วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal <p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 9</strong> เป็นวารสารวิชาการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่อยู่ใน<strong>ฐานข้อมูลการอ้างอิงวารสารไทย (Thailand Citation Index - TCI) กลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2567</strong></p> <p>รับบทความวิจัย (Research Articles) บทความวิชาการหรือบทความทบทวน (Review or Academic Articles) และบทความพิเศษ (Special Articles) โดยบทความวิจัยและบทความวิชาการทุกบทความ ต้องได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและประเด็นทางวิชาการของบทความ สำหรับบทความพิเศษ เป็นรูปแบบการเชิญของวารสารและไม่ต้องรับการประเมิน</p> <p><strong>วารสารใช้ระบบการประเมินบทความแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-Blinded Reviews)</strong> โดย<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer-Reviewers) จากหลากหลายสถาบัน <span style="text-decoration: underline;">อย่างน้อย 2-3 ท่านต่อบทความ</span></strong> โดยผู้ส่งบทความระบุจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ต้องการให้ประเมิน (2 หรือ 3 ท่าน) ในหนังสือนำส่งบทความเพื่อรับการพิจารณา</p> <p>วารสารใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแวนคูเวอร์ (Vancouver Style) โดยสามารถศึกษารูปแบบการอ้างอิงได้จากเอกสารคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ <a title="คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" href="https://drive.google.com/file/d/1sgBVTt06wiwq2laYSa5XeYCbBuUC5tWM/view?usp=share_link">ศึกษาคำแนะนำสำหรับผู้เขียน</a></p> <p>การตีพิมพ์มีค่าใช้จ่าย<strong>บทความละ 3,500 บาท </strong>โดยชำระค่าใช้จ่ายเมื่อบทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์แล้ว</p> <p>วารสารตีพิมพ์บทความประมาณ 27-29 บทความในแต่ละฉบับ มีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน; ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม; ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม) ในรูปแบบออนไลน์ และแบบรูปเล่ม</p> th-TH <p>บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ประกฎในวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน&nbsp;บรรณาธิการ คณะผู้จัดทำ และศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา (เจ้าของ) ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย&nbsp;ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง&nbsp;</p> <p>ผลการพิจารณาของกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิถือเป็นที่สิ้นสุด คณะบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขข้อความให้ถูกต้องตามหลักภาษาและมีความเหมาะสม</p> <p>กองบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์มิให้นำเนื้อหาใด ๆ ของบทความ หรือข้อคิดเห็นใด ๆ ของผลการประเมินบทความในวารสารฯ ไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศูนย์อนามัยที่ 9</p> DoctorSinsakchon@gmail.com (ดร.สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี) DoctorSinsakchon@gmail.com (ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา) Tue, 03 Dec 2024 10:02:16 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269536 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผล เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และผลการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง (Palliative care) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้รูปแบบซิป (CIPP Model) คือการประเมินผลด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ประกอบด้วย ผู้ดูแลผู้ป่วย จำนวน 38 คน ทีมสหสาขาวิชาชีพบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน จำนวน 12 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ 1) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปผู้ดูแล, 2) แบบบันทึกการตรวจสอบเวชระเบียนผู้ป่วย, 3) แบบประเมินความพึงพอใจ และ 4) บันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิเคราะห์ศึกษาสถานการณ์ และปัญหาการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง พบว่า กลุ่มผู้ป่วยระยะท้าย ส่วนใหญ่ป่วยเป็น Advanced cancers ร้อยละ 73.68 อาศัยอยู่กับคู่สมรสและบุตรหลาน ร้อยละ 71.05 เสียชีวิตที่บ้าน ร้อยละ 86.84 เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ร้อยละ 13.16 ปัญหาของการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายคือ ญาติขาดความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน ควรพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ดังนี้ 1) การฝึกอบรมพัฒนาความรู้และทักษะให้แก่ญาติผู้ป่วย, 2) การสนับสนุนอุปกรณ์ในการดูแลต่อเนื่อง, 3) พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยในโปรแกรม Smart COC เชื่อมการส่งข้อมูลทุกระดับ, 4) จัดตั้งทีม Rapid consulting services และ 5) พัฒนาระบบการส่งยา Palliative care การประเมินผล พบว่า อัตราการประชุมครอบครัวและการวางแผนการดูแลล่วงหน้า ร้อยละ 86.84 ผู้ป่วยมีอาการปวดได้ Strong opioid ร้อยละ 73.68 ผู้ป่วยได้รับการดูแลแบบการแพทย์แผนไทย ร้อยละ 92.11 ผู้ป่วยได้รับการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ร้อยละ 92.11 และผู้ดูแลมีความพึงพอใจการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองในระดับมากที่สุด</p> ชลธิรา ศรีสวัสดิ์, พ.บ. Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269536 Wed, 03 Jul 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในตึกอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลหนองบัวลำภู https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269633 <p>การวิจัยแบบ Intervention research รูปแบบวิจัย Historical controlled design วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติเดิมในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลหนองบัวลำภู ศึกษากับผู้ป่วยทุกโรค เก็บข้อมูลย้อนหลังเดือน กรกฎาคม 2566 ในกลุ่มที่ใช้แนวปฏิบัติเดิม เก็บข้อมูลไปข้างหน้า เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2566 ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติแบบใหม่ รวบรวมข้อมูลทั่วไปทางคลินิก เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ ร้อยละ ผลลัพธ์หลักคือการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลเปรียบเทียบทั้ง 2 กลุ่ม ด้วย Multivariable risk difference regression และ Multivariable mean difference regression</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ศึกษาทั้งหมด 195 ราย อายุเฉลี่ย 58.0 (±16.6) ปี อายุอยู่ระหว่าง 18 ถึง 93 ปี หลังปรับอิทธิพลตัวแปร ได้แก่ อายุ BMI การวินิจฉัยโรค โรคประจำตัวประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ ยาฆ่าเชื้อที่ใช้จากการวินิจฉัยโรค การติดเชื้อดื้อยาจากชุมชน พบว่าแนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นสามารถลดการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลได้ร้อยละ 17 (95%CI: 0.26, -0.08) (p&lt;0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สามารถลดการติดเชื้อเชื้อดื้อยาระบบทางเดินหายใจลงได้รอยละ 10 (95%CI: -0.17, -0.03) (p=0.005) การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะลดลงร้อยละ 4 (95%CI:-0.09, -0.00) (p=0.038) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การติดเชื้อระบบไหลเวียนเลือดมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 4 (95%CI:- -0.11, 0.01) (p=0.087) อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่งผลให้ระยะเวลาการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงเฉลี่ย 2 วัน (95%CI:-5.09, 0.57) (p=0.097) อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปผลการวิจัยได้ว่าแนวปฏิบัติการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นสามารถลดการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลได้ สามารถนำแนวปฏิบัตินี้ไปใช้ได้</p> วิภาวดี บุญแสนแผน, จิตรลดา พิมพ์ศรี, เรืองศิริ ภานุเวศ, รุจิระชัย เมืองแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269633 Wed, 02 Oct 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการพัฒนาโปรแกรมเพื่อเตรียมผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลหนองบัวลำภู https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269635 <p>การวิจัยแบบ Intervention research แบบ Non-concurrent self-control with interrupted time design มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเพื่อเตรียมผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลหนองบัวลำภู รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยก่อนเข้าโปรแกรมเดือนตุลาคม 2566 และหลังเข้าโปรแกรมเดือน ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วัดผลลัพธ์หลัก ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนหลังเข้าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าโปรแกรมด้วย Multivariable Gaussian regression with cluster robust variance correction นำเสนอ Risk difference</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ศึกษาเป็นเพศชาย 23 ราย (62.16%) เพศหญิง 14 ราย (37.84%) อายุเฉลี่ย 63.27 (±12.18) ปี อายุอยู่ระหว่าง 32 ถึง 79 ปี หลังปรับอิทธิพลตัวแปร ได้แก่ อายุ BMI เพศ น้ำหนักก่อนเข้าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน ส่วนสูง ระยะเวลาของการได้รับการฟอกเลือด โรคประจำตัว การใช้ยาความดันโลหิตสูง ประวัติการรับประทานยาความดันโลหิตสูง ประวัติภาวะแทรกซ้อน ปริมาณน้ำที่ควรดึงได้ตามเป้าหมายพบว่า หลังการใช้โปรแกรมเพื่อเตรียมผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม สามารถลดภาวะแทรกซ้อนได้ 28 % (95%CI: -0.45, -0.12) (p&lt;0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะความดันโลหิตต่ำ และการมีภาวะน้ำหนักเพิ่มก่อนการเข้าฟอกเลือดลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปการวิจัยได้ว่าโปรแกรมเพื่อเตรียมผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมสามารถลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และควรนำโปรแกรมนี้ไปปรับใช้ใน CKD Clinic เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนให้ผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายเข้าฟอกเลือด</p> อรพรรณ เหล่าประเสริฐ, จิตรลดา พิมพ์ศรี, วันเพ็ญ พละศูนย์, เรืองศิริ ภานุเวศ, รุจิระชัย เมืองแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/269635 Wed, 09 Oct 2024 00:00:00 +0700 ผลของการออกกำลังกายร่วมกับการประคบสมุนไพรและการให้ความรู้พฤติกรรมเสี่ยงอันตราย ที่มีต่ออาการปวด ระดับความรู้สึกกดเจ็บ องศาการเคลื่อนไหว และดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอในผู้ที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270147 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลของการออกกำลังกายร่วมกับการประคบสมุนไพรและการให้ความรู้พฤติกรรมเสี่ยงอันตรายที่มีต่ออาการปวด ระดับความรู้สึกกดเจ็บ องศาการเคลื่อนไหว และดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอ ก่อนและหลังการศึกษา และ 2) เปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือบุคคลที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรมจำนวน 2 กลุ่มๆ ละ 27 คน กลุ่มที่ 1 ได้รับการออกกำลังกายร่วมกับการประคบสมุนไพรและการให้ความรู้พฤติกรรมเสี่ยงอันตราย ส่วนกลุ่มที่ 2 ได้รับการประคบสมุนไพรและการให้ความรู้พฤติกรรมเสี่ยงอันตราย ทั้งสองกลุ่มได้รับการวัดค่าอาการปวด ระดับความรู้สึกกดเจ็บ องศาการเคลื่อนไหว และดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t-test และ Analysis of Covariance (ANCOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ 1 มีค่าอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังการฝึก (p&lt;0.05) ในขณะที่กลุ่มที่ 2 ค่าอาการปวดลดลงแต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p=0.083) ระดับความรู้สึกกดเจ็บและองศาการเคลื่อนไหวในทั้งสองกลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มหลังการฝึกพบว่า ค่าอาการปวด องศาการเคลื่อนไหวคอหลายทิศทาง และดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายร่วมกับการประคบสมุนไพร และการให้ความรู้พฤติกรรมเสี่ยงอันตราย มีประสิทธิผลในการลดอาการปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของคอในผู้ที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรม</p> ธนวัฒน์ เกียรติเจริญศิริ, ญดา ธาดาณัฐภักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270147 Wed, 09 Oct 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270319 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตและศึกษากระบวนการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรสถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองและผู้มารับบริการคลินิกเวชศาสตร์วิถีชีวิตและส่งเสริมสุขภาวะ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คุณสมบัติ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ระยะที่ 1 ได้รูปแบบการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต รูปแบบการจัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร ประกอบด้วย หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรม ขั้นตอนการดำเนินการ การวัดและประเมินผล เนื้อหาสำหรับการฝึกอบรมเป็นไปตามแนวทางการดูสุขภาพด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต ซึ่งผลการจัดอบรมหลักสูตรฯ พบว่าผู้เข้าร่วมการอบรมมีคะแนนความรู้หลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และพึงพอใจต่อการจัดอบรมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ระยะที่ 2 พบว่า การจัดบริการเป็นไปตามแนวทางการดูสุขภาพด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต ประกอบด้วย 6 เสาหลัก ได้แก่ ด้านโภชนาการ กิจกรรมทางกาย การนอนหลับ การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม การเลิกบุหรี่ และการจัดการความเครียด ระยะที่ 3 พบว่าผู้เข้ารับบริการในคลินิกเวชศาสตร์วิถีชีวิตและส่งเสริมสุขภาวะ หลังเข้ารับบริการมีคะแนนการประเมินพฤติกรรมสุขภาพเวชศาสตร์วิถีชีวิตสูงกว่าก่อนเข้ารับบริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> เกศรา โชคนำชัยสิริ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270319 Mon, 25 Nov 2024 00:00:00 +0700 ความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาลมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง จังหวัดอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270391 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุดรธานี และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม กับความฉลาดทางอารมณ์รายด้าน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุดรธานีปีการศึกษา 2565 จำนวน 297 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.66-1.00 และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค มีค่าเท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความฉลาดทางอารมณ์ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 63.64 รองลงมาอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 19.87 และอยู่ในระดับสูงร้อยละ 16.50 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบรายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในระดับปกติทั้งด้านเก่ง ด้านดี และด้านสุข (ร้อยละ 27.28, 14.76 และ 21.55 ตามลำดับ) 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ของกลุ่มตัวอย่าง 2.1) ด้านเก่ง ได้แก่ ระดับชั้นปี ผลการเรียนสะสม การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่พักอาศัย และผู้ร่วมอาศัย (p-value&lt;0.05) 2.2) ด้านดี ได้แก่ ระดับชั้นปี ผลการเรียนสะสม ความเพียงพอของรายรับต่อเดือน การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ (p-value&lt;0.05) และ 2.3) ด้านสุข ได้แก่ ระดับชั้นปี การติดสื่อสังคมออนไลน์ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลักษณะการเลี้ยงดู การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสมาชิกในครอบครัว และที่พักอาศัย (p-value&lt;0.05)</p> สุกัญญา ฆารสินธุ์, กฤชกันทร สุวรรณพันธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270391 Wed, 27 Nov 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ความผูกพันต่อองค์กร และคุณภาพชีวิตในการทำงานที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกของพยาบาลโรงพยาบาลเอกชน ในเขตภาคเหนือตอนล่าง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270492 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ความผูกพันต่อองค์กร และคุณภาพชีวิตในการทำงานของพยาบาล 2) ระดับความตั้งใจลาออกของพยาบาล และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกของพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนในเขตภาคเหนือตอนล่าง</p> <p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง ประชากรที่ศึกษาคือพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนในเขตภาคเหนือตอนล่าง 1,560 คน คำนวณขนาดตัวอย่างเพื่อประมาณค่าเฉลี่ยของประชากรและสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 369 คน ได้รับแบบสอบถามคืนมา 359 ฉบับ (ร้อยละ 97.3) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณแบบเพิ่มตัวแปร<br />เป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิงร้อยละ 90.3 มีอายุเฉลี่ย 38.35 ปี (SD<strong>=</strong>10.48) สถานภาพสมรสร้อยละ 55.4 อายุงานเฉลี่ย 16.15 ปี (SD=8.32) มีจำนวนสมาชิกในครอบครัวเฉลี่ย 5.50 คน (SD=3.21) ปัจจัยด้านแรงจูงใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>2<em>.</em>94, SD=0.18) ความผูกพันต่อองค์กรมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>2<em>.</em>41, SD<em>=</em>0<em>.</em>22<em>) </em>และคุณภาพชีวิตในการทำงานมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>2<em>.</em>61, SD<em>=</em>0<em>.</em>26<em>) </em>2) กลุ่มตัวอย่างมีความตั้งใจลาออกจากงานมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>3<em>.</em>68, SD<em>=</em>0<em>.</em>37<em>) </em>และ 3) ตัวแปรพยากรณ์ร่วมทำนายความตั้งใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศ สถานภาพสมรส แรงจูงใจด้านลักษณะงานและด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและเพื่อนร่วมวิชาชีพ คุณภาพชีวิตด้านสภาพการปฏิบัติงานมีความปลอดภัยส่งเสริมสุขภาพและด้านความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 29.3 (R<sup>2</sup>=0.293)</p> ดำรัสศิริ โลหะกาลก, อนัญญา ประดิษฐปรีชา, อารยา ประเสริฐชัย Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270492 Mon, 02 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อมาตรฐานการบริการกายภาพบำบัด ของงานกายภาพบำบัดผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270580 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาความพึงพอใจและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจของผู้ป่วยนอกต่อมาตรฐานการบริการของหน่วยกายภาพบำบัด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ประชากรในการศึกษา คือผู้ป่วยนอกที่มารับบริการกายภาพบำบัด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยนอกที่มารับบริการกายภาพบำบัด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง ในระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 จำนวน 227 คน ตามเกณฑ์การคัดเข้าและเกณฑ์การคัดออก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบประเมินความพึงพอใจต่อมาตรฐานการบริการกายภาพบำบัด วิเคราะห์ข้อมูลใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน t-test และ ANOVA</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของผู้ป่วยนอกต่อมาตรฐานการบริการงานกายภาพบำบัดในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจของผู้ป่วยนอกต่อมาตรฐานการบริการของงานกายภาพบำบัดพบว่า อายุมีความสัมพันธ์เชิงลบกับคะแนนความพึงพอใจต่อมาตรฐานกายภาพบำบัดของทุกด้าน ยกเว้นด้านสิ่งแวดล้อม และความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับคะแนนความพึงพอใจต่อมาตรฐานกายภาพบำบัดของทั้ง 6 ด้าน พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ สถานภาพ ประเภทของผู้ป่วยและสิทธิการรักษาที่แตกต่างกัน มีค่าคะแนนความพึงพอใจต่อมาตรฐานกายภาพบำบัดทั้ง 6 ด้านไม่แตกต่างกัน</p> ธีรภัทร์ รักษาพล, วาสนา แจ้งไธสง, ศิริกร ทองเบื้อง Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270580 Mon, 02 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270737 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบพรรณนาหาความสัมพันธ์เชิงทำนาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองและเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 2-4 ปี ที่ศึกษาอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เขตอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 184 คู่ และครูประจำชั้น จำนวน 8 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก</p> <p>ผลการศึกพบว่า ภาวะโภชนาการเกินของเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กร้อยละ 31.52 ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของเด็กก่อนวัยเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมากที่สุด คือการจัดเก็บอาหารในบ้าน (HE) (OR<sub>adj</sub>=0.75, 95%CI=0.26-2.10) รองลงมาเป็นพฤติกรรมการจัดอาหารของผู้ปกครอง (MB) (OR<sub>adj</sub>=5.00, 95%CI=2.01-12.40) การจัดอาหารให้แก่เด็กของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (SE) (OR<sub>adj</sub>=0.75, 95%CI=0.26-2.10) กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายหรือเล่นที่บ้านของเด็ก (CA) (OR<sub>adj</sub>=2.64, 95%CI=1.00-6.91) และการจัดกิจกรรมทางกายให้แก่เด็กของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (ST) (OR<sub>adj</sub>=0.28, 95%CI=0.08-0.96) ตามลำดับ มีอำนาจการทำนายร้อยละ 78.8 </p> <p>ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพเน้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และป้องกันภาวะโภชนาการเกินให้แก่เด็กก่อนวัยเรียนต่อไป</p> อภิชญา อาจอารัญ, ธิติรัตน์ ราศิริ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 : วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270737 Tue, 03 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปกวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270137 สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี, MPH, Ph.D. Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/270137 Mon, 08 Jul 2024 00:00:00 +0700 ส่วนนำของวารสาร ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (มกราคม - เมษายน 2568) https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/272519 สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี, MPH, Ph.D. Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHPC9Journal/article/view/272519 Mon, 02 Dec 2024 00:00:00 +0700