https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/issue/feed วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี 2024-06-13T14:47:04+07:00 ดร.เนติยา แจ่มทิม netiya@snc.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี (The Journal of Boromarajonani College of Nursing, Suphanburi) มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบงานวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ และการศึกษาด้านพยาบาลและสุขภาพ และสนับสนุนให้บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาผลงานวิจัยที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเป็นฐานข้อมูลที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269721 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาลโดยบูรณาการแนวคิด “ทีแพค โมเดล (TPACK Model)” กับ “สบช.โมเดล (PBRI Model)” ในการปฏิบัติการพยาบาลสำหรับ ผู้รับบริการในระดับปฐมภูมิ 2024-06-13T14:47:04+07:00 สุภาภรณ์ วรอรุณ netiya@snc.ac.th เนติยา แจ่มทิม netiya@snc.ac.th จิรพรรณ โพธิ์ทอง netiya@snc.ac.th จินตนา เพชรมณี netiya@snc.ac.th อุมากร ใจยั่งยืน netiya@snc.ac.th ปุรินทร์ ศรีศศลักษณ์ netiya@snc.ac.th สาวิตรี ศิริผลวุฒิชัย netiya@snc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ให้ทราบถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยี มาใช้ในการปรับเปลี่ยนการจัด&nbsp; การเรียนการสอนในรายวิชาทางการพยาบาลให้ทันสมัยทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์ โดยใช้&nbsp;&nbsp; ทีแพค โมเดล 2) แนวทางการบูรณาการเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาลในรายวิชาทางการพยาบาล 3) การบูรณาการศาสตร์แนวทางการดูแลสุขภาพในระดับปฐมภูมิ โดยใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง โดยใช้ สบช.โมเดล</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาล เป็นสาระสำคัญที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ หรือการนำเทคโนโลยี และศาสตร์สาขาต่างๆ มาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอนและการปรับวิธีการเรียนการสอนให้สอดคล้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กับปัจจุบัน แต่สอดคล้องเป็นไปตามหลักสูตรการเรียนการสอนที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สอนและผู้เรียนได้มีความรู้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; และเท่าทันต่อการจัดการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย และสามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ในรายวิชาที่นำมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ ทีแพค เป็นรายวิชา ปฏิบัติการพยาบาลอนามัยชุมชน 2 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ทำการจัดการเรียนการสอนในนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269543 ผลของ “นวัตกรรมลูกตีนเป็ด” ต่อการป้องกันออฟฟิศซินโดรมในนักศึกษาพยาบาล 2024-06-03T12:10:32+07:00 เปรมกมล เชื้อม่วง kamonpun@pckpb.ac.th ณัฐกมล เกิดทรัพย์ kamonpun@pckpb.ac.th นรินี หีบแก้ว kamonpun@pckpb.ac.th นัฐฐญา แก้วเสียง kamonpun@pckpb.ac.th ปรีณ์นุช ฟีสันเทียะ kamonpun@pckpb.ac.th พนิตสุภา เป็นศิริ kamonpun@pckpb.ac.th วาสิตา แสงทอง kamonpun@pckpb.ac.th อินทุอร บุญอาษา kamonpun@pckpb.ac.th กมลพรรณ วัฒนากร kamonpun@pckpb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกไม่สุขสบายกายจากออฟฟิศซินโดรมก่อนและหลังใช้นวัตกรรมลูกตีนเป็ด รวมทั้งศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายดำเนินการทดลองใช้นวัตกรรมในการออกกำลังกาย 2 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้ แบบสอบถามความรู้สึกไม่สุขสบายกาย และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม ซึ่งมีสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.97 และ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบด้วยสถิติ Wilcoxon Sign Rank Test</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของความไม่สุขสบายกายจากออฟฟิศซินโดรมหลังใช้นวัตกรรม (M=1.36, <em>SD</em>=0.44) ต่ำกว่าก่อนใช้นวัตกรรม (M=2.57, <em>SD</em>=1.40) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และกลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.79,<em> SD</em>=0.40) ดังนั้น นวัตกรรมที่ใช้ในการออกกำลังกายนี้สามารถนำไปใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในกลุ่มนักศึกษาและบุคคลทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269547 การพัฒนาโจทย์สถานการณ์เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ด้วยผู้ป่วยมาตรฐานเกี่ยวกับการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสารเพื่อการบำบัด 2024-06-03T14:14:43+07:00 สุนทรี ขะชาตย์ soontaree@snc.ac.th สุพัตรา จันทร์สุวรรณ soontaree@snc.ac.th ปวิดา โพธิ์ทอง soontaree@snc.ac.th เสาวลักษณ์ ศรีโพธิ์ soontaree@snc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของโจทย์สถานการณ์เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองด้วยผู้ป่วยมาตรฐานเกี่ยวกับการสร้างสัมพันธภาพ และการสื่อสารเพื่อการบำบัด โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้ 1) การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการโจทย์สถานการณ์ในกลุ่มประชากร ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี จำนวน 116 คน 2) การพัฒนาโจทย์สถานการณ์โดยอาจารย์ประจำภาควิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) การทดลองใช้ และ 4) การประเมินประสิทธิผลของโจทย์สถานการณ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 3 ที่ลงทะเบียนในรายวิชาปฏิบัติสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช จำนวน 92 คน ได้จากการอ่านตาราง Krejcie &amp; Morgan เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยโดยผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาโจทย์สถานการณ์ แบบสัมภาษณ์ แบบวัดทักษะปฏิบัติการสร้างสัมพันธภาพ และการสื่อสารเพื่อการบำบัด และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน ที่ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน หาความตรงเชิงเนื้อหาโดย ใช้ดัชนีความสอดคล้องมีค่าเท่ากับ 1.00 และหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้ Cronbach’s Alpha Coefficient มีค่า อยู่ระหว่าง 0.88-0.92 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงความถี่&nbsp; &nbsp;&nbsp;ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนประเมินต่างๆ และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก นำมาจำแนกวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาโจทย์สถานการณ์ มีประเด็นสำคัญครอบคลุม 5 องค์ประกอบ ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) การกำหนดวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง (2) ความหลากหลายแต่ละระยะ (3) สถานการณ์พบได้บ่อยใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สถานการณ์จริง (4) เทคนิคการสื่อสารใช้แตกต่างกัน และ (5) ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นครบถ้วน โดยมีโจทย์สถานการณ์ จำนวน 5 Scenarios และ 2) การประเมินประสิทธิผล พบว่า หลังจากการใช้โจทย์สถานการณ์ในการจัดการเรียนรู้ ผลคะแนนเฉลี่ยของทักษะการสร้างสัมพันธภาพ และสื่อสารเพื่อการบำบัดของนักศึกษาพยาบาลผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 80 ผลคะแนนเฉลี่ยของความพึงพอใจ อยู่ในระดับดีมาก (M=4.64, <em>SD</em>=0.55) สรุปได้ว่า โจทย์สถานการณ์ดังกล่าว ส่งเสริมให้นักศึกษาบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้และพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269584 ผลของแอลธีอะนีนต่อการลดความวิตกกังวล ในผู้ป่วยที่มีภาวะความสามารถของสมองบกพร่องเล็กน้อยที่จังหวัดสุพรรณบุรี 2024-06-04T22:54:18+07:00 นิภาพรรณ แสงมณี wichian.sit@mfu.ac.th ภัครวรรธน์ สิทธิประภาพร wichian.sit@mfu.ac.th ณัฏฐพล เพ็งสุวรรณเกษม wichian.sit@mfu.ac.th วรงค์พร รัตนบุญ wichian.sit@mfu.ac.th อารยา สาริกะภูติ wichian.sit@mfu.ac.th กานต์ วงศ์ศุภสวัสดิ์ wichian.sit@mfu.ac.th ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย wichian.sit@mfu.ac.th วงเดือน ปั้นดี wichian.sit@mfu.ac.th Azizuddin Khan wichian.sit@mfu.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่ม มีกลุ่มควบคุม และปกปิดข้อมูลสองทาง วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของแอลธีอะนีนในการลดความวิตกกังวล ความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจในผู้ป่วยที่มีภาวะความสามารถของสมองบกพร่องเล็กน้อย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะความสามารถของสมองบกพร่องเล็กน้อยและมีภาวะวิตกกังวล จำนวน 20 ราย แบ่งอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มที่ได้รับแอลธีอะนีน 200 มิลลิกรัม และกลุ่มที่ได้รับยาหลอกกลุ่มละ 10 ราย โดยรับประทานเพียงครั้งเดียว จากนั้นทำการเก็บข้อมูลประเมินค่าความวิตกกังวลโดยใช้แบบวัดความวิตกกังวลขณะเผชิญ (Stress-Trait Anxiety Inventory) วัดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อนและหลังทำการทดลอง 60 นาที วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ paired t-test วิเคราะห์ผลก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่มเดียวกัน ส่วนการวิเคราะห์ผลต่างก่อนและหลังการทดลองใช้สถิติ Mann-Whitney U test</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลขณะเผชิญภายหลังการทดลองของกลุ่มที่ได้รับแอลธีอะนีน&nbsp; มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>=0.023) ค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวในกลุ่มที่ได้รับแอลธีอะนีนมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>=0.021) เมื่อเปรียบเทียบความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวและอัตราการเต้นของหัวใจพบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากงานวิจัยสามารถสรุปได้ว่าแอลธีอะนีนสามารถใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการลดระดับความวิตกกังวลในคนไข้ที่มีภาวะความสามารถของสมองบกพร่องเล็กน้อยได้</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269589 ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการคัดกรอง โรคเบาหวานในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเสาหิน ตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 2024-06-05T10:23:13+07:00 สุชาดา สวนนุ่ม vipaporn@bcnb.ac.th วิภาพร สิทธิสาตร์ vipaporn@bcnb.ac.th ธิติรัตน์ ราศิริ vipaporn@bcnb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนความรู้และการปฏิบัติในการคัดกรองโรคเบาหวานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน โดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มที่ยังไม่ผ่านการอบรมและทำงานไม่เกิน 5 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเป็นโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการคัดกรองโรคเบาหวาน เครื่องมือเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามความรู้และการปฏิบัติการคัดกรองโรคเบาหวาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังใช้โปรแกรม ด้วยสถิติ paired t-test</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพ อสม.ในการคัดกรองเบาหวาน อสม.มีคะแนนความรู้และคะแนนการปฏิบัติการคัดกรองโรคเบาหวานสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>&lt;.001 &nbsp;ดังนั้น การใช้โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการคัดกรองโรคเบาหวาน สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ อสม.มีความรู้ มีความพร้อมในการปฏิบัติการคัดกรองโรคเบาหวาน ตลอดจนสามารถให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องให้กับประชาชน เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน อันเป็นการเพิ่มศักยภาพของชุมชนดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของชุมชน</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269593 ปัจจัยด้านคุณภาพชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุในพื้นที่เทศบาลนครพิษณุโลก 2024-06-05T13:00:47+07:00 สุรีรัตน์ ณ วิเชียร Piyapong@bcnb.ac.th ปิยพงศ์ สอนลบ Piyapong@bcnb.ac.th เบญญาภา พรมพุก Piyapong@bcnb.ac.th นันทา พิริยะกุลกิจ Piyapong@bcnb.ac.th สายชล จันทร์วิจิตร Piyapong@bcnb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ภาวะซึมเศร้าเป็นปัญหาที่พบบ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ (descriptive correlation research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ความชุกของผู้สูงอายุที่มีภาวะโรคซึมเศร้า และศึกษาความสัมพันธ์ของคุณภาพชีวิตกับภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุในพื้นที่เทศบาลนครพิษณุโลก โดยการคัดเลือกแบบสุ่มตัวอย่างจำนวน 360 คน อายุ 60-104 ปี เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ และแบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depression Scale: TGDS) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และหาค่าความสัมพันธ์ของระดับคุณภาพชีวิต และระดับภาวะซึมเศร้า โดยใช้สถิติ สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's Correlation)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตโดยรวม (M=97.36, <em>SD</em>=14.75) อยู่ในคุณภาพชีวิตดี ร้อยละ 58.61 คุณภาพชีวิตปานกลาง ร้อยละ 41.11 และคุณภาพชีวิตไม่ดี ร้อยละ 0.28 เมื่อจำแนกประเภทคุณภาพชีวิตตามองค์ประกอบด้านกาย มีคุณภาพชีวิตปานกลาง (M=26.63, <em>SD</em>=4.28) ด้านจิตใจคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับดี (M=23.48, <em>SD</em>=3.94) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสัมพันธภาพทางสังคม (M=10.44, <em>SD</em>=2.01) และด้านสิ่งแวดล้อม (M=29.52, <em>SD</em>=4.99) มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปานกลาง ผู้สูงอายุ ร้อยละ 93.61 ไม่มีภาวะซึมเศร้า มีความเศร้าเล็กน้อย ร้อยละ 6.39 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตและภาวะซึมเศร้า พบว่า คุณภาพชีวิตโดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงลบกับภาวะซึมเศร้า (r=-.535) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อวิเคราะห์ภาวะซึมเศร้ากับคุณภาพชีวิตรายด้านองค์ประกอบ พบว่า ด้านกาย &nbsp;(r=-.534) ด้านจิตใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;(r=-.555) ด้านสัมพันธภาพทางสังคม (r=-.348) ด้านสิ่งแวดล้อม (r=-.442) มีความสัมพันธ์กันในเชิงลบกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยสามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและลดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269601 การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดีย เรื่อง หลักการดูแลทารกแรกเกิดขั้นพื้นฐาน 7 ประการ สำหรับนักศึกษาพยาบาล 2024-06-05T15:05:51+07:00 ชลลดา ติยะวิสุทธิ์ศรี sawitree@bcnb.ac.th สาวิตรี ลิ้มกมลทิพย์ sawitree@bcnb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยเชิงพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดีย เรื่อง หลักการดูแลทารกแรกเกิดขั้นพื้นฐาน 7 ประการ สำหรับนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช&nbsp; ปีการศึกษา 2564 จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย&nbsp; 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียเรื่องหลักการดูแลทารกแรกเกิดขั้นพื้นฐาน 7 ประการ สำหรับนักศึกษาพยาบาล&nbsp; 2) แบบทดสอบก่อนเรียน ขณะเรียน และหลังเรียน ทั้ง 3 แบบประเมินได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา ระหว่าง 0.80-1.00 และได้ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร คูเดอร์-ริชาร์ดสัน KR-20 เท่ากับ 0.71, 0.73, 071 ตามลำดับ 3) แบบประเมินความ&nbsp; พึงพอใจ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าได้เท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนาและ paired t-test</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดีย เรื่อง หลักการดูแลทารกแรกเกิดขั้นพื้นฐาน 7 ประการ สำหรับนักศึกษาพยาบาล มีประสิทธิภาพ 99.22/85.52 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้หลังเรียน (M=29.93 ,<em> SD</em>=3.48) สูงกว่าคะแนนความรู้เฉลี่ยก่อนเรียน (M=16.90, <em>SD</em>=3.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดียในระดับมากที่สุด (M=4.66, <em>SD</em>=0.41)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ข้อเสนอแนะ ควรนำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดีย เรื่องหลักการดูแลทารกแรกเกิดขั้นพื้นฐาน 7 ประการ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาพยาบาล ในรายวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269602 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 3-4 ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี 2024-06-05T15:44:07+07:00 เพียงดาว จุลบาท nongnaphat.ru@pi.ac.th นงณภัทร รุ่งเนย nongnaphat.ru@pi.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยเชิงทำนายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-4 ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย คือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-4 ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 114 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง 3) แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเองและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ .78และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเพิ่มตัวแปรเป็นลำดับขั้น</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ระดับการศึกษา อายุ ความรู้เกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตน การสนับสนุนของครอบครัว &nbsp;&nbsp;&nbsp;และการรับรู้ความสามารถตนเอง สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-4 ได้ร้อยละ 67.6 (R<sup>2</sup>=.676, <em>p</em>&lt;0.05) ตัวแปรที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตน (Beta=0.541, <em>p</em>&lt;0.05)&nbsp; รองลงมา คือ การสนับสนุนของครอบครัว (Beta=0.266, <em>p</em>&lt;0.05) และระดับการศึกษา (Beta=0.232, <em>p</em>&lt;0.05) ตามลำดับ บุคลากรทีมสุขภาพในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิและโรงพยาบาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ควรพัฒนาระบบบริการสุขภาพโดยส่งเสริมให้ครอบครัวมีส่วนร่วม และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269611 ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ของพยาบาลวิชาชีพงานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีประจันต์ 2024-06-05T21:30:04+07:00 จุฬาพร ขำดี chulapornkhamdee@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) &nbsp;มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ&nbsp; และการปฏิบัติป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพของพยาบาลวิชาชีพงานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีประจันต์ กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพงานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีประจันต์ จำนวน 30 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ เก็บข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และsimple regression</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ อยู่ในระดับสูงร้อยละ 80.0 มีทัศนคติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ93.3 และมีการปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพอยู่ในระดับสูง ร้อยละ100.0 อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์รายข้อพบว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรู้ที่ได้น้อยกว่าร้อยละ50 ได้แก่ เรื่องการสวมถุงมือ เมื่อสัมผัสผิวหนังผู้ป่วยทั่วไป เรื่องวิธีการทำความสะอาดเมื่อเลือดเปื้อนพื้น เรื่องการสวมถุงมือ เมื่อดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา และเรื่องการสวมเอี๊ยมป้องกันเมื่อต้องเช็ดตัวผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ในระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.398, <em>p</em>&lt;.05) ส่วนความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ข้อเสนอแนะจากการวิจัยครั้งนี้ ควรส่งเสริมความรู้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพที่ถูกต้องให้กับพยาบาลวิชาชีพ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพได้อย่างถูกต้อง</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269714 การใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติการพยาบาลทางไกลในการดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง กับการกลับเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล: การทบทวนอย่างเป็นระบบ 2024-06-13T13:17:09+07:00 อาคม โพธิ์สุวรรณ voraroon.s@snc.ac.th สุภาภรณ์ วรอรุณ voraroon.s@snc.ac.th อุมากร ใจยั่งยืน voraroon.s@snc.ac.th สุพรรณี เปี้ยวนาลาว voraroon.s@snc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เทคโนโลยีการพยาบาลทางไกล เป็นการปฏิบัติการที่พยาบาลสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ให้บริการที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ที่ต้องไปโรงพยาบาลเป็นประจำต่อเนื่องการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อการให้บริการภายใต้ขอบเขตของพยาบาลวิชาชีพ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ จากรายงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปฏิบัติการพยาบาลทางไกลในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังกับการกลับเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยการสืบค้นงานวิจัย ตั้งแต่ เมษายน พ.ศ.2556 ถึง เมษายน พ.ศ.2567 จากฐานข้อมูล 5 ฐานได้แก่ PubMed, Science Direct, Ebsco, CINHAL, และเครื่องมือค้นหาจาก Google Scholar ผลการศึกษาพบว่า มีบทความวิจัยที่เข้าข่ายการศึกษารวมทั้งหมด 192 เรื่อง คัดเลือกงานวิจัยจำนวน 136 เรื่อง เป็นบทความภาษาอังกฤษทั้งหมด คัดเลือกงานวิจัยในรูปแบบกึ่งทดลองที่มีการนำเทคโนโลยีการพยาบาลทางไกลมาใช้จริงเพื่อการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่ทำให้ต้องมีการรักษาต่อเนื่องระหว่างโรงพยาบาลและบ้าน พบงานวิจัยทั้งหมด จำนวน 4 เรื่อง ได้สรุปประเด็นข้อค้นพบที่ผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือและความเป็นไปได้ โดยผลการศึกษาพบว่า แนวทางการลดความเสี่ยงการดูแลผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังกับการกลับเข้ามารับการรักษาซ้ำในโรงพยาบาล พยาบาลซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางสุขภาพ จำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจในบริบทของผู้ป่วย ประเมินข้อจำกัด การประเมินความสามารถของผู้ใช้ในด้านผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อการวางแผนร่วมกันเน้นความต่อเนื่องร่วมกัน ตั้งแต่ผู้ป่วยจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล การติดตามกำกับทางไกลใช้รูปแบบการติดตามแบบต่อเนื่องร่วมกัน ในส่วนของการประเมินผลลัพธ์ สามารถประเมินผลลัพธ์ตั้งแต่ ความต่อเนื่องความสม่ำเสมอในการรับประทานยาของผู้สูงอายุ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน และภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/269717 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ในรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช สําหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ 2024-06-13T13:46:36+07:00 ธิดารัตน์ คณึงเพียร thidarat@bcnsurin.ac.th ธิดา มุลาลินท์ thidarat@bcnsurin.ac.th อารยา จิรมนัสวงศ์ thidarat@bcnsurin.ac.th วิลาวัณย์ กล้าแรง thidarat@bcnsurin.ac.th รุจิสรร สุระถาวร thidarat@bcnsurin.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ โดยการคัดเลือกแบบเจาะจงในชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ในปีการศึกษา 2565 ที่มีความยินดีเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 104 คน คิดเป็นร้อยละ 100 เครื่องมือการวิจัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;แบ่งออกเป็น 2 ส่วน 1) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ 2) แบบสอบถาม ได้แก่ 1) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาลจิตเวช และ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามวิจัย ได้ค่า 0.80, 0.96 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที paired t- test</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานฯ ตามแนวคิดของคาเมนท์ (carmen, 2005) ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. บรรยายแบบมีส่วนร่วมและการเรียนรู้จากสื่อออนไลน์โดยผู้เรียนและผู้สอนอยู่ร่วมกันในเวลาเดียวกัน ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบออนไลน์ ร้อยละ 40 บรรยายในห้องเรียน ร้อยละ 60 2. บทเรียนบน google classroom 3. การวิเคราะห์กรณีศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการพยาบาลโดยใช้หลักฐายเชิงประจักษ์ 4. ทำแบบทดสอบย่อย การสอบกลางภาคและปลายภาค ศึกษาค้นคว้าในฐานข้อมูลออนไลน์ และพบว่า 1) นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้สมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาลจิตเวช หลังการใช้โปรแกรมสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลอง &nbsp;อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2) นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนนักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 ขึ้นไป เป็นจำนวนสูงสุดคือ การสอบปลายภาค (ร้อยละ 91.35; 95 คน) รองลงมาคือ การสอบกลางภาค (ร้อยละ 76.08 ;79 คน) ตามลำดับ &nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุปได้ว่า การใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานสามารถส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาลจิตเวชและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนั้นควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานไปใช้ในการเตรียมความพร้อมการปฏิบัติการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช</p> 2024-06-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024