesom@yahoo.com
หนึ่งหทัย ชัยอาภร
ttunti@hotmail.com
เมธี วงศ์วีระพันธุ์
matree@gmaejo.mju.ac.th
<p>งานวิจัยวิเคราะห์เอกสารมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์วรรณกรรมด้านการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุและเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีในการดูแลป้องกันด้านการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2556 - 2565 ประชากร คือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพลัดหกล้มของผู้สูงอายุ จำนวน 30 รายการ ที่สืบค้นจาก 3 ฐานข้อมูล ได้แก่ ThaiJO, Research Gateway Common Service และ Google.co.th เครื่องมือวิจัย คือ แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และแบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา </p> <p>ผลวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยด้านการพัฒนาโปรแกรมป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ จำนวน 15 รายการ คิดเป็นร้อยละ 50.00 การสังเคราะห์วรรณกรรมด้านการวิจัยอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดมิติ 4 ด้าน ได้แก่ มิติที่ 1) ด้านสถานการณ์การแพทย์ฉุกเฉิน การประเมินความเสี่ยง และข้อเสนอแนะของนโยบายในการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ มิติที่ 2) ด้านทัศนคติ การรู้คิด อารมณ์และพฤติกรรมในการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ มิติที่ 3) ด้านปัจจัยที่ส่งผล หรือมีความสัมพันธ์กับการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ และมิติที่ 4) ด้านการพัฒนาโปรแกรม รูปแบบ การฟื้นฟูและมาตรการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ความเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีในการดูแลป้องกันการพลัดตกหกล้มทั้งหมดมี 7 แนวคิด ประกอบด้วย 1) แนวคิดนโยบายการแพทย์ฉุกเฉิน 2) ทฤษฎีทัศนคติความสมดุล 3) ทฤษฎีปัจจัยนํา ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม 4) ทฤษฎีการส่งเสริมสุขภาพ 5) ทฤษฎีในการดูแลตนเอง 6) แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ และ 7) แนวคิดสาธารณสุข</p>
2024-06-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/267898
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะความจำบกพร่องระยะแรกในผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
2024-02-21T22:00:42+07:00
วิทธวัช จอมคำ
wittawat_noom@hotmail.com
วิไลพร กาเชียงราย
wilaipornwong2015@gmail.com
กนกนาถ พรหมวิชัย
nong_chuwai@hotmail.com
เกหลั่น ประเสริฐธิติพงษ์
kaehlun2508@gmail.com
สุทธิดา พงษ์พันธ์งาม
sutthida.ph@up.ac.th
วินัฐ ดวงแสงจันทร์
winut.nurse@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะความจำบกพร่องระยะแรก และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะความจำบกพร่องระยะแรกในผู้สุงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ใส อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 220 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายตามคุณสมบัติที่กำหนด ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน และประเมินภาวะความจำบกพร่องระยะแรก โดยเครื่องมือได้ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นก่อนนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไคสแคว์ และสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ความชุกของผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำบกพร่องระยะแรก จำนวน 175 คน คิดเป็นร้อยละ 79.50 และพบว่า อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐานมีความสัมพันธ์กับภาวะความจำบกพร่องระยะแรก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ผลการวิจัยศึกษาครั้งนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำบกพร่องระยะแรก อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา</p>
2024-07-02T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268212
การพยากรณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคปอดบวมและโรคเลือดออกในสมอง
2024-03-12T21:23:15+07:00
บังอร อยู่นาน
bangon@ptu.ac.th
วัฒนา ชยธวัช
vadhana.j@ptu.ac.th
<p>การวิจัยพยากรณ์อนุกรมเวลานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคปอดบวม และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเลือดออกในสมองปีงบประมาณ 2567 เนื่องจากเป็นกลุ่มโรคที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 ถึง 2566 ประชากร คือ จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมและจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคเลือดออกในสมองที่เสียชีวิตในประเทศไทยปีงบประมาณ 2557 ถึง 2567 (ประมวลผลวันที่ 5 มีนาคม 2567) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมสำเร็จรูปในรูปแบบตาราง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากระบบรายงานสถิติผู้เสียชีวิตของกระทรวงสาธารณสุขรายการที่ 169: ปอดบวม และ 153: เลือดออกในสมอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และแบบจำลองตามทฤษฎีระบบเกรย์ จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสองโรค ผลการวิจัยพบว่า เมื่อใช้ข้อมูลปีงบประมาณ 2558 ถึง 2566 สร้างแบบจำลองตามทฤษฎีระบบเกรย์แล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตโรคปอดบวมและจำนวนผู้เสียชีวิตโรคเลือดออกในสมอง แบบจำลอง GM(1,1) expanded with periodic correction model มีค่าเฉลี่ยร้อยละความผิดพลาดสัมบูรณ์ (Mean Absolute Percentage Error, MAPE) ต่ำที่สุดคือ 2.83 และ 1.20 ตามลำดับ พยากรณ์ว่าปีงบประมาณ 2567 จะมีผู้เสียชีวิต 34,142 คน และ 9,881 ตามลำดับ เพิ่มจากปีงบประมาณ 2566 ร้อยละ 21.08 และ 1.75 ตามลำดับ โดยแตกต่างจากประมาณการเต็มปีงบประมาณ 2567 ร้อยละ 37.12 และ 15.99 ตามลำดับ ซึ่งสามารถนำไปปรับปรุงแผนงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโรคทั้งสองนี้ในปีงบประมาณ 2567 ต่อไป</p>
2024-07-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268410
การพัฒนานวัตกรรมทางสังคมด้วยกระบวนการชุมชนเพื่อสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ ตำบลกลันทา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
2024-04-05T12:25:39+07:00
ณรงค์กร ชัยวงศ์
narongkorn_chai54@hotmail.com
ณิชาภัทร มณีพันธ์
jenwit_10@hotmail.co.th
สุกัญญา บุรวงศ์
sukunya.bw@bru.ac.th
ถาวรีย์ แสงงาม
Thawaree.sa@bru.ac.th
ปัณณทัต บนขุนทด
iampun1976@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางสังคมด้วยกระบวนการชุมชนเพื่อสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ ตำบลกลันทา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สุขภาวะผู้สูงอายุในชุมชนและนวัตกรรมทางสังคมที่มีอยู่ในตำบลกลันทา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ขั้นตอนที่ 2 พัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ และ ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินกิจกรรมและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบคัดกรองและประเมินสุขภาพผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2564 แบบประเมินสุขภาวะผู้สูงอายุแบบองค์รวม และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติ t-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2565-มีนาคม 2566</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุด้วยกระบวนการชุมชน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมในขั้นตอนการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาสุขภาพ และความต้องการของชุมชน 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนกิจกรรมจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัญหาและวางแผนกิจกรรมร่วมกัน 3) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามแผนกิจกรรม และ 4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล โดยนวัตกรรมทางสุขภาพที่พัฒนาร่วมกัน จากการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพ มี 5 ชิ้นงาน ได้แก่ กะลาพาทรงตัว เก้าอี้หรรษาพาออกกำลังกาย ล้อปั่นพาเพลิน นวัตกรรมลูกประคบสมุนไพร และชุดกิจกรรมป้องกันภาวะสมองเสื่อม ผลการประเมินความพึงพอใจภายหลังการดำเนินกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 4.18 (SD=0.69) ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรม มีคะแนนการรับรู้สุขภาวะของตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-07-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268316
สุนทรียทักษะภาวะผู้นำและการสนับสนุนจากองค์การ ที่มีผลต่อการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์
2024-03-20T18:06:59+07:00
สุชาดา จำปาน้อย
suchada_c@kkumail.com
ประจักร บัวผัน
bprach@kku.ac.th
นพรัตน์ เสนาฮาด
noppse@kku.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สุนทรียทักษะภาวะผู้นำและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรที่ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 226 คน สุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 129 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและสถิติการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยกำหนดที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับสุนทรียทักษะภาวะผู้นำ ระดับการสนับสนุนจากองค์การ และระดับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.08 (SD=0.40), 3.80 (SD=0.53), และ 4.12 (SD=0.45) ตามลำดับ และพบว่าภาพรวมสุนทรียทักษะภาวะผู้นำและการสนับสนุนจากองค์การมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.601, p-value<0.001), (r=0.678, p-value<0.001) ตามลำดับ ซึ่งตัวแปรทั้ง 5 ตัวแปรประกอบด้วย การสนับสนุนจากองค์การด้านบุคลากร สุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะการวางแผนและจัดองค์การ สุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะการทำงานเป็นทีม การสนับสนุนจากองค์การด้านการบริหารจัดการ และสุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะการคิดริเริ่ม สามารถร่วมกันในการพยากรณ์และมีผลต่อการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 58.3 (R<sup>2</sup>=0.583, p-value<0.001)</p>
2024-07-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268873
ความตระหนัก พฤติกรรมความปลอดภัย และภาวะสุขภาพ ของพนักงานทำความสะอาด มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย
2024-04-26T11:35:43+07:00
ณัฐนิชา พรหมเจริญ ณัฐนิชา พรหมเจริญ
natnicha.pcr@gmail.com
หัสฉฎา อินทร์ดำ
haschadar.indam@gmail.com
โสมศิริ เดชารัตน์
somsiri@tsu.ac.th
<p>พนักงานทำความสะอาดเป็นอาชีพที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในสถานที่ต่างๆ และมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสกับปัจจัยคุกคามด้านกายภาพ ด้านเคมี และด้านชีวภาพ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความตระหนักและพฤติกรรมการทำงานที่ปลอดภัย 2) เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมความปลอดภัยและความตระหนักด้านความปลอดภัยในพนักงานทำความสะอาดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ ในกลุ่มพนักงานทำความสะอาดด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 83 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ระยะเวลาทำการวิจัย 4 มกราคม พ.ศ. 2565-30 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา t-test และสถิติการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า พนักงานทำความสะอาดเป็นเพศหญิง ร้อยละ 100 พบว่า โดยภาพรวมความตระหนักด้านความปลอดภัยอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.23 (SD=0.21) และภาพรวมด้านพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.18 (SD=0.15) และพบว่า ระดับการศึกษา ชั่วโมงการทำงาน จำนวนวันทำงาน การใช้ถุงมือหน้ากาก/ผ้าปิดจมูก และพฤติกรรมการล้างมือ มีความสัมพันธ์กับความตระหนักและพฤติกรรมการทำงานที่ปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 ผลการวิเคราะห์แบบจำลองการถดถอยพหุคูณพบว่า พฤติกรรมความปลอดภัยและความตระหนักด้านความปลอดภัยมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F=582.441, p<0.001) นอกจากนี้ พนักงานทำความสะอาดที่มีความตระหนักด้านความปลอดภัยสูงจะเพิ่มระดับพฤติกรรมความปลอดภัยในเชิงบวกอีกด้วย (β=0.892, p<0.001) ดังนั้น การเฝ้าระวังปัจจัยคุกคามด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ จึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โปรแกรมการจัดการอาการปวดระบบโครงร่างกล้ามเนื้อและความเครียดจากการทำงาน เป็นต้น จะสามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงานทำความสะอาดได้</p>
2024-07-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269054
อิทธิพลของการมีส่วนร่วมต่อการดำเนินงานป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสำราญ จังหวัดขอนแก่น
2024-05-01T17:38:42+07:00
สมลักษณ์ กองศูนย์พนิช
n.boss2551@gmail.com
ศิริชัย จันพุ่ม
golfaa88@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาอิทธิพลของการมีส่วนร่วมต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสำราญ จังหวัดขอนแก่น คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย จำนวน 106 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป จำนวน 6 ข้อ 2) แบบสอบถามการมีส่วนร่วม จำนวน 22 ข้อ เป็นแบบมาตรวัด 5 ระดับ และ 3) แบบสอบถามการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม. จำนวน 20 ข้อ เป็นแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และนำไปทดสอบความเที่ยงของแบบสอบถามการมีส่วนร่วม <br />และแบบสอบถามการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม.ได้ค่า CVI=0.81 และ 0.83 ตามลำดับ หาค่าความเที่ยงโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.85 และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสำราญ จังหวัดขอนแก่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล สามารถอธิบายการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม.ได้ ร้อยละ 56.50 (R=0.75, R<sup>2</sup>=0.56) และการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการสามารถอธิบาย<br />การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม. ได้ร้อยละ 62.40 (R=0.79, R<sup>2</sup>=0.62) ตัวแปรอิสระทั้งสองสามารถพยากรณ์การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกได้ร้อยละ 62.40 ควรส่งเสริมให้ อสม. มีส่วนร่วมในการประเมินและการปฏิบัติ เพื่อให้การดำเนินงานการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
2024-07-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268991
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม ในผู้สูงอายุ เขตเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
2024-04-29T19:25:40+07:00
ธัพญสรณ์ กองแก้ว
tabpayasorn.k@anamai.mail.go.th
ณัฐกฤตา ศิริโสภณ
fedunts@ku.ac.th
<p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือผู้สูงอายุเขตเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 436 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยค่าไคสแควร์ (Chi-square) และทดสอบด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีการของเพียรสัน (Pearson’s product moment correlation coefficients)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 38.30 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม โดยพิจารณารายด้าน ดังนี้ ปัจจัยชีวสังคม ได้แก่ เพศ อายุ ดัชนีมวลกาย สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา และโรคประจำตัว มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และในด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองในการทำกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม ด้านความคาดหวังในผลดีของการทำกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม และด้านแรงสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการศึกษาครั้งนี้ จัดกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถตนเอง ผ่านการปฏิบัติด้วยตนเอง รวมไปถึงการใช้ต้นแบบผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมทางกายดีต่อเนื่องเพื่อเป็นแรงผลักดันในการทำกิจกรรมทางกาย จัดกรอบเวลาในการกำกับติดตาม และให้คำแนะนำกับผู้สูงอายุ และจัดให้มีสถานที่ในการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกายเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-07-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268745
รูปแบบการพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ก่อความรุนแรงซ้ำ จังหวัดบุรีรัมย์
2024-04-16T14:08:59+07:00
ศิลา จิรวิกรานต์กุล
plan.projectbru@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยจิตเวช จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ เตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาแนวทางการให้บริการ และการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมให้กับสถานบริการ <strong> </strong></p> <p><strong>วิธีการ</strong><strong>: </strong>ใช้จำนวนผู้ป่วยจิตเวชจากระบบรายงาน HDC ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ตามอนุกรมเวลา ปีงบประมาณ 2556-2565 รวมทั้งสิ้น 120 ค่า ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 รวม 108 ค่าสำหรับศึกษาวิธีการพยากรณ์ทั้งหมด 6 วิธี โดยใช้โปรแกรม Excel และข้อมูล ชุดที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 จำนวน 12 ค่า นำมาใช้สำหรับเปรียบเทียบความแม่นยำของค่าพยากรณ์ โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ (MAD) และค่าเฉลี่ยร้อยละความผิดพลาด (MAPE) ที่ต่ำที่สุด</p> <p><strong>ผล</strong><strong>:</strong> การศึกษาพบว่า รูปแบบที่เหมาะสมกับการพยากรณ์แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยในอนาคต คือ รูปแบบวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพแนนเชียลของโฮลท์ (MAPE=11.07) รองลงมาคือ วิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นตรง (MAPE=16.69) และวิธี Winter’s three-parameter trend & seasonality method (Winters) (MAPE=19.53) </p> <p><strong>วิจารณ์</strong><strong>:</strong> การพยากรณ์ทั้ง 6 วิธี พบว่า วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพแนนเชียลของโฮลท์ เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ เนื่องจากมีความแม่นยำในการพยากรณ์มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละผิดพลาดที่ต่ำที่สุดอยู่ที่ 11.07 </p> <p><strong>สรุป</strong>: วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพแนนเชียลของโฮลท์ เป็นรูปแบบการพยากรณ์ที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง จากค่าพยากรณ์พบว่า ผู้ป่วยจะมีค่าเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายนขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม</p>
2024-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269548
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการนำส่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ระยะเฉียบพลันมารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
2024-06-03T15:16:31+07:00
อารีย์ ฤทธิ์สนธ์
ari25172001@gmail.com
ธนิดา ผาติเสนะ
drtanida@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการนำส่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันมารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้นำส่งผู้ป่วย จำนวน 323 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติการถดถอยพหุโลจิสติก ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 77.1 อายุอยู่ในช่วง 46-55 ปี ร้อยละ 35.3 ความสัมพันธ์กับผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นบุตร ร้อยละ 47.1 ระยะเวลาในการนำส่งผู้ป่วยมารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พบว่าส่วนใหญ่มาทันเวลา หรือใช้เวลาไม่เกิน 270 นาที ร้อยละ 73.7 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการนำส่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันมารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ สถานภาพสมรส (OR<sub>adj</sub>=2.134, 95%CI=1.054-4.320) การประเมินการรับรู้ความรุนแรงในระดับมากที่สุด (OR<sub>adj</sub>=0.428, 95%CI=0.208-0.881) การเรียกรถบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน/รถบริการสาธารณะ/รถส่วนตัว (OR<sub>adj</sub>=8.263, 95%CI=1.908-35.773) ช่องทางการได้รับข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์ในการนำส่ง (OR<sub>adj</sub>=0.532, 95%CI=0.320-0.884) และระยะทางมารับการรักษาน้อยกว่า 35 กิโลเมตร (OR<sub>adj</sub>=1.825, 95%CI=1.014-3.286) และระยะทางมารับการรักษาระหว่าง 36-70 กิโลเมตร (OR<sub>adj</sub>=2.190, 95%CI=1.059-4.530)</p>
2024-08-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269434
การศึกษารูปแบบการจัดการมลพิษทางอากาศจากฝุ่นละออง และผลกระทบต่อสุขภาพ จากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตาม พรบ. การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กรณีศึกษา กิจการแป้งมันสำปะหลัง และ กิจการบด ย่อย ผสมซีเมนต์
2024-05-25T13:50:13+07:00
ปรียนิตย์ ใหม่เจริญศรี
preyanit.m@gmail.com
ทัยธัช หิรัญเรือง
taiyatach@gmail.com
<p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละออง TSP, PM<sub>10 </sub>2) การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการรับสัมผัส 3) จัดทำข้อเสนอแนวทางและรูปแบบการจัดการมลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง โดยการสำรวจและตรวจวัดฝุ่นละออง TSP และ PM<sub>10 </sub>ในบรรยากาศทั่วไปโดยรอบและภายในของสถานประกอบกิจการแป้งมันสำปะหลัง และกิจการการบด ย่อย ผสมซีเมนต์ จำนวน 20 แห่ง จังหวัดนครราชสีมา ชลบุรี และระยอง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศ TSP, PM<sub>10</sub> มีค่าต่ำกว่าค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปของประเทศไทย จากการทดสอบทางสถิติด้วย t-test และ One-way ANOVA พบว่าปริมาณฝุ่นละอองบริเวณริมรั้ว แตกต่างจากปริมาณฝุ่นละอองบริเวณเหนือลมและท้ายลมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.05) พื้นที่ปฏิบัติงาน พบว่าปริมาณฝุ่นละอองที่สามารถหายใจเข้าไปได้ และฝุ่นละอองที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ มีแนวโน้มสูงกว่าภายนอก แต่ไม่เกินมาตรฐานที่แนะนำโดย OSHA ด้านปัญหาสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน 170 คน และประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ 619 คน พบว่าส่วนใหญ่ไม่มีอาการแสดงที่เกี่ยวกับการได้รับสัมผัสฝุ่นละอองหรือมีบ้างแต่อาการไม่รุนแรง ด้านผลการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ พบว่าสัดส่วนความเป็นอันตราย (HQ) จากฝุ่น PM<sub>10</sub> มีค่าไม่เกิน 1 แสดงว่ามีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ด้านกำหนดรูปแบบและแนวทางที่เหมาะสม ประกอบด้วย 1) เกณฑ์แนะนำการควบคุมฝุ่นละออง ณ แหล่งกำเนิด 2) การเฝ้าระวังและการติดตามตรวจสอบ 3) การควบคุมกำกับการประกอบกิจการและการจัดการเหตุรำคาญ และ 4) การส่งเสริมในการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269357
ผลโปรแกรมอบรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวช และผู้ติดยาเสพติด ต่อความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อมั่นในการจัดการ ของบุคลากรโรงพยาบาลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด
2024-05-20T14:41:42+07:00
นิตยา สินธุ์ภูมิ
goodtime_101@hotmail.co.th
วาสนา สุระภักดิ์
psywasa99@gmail.com
สุจิตตา ฤทธิ์มนตรี
sujittarmt@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อมั่นในการจัดการผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ของบุคลากรในโรงพยาบาลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรโรงพยาบาลอาจสามารถ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) โปรแกรมอบรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเนื้อหา เท่ากับ 0.97, 2) แบบวัดความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อมั่นในการจัดการผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.87, 0.97 และ 0.93 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรในโรงพยาบาลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด หลังได้รับโปรแกรมอบรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติด มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อมั่นในการจัดการผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอบรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-09-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269756
การพัฒนาระบบบริหารแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์
2024-06-16T14:35:42+07:00
ณฐิฌา แก้วอำไพ
suphawan2563@gmail.com
มณฑิชา เจนพานิชทรัพย์
kunaeh@hotmail.com
ธนวัฒน์ นรารัมย์
tanawattorbr@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลระบบบริหารแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุข จังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินการเดือนมิถุนายน 2566-พฤษภาคม 2567 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาจากปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านเครื่องมือ ด้านงบประมาณ และด้านบริหารจัดการ, 2) พัฒนาและดำเนินการตามระบบ และ 3) ประเมินผล และปัจจัยแห่งความสำเร็จ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้รับผิดชอบงานระดับจังหวัดและอำเภอ รวม 103 คน ใช้แบบสอบถามเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากระบบแผนงานโครงการระดับอำเภอออนไลน์ (E-Plan) และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า ระบบบริหารแผนปฏิบัติการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ (BRO-Action Plan Management System) ประกอบด้วย 1) การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน โดยการถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขลงสู่การปฏิบัติ, 2) การจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยใช้ระบบ E-Plan, 3) การกำหนดและมอบหมายผู้รับผิดชอบโดยมีผู้จัดการแผนทุกระดับ, 4) การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่วางไว้ และ 5) การติดตามและประเมินผล ผลลัพธ์คือ มีแผนจำนวน 3,106 แผน ร้อยละ 41.50 เป็นแผนงานเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ ร้อยละ 44.95 แหล่งงบประมาณแผนจากเงินบำรุง ลดความผิดพลาดในการจัดทำแผน ลดการสูญหายของแผนได้ร้อยละ 100 ภาพรวมความพึงพอใจของผู้จัดการแผนต่อระบบอยู่ในระดับมาก พึงพอใจมากที่สุดด้านรูปแบบ สามารถติดตามสถานะของแผนได้ (ร้อยละ100) ปัจจัยแห่งความสำเร็จคือ ผู้บริหารให้การสนับสนุน การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหาร ผู้จัดการแผนช่วยเป็นพี่เลี้ยงสร้างความเข้าใจในการจัดทำแผนปฏิบัติการ ดังนั้น ระบบบริหารแผนปฏิบัติการลดความซ้ำซ้อนของการทำงาน สนับสนุนให้เกิดการทำงานบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพที่วางไว้</p>
2024-09-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269542
ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในชุมชนแห่งหนึ่ง จังหวัดชัยนาท
2024-06-03T11:37:25+07:00
บุษบา ทาธง
boossaba@bcnchainat.ac.th
ปริญดา ศรีธราพิพัฒน์
parinda@bcnchainat.ac.th
สุภัททา เลาหะโรจนพันธ์
aeasupatta1973@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดซ้ำก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมพัฒนาศักยภาพการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยของ อสม. โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง อสม. ตามคุณสมบัติแบบสุ่มหลายขั้นตอน จำนวนทั้งหมด 54 คน เครื่องมือที่ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยของ อสม. คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) พร้อมวิดีทัศน์และโปสเตอร์ และคู่มือสำหรับผู้ให้การฝึกอบรมและ อสม. เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย แบบประเมินทักษะการประเมินพัฒนาการและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาข้อมูลส่วนบุคคล และระดับความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ และวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และค่าเฉลี่ยระดับทักษะการประเมินพัฒนาการเบื้องต้นและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้สถิติทดสอบค่าที (Paired t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่าง อสม. มีระดับความรู้และระดับทักษะการประเมินและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่าก่อนเข้าโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในชุมชนอยู่ในระดับมาก โดยโปรแกรมนี้สามารถนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมพัฒนาด้านความรู้ความเข้าใจ และฝึกทักษะการประเมินและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อยกระดับการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กของชุมชนให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น</p>
2024-09-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270758
ผลของการโค้ชด้านสุขภาพต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
2024-08-25T02:22:12+07:00
ประทุ่ม กงมหา
pratoom@knc.ac.th
จงกลณี ตุ้ยเจริญ
jongkolnee@knc.ac.th
กัญญาณัฐ เกิดชื่น
kanyanat@knc.ac.th
นิสากร วิบูลชัย
nisakorn1@smnc.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการโค้ชด้านสุขภาพต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชนตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย จับคู่ให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันในเรื่อง เพศ อายุ และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้รับการโค้ช เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการโค้ช เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกค่าระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบด้วยสถิติทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายหลังได้รับการโค้ชด้านสุขภาพต่ำกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p<0.001) และ 2) ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายหลังได้รับการโค้ชด้านสุขภาพต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p<0.001) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การโค้ชด้านสุขภาพสามารถทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลงได้</p>
2024-09-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/271788
การประเมินสภาวะอนามัยสิ่งแวดล้อมเรือนแรม (Homestay) ในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนนวัตวิถีตามแนววิถีชีวิตใหม่
2024-10-21T20:39:48+07:00
สถาพร เป็นตามวา
sathapornounchit@hotmail.com
สิราภรณ์ โพธิวิชยานนท์
siraporn@sut.ac.th
ประพัฒน์ เป็นตามวา
prapat@sut.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและประเมินสภาวะอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพของเรือนแรมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยการประยุกต์ใช้แบบประเมินของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกรมอนามัย ซึ่งได้ปรับปรุง และประยุกต์ใช้แบบรายการเกณฑ์ประเมินตามมาตรฐาน Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) ในประเภทโรงแรมที่พักสถานที่จัดประชุม จำนวน 35 ข้อย่อย ทำการประเมินเรือนแรมในชุมชนท่องเที่ยวนวัตวิถีหมู่บ้านซับสมบูรณ์ จำนวน 8 หลัง และทำการวิเคราะห์คุณภาพน้ำประปาและน้ำดื่มของเรือนแรม การดำเนินงานในช่วงเดือน ม.ค. 2565–ม.ค. 2566</p> <p>จากผลการประเมินในเรือนแรมทั้ง 8 หลังใน 5 หัวข้อหลัก ซึ่งประกอบด้วย 1) สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ 2) การจัดอุปกรณ์ทำความสะอาด 3) การป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 4) พื้นที่สาธารณะ และ 5) ห้องพัก พบว่าเรือนแรมทั้งหมดมีการดำเนินการเพียง 2 หัวข้อย่อยประกอบด้วยข้อ “หากผู้ปฏิบัติงานมีอาการเจ็บป่วย ให้หยุดปฏิบัติงานและเข้ารับการรักษาตัว” และ หัวข้อ “จำกัดจำนวนผู้รับบริการโดยคำนึงถึงการป้องกันการแพร่เชื้อเป็นหลัก” สำหรับหัวข้ออื่นๆ ที่เหลือยังไม่มีการดำเนินการ และจากผลการวิเคราะห์น้ำดื่มพบว่าค่าความเป็นกรดด่าง ความขุ่น สี ปริมาณของแข็งทั้งหมด คลอไรด์ ฟีนอล ซัลเฟต เหล็ก ความกระด้าง ไนเตรต มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับคุณภาพน้ำใช้พบว่าดัชนีคุณภาพน้ำดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ยกเว้นค่าเหล็กในน้ำเรือนแรมหลังที่ 1-3 หลังที่ 4 และ 6 และค่าแมงกานีสมีค่าสูงกว่ามาตรฐานทุกหลัง จากผลการประชุมและอบรมให้ความรู้เจ้าของเรือนแรมในหมู่บ้านเห็นว่าการดำเนินการเกณฑ์มาตรฐานสามารถปฏิบัติได้ และควรมีการอบรมให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอให้เจ้าของเรือนแรมมีแนวปฏิบัติที่ดีพร้อมรับนักท่องเที่ยวในวิถีชีวิตใหม่</p>
2024-11-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/271389
ปกวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 ปีที่ 18 ฉบับที่ 3
2024-09-29T11:06:32+07:00
สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี
DoctorSinsakchon@gmail.com
2024-09-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/268438
ยางยืด หรรษา: นวัตกรรมสุขภาพด้านการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ
2024-03-27T14:03:54+07:00
จิรัชญา เหล่าคมพฤฒาจารย์
jungera2520@gmail.com
ปาริชาต ญาตินิยม
pyatniyom@yahoo.com
ธิติรัตน์ เหล่าคมพฤฒาจารย์
thitirat1115@gmail.com
<p>การพลัดตกหกล้ม ทำให้ผู้สูงอายุได้รับบาดเจ็บ สูญเสียความสามารถในการทรงตัว การดูแลตนเองและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน ส่งผลต่อครอบครัวด้านค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและอาจเกิดปัญหาด้านจิตใจตามมาได้ โดยสถานการณ์ด้านการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร และตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ เมื่อทำการคัดกรองความเสี่ยงต่อการหกล้ม (TUGT) พบว่ามีความเสี่ยง ร้อยละ 20.49 และ 21.77 ตามลำดับ จึงได้พัฒนานวัตกรรมสุขภาพ “ยางยืดหรรษา” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของแขนขาที่มีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการพัฒนานวัตกรรมนี้ ได้แก่ การประชุมเพื่อระดมสมอง การจัดทำนวัตกรรมด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ในชุมชน การออกแบบท่าที่ใช้ในการออกกำลังกายที่สอดคล้องกับบริบท และความต้องการของผู้สูงอายุ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสุขภาพ โดยความร่วมมือของชุมชนและนำไปสู่การมีภาวะสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-07-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270163
การเรียนการสอนด้วยผู้ป่วยจำลองในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์: ความร่วมมือระหว่าง คณะพยาบาลศาสตร์ และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
2024-07-09T16:15:54+07:00
ประกาย จิโรจน์กุล
pragaij@gmail.com
ภัทราพร เจริญรัตน์
pattraporn.cha@kbu.ac.th
เทียนทอง หาระบุตร
tieanthong.har@kbu.ac.th
ญานิกา โกวิทลวากุล
ykowitla@gmu.edu
<p>ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ของประเทศไทยและทั่วโลก มีความรุนแรง ต่อเนื่องหลายระลอกตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นมา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ต้องปรับวิธีการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ ที่ไม่สามารถส่งนักศึกษาไปฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลได้ตามปกติ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ป่วย นักศึกษา และอาจารย์ คณะฯ จึงได้จัดทำ “โครงการพัฒนาอาจารย์พยาบาลเกี่ยวกับการเตรียมผู้ป่วยจำลอง (Standardized patients) เพื่อการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ” มีการอบรมอาจารย์ให้สามารถเขียนบทสำหรับการเตรียมผู้ป่วยจำลอง (สคริปต์) และนำสคริปต์ที่เขียนขึ้นมาพิจารณาร่วมกับอาจารย์จากคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งจะนำสคริปต์ไปคัดเลือก และฝึกซ้อมนักแสดง นักแสดงเป็นคนปกติ แต่ได้รับการเตรียมให้มีความรู้ความเข้าใจ และสวมบทบาทการเป็นผู้ป่วยที่มีโรค หรือภาวะผิดปกติต่างๆ ตามที่กำหนดในสคริปต์ และนักศึกษาพยาบาลที่รับบทเป็นพยาบาล จะแสดงพฤติกรรมการพยาบาล ตอบสนองต่อปัญหา และความต้องการของผู้ป่วย ภายในห้องที่มีการจัดสถานที่ให้เหมือนหอผู้ป่วย หรือที่บ้าน มีการบันทึกภาพ และเสียง พร้อมส่งสัญญาณไปยังห้องสังเกตการณ์เพื่อให้นักศึกษาคนอื่นๆ ได้ร่วมเรียนรู้ ภายหลังจากการแสดงมีการสะท้อนคิด ระหว่างนักแสดง นักศึกษาผู้สวมบทบาทเป็นพยาบาล เพื่อนๆ นักศึกษาที่สังเกตการณ์ และคณะอาจารย์ ผลการประเมินจากนักศึกษาได้สะท้อนคิดว่า การเรียนการสอนด้วยผู้ป่วยจำลอง “ทำให้เข้าใจและรับมือสถานการณ์ได้ดี พยาบาลต้องมีองค์ความรู้ ไหวพริบ และวิธีการในการเจอผู้ป่วยและดูแลรักษาได้ทันท่วงที” “น่าสนใจ ได้เห็นข้อผิดพลาดต่างๆทำให้เกิดกระบวนการคิดต่อไป” บทเรียน และผลสำเร็จของโครงการนี้ ทำให้คณะพยาบาลศาสตร์ มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการจัดประสบการณ์เรียนรู้สำหรับนักศึกษา ที่สอดคล้องกับสังคมวิถีใหม่แต่ยังสามารถรักษาคุณภาพของการเรียนการสอนและผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาได้</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/272074
ส่วนนำของวารสาร ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2567)
2024-11-05T21:48:47+07:00
สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี
DoctorSinsakchon@gmail.com
2024-11-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/272075
คำแนะนำสำหรับผู้เขียน ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2567)
2024-11-05T21:53:03+07:00
สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี
DoctorSinsakchon@gmail.com
2024-11-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024