https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/issue/feed วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม 2025-12-10T14:50:14+07:00 ดร.สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี DoctorSinsakchon@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 9</strong> เป็นวารสารวิชาการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่อยู่ใน<strong>ฐานข้อมูลการอ้างอิงวารสารไทย (Thailand Citation Index - TCI) กลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2572</strong></p> <p>รับบทความวิจัย (Research Articles) บทความวิชาการหรือบทความทบทวน (Review or Academic Articles) และบทความพิเศษ (Special Articles) โดยบทความวิจัยและบทความวิชาการทุกบทความ ต้องได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและประเด็นทางวิชาการของบทความ สำหรับบทความพิเศษ เป็นรูปแบบการเชิญของวารสารและไม่ต้องรับการประเมิน</p> <p><strong>วารสารใช้ระบบการประเมินบทความแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-Blinded Reviews)</strong> โดย<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer-Reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <span style="text-decoration: underline;">อย่างน้อย 2-3 ท่านต่อบทความ</span></strong> โดยผู้ส่งบทความระบุจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ต้องการให้ประเมิน (2 หรือ 3 ท่าน) ในหนังสือนำส่งบทความเพื่อรับการพิจารณา</p> <p>วารสารใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแวนคูเวอร์ (Vancouver Style) โดยสามารถศึกษารูปแบบการอ้างอิงได้จากเอกสารคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ <a title="คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" href="https://drive.google.com/file/d/1sgBVTt06wiwq2laYSa5XeYCbBuUC5tWM/view?usp=share_link">ศึกษาคำแนะนำสำหรับผู้เขียน</a></p> <p>การตีพิมพ์มีค่าใช้จ่าย<strong>บทความละ 3,500 บาท </strong>โดยชำระค่าใช้จ่ายเมื่อบทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์แล้ว</p> <p>วารสารตีพิมพ์ 30 บทความในแต่ละฉบับ มีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน; ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม; ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม) ในรูปแบบออนไลน์ และแบบรูปเล่ม</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276082 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือน ของประชาชน ในเขตเทศบาลนครสกลนคร 2025-06-19T11:55:16+07:00 ธนภรณ์ แซ่เอีย thanaporn.sa66@snru.ac.th ภูวสิทธิ์ ภูลวรรณ phoowasitmu@gmail.com จรินทร์ทิพย์ ชมชายผล sukdepat@gmail.com <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายและปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือนของประชาชน ในเขตเทศบาลนครสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง คือครัวเรือนในพื้นที่เขตเทศบาลนครสกลนคร จำนวน 350 ครัวเรือน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นอกจากนี้ยังวิเคราะห์หาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิตไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 58.29 และ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือน ได้แก่ ชุมชนมีจุดทิ้งของเสียอันตราย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi^{2}" alt="equation" />=23.709, p-value&lt;0.001) จุดทิ้งของเสียอันตรายที่เทศบาลจัดเตรียมไว้ให้สะดวกต่อการทิ้ง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi^{2}" alt="equation" />=8.554, p-value=0.014) ได้รับข้อมูลข่าวสาร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi^{2}" alt="equation" />=18.953, p-value&lt;0.001) ความรู้เกี่ยวกับของเสียอันตราย (r<sub>s</sub>=0.135, p-value=0.012) ความตระหนักในการจัดการของเสียอันตราย (r<sub>s</sub>=0.330, p-value&lt;0.001) และแรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์, แรงสนับสนุนทางสังคมด้านวัตถุสิ่งของ และแรงสนับสนุนทางสังคมด้านข้อมูลข่าวสาร (r<sub>s</sub>=0.575, p-value&lt;0.001; r<sub>s</sub>=0.688, p-value&lt;0.001 และ r<sub>s</sub>=0.660, p-value&lt;0.001 ตามลำดับ) ผลการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือน ทั้งด้านการคัดแยก การเก็บรวบรวม และการขนส่ง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบการจัดการของเสียอันตรายให้มีความยั่งยืน</p> 2025-07-19T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276120 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานี 2025-06-20T17:18:51+07:00 ชรัญดา แพงมาก cph64-34@scphub.ac.th ปิยะฉัตร มูลหา cph64-34@scphub.ac.th นภาพร ห่วงสุขสกุล napaporn@scphub.ac.th อนุสรณ์ บุญทรง anusorn@scphub.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารและศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 196 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้เรื่องภาวะโภชนาการ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) วิเคราะห์โดยการหาค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความสัมพันธ์ใช้สถิติ Chi-square ที่ระดับนัยสำคัญสถิติเท่ากับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 56.1) มีอายุเฉลี่ย 13.57 ปี และมีน้ำหนักเฉลี่ย 50.0 กิโลกรัม และมีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 159.6 เซนติเมตร นักเรียนส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ร้อยละ 47.5) คะแนนความรู้เรื่องภาวะโภชนาการอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง (ร้อยละ 63.8) พฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 74) และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 78.1) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่ ความรู้เรื่องโภชนาการ (p-value=0.006) และทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (p-value=0.007) และปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และระดับชั้นที่กำลังศึกษา</p> 2025-07-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276182 การจัดสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยที่เหมาะสมสำหรับครัวเรือนของผู้สูงอายุ ในอำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-06-24T11:53:15+07:00 อดิศร ชูแก้ว adisorn3169@gmail.com กรรณิกา เรืองเดช ชาวสวนศรีเจริญ kannika@scphtrang.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยที่เหมาะสมสำหรับครัวเรือนของผู้สูงอายุ ในอำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 558 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล และแบบประเมินมาตรฐานการจัดสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 1.0 และค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สภาพแวดล้อมที่พักอาศัยของผู้สูงอายุยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานในหลายด้าน โดยสภาพแวดล้อมโดยรอบที่พักอาศัยที่ไม่ผ่านมาตรฐานมากที่สุด ได้แก่ ความกว้างทางลาดน้อยกว่า 90 เซนติเมตร (ร้อยละ 95.16) และทางลาดที่รถเข็นไม่สามารถเข้าถึงได้ (ร้อยละ 93.73) สภาพแวดล้อมภายในที่พักที่ไม่ผ่านมาตรฐานมากที่สุด คือ ไม่มีปุ่มสัญญาณฉุกเฉิน (ร้อยละ 100) ห้องน้ำไม่มีราวจับ (ร้อยละ 88.35) และไม่ใช้ก๊อกน้ำแบบก้านโยก (ร้อยละ 84.23) ส่วนอนามัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่ผ่านมาตรฐานมากที่สุด คือ ไม่มีการคัดแยกขยะ (ร้อยละ 39.10) อุณหภูมิห้องครัวเกิน 26 องศาเซลเซียส (ร้อยละ 35.30) และมีน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง (ร้อยละ 33.00)</p> <p>การศึกษานี้สรุปได้ว่า สภาพแวดล้อมที่พักอาศัยของผู้สูงอายุต้องปรับปรุงในด้านความปลอดภัยของทางลาดและทางเดิน การติดตั้งราวจับและปุ่มสัญญาณฉุกเฉินในห้องน้ำ รวมถึงการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276144 การเตรียมความพร้อม ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติการพยาบาลมารดา และทารก 1 ของนักศึกษาพยาบาลต่อการขึ้นฝึกปฏิบัติการพยาบาลบนหอผู้ป่วยในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง จังหวัดบุรีรัมย์ 2025-06-22T19:22:24+07:00 สุธัญทิพ จารุวัชรีวงศ์ sutantip@gmail.com ธัญญาสิริ ธันยสวัสดิ์ thanyasiri140955@gmail.com พิงคำ พงศ์นภารักษ์ phingkump299@gmail.com ชื่นชีพ งามจบ chuencheep@yahoo.com <p>การวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์ <strong>เ</strong>พื่อศึกษา ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติการพยาบาลมารดาและทารก 1 ความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลและความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติการพยาบาลมารดาและทารก 1 และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิรน์ บุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2567 รายวิชาการพยาบาลมารดาและทารก 1 จำนวน 139 คนโดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการจัดเรียนการสอนด้วยทฤษฎีและฝึกห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 5 วัน เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบวัดความรู้การพยาบาลมารดาและทารก 1 จากการเรียนการสอน 2) แบบสอบถามทัศนคติในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาและทารก 1 บนหอผู้ป่วย 3) แบบประเมินการปฏิบัติการพยาบาลมารดาและทารก 1 หลังจากฝึกสิ้นสุดลง 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลมีค่าความเชื่อมั่น แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย Pearson’s correlation coefficients</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ในระดับสูงร้อยละ 86.34 ทัศนคติอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.73, SD=0.489) การปฏิบัติการพยาบาลมารดาและทารก 1 อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.46, SD=0.589) ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.48, SD=0.632) และการปฏิบัติการพยาบาลมารดา และทารก 1 มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ r=0.999, p=0.01</p> 2025-08-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276320 ผลของการใช้แผ่นเจลสมุนไพรเพื่อลดปวดในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรม 2025-07-01T13:12:36+07:00 ศิริลักษณ์ เมืองไทย siriluck@bcnsurat.ac.th ญานิกา สีงาม 65114301036@bcnsurat.ac.th นันทิกาญจน์ ชูศรี 65114301065@bcnsurat.ac.th ปภาณิน สุขประเสริฐ 65114301076@bcnsurat.ac.th มาลินี ฤทธิชัย 65114301098@bcnsurat.ac.th กลชล ไชยน้อย 65114301140@bcnsurat.ac.th วรินทร จันทรมณี varinthon@bcnsurat.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผ่นเจลสมุนไพรเพื่อลดปวด และความพึงพอใจในการใช้ ในกลุ่มเสี่ยงต่อออฟฟิศซินโดรม ในนักศึกษาพยาบาล 60 คน วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี ปีการศึกษา 2567 ที่มีคะแนน Rapid Office Strain Assessment (ROSA) มากกว่า 5 คะแนน แผ่นเจลสมุนไพรประกอบด้วยไพล ขมิ้น สารสกัดขิง น้ำมันยูคาลิปตัส พิมเสน การบูร และเมนทอล มีสรรพคุณในการบรรเทาปวดและลดการอักเสบ ผลการวิจัยพบว่า แผ่นเจลสามารถลดปวดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) มีคะแนนเฉลี่ยความปวดลดลงจากระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=5.56) ในวันแรก เป็นระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.51) ในวันที่ 3 ผลลัพธ์สอดคล้องกับข้อมูลทางเภสัชวิทยาที่ระบุว่า ไพล ขมิ้น และขิง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ การลดปวดอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงฤทธิ์สะสมของสารสกัดสมุนไพร และการซึมซาบที่มีประสิทธิภาพของแผ่นเจล และผู้ใช้มีความพึงพอใจต่อการใช้แผ่นเจลในระดับมากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยรวม 4.54 (SD=0.68) คะแนน และพึงพอใจสูงต่อวัสดุ การใช้งาน และประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลิ่นหอมที่ผ่อนคลายความเครียด</p> <p>แผ่นเจลสมุนไพรไม่มีผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs และไม่เกิดผลต่อระบบทางเดินอาหารเมื่อเทียบกับลูกประคบสมุนไพรดั้งเดิม แผ่นเจลมีความได้เปรียบด้านการควบคุมอุณหภูมิ พกพาได้สะดวก และไม่มีความเสี่ยงในความอับชื้น นวัตกรรมใหม่นี้มีศักยภาพที่ปลอดภัย สะดวก และเข้าถึงง่าย การจัดการออฟฟิศซินโดรมซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ควรศึกษาถึงระยะเวลาและประชากรที่หลากหลาย เพื่อประสิทธิผลของแผ่นเจล</p> 2025-08-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276276 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนกับพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 2025-06-29T22:59:07+07:00 นพวรรณ ดวงจันทร์ m_may-may@hotmail.com สไบทิพย์ เชื้อเอี่ยม sabaigirl9@gmail.com ศุภิสรา คำยอด supisara.ku@bcnr.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนกับพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ที่ไม่มีโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 97 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงตุลาคม 2566 โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และแบบประเมินการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.86, 0.90 และ 0.82 ตามลำดับ วิเคราะห์หาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 92.80 คะแนนสูงสุดที่ 75 คะแนน และคะแนนต่ำสุดที่ 47 คะแนน ค่าเฉลี่ยคะแนนเท่ากับ 59.79 คะแนน (SD=3.76) การรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.507, p=0.000) และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี (r=-0.274, p=0.07) ดังนั้นควรมีการศึกษาการพัฒนารูปแบบส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงต่อไป</p> 2025-08-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277071 ผลของการสอนปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ต่อความสามารถในการนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล 2025-08-14T14:15:58+07:00 นิตยา กออิสรานุภาพ nittaya@smnc.ac.th วรรวิษา สำราญเนตร wanwisa@smnc.ac.th วรันณ์ธร โพธารินทร์ warantron@smnc.ac.th <p>วิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการสอนปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 2 จำนวน 154 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และแบบวัดความสามารถในการนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและการทดสอบ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลหลังการเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=78.86, SD=8.07) สูงกว่าก่อนเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=49.84, SD=8.53) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ทางการสอนการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์มีประสิทธิภาพส่งผลให้นักศึกษาสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลได้มากขึ้น</p> 2025-09-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277136 ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อโรคลมแดดของผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานสามล้อโบราณ จังหวัดเชียงใหม่ 2025-08-18T16:25:07+07:00 มธุรส สว่างบำรุง marosesom@yahoo.com ปิยาพัทธ์ อารีญาติ piyapat_a@mju.ac.th ชนาพร ขันธบุตร knara50@hotmail.com หนึ่งหทัย ชัยอาภร ttunti@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีรูปแบบผสานวิธีด้วยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอาการเจ็บป่วย ระดับความเสี่ยงความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปัจจัย และมาตรการป้องกันการเกิดโรคลมแดดของผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานสามล้อโบราณ จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรคือ ผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานสามล้อโบราณ จำนวน 39 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 34-83 ปี เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามโดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลงานวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางพบว่า ผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานสามล้อโบราณส่วนใหญ่ มีอายุ 60-83 ปี ร้อยละ 66.67 ไม่เคยรับการรักษาในสถานพยาบาลเนื่องจากโรคลมแดด ร้อยละ 94.87 โดยรวมมีอาการเจ็บป่วย ระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับน้อยมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.02 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 6.08 จากปัจจัยทั้งหมด 10 ปัจจัย ทุกปัจจัยส่งผลต่อการเกิดโรคลมแดดที่มีความเสี่ยงในระดับน้อยที่สุด ส่วนงานวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดโรคลมแดดได้แก่ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุและโรคประจำตัว และความเครียดสะสม 2) ปัจจัยลักษณะอาชีพ ได้แก่ ปริมาณน้ำหนักของผู้โดยสารต่างประเทศ ระยะทางและพื้นผิวถนนขึ้นเนิน และจำนวนคิวให้บริการทัวร์ซ้ำซ้อนกัน และ 3) ปัจจัยสิ่งแวดล้อมของฝุ่น PM 2.5 ส่วนมาตรการป้องกันการเกิดโรคลมแดด จำแนก 2 ระดับ คือ มาตรการระดับบุคคล มุ่งเน้นการป้องกันตนเอง และมาตรการระดับสังคม ประกอบด้วยการกำหนดจุดจอดให้บริการที่มีพื้นที่ปลอดภัยจากความร้อน และการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและด้านสุขภาวะในมิติของปัจจัย 4 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตที่ดี</p> 2025-10-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277004 ผลของการใช้นวัตกรรมเข็มขัดกำหนดจุดฉีดอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองขอน อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 2025-08-10T13:54:16+07:00 นวลลมัย พรมรัตน์ mai-lama@hotmail.com อุไรวรรณ กุจะพันธ์ uraiwan2310@gmail.com นฤดี พนมจันทร์ naruedee2564@gmail.com ศิริพร จันทร์พวง janphuangsiri5789@gmail.com รัตนา บุญพา rattana.boon@bcnsp.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมเข็มขัดกำหนดจุดฉีดอินซูลินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองขอน จังหวัดอุบลราชธานี 2) ศึกษาพฤติกรรมและความรู้ของผู้ป่วยก่อนและหลังการใช้นวัตกรรม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการใช้นวัตกรรม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน จำนวน 5 ราย คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย นวัตกรรมเข็มขัดกำหนดจุดฉีดอินซูลิน ออกแบบเป็นวงกลมแบ่งเป็น 7 ส่วนตามวันในสัปดาห์ พร้อมกำหนดจุดฉีดช่วงเช้า-เย็น และใช้รหัสสีช่วยจำ และแบบสอบถามพฤติกรรม ความรู้ และความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้นวัตกรรม ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการฉีดอินซูลินที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น เช่น การสลับตำแหน่งฉีด การตรวจผิวหนัง และการบันทึกตำแหน่ง รวมทั้งลดความสับสนด้านตำแหน่งฉีด ความรู้เพิ่มจากร้อยละ 72.00 เป็นร้อยละ 100 และความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.97, SD=0.17) สรุปได้ว่านวัตกรรมเข็มขัดกำหนดจุดฉีดอินซูลินสามารถส่งเสริมความถูกต้องและความต่อเนื่องในการฉีดยา เพิ่มความรู้และพฤติกรรมการปฏิบัติของผู้ป่วย และได้รับการยอมรับสูง เหมาะสมต่อการประยุกต์ใช้ในงานบริการสุขภาพปฐมภูมิ</p> 2025-09-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277054 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว ต่ออาการสมาธิสั้นของเด็กสมาธิสั้นวัยเรียน 2025-08-13T19:12:14+07:00 ญานิกา แซ่ตัง memeehp.mm@gmail.com สุนิศา สุขตระกูล sunisa.su@chula.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดซ้ำ โดยทำการวัดผลก่อนทดลอง หลังทดลองทันที และหลังทดลอง 1 เดือน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวต่ออาการสมาธิสั้นของเด็กสมาธิสั้นวัยเรียน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองของเด็กสมาธิสั้นอายุ 6-12 ปี ที่เข้ารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน การแบ่งกลุ่มใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือโปรแกรมเสริมสร้างการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ใช้ระยะเวลาทดลอง 4 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Repeated measures ANOVA และ Bonferroni test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยอาการสมาธิสั้นก่อนทดลอง หลังทดลองทันที และหลังทดลอง 1 เดือน ในด้านขาดสมาธิมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.71 (SD=0.35), 1.47 (SD=0.31) และ 1.24 (SD=0.29) ตามลำดับ ด้านอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่นมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.69 (SD=0.39), 1.47 (SD=0.31) และ 1.23 (SD=0.28) ตามลำดับ และด้านดื้อต่อต้านมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.41 (SD=0.42), 1.20 (SD=0.45) และ 0.96 (SD=0.47) ตามลำดับ ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าอาการสมาธิสั้นในทุกด้านดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังได้รับโปรแกรมฯ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม สรุปได้ว่าการได้รับโปรแกรมฯมีประสิทธิภาพในการลดอาการสมาธิสั้นในเด็กวัยเรียน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การดูแลที่ส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวเด็กสมาธิสั้นวัยเรียนอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-09-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277550 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของสถานประกอบการอาหารและที่พักของท่องเที่ยว กรณีศึกษาแหล่งท่องเที่ยวบริเวณลุ่มน้ำตาปีตอนบน 2025-09-08T09:52:07+07:00 โสมศิริ เดชารัตน์ somsiri@tsu.ac.th พีรนาฎ คิดดี peeranart@tsu.ac.th <p>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจมาตรฐานด้านมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของสถานประกอบการ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับมาตรฐานด้านมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของสถานประกอบการของท่องเที่ยวกรณีศึกษาแหล่งท่องเที่ยวบริเวณลุ่มน้ำตาปีตอนบน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 135 แห่ง ระยะเวลาทำวิจัยเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และสถิติไคสแควร์ (Chi-square) ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (64.44%) และมีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า (47.40%) โดยส่วนมากมีประสบการณ์ทำงานเกิน 5 ปี (71.11%) สำหรับข้อมูลทั่วไป<br />ของสถานประกอบการร้านอาหารและที่พัก 135 แห่ง พบว่าร้านส่วนใหญ่มีพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร (59.26%) มีจำนวนพนักงานเฉลี่ย 12.25 คน ส่วนใหญ่เปิดทำการมากกว่า 6 วันต่อสัปดาห์ (63.70%) และมีระยะเวลาการเปิดดำเนินการเฉลี่ย 10.05 ปี ผลการประเมินมาตรฐานสุขอนามัยในภาพรวมของสถานประกอบการทั้ง 4 ด้าน พบว่าภาพรวมมีมาตรฐานอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.14 (SD=0.03) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับมาตรฐานสุขอนามัย พบว่าปัจจัยด้านการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ขนาดพื้นที่ร้าน จำนวนพนักงาน วันเปิดทำการ ระยะเวลาการเปิดดำเนินการ การเข้ารับการอบรม และการได้รับกิจกรรม/สื่อสนับสนุนมีความสัมพันธ์กับระดับมาตรฐานสุขอนามัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ p&lt;0.05</p> 2025-10-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277645 การพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม ส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน 2025-09-11T15:07:33+07:00 สุกัญญา ฆารสินธุ์ sukanya@rtu.ac.th บุษบา โสภา bitong2519@gmail.com กฤชกันทร สุวรรณพันธุ์ kritkantorn@gmail.com สายฝน จันทร์หอม krufon.janhom2521@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสาเหตุการไม่ชอบบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน 2) พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน และ 3) ประเมินประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่างคือเด็กวัยก่อนเรียน ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชุมชนดอนหัน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน การดำเนินการมี 3 ขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน ประกอบด้วย นิทาน เรื่อง “ช่วยด้วยแมงมวยไม่ชอบกินผัก” เกมสวนผักหรรษา และจดหมายถึงผู้ดูแล ซึ่งมีอัตราส่วนความตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.99 และ 2) แบบประเมินพฤติกรรมการบริโภคผัก มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติทดสอบ Paired t-test</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) สาเหตุหลักของการไม่ชอบบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียน เกิดได้ทั้งจากรสชาติและเนื้อสัมผัสของผัก ประสบการณ์และความกลัวของเด็ก พฤติกรรมการบริโภคผัก และการจัดเตรียมอาหารของผู้ดูแล 2) คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อโปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียนของครูผู้ดูแลอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.53, SD=0.75) และ 3) หลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคผักสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรมแกรมอย่างมีนัยสำคัญ (p-value&lt;0.01, Mean difference 3.63, 95%CI 2.77 to 4.49)</p> <p>สรุป โปรแกรมส่งเสริมการบริโภคผักในเด็กวัยก่อนเรียนมีประสิทธิผลที่ดีในการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคผัก ควรนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นต่อไป</p> 2025-10-19T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277466 การพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ภายหลังการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา 2025-09-03T13:40:41+07:00 สมนึก ไวงาน 72somnuek@gmail.com แชมป์ สุทธิศรีศิลป champ.suttisrisin@gmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาระบบและประเมินผลระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ภายหลังการถ่ายโอน รพ.สต.ไปอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารหน่วยบริการปฐมภูมิอำเภอเฉลิมพระเกียรติ 8 คน ผู้ปฏิบัติทีมปฐมภูมิระดับอำเภอ 20 คน ระดับตำบล 20 คน ระดับชุมชน 50 คน และกลุ่มผู้รับบริการ 5 กลุ่ม 75 คน เครื่องมือ ได้แก่ การวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม แบบแสดงความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ แบบติดตามเยี่ยมพื้นที่ แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ด้านบริบท ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.92, SD=0.62) ด้านปัจจัยนำเข้า ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.57, SD=0.58) ด้านกระบวนการ ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.64, SD=0.56) ด้านผลผลิต ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=0.65, SD=0.48) พบอุปสรรค ได้แก่ บุคลากรมีกระบวนการทำงานที่มากขึ้นและไม่เพียงพอต่อการทำงาน, 2) ผลการพัฒนารูปแบบฯ พบปัจจัยแห่งความสำเร็จประกอบด้วย ต้องมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง มีความพร้อมต่อการพัฒนา มีการบริหารและการจัดการอย่างเป็นระบบและบูรณาการ มีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย มีการทำงานตามแผนและเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยรูปแบบการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย 4 ด้าน 15 มาตรการ และ 3) ผลการประเมินผลความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.05, SD=0.47) ผลการประเมินคุณภาพชีวิต ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.39, SD=0.64) ข้อเสนอแนะ ควรสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพและเพิ่มช่องการสื่อสารที่หลากหลาย</p> 2025-10-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277242 การศึกษาประสิทธิผลของการฝังเข็มร่วมกับนวดแผนไทย รักษาอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังแบบไม่จำเพาะเจาะจง 2025-08-24T11:29:53+07:00 สุธาสินี สายวดี suni_zhongyi@hotmail.com วรพงษ์ ปะดุกา mhorbarbank@gmail.com สาคร แง้นกลางดอน wu_minghe16@hotmail.com มณฑล บุญส่ง a4_Monthon@hotmail.com สุวิมล ผลชารี suwimon.pho@hcu.ac.th หงเยี่ยน ซือ shi.hon@hcu.ac.th ณรงศักดิ์ รุ่งเรืองสกุลไชย narongsak.peaza2499@gmail.com เอกอำนาจ เรืองศรี ekumnat@nmc.ac.th <p>โรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังแบบไม่จำเพาะเจาะจงเป็นโรคที่พบบ่อย มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน การเรียนและการทำงาน การรักษาโรคดังกล่าวด้วยการฝังเข็มหรือการนวดแผนไทยมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันยังไม่พบการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการฝังเข็มร่วมกับการนวดแผนไทยรักษาโรคปวดหลัง ดังนั้นจึงได้ศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยปวดหลังและเพิ่มข้อมูลการศึกษาทางคลินิกที่รักษาโรคแบบผสมผสาน</p> <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการฝังเข็มร่วมกับนวดแผนไทยรักษาอาการปวดหลัง และเปรียบเทียบประสิทธิผลการฝังเข็มร่วมกับนวดแผนไทยต่อการฝังเข็มหรือนวดแผนไทยอย่างเดียว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยปวดหลังที่ผ่านการประเมินอาการ โดยแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนจีน หรือแพทย์แผนไทย จำนวน 90 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน ได้แก่ กลุ่มฝังเข็มร่วมกับนวดแผนไทย (กลุ่มศึกษา) กลุ่มฝังเข็ม (กลุ่มควบคุม) และกลุ่มนวดแผนไทย(กลุ่มควบคุม) ทำการประเมินโดยตอบแบบสอบถามประเมินความเจ็บปวด (VAS) ความพิการและคุณภาพชีวิต (ODI) และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเอว (FFD score)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการรักษาทั้งสามวิธี ล้วนช่วยให้อาการปวดหลังดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 4 สัปดาห์ (p&lt;0.001) ด้านระดับความปวด (VAS) พบว่าปัจจัยทางด้านเวลาและวิธีการรักษามีผลต่อผลการรักษา (F=7.27, p&lt;0.001 ) ด้านคุณภาพชีวิต (ODI) และความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ (FFD) การศึกษาพบว่า ความปวดที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และความตึงของกล้ามเนื้อของกลุ่มศึกษาก่อนรักษา มีระดับที่สูงกว่ากลุ่มควบคุม หลังการรักษาพบว่ามีค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกลุ่มควบคุม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการรักษาแบบผสมผสานช่วยลดอาการปวดและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่าการฝังเข็มหรือนวดแผนไทยอย่างเดียว</p> 2025-11-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277518 ความชุกของโรคโลหิตจางของประชาชนในอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 2025-09-06T11:53:25+07:00 สิริน ฟองศิริไพบูลย์ sirinc7@hotmail.com พรรณี บุตรเทพ punnee.b@ptu.ac.th <p>ภาวะโลหิตจางเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั่วโลก โดยมีความชุกแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มประชากร ซึ่งจะต้องได้รับการดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในประชาชนอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย โดยเก็บข้อมูลด้านสังคม การวัดดัชนีมวลกาย ความดันโลหิตด้วยแบบสอบถาม พร้อมเก็บตัวอย่างเลือดและอุจจาระจากประชาชนอายุตั้งแต่ 35-74 ปี จำนวน 110 คน การตรวจคัดกรองธาลัสซีเมียดำเนินการโดยใช้น้ำยาสำเร็จรูป GeBioKit -OF และ GeBioKit -DCIP ผลการศึกษาพบว่า ความชุกของภาวะโลหิตจางอยู่ที่ร้อยละ 30.0 (33/110 ราย) ในเพศหญิงสูงกว่าชายชัดเจน (ร้อยละ 33.33 และ 3.33) กลุ่มที่มีภาวะโลหิตจาง มีค่าเฉลี่ย Hb, Hct, MCV, MCH และ MCHC ต่ำกว่ากลุ่มปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) จากการตรวจ OF และ DCIP 3 กลุ่ม พบรูปแบบ OF+/DCIP–, OF–/DCIP+ และ OF+/DCIP+ ในร้อยละ 2.73, 21.82 และ 7.27 ตามลำดับ และมีความสัมพันธ์กับภาวะโลหิตจางอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) ผลการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระให้ผลบวกร้อยละ 20.29 ของผู้ที่ได้รับการตรวจ โดยร้อยละ 2.90 มีภาวะโลหิตจางร่วมด้วย สรุปได้ว่า ธาลัสซีเมียเป็นปัจจัยหลักที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะโลหิตจางในประชากรกลุ่มนี้ ขณะที่ปัจจัยเสริม ได้แก่ ภาวะโภชนาการ และสภาพเศรษฐกิจ–สังคม ผลการศึกษานี้ควรนำไปใช้ประกอบการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อควบคุมและป้องกันภาวะโลหิตจางในพื้นที่</p> 2025-11-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277738 ผลของโปรแกรมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมความคุมความดันโลหิต ในผู้ป่วยสูงอายุโรคความดันโลหิตสูง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2025-09-17T20:19:26+07:00 วาริศา สนจิตร์ varisa.min24@gmail.com ไพบูลย์ พงษ์แสงพันธ์ paiboon_059@hotmail.com ประยุกต์ เดชสุทธิกร prayook@go.buu.ac.th ธรรมวัฒน์ อุปวงษาพัฒน์ dhammawat.buu@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง 2 กลุ่ม วัดผลสามระยะ ก่อนทดลอง หลังทดลอง และติดตามผล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตและระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยสูงอายุโรคความดันโลหิตสูง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 35 คน ระยะการศึกษา 10 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย เครื่องวัดความดันโลหิต แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตสูง ในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และระยะติดตามผล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยทั่วไปด้วย ร้อยละ ความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างค่าเฉลี่ยด้วย Repeated measure ANOVA และ Independent t-test วิเคราะห์สัดส่วนระดับความรุนแรงของความดันโลหิตด้วย Fisher's exact test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ในระยะติดตามผล กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิต และระดับความดันโลหิตตัวบนดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยในกลุ่มทดลองนั้นพบระดับความดันโลหิตตัวบนในระยะติดตามผลลดน้อยลงกว่าระยะหลังทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และพบคะแนนพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตในระยะติดตามผลสูงกว่าระยะก่อนทดลองและระยะหลังทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สรุปได้ว่าผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงที่ได้รับโปรแกรมแบบแผนความเชื่อสุขภาพมีพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิตดีขึ้น และมีระดับความดันโลหิตตัวบนลดลง มีคะแนนพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยในพื้นที่ต่อไป </p> 2025-11-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277779 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเครียดของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ 2025-09-20T01:39:01+07:00 กิติพงษ์ เรือนเพ็ชร kitipong19880@gmail.com จารินี คูณทวีพันธุ์ jarinee.ku@western.ac.th ฐานิดา สมขันตี Tanidasomkhantee@hotmail.com จิรวรรณ ชาประดิษฐ์ Jicha52@gmail.com อนุชิดา อายุยืน Kukkai.swan@gmail.com สุดารัตน์ พุฒพิมพ์ sudaratputpim337@gmail.com สมจิตร วงศ์หอม somjid3883@gmail.com <p>การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเครียดของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งใน จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือนิสิตพยาบาล ชั้นปีที่ 1 จำนวน 155 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความเครียด และแบบสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดของนิสิตพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบเพียร์สันไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 46.5 มีความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 45.2 และเครียดระดับมาก ร้อยละ 8.4 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเครียดของนิสิตพยาบาล ได้แก่ อายุ รายได้ และปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดด้านการเรียน ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านครอบครัว และด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนิสิตพยาบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p&lt;0.05 ซึ่งผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่านิสิตส่วนใหญ่เผชิญความเครียดในระดับที่สามารถจัดการได้ แต่ยังมีสัดส่วนที่มีความเครียดในระดับปานกลางถึงมาก ซึ่งครูอาจารย์ควรมีการวางแผนให้การช่วยเหลือ และการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นิสิตสามารถปรับตัวต่อแรงกดดันด้านการเรียน ครอบครัว สังคม และความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-12-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277894 ผลการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีบุญเรือง 2025-09-27T08:31:28+07:00 ราชวัช ทวีคูณ ratchawattop@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีบุญเรือง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก เข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินในช่วงเวลาเก็บข้อมูล จำนวน 24 คน และพยาบาลวิชาชีพ งานอุบัติเหตุฉุกเฉิน จำนวน 10 คน ทำการเก็บข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกในห้องฉุกเฉินที่พัฒนาขึ้น แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและแบบทดสอบความรู้ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.0</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 24 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 58.3 อายุระหว่าง 18-79 ปี อายุเฉลี่ย 61.5 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 14.8) มีโรคร่วม ร้อยละ 66.7 เข้าถึงโรงพยาบาลโดยญาตินำส่ง ร้อยละ 70.8 Septic shock เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด ร้อยละ 75.0 และไม่พบอุบัติการณ์เสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉิน กลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพ 10 คน มีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกในห้องฉุกเฉิน หลังได้รับการให้ความรู้สูงกว่าก่อนได้รับการให้ความรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;0.05 ดังนั้น ควรนำแนวปฏิบัติไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกในห้องฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277793 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อเป้าหมายในชีวิตของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ 2025-09-20T21:27:45+07:00 สุภิศา สุภิศา ขำเอนก, พย.ม. supisa.kn@bru.ac.th ณัฐพร คุณโน nathaporn15122@gmail.com อภิสรากรณ์ หิรัณย์วิชญกุล Apisarakorn_nueng21@yahoo.com <p>การวิจัยเชิงสํารวจครั้งนี้ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อเป้าหมายในชีวิตของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 264 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเป้าหมายชีวิต แบบประเมินความเครียด แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับผู้ปกครอง และแบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับเพื่อน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เป้าหมายในชีวิตของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า นักศึกษาพยาบาล มีเป้าหมายในชีวิตในภาพรวมทั้ง 4 ชั้นปี อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 65.50 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อเป้าหมายในชีวิตของนักศึกษาพยาบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้แก่ ปัจจัยด้านความเครียด (r=-0.348) ปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับผู้ปกครอง (r=0.328) และปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับเพื่อน (r=0.313) ซึ่งผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างเป้าหมายชีวิตที่มั่นคงของนักศึกษาพยาบาล มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางครอบครัวและเพื่อน รวมถึงการจัดการกับความเครียด การพัฒนากิจกรรมหรือโปรแกรมที่ส่งเสริมทักษะการจัดการความเครียด การเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ปกครองและเพื่อน ตลอดจนการให้คำปรึกษาเชิงบวก จึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลสามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277816 การวิเคราะห์การกระจายตัวเชิงพื้นที่ของความชุกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและความสัมพันธ์กับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในจังหวัดนครราชสีมา 2025-09-22T10:23:35+07:00 ืณัฏฐ์พงศ์ นิกรเพสย์ nutpongnikhon@gmail.com อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง atthawit.s@kkumail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวเชิงพื้นที่ของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และความสัมพันธ์กับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในจังหวัดนครราชสีมา ปี พ.ศ. 2567 เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง โดยใช้ข้อมูลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) จังหวัดนครราชสีมา และข้อมูลปริมาณฝุ่น PM2.5 จากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ดำเนินการรวมชุดข้อมูลด้วยโปรแกรม Quantum Geographic Information System (QGIS) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ด้วยสถิติ Bivariate Local Indicators of Spatial Association (LISA) ในโปรแกรม GeoDa ผลการวิจัยพบว่า ความชุกของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี พ.ศ. 2565-2567 และพบความสัมพันธ์เชิงพื้นที่เชิงบวกระหว่างปริมาณฝุ่น PM2.5 กับความชุกของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Moran′s I = 0.337, p&lt;0.05) โดยสามารถระบุพื้นที่กลุ่มเสี่ยงสูง (Hotspot) ที่มีทั้งค่า PM2.5 และความชุก ของโรคสูง (High-High) จำนวน 8 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอโชคชัย อำเภอปักธงชัย อำเภอสูงเนิน อำเภอสีคิ้ว อำเภอด่านขุนทด อำเภอโนนไทย และ อำเภอโนนสูง และพื้นที่กลุ่มเสี่ยงต่ำ (Coldspot) ที่มีค่าทั้งสองต่ำ (Low-Low) จำนวน 2 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมืองยาง และอำเภอลำทะเมนชัย ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนระหว่างมลพิษทางอากาศกับโรค COPD ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายสำหรับมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคอย่างตรงจุด</p> 2025-12-09T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277980 ความชุกตามระดับความเสี่ยง การรับรู้ และการจัดการเมื่อมีสัญญาณเตือน โรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและครอบครัว 2025-09-30T10:52:42+07:00 วรารัตน์ ทิพย์รัตน์ wararatt@bcnt.ac.th ดรุณี ศรีจันทร์ทอง darunee0180@gmail.com จิรานุวัฒน์ ชาญสูงเนิน Jiranuwatch@bcnt.ac.th กนกพรรณ พรหมทอง kanokpun@bcnt.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกตามระดับความเสี่ยง การรับรู้ระดับความเสี่ยง และเปรียบเทียบความแตกต่างการรับรู้และการจัดการเมื่อมีสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองระหว่างผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและครอบครัว กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคเบาหวานและ/หรือโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและครอบครัว จำนวน 281 คู่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบประเมินระดับความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง แบบสอบถามการรับรู้ระดับความเสี่ยง และแบบสอบถามการรับรู้และการจัดการเมื่อมีสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา จำนวน ร้อยละ และเปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้สถิติ McNemar’s test และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความชุกตามระดับความเสี่ยงของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับเสี่ยงปานกลาง (10% ถึงต่ำกว่า 20%) ร้อยละ 38.43 รองลงมาอยู่ในระดับเสี่ยงสูง (20% ถึงต่ำกว่า 30%) ร้อยละ 27.40, 2) มีการรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับ ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ (ร้อยละ 53.38 ของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงฯ และร้อยละ 48.40 ของครอบครัว) โดยมีการรับรู้ความเสี่ยงตามความถูกต้องในแต่ละระดับไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05), และ 3) ผลการเปรียบเทียบคะแนนรวมระหว่างผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงฯ และครอบครัว พบว่าครอบครัวมีคะแนนรวมเฉลี่ย (80.02 ± 10.06) สูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงฯ (77.80 ± 11.50) ความแตกต่างเฉลี่ยระหว่างกลุ่มเท่ากับ 2.21 (95% CI [0.56, 3.87]) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t(280) = 2.63, p=0.009)</p> 2025-12-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276651 ปกวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 ปีที่ 20 ฉบับที่ 1 2025-07-19T22:47:10+07:00 สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี DoctorSinsakchon@gmail.com 2025-07-19T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276204 ความผิดปกติของอวัยวะภายในที่มีผลต่ออาการนอนไม่หลับ ในมุมมองของการแพทย์แผนจีน 2025-06-25T15:39:42+07:00 วิไรรัตน์ อนันตกลิ่น wirairat_tcm@nmc.ac.th สุธาสินี สายวดี suthasinee_tcm@nmc.ac.th สมรัชนี ศรีฟ้า somratchanee_tcm@nmc.ac.th <p>การนอนไม่หลับ (Insomnia) เป็นปัญหาการนอนไม่หลับมากถึงร้อยละ 30-40 ของประชากรไทย มักพบในผู้หญิงมากกว่าเพศชายประมาณ 2:1 ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ ได้แก่ โรคซึมเศร้า เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ร่างกายเสื่อมโทรมลง ประสิทธิภาพการทำงานลดลง การตอบสนองของสมองช้าลง ร่างกายทำงานติดขัด และเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป การนอนไม่หลับ (不寐) ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน คือ อาการที่ผู้ป่วยมักจะไม่สามารถนอนหลับได้อย่างปกติ อาการหลักคือเวลาในการนอนหลับ ระดับความลึกในการนอนหลับไม่เพียงพอ ในผู้ป่วยที่อาการเบา จะนอนหลับยาก นอนหลับแต่กรน นอนหลับไม่ต่อเนื่อง หรือตื่นแล้วไม่สามารถนอนหลับต่อได้ ในผู้ป่วยที่อาการหนักจะนอนไม่หลับทั้งคืน กลไกการเกิดของอาการนอนไม่หลับ คือ หยางแกร่งอินพร่อง อินหยางไม่ประสานกัน ทำให้หยางไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอิน หรืออินพร่องทำให้ไม่สามารถควบคุมหยางในเวลากลางคืน มีผลให้เสินของหัวใจไม่สงบเกิดเป็นอาหารนอนไม่หลับ บทความนี้จะกล่าวถึงมุมมองการเกิดอาการนอนไม่หลับที่ไม่เพียงเกิดจากอวัยวะหัวใจเพียงอย่างเดียว แต่อวัยวะตันทั้งห้าล้วนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ได้แก่ หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต บทความมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน และเพื่อเป็นแนวทางในการรักษาอาการนอนไม่หลับทางคลินิก</p> 2025-08-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276329 ความไม่แน่นอนของการประเมินความเสี่ยงจากเชื้อลีจิโอเนลลา 2025-07-01T13:06:58+07:00 ศุภิกา วงศ์อุทัย suphiga.w@pkru.ac.th โสมศิริ เดชารัตน์ somsiri@tsu.ac.th <p>ลีจิโอเนลลาเป็นแบคทีเรียแกรมลบ ลักษณะชีววิทยาของเชื้อลิจิโอเนลลาจะสร้างไบโอฟิล์ม หรือแผ่นคราบจุลินทรีย์มาเกาะกับแบคทีเรียอื่น ๆ เพื่อช่วยป้องกันเซลล์ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เชื้อจะก่อโรคแบบฉกฉวยไปกับฝอยละอองน้ำในระบบน้ำใช้ที่มีความสัมพันธ์ต่อการก่อโรคลีเจียนเนลโลซีสและหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจเกิดระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้</p> <p>ผลจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การประเมินความเสี่ยงจากเชื้อก่อโรคลีเจียนเนลโลซีส ยังมีความไม่แน่นอนที่เกี่ยวกับระบาดวิทยาของลีจิโอเนลลา อุบัติการณ์ของโรคและวิธีการตรวจหาเชื้อ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนข้อมูลที่มีอยู่เกี่ยวกับความเสี่ยงของลีจิโอเนลลาและความไม่แน่นอนของการประเมินความเสี่ยง โดยอาศัยกรอบแนวคิดการประเมินความเสี่ยงของ enHealth คือ 1) การระบุความเสี่ยง 2) การประเมินความเป็นอันตราย 3) การประเมินการรับสัมผัส 4) ลักษณะความเสี่ยง และ 5) การสื่อสารและการจัดการความเสี่ยง เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงจากเชื้อลีจิโอเนลลา ผลที่ได้จากการศึกษานี้จะเป็นแนวทางในการปรับปรุงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการความเสี่ยงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> 2025-08-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276532 การส่งเสริมความปลอดภัยในครอบครัว : บทบาทพยาบาลในการป้องกันและจัดการปัญหาความรุนแรงในเด็กวัยเรียน 2025-07-14T09:23:18+07:00 ศิริกัญญา ฤทธิ์แปลก sirikanya.r@nrru.ac.th <p>ความรุนแรงในเด็กวัยเรียนเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทย ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก จากข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2559-2565 พบเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนมากถึง 948 กรณี คิดเป็น 1 ใน 3 ของเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งหมดที่เผยแพร่ในสื่อ สาเหตุสำคัญของปัญหามาจากความขัดแย้งในครอบครัว ความเชื่อผิดในการอบรมสั่งสอน และการเข้าถึงสื่อที่มีความรุนแรง ผลกระทบเกิดขึ้นทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และพฤติกรรม เช่น อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล การเรียนถดถอย และแนวโน้มปัญหานี้ยังคงเพิ่มขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นในสังคมยุคดิจิทัล ผู้เขียนจึงทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในประเด็นแนวคิดเพื่อป้องกันความรุนแรงในครอบครัว พบว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยทฤษฎีระบบครอบครัวมองว่า ความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากความไม่สมดุลของบทบาทและการสะสมความเครียดที่ส่งต่อกัน ส่วนแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจมองว่า การช่วยเหลือเหยื่อไม่เพียงแค่ให้พื้นที่ปลอดภัย แต่ยังต้องเสริมสร้างความมั่นใจและความสามารถในการยืนหยัดด้วยตนเองอย่างอิสระ ทั้งนี้ อาจใช้การป้องกันความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เหมาะสมตามบริบทของสังคม โดยพยาบาลมีบทบาทสำคัญต่อการดูแลและป้องกันความรุนแรงในเด็กวัยเรียน เริ่มจากการประเมินสภาพแวดล้อมและสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อระบุสัญญาณของความรุนแรง สนับสนุนทางสุขภาพจิตแก่เด็กโดยการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์ ความเครียด ฝึกทักษะการรับมือกับสถานการณ์เชิงลบ สามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย สร้างเครือข่ายสนับสนุนโดยการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและครู เสริมสร้างพัฒนาการที่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่พยาบาลควรให้ความสำคัญในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพของเด็ก</p> 2025-08-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/276608 บทบาทพยาบาลกับการจัดการปัญหาการใช้เทคโนโลยีเกินความพอดีในเด็กปฐมวัย 2025-07-17T15:21:44+07:00 อรุณี รัตน์สกุล arunee.r@nrru.ac.th <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนสถานการณ์และผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีเกินความพอดีในเด็กปฐมวัยต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ วิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของพยาบาลในการจัดการปัญหา เสนอแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริมสุขภาวะเด็กปฐมวัย โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล และกิจกรรมทดแทนที่ส่งเสริมพัฒนาการ ใช้วิธีการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วยวิธี Narrative reviews วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Thematic analysis การศึกษาพบว่า บทบาทของพยาบาลในการจัดการปัญหา ควรมีบทบาทด้านการประเมินพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยี การให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง การจัดกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม และการให้ความรู้และเสริมสร้างทักษะการเลี้ยงดูในยุคดิจิทัล รวมถึงแนวทางปฏิบัติและการสร้างเสริมสุขภาวะในเด็กปฐมวัยที่เหมาะสม ควรพิจารณาแนวทางการใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล การออกแบบกิจกรรมทดแทน การบูรณาการกับโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การติดตามและประเมินผลพฤติกรรมของเด็ก</p> 2025-08-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/277899 ภาวะซึมเศร้าในพระภิกษุสงฆ์ : บทบาทพยาบาลจิตเวช 2025-09-27T14:12:58+07:00 ศุภกฤต จึงพิภานิชกุล supphakrit888@gmail.com โฆษิต ฉันทนารุ่งภักดิ์ kapook12.hk@gmail.com <p>บทความนี้ศึกษาภาวะซึมเศร้าในพระภิกษุสงฆ์กับบทบาทของพยาบาลจิตเวชต่อ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน เนื่องจากต้องคำนึงถึงทั้งหลักการทางวิชาชีพและบริบททางวัฒนธรรม ศาสนา และจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมสุขภาพจิตและการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ที่มีภาวะซึมเศร้า ภายใต้การดูแลของพยาบาลจิตเวช ซึ่งพยาบาลจิตเวชมีบทบาทสำคัญ<br />ในการดูแลเชิงวิชาชีพและการประสานความเข้าใจอย่างเหมาะสม โดยบทบาทหลัก ได้แก่ การประเมินทางการพยาบาล การให้ความรู้ และคำแนะนำเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิต การคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตและภาวะซึมเศร้า การเป็นที่ปรึกษา การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน การเป็นผู้นำกลุ่ม การส่งเสริมมุมมองเชิงบวกแก่พระภิกษุที่มีอาการเจ็บป่วย และการทำหน้าที่แทนผู้ป่วย ทั้งนี้แต่ละบทบาทมีการคำนึงถึงหลักการทางการพยาบาลและบริบททางวัฒนธรรมและศาสนา เพื่อสนับสนุนให้พระภิกษุสงฆ์ที่มีภาวะซึมเศร้า สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> 2025-12-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม