วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC
<p>วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี (The Journal of Boromarajonani College of Nursing, Suphanburi) มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบงานวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาการพยาบาล การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์สุขภาพ และการศึกษาด้านพยาบาลและสุขภาพ และสนับสนุนให้บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาผลงานวิจัยที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเป็นฐานข้อมูลที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป</p>
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
th-TH
วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี
1905-1859
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี และคณาจารย์ท่านอื่นๆในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุ ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/277419
<p> โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประชากรทั่วโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 70 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 35 คน กลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและกลุ่มทดลองที่ใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แบบประเมินการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลของโปรแกรมด้วยสถิติ Wilcoxon-signed rank test และ Mann Whitney U test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าภายหลังการทดลอง 1) ความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em> < .05 2) กลุ่มทดลองมีความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em> < .05 ผลการศึกษาสรุปว่าโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงดีขึ้น ดังนั้น บุคลากรทางสุขภาพสามารถนำโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ในการส่งเสริมความรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงต่อไป</p>
สุพิมพ์ มหนิธิวงศ์
สุรีรัตน์ ณ วิเชียร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
5
16
-
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้การดูแลตนเองและทารกในมารดาหลังคลอด โรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/277421
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้การดูแลตนเองและทารกในมารดาหลังคลอด ที่มารับบริการ ณ หอผู้ป่วยสูติ–นรีเวชกรรม โรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) โปรแกรมการให้ความรู้การดูแลตนเองและทารกหลังคลอด มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ .93 และ (2) แบบสอบถาม 3 ชุด ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ (KR-20 = 0.82) และแบบประเมินการปฏิบัติตัว (Cronbach’s α = 0.86) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาและ Paired Samples t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ก่อนใช้โปรแกรมฯ มารดาหลังคลอดมีคะแนนเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (M = 11.20, <em>SD</em> = 2.19) หลังใช้โปรแกรมฯ มีคะแนนเฉลี่ยความรู้การดูแลตนเองและทารกเพิ่มขึ้น และอยู่ในระดับสูง (M = 13.77, <em>SD </em>= 1.76) ส่วนการปฏิบัติตัว ก่อนใช้โปรแกรมฯ มารดาหลังคลอดมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลตนเองและทารกอยู่ในระดับสูง (M = 82.60, <em>SD</em> = 5.99) หลังใช้โปรแกรมการฯ มีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลตนเองและทารกเพิ่มขึ้น และอย่ในระดับสูง (M = 88.40, <em>SD</em> = 6.73) ทั้งความรู้และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลตนเองและทารกมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>< .001)</p> <p> ข้อเสนอแนะ นเชิงนโยบาย ควรส่งเสริมให้โปรแกรมการให้ความรู้การดูแลตนเองและทารกหลังคลอดถูกรวมเป็นมาตรฐานการดูแลในโรงพยาบาลชุมชน โดยมีการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งสนับสนุนการจัดโรงเรียนพ่อแม่หลังคลอดที่เชื่อมโยงกับบริการฝากครรภ์ เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการดูแลสุขภาพมารดาและทารก ขณะที่ในเชิงปฏิบัติการ พยาบาลควรใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย เช่น การบรรยาย การสาธิต และการใช้สื่อดิจิทัล โดยเลือกช่วงเวลาที่มารดามีความพร้อมเรียนรู้ พร้อมทั้งควรมีการติดตามต่อเนื่องหลังจำหน่าย เช่น ผ่านการเยี่ยมบ้านหรือการใช้สื่อออนไลน์ เพื่อเสริมความมั่นใจในการดูแลตนเองและทารก และลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด</p>
ฉัตรติยา อิ่มสำราญ
กรรณิกา เพ็ชรักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
17
29
-
บทบาทของผู้นำนักศึกษาพยาบาลในการส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพ เพื่อป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้า: การศึกษาเชิงคุณภาพ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/277424
<p> บุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพเยาวชนไทย จากสถิติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ยังขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพและการรู้เท่าทันสื่อ งานวิจัยก่อนหน้าชี้ว่าโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพสามารถเสริมสร้างทักษะและลดพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพได้ แต่ยังขาดข้อมูลเชิงลึกที่สะท้อนถึงบทบาทและประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลในฐานะผู้นำสุขภาพหลังผ่านการอบรม การวิจัยเชิงคุณภาพนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามุมมอง ความตั้งใจ บทบาท ประสบการณ์ รวมทั้งกลยุทธ์การสื่อสารที่นักศึกษาพยาบาลแกนนำใช้ขยายผลความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า เก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มจากนักศึกษาพยาบาลที่ผ่านการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 18 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงธีม (Thematic Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบ 7 ธีมหลักที่สะท้อนวัตถุประสงค์การศึกษา ได้แก่ (1) ความตั้งใจแน่วแน่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า (2) การขยายผลความรอบรู้สุขภาพแก่ชุมชนและครอบครัว (3) กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย (4) ผลกระทบของโปรแกรมต่อพฤติกรรมและทัศนคติ (5) บทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (6) กลยุทธ์ในการสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนมีส่วนร่วม และ (7) การวางแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างสังคมปลอดบุหรี่ไฟฟ้าระยะยาว ผลวิจัยนี้ชี้ชัดว่านักศึกษาพยาบาลมีศักยภาพสำคัญในการขยายผลความรอบรู้ด้านสุขภาพและส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในเยาวชน จึงควรสนับสนุนและส่งเสริมบทบาทดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง</p>
กัญญพัชร พงษ์ช้างอยู่
สุภา วิตตาภรณ์
สุรางค์รัตน์ พ้องพาน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
30
43
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและ การป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นโดยประยุกต์ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/277426
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นโดยประยุกต์ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุระหว่าง 13-16 ปี จำนวน 75 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง จำนวน 39 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 36 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นโดยประยุกต์ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (ECHO Anti-Bullying Program) จำนวน 4 ครั้ง ๆ ละ 50 นาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ และกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น ทั้งนี้ เก็บรวมรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) สถิติค่าทีแบบจับคู่ (Paired t-tests) และสถิติค่าทีแบบอิสระ (Independent t-tests)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อพฤติกรรม (M=4.38, <em>SD</em>=0.30, t=6.09) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (M=4.41, <em>SD</em>=0.29, t=7.25) การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม (M=4.32, <em>SD</em>=0.29, t=3.99) ความตั้งใจในการทำพฤติกรรม (M=4.49, <em>SD</em>=0.26, t=5.39) และพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น (M=4.40, <em>SD</em>=0.30, t=4.41) สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .05)</p> <p> สรุปได้ว่า โปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการถูกกลั่นแกล้งรังแกและการป้องกันการ กลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นที่มุ่งเน้นจัดการกับปัจจัยเชิงสาเหตุภายในตัวบุคคล มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตามองค์ประกอบของทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี</p>
อภิรักษ์ ตรียวง
ภูเบศร์ นภัทรพิทยาธร
นันท์นภัส เกตน์โกศัลย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
44
58
-
การพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อโฆษณา บุหรี่ไฟฟ้าทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278445
<p> การศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้เพิ่มทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วยการดำเนินงาน 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 พัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยการใช้แนวคิดการรู้เท่าทันสื่อ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สุขศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย Intervention Mapping (IM) และขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบคุณภาพของโปรแกรมผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และประเมินคุณภาพโดย ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ซึ่งได้จากการคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สุขศึกษา จำนวน 4 แผนกิจกรรม โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที บูรณาการเข้ากับรายวิชาสุขศึกษา รายวิชาพัฒนาผู้เรียน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทของสถานศึกษา มุ่งเน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่นักเรียนได้ปฏิบัติจริง และการมีส่วนร่วมของนักเรียน จากเนื้อหาการรู้เท่าทันสื่อโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยกลวิธีทางสุขศึกษาต่าง ๆ สำหรับการประเมินคุณภาพของโปรแกรมจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (M=4.64, SD=0.43)</p>
ชัยวัฒน์ นาแหลม
นันท์นภัส เกตน์โกศัลย์
ธริสรา จิรเสถียรพร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
59
74
-
การประเมินความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามวัยภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278447
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามวัยภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ใช้การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง 385 คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ ประกอบด้วยผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าศูนย์ ครูปฐมวัย และผู้ดูแลเด็ก เครื่องมือคือแบบสอบถามประเมินความต้องการ 5 ด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย บุคลากร และการมีส่วนร่วมของชุมชน ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (IOC = 0.67-1.00) และทดสอบความเชื่อมั่น (Cronbach's alpha = 0.94) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและดัชนี PNImodified<br> ผลการวิจัยพบความต้องการจำเป็นโดยรวมอยู่ในระดับสูง (PNImodified = 0.386) โดยด้านการบริหารจัดการมีความต้องการสูงสุด (0.434) ต้องพัฒนาการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การสร้างแรงจูงใจ และการจัดสรรทรัพยากร รองลงมาคือด้านบุคลากร (0.423) ต้องเน้นการพัฒนาสมรรถนะครู และด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน (0.388) ต้องสร้างความร่วมมือแบบหุ้นส่วน<br> การวิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น การยกระดับศักยภาพครู และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นความต้องการจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคโควิด-19 ประจำถิ่น และสนับสนุนพัฒนาการเด็กได้อย่างเหมาะสม</p>
อนุชา พรมกันยา
อมรรัตน์ ผาละศรี
ลนาไพร ขวาไทย
รัตนเพ็ญพร ศิริวัลลภ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
75
94
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278449
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ในรูปแบบการศึกษา 2 กลุ่ม วัดหลังการทดลอง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 56 ราย ที่เข้ารับการรักษา ณ หอผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ 4C และหอผู้ป่วยเพชรรัตน์ 16B คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มควบคุมจำนวน 28 ราย ได้รับการดูแลตามปกติ และกลุ่มทดลองจำนวน 28 ราย ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในด้านพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดย วาทินี สุขมาก และคณะ (2545) 2) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน พัฒนาตามแนวคิดทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา (Bandura, 1997) ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรม 3) คู่มือเรื่องโรคและการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพด้านการรับประทานอาหารและด้านการออกกำลังกายที่เหมาะสม 4) สื่อวิดิทัศน์เสนอตัวแบบสัญลักษณ์ เรื่อง พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เหมาะสม 5) สื่อวิดิทัศน์เสนอตัวแบบสัญลักษณ์ เรื่อง พฤติกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมของจิรพร แอชตัน (2551) 6) แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหารเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดยปชาณัฏฐ์ ตันติกุสุม (2553) ค่าความเชื่อมันของแบบสอบถาม 0.81 7) แบบสอบถามพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจของตาณิกา หลานวงค์ (2558) ค่าความเชื่อมันของแบบสอบถาม 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพรรณนา สถิติทดสอบแมน–วิทนียูย์ และสถิติทดสอบทีอิสระ<br> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองมีคะแนนพฤติกรรมด้านการรับประทานอาหาร (M = 59.00) และการออกกำลังกาย (M = 43.50) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (M = 37.00.xx; M = 21.00) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ และควรบูรณาการใช้โปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนร่วมกับคู่มือความรู้และการใช้ LINE Official Account เพื่อกระตุ้นและติดตามพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายในผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมถึงพิจารณาบรรจุในกระบวนการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังรักษา จัดอบรมบุคลากร และจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน</p>
นภาพรรณ ธงสันเทียะ
จิราภรณ์ เตชะอุดมเดช
ขนิษฐา รัตนกัลยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
95
111
-
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะด้วยแนวคิดสถาบันพระบรมราชชนก โมเดล (สบช โมเดล) สู่องค์กรแห่งความสุข : วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278518
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะด้วยแนวคิดสถาบันพระบรมราชชนก โมเดล (สบช.โมเดล) สู่องค์กรแห่งความสุข ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ ดำเนินการระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ วิเคราะห์ปัจจัยนำเข้าและบริบทขององค์กร เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากบุคลากร 120 คน และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตพฤติกรรมสุขภาพ ระยะที่สอง พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะ โดยบุคลากร 50 คน และทีมวิจัย 10 คน ร่วมกันกำหนดปัญหา วางแผน กำหนดกิจกรรม ติดตามและปรับปรุงกระบวนการ และระยะที่สาม ประเมินผลและยืนยันรูปแบบ โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา<br> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การขับเคลื่อนองค์กรโดยผู้นำ (2) การสร้างการมีส่วนร่วมของบุคลากร (3) ระบบการส่งเสริมสุขภาวะตามแนวคิด สบช.โมเดล (4) กิจกรรมเชิงนโยบายแบบบูรณาการ (5) การกำกับติดตามและสนับสนุนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ (6) เวทีเสวนาและการถอดบทเรียน ผลการดำเนินงานแสดงให้เห็นว่าบุคลากรมีสุขภาพกายและจิตที่ดีขึ้น จำนวนผู้มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงลดลง ความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.34, SD = 0.45) สุขภาพจิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีภาวะซึมเศร้า และบุคลากรมีความสุขในการทำงาน โดยผู้เกี่ยวข้องประเมินว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ (M = 3.67, SD = 0.45)<br> การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับ ควบคู่กับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับสุขภาวะทั้งรายบุคคลและระดับองค์กร นำไปสู่การพัฒนาองค์กรแห่งความสุขอย่างยั่งยืน และสามารถประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบในสถาบันการศึกษาอื่นได้ต่อไป</p>
สุทธิชารัตน์ เจริญพงศ์
อมาวสี อัมพันศิริรัตน์
รพีพรรณ วิบูลย์วัฒนกิจ
ชูศักดิ์ ยืนนาน
ณัฎฐชญาดา ราชวัง
นิตยา บุญลือ
ศรีจันทร์ ฟูใจ
ณิชชา ทิพย์วรรณ์
ทิวา มหาพรหม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
9 1
112
125
-
ปัจจัยทำนายความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลในผู้ป่วยกระดูกขาหักชนิดปิด ที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายในหอผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278520
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลในผู้ป่วยกระดูกขาหักชนิดปิดที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกภายใน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 54 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามอาการที่มีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย แบบสอบถามการรับรู้ต่อความเจ็บป่วย แบบสอบถามคุณภาพการสอนก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล และแบบสอบถามการรับรู้ความพร้อมต่อการออกจากโรงพยาบาล ตรวจคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.70, 0.85, 0.96 และ 0.96 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียลและวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบนำเข้า ผลการวิจัยพบว่า อาการที่มีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย มีความสัมพันธ์ทางลบกับความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (rpb = -.375) ส่วนการรับรู้ต่อความเจ็บป่วยและคุณภาพการสอนก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (r = .578, r = .653 ตามลำดับ) ปัจจัยอาการที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย การรับรู้ต่อความเจ็บป่วย และคุณภาพการสอนก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล สามารถร่วมกันทำนายความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติถึงร้อยละ 58.90 (Adjusted R2 = 0.589) ดังนั้นพยาบาลควรเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยโดยการให้ความรู้ด้วยการสอนเนื้อหาที่ตรงตามความต้องการของผู้ป่วยและเหมาะสมกับระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลที่ถูกจำกัดและสั้นลง พร้อมกับหากลยุทธ์ที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับรู้และให้ความหมายการเจ็บป่วยของตนเองในทางบวก</p>
พิชฌาย์วีร์ สินสวัสดิ์
สุรัตน์ แพงอุ่ม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
9 1
126
142
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมการบริโภคอาหารต้านโรคความดันโลหิตสูง (DASH Diet) ร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในวัยทำงาน จังหวัดนครนายก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278537
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมการบริโภคอาหารต้านโรคความดันโลหิตสูง (DASH Diet) ร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในวัยทำงาน จังหวัดนครนายก กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรวัยทำงาน อายุ 35-59 ปี ที่ได้รับการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง และมีระดับความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง คือ 130-139/80-89 มม.ปรอท (mmHg) จำนวน 74 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 37 คน ระยะเวลา 4 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ความคาดหวังในผลลัพธ์ของพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง พฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และแบบบันทึกระดับความดันโลหิต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าทีแบบจับคู่ (Paired sample t-test) และการทดสอบค่าทีแบบอิสระ (Independent t-test)<br> ผลการศึกษา พบว่า (1) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ มีคะแนนเฉลี่ยด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ด้านความคาดหวังในผลลัพธ์ของพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และด้านพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) (2) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ มีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตซิสโตลิก และค่าเฉลี่ยความดันโลหิตไดแอสโตลิก หลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)<br> ผลการวิจัยข้างต้น ควรนำโปรแกรมฯ มาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และลดระดับความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของอาหารที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองให้เหมาะสมกับบริบทและวิถีชีวิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่อาศัยในพื้นที่อื่น</p>
ศศิมา งามเอนกนันตกุล
นันท์นภัส เกตน์โกศัลย์
ณัฐกฤตา ศิริโสภณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-28
2025-10-28
9 1
143
158
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพผ่านแชทบอทร่วมกับการสนับสนุนจากสามีต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาล และระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวาน: การวิจัยกึ่งทดลอง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/SNC/article/view/278540
<p> การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพผ่านแชทบอทร่วมกับการสนับสนุนจากสามีต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวาน กลุ่มตัวอย่าง คือ หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวาน จำนวน 54 ราย ที่มารับบริการแผนกฝากครรภ์ในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเลือก แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 27 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพผ่านแชทบอท ร่วมกับการสนับสนุนจากสามี 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล (2) แบบวัดพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ3) เครื่องมือกำกับการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการสนับสนุนจากสามีที่หญิงตั้งครรภ์ได้รับขณะทำการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สถิติไคสแควร์ สถิติทีอิสระ และทดสอบสมมตฐานโดยใช้สถิติทีคู่ สถิติทีอิสระ สถิติแมคนีมาร์ และสถิติไคสแควร์<br> ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานที่ได้รับโปรแกรมฯ และสัดส่วนของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหลังได้รับโปรแกรมฯ สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานที่ได้รับโปรแกรมฯ และสัดส่วนของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมฯ สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพผ่านแชทบอทร่วมกับการสนับสนุนจากสามี ช่วยให้พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานดีขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ</p>
สุธิดา สุปันตี
วรางคณา ชัชเวช
วิไลพร สมานกสิกรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
9 1
159
176