วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ
<p>วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต รับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการพยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน ทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ ผลงานวิจัยบทความทุกเรื่องจากได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 คน โดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง ด้วยกระบวนการ Double-blind และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันที่หลากหลายไม่อยู่ในสังกัดเดียวกันกับผู้แต่ง กำหนดการตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p>
th-TH
<p>บทความทีตีพิมพ์ในวารสารนี้ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี และผลงานวิชาการหรือวิจัยของคณะผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นของบรรณาธิการหรือผู้จัดทํา</p>
parinyaporn.th@bcnr.ac.th (กองบรรณาธิการวารสาร)
parinyaporn.th@bcnr.ac.th (กองบรรณาธิการวารสาร)
Wed, 12 Mar 2025 00:00:00 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลในคลินิกเพื่อการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันในโรงพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273391
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลในคลินิกและศึกษาผลของการใช้รูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลในคลินิกเพื่อการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ในโรงพยาบาล การวิจัยประกอบด้วย 6 ระยะ ได้แก่ สำรวจสภาพปัญหา พัฒนา (ร่าง) รูปแบบการนิเทศ ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ ปรับปรุงรูปแบบ นำรูปแบบไปใช้จริง ปรับปรุงและยืนยันรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลหัวหน้างาน 8 คน พยาบาลวิชาชีพ 64 คน และผู้ดูแลผู้ป่วย 497 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรู้ แบบประเมินปฏิบัติการนิเทศ แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน แนวปฏิบัติทางคลินิก แบบสอบถามความพึงพอใจ และเครื่องมือติดตามภาวะแทรกซ้อน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา การทดสอบที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ ได้แก่ การเพิ่มพูนความรู้ การทบทวนเป้าหมายและแผนนิเทศ แรงจูงใจ การสอน การสนับสนุนการปฏิบัติงาน การเข้าถึงข้อมูลและผู้เกี่ยวข้อง แนวทางการดูแลโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และการประเมินผลการปฏิบัติงาน หลังจากใช้รูปแบบฯ พยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และการปฏิบัตินิเทศสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พยาบาลผู้นิเทศ พยาบาล และญาติผู้ป่วยมีความพึงพอใจระดับสูง (M=3.96, SD=0.52; M=4.29, SD=0.39; M=3.65, SD=0.69) </p> <p>ดังนั้นผู้บริการทางการพยาบาลควรนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการนิเทศทางการพยาบาลเพื่อพัฒนาความรู้ สร้างแรงจูงใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน</p>
กฤษณา ภิรมย์พูล , ณัฎฐ์ศิกา ใคร่ครวญ, สุภาภรณ์ ประยูรมหิสร
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273391
Tue, 18 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ ในห้องผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/271880
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลป้องกันปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาการปฏิบัติการพยาบาล ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการพยาบาลป้องกันปอดอักเสบ และ ระยะที่ 3 ทดลองใช้และประเมินรูปแบบฯ ในพยาบาลวิชาชีพ 20 คน และผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ 48 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบเท่า ๆ กันในห้องผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลราชบุรี เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย รูปแบบการพยาบาล แบบวัดความรู้ แบบประเมินการปฏิบัติ และแบบบันทึกผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง (0.8–1.0) ความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู้ (KR-20 = 0.75) และแบบประเมินการปฏิบัติฯ (Cronbach’s alpha = 0.96) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการทดสอบค่าที ผลการศึกษา พบว่า</p> <p>หลังทดลอง พบว่า 1) พยาบาลกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้และการปฏิบัติสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .001) 2) ผู้ป่วยกลุ่มทดลองไม่พบการติดเชื้อปอดอักเสบ และ 3) ระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ </p> <p> สรุปได้ว่ารูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มความรู้และการปฏิบัติของพยาบาล ลดอัตราการติดเชื้อ และลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจ ควรมีการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินประสิทธิผลอย่างต่อเนื่องในการดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น</p>
นพกมล ประจงทัศน์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/271880
Wed, 26 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยสูงอายุ โรงพยาบาลดำเนินสะดวก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273290
<p>การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยสูงอายุ โรงพยาบาลดำเนินสะดวก ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้นิเทศ 12 คน กลุ่มผู้รับการนิเทศ 36 คน และกลุ่มผู้รับบริการ 200 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ รูปแบบการนิเทศทางการพยาบาล แบบวัดความรู้ แบบประเมินการปฏิบัติการนิเทศ แบบประเมินความเป็นไปได้ฯ แบบประเมินความพึงพอใจสำหรับกลุ่มผู้นิเทศ และแบบวัดความรู้ แบบประเมินการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจ สำหรับกลุ่มผู้รับการนิเทศ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. รูปแบบที่พัฒนาได้ PORN SAFE Model ประกอบด้วย การวางแผน การให้ความรู้ การฝึกทักษะ การกำหนดมาตรฐาน การเฝ้าระวัง การประเมิน การให้ข้อมูลย้อนกลับและการมีส่วนร่วม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังใช้รูปแบบกลุ่มผู้นิเทศและกลุ่มผู้รับการนิเทศมีความพึงพอใจระดับมาก เปรียบเทียบการปฏิบัติการนิเทศและการปฏิบัติเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มหลังใช้รูปแบบทั้ง 2 กลุ่ม มีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนใช้รูปแบบแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มผู้รับบริการที่ไม่ได้รับการดูแลตามรูปแบบเกิดอุบัติการณ์ การพลัดตกหกล้ม และระดับความรุนแรงสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบ</span></p> <p>ดังนั้นรูปแบบการนิเทศทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยสูงอายุที่มีประสิทธิภาพควรเพิ่มความรู้และทักษะการปฏิบัติกลุ่มผู้ให้บริการและส่งเสริมการมีส่วนร่วมการดูแลผู้ป่วยของครอบครัว</p>
ณัฐชฎา มิ่งสำแดง
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273290
Wed, 12 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกระบี่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/272342
<p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ พัฒนารูปแบบและศึกษาผลการใช้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกระบี่ ดำเนินการ 3 ระยะ คือ ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ พัฒนารูปแบบและประเมินผล กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารการพยาบาล 6 คน ผู้ให้บริการ 104 คน และผู้ใช้บริการ 122 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินผลการนิเทศของหัวหน้าพยาบาลและหัวหน้าหอ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบฯ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ประกอบด้วย การประเมินผู้ป่วย การจัดการอาการรบกวนต่าง ๆ การดูแลความปลอดภัย การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนการดูแลสุขภาพตนเอง การสร้างความพึงพอใจของพยาบาล และการนิเทศทางการพยาบาลของหัวหน้าพยาบาลและหัวหน้าหอ ผลการนิเทศอยู่ในระดับมาก (<em>M</em>=4.47, <em>SD</em>=0.38 และ <em>M</em>=4.49, <em>SD</em>=0.49 ตามลำดับ) พยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และการปฏิบัติการพยาบาลเพิ่มขึ้น ร้อยละผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดได้รับการคัดกรองเพิ่มขึ้นจาก 71.60 เป็น 91.95 ร้อยละการหายเพิ่มขึ้นจาก 69.90 เป็น 74.60 จำนวนวันนอนลดลงจาก 13.83 เหลือ 10.19 และร้อยละการเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลงจาก 29.86 เหลือ 25.40</p> <p>ดังนั้นผู้บริหารทางการพยาบาลควรนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปประยุกต์ใช้ในนิเทศทางการพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด</p> <p> </p>
ลัดดาวัลย์ ปลอดฤทธิ์, จุฑาวดี วงษ์สมบัติ, พนิตนันท์ หนูชัยปลอด
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/272342
Tue, 18 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยเสี่ยงและแนวทางการลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ จังหวัดนนทบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/272871
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ จังหวัดนนทบุรี และ 2) ศึกษาแนวทางการลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ ระยะที่ 1 การศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ เป็นผู้สูงอายุในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 401 คน ที่ได้รับการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ เป็นผู้สูงอายุจังหวัดนนทบุรี จำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ที่ได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมที่มีดัชนีความสอดคล้อง 0.67-1 และค่าสัมประสิทธิ์ อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.82 และแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่มที่มีดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติการถดถอยโลจิสติก และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1. <span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ อายุ ความไม่สามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน</span>และภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเพิ่มโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุเป็น 1.1, 2.54, และ 3.42 เท่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Adjusted OR = 1.1, 2.54, 3.42 ตามลำดับ; <em>p</em> <.05)</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวทางการลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ จังหวัดนนทบุรี ประกอบด้วย นโยบายการดูแลผู้สูงอายุ แนวทางการปฏิบัติงานของทีมสุขภาพ การเสริมสร้างศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุ และการเพิ่มโอกาสของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี</span></p> <p>ดังนั้นจึงเสนอแนะให้นำผลการศึกษาไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ</p> <p> </p>
เปรมฤทัย น้อยหมื่นไวย, เรณุการ์ ทองคำรอด
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/272871
Sat, 05 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบรายกรณี กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273787
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบที่โรงพยาบาลราชบุรี ผ่าน 3 ระยะ การวิเคราะห์สถานการณ์ การพัฒนารูปแบบ และการประเมินผล โดยมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ความรู้และการปฏิบัติของพยาบาล 2) ผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วย และ 3) ความเป็นไปได้ในการใช้จริง กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพ 40 คน และผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ แบ่งเป็น กลุ่มควบคุมและทดลอง กลุ่มละ 32 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความรู้ด้านการพยาบาล แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทาง และแบบบันทึกผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา การทดสอบไคแสควร์ และการทดสอบค่าที ผลการศึกษา พบว่า </p> <p>รูปแบบการพยาบาลผู้บาดเจ็บหลายระบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยคู่มือการพยาบาล การพัฒนาสมรรถนะ และแนวปฏิบัติการตัดสินใจ ด้านการประเมินประสิทธิผล พบว่า ระดับการปฏิบัติของพยาบาลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) การเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มขึ้น (p = 0.02) ความถูกต้องในการประเมิน สภาพผู้ป่วยฉุกเฉินเบื้องต้นดีขึ้น (p = 0.03) และอาการทรุดลงระหว่างการเคลื่อนย้ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.02)</p> <p>สรุปได้ว่า รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการเพิ่มความถูกต้องในการประเมินผู้ป่วย ควรประยุกต์ใช้รูปแบบนี้ในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงสูงหรือบาดเจ็บหลายระบบในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลและเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย</p> <p> </p>
สลิลดา มั่นคง , สุภาพ เหมือนชู
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273787
Wed, 26 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ต่อความรู้ ทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลพระอาจารย์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273564
<p>การวิจัยกึงทดลองนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ต่อความรู้ และทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยเป็นโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและแบบประเมิน โดยแบบประเมินแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับสมองเสื่อมในผู้สูงอายุและทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ความเที่ยงของแบบประเมินความรู้และแบบประเมินทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมด้วยการใช้สูตร KR-20 เท่ากับ 0.84 ,0.82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>หลังเข้ารับโปรแกรมคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุและทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุระยะหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05)</p> <p>ดังนั้นอาสาสมัครสาธารณสุขควรได้รับการเตรียมความพร้อมในการประเมินความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุร่วมกับการส่งเสริมทักษะการประเมินภาวะสมองเสื่อมเพิ่มศักยภาพการดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยงในการปฏิบัติงาน</p>
ชลธิชา บุญศิริ, สมหมาย วงษ์กวน
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273564
Mon, 17 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
บทบาทของความเชื่อด้านสุขภาพในพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์ ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน กรณีศึกษาในเขตสุขภาพที่ 5
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273190
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของความเชื่อด้านสุขภาพ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ และความรู้ด้านสุขภาพ ที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน โดยใช้กรณีศึกษาในเขตสุขภาพที่ 5 ซึ่งครอบคลุมจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยหญิงตั้งครรภ์จำนวน 300 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Stratified Random Sampling) และเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่นทางสถิติ ใช้การวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์เพียร์สันและการถดถอยเชิงพหุ</p> <p>ผลการวิเคราะห์สหสัมพันธ์พบว่าตัวแปรความเชื่อด้านสุขภาพ ได้แก่ การรับรู้ถึงความเสี่ยง (r = .448, p = .001) การประเมินความรุนแรงของผลกระทบ (r = .522, p = .000) และการตระหนักถึงประโยชน์จากการปรับพฤติกรรม (r = .530, p = .000) มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ระดับการศึกษา (r = .391, p = .000) รายได้ (r = .423, p = .000) และอาชีพ (r = .363, p = .002) ก็แสดงความสัมพันธ์ในระดับปานกลางเช่นกัน ในขณะที่ความรู้ด้านสุขภาพ (r = .613, p = .000) มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงที่สุด นอจากนี้ผลการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุระบุว่าตัวแปรความเชื่อด้านสุขภาพและปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจทุกตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่า R-Square เท่ากับ 0.567 และ Adjusted R-Square เท่ากับ 0.547 บ่งชี้ว่าตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการบริโภคอาหารได้ 54.7%</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อด้านสุขภาพ การพัฒนาความรู้ด้านสุขภาพ และการสนับสนุนจากปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์ตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในมิติสุขภาพของแม่และทารกในระยะยาว</p>
ศริณธร มังคะมณี, ขวัญใจ เพทายประกายเพชร
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RHQJ/article/view/273190
Sat, 22 Mar 2025 00:00:00 +0700