https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/issue/feed วารสารทันตาภิบาล 2025-06-29T00:00:00+07:00 Dr. Werachat Yudthachawit tdn.journal@gmail.com Open Journal Systems <p>เป็นวารสารวิชาการทางด้านทันตสาธารณสุขจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านทันตสาธารณสุขและที่เกี่ยวข้องให้กับทันตบุคลากร โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข เพื่อเปิดโอกาสให้ทันตบุคลากร และผู้เกี่ยวข้องได้นำเสนอผลงานวิชาการ ซึ่งได้แก่ ผลงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความที่น่าสนใจอันเป็นวิชาการใหม่ๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทันตบุคลากรรวมถึงส่งผลต่อประชาชนผู้รับบริการ<br />วารสารจัดทำเป็นราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p>Online ISSN: 2697-665X<br />Print ISSN: 0857-880X</p> <p>บทความที่ตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน</p> <p>All submitted menuscripts must be reviewed by expert reviewers at least 3 reviewers.</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/273596 การฟื้นฟูสภาพช่องปากผู้ป่วยที่มีภาวะฟันขึ้นจำนวนน้อย 2025-05-19T14:53:20+07:00 จิติมนต์ วงศ์ตัน rbhdent@gmail.com <p>ภาวะฟันขึ้นจำนวนน้อย (Oligodontia) เป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะฟันหายแต่กำเนิด ที่มักพบในฟันถาวรมากกว่า ฟันน้ำนม ถูกนิยามว่าเป็นการขาดหน่อฟันโดยกำเนิด 6 ซี่ หรือมากกว่า ยกเว้นฟันกรามซี่ที่สาม ภาวะนี้ถือเป็น ความผิดปกติที่ค่อนข้างหายาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งเป็นภาวะแบบเฉพาะตัว หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการ</p> <p>บทความนี้ได้นำเสนอกรณีของผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่มีภาวะฟันขึ้นจำนวนน้อยแบบไม่เกี่ยวข้องกับ กลุ่มอาการ (Nonsyndromic oligodontia) ซึ่งมีการขาดหน่อฟันถาวรจำนวนมาก ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการใส่ฟันเทียมแบบถอดได้บางส่วนทับตัวฟัน (Removable overdenture) โดยการเพิ่มมิติแนวดิ่งเพื่อช่วยในการบดเคี้ยว ฟันเทียมไม่เพียงช่วยปรับปรุงการบดเคี้ยว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการและการเข้าสังคมของผู้ป่วยวัยรุ่น การใช้แบบประเมินผลกระทบทางจิตใจช่วยยืนยันถึงความสำคัญของฟันเทียมในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและ ความมั่นใจในตนเองของผู้ป่วยในช่วงวัยสำคัญนี้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/273068 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1-3 โรงเรียนโชคชัยสามัคคี อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา 2025-03-24T16:22:59+07:00 วรยา มณีลังกา woraya14@hotmail.com จอนสัน พิมพิสาร johnsonpimpisan@gmail.com บงกชกร สารชาติ bongkodchakorn21@gmail.com นันท์นภัส ศรีนอก nannapattppww@gmail.com รัชนีวรรณ ภูมิสะอาด Ratchaneewan@scphkk.ac.th ศุภาพิชญ์ แสงอรุณ Supapich@scphkk.ac.th พิชญา จารุรัชตพันธ์ Pitchaya@scphkk.ac.th ภัทราพร แสวงเจริญ pattraporn@scphkk.ac.th ทวินันท์ หาญประเสริฐ tawinan@scphkk.ac.th <p>This cross-sectional descriptive study aimed to 1) investigate Predisposing, Enabling, and Reinforcing factors among students; 2) examine the oral health care behaviors of students and 3) identify the relationships between these factors and oral health care behaviors among students in grades 7-9 at Chokchai Samakkee School, Chokchai District, Nakhon Ratchasima Province. A total of 271 students were selected using Stratified random sampling and Systematic random sampling methods. A questionnaire. A reliability coefficient ranging from 0.70 to 0.79. Analyze data using Chi-square statistics and Simple Logistic Regression.</p> <p>The results indicated that the majority of students were female (56.83%), with most being 13 years old (36.53%). Received 81-100 Baht for school expenses (52.77%) and lived with both parents (58.30%). Parental occupations were primarily in general labor (45.39%). Knowledge and attitudes toward oral health care were found to be at a high level, while access to dental services was at a moderate level. Access to oral hygiene products, support from family, social networks, and information from health services were all rated highly. Overall, oral health care behaviors were also at a high level. Analysis revealed that factors such as personal information, knowledge and attitudes toward oral health care, and access to oral hygiene products showed no statistically significant relationship with oral health care behaviors (p-value &gt;0.05). In contrast, access to dental services, support from family, social networks, and information from health services demonstrated significant associations with oral health care behaviors at the 5% significance level (p-value &lt;0.05). Keywords: Predisposing factors, Enabling factors, Reinforcing factors, Oral health care behaviors, Students in grades 7-9</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/272472 ความสัมพันธ์ระหว่างความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมกับสภาวะการใส่ฟันเทียมของผู้สูงอายุในอำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น 2025-04-03T14:48:00+07:00 วีรพันธ์ ใจแก้ว weerapan.j@kkumail.com ธีรศักดิ์ พาจันทร์ teerasak@scphkk.ac.th <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมกับสภาวะการใส่ฟันเทียมของผู้สูงอายุในอำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น เก็บข้อมูลจากแบบบันทึกสภาวะช่องปากร่วมกับการตรวจสภาวะช่องปากผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในอำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น 306 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนาและสถิติ Simple logistic regression นำเสนอค่า Odds Ratio (OR) ตั้งแต่เมษายน - ตุลาคม 2566</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 9.8 ไม่มีฟันทั้งปาก ร้อยละ 30.1 มีฟัน 0-12 ซี่ ร้อยละ 48.3 มีฟันธรรมชาติน้อยกว่า 20 ซี่ และคู่สบฟันหลังเฉพาะฟันแท้น้อยกว่า 4 คู่สบ และมีฟันในช่องปากเฉลี่ย 17.0±9.4 ซี่ต่อคน ทั้งนี้จากผู้สูงอายุที่มีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งหมด 148 คน ได้ใส่ฟันเทียมเพียง 33 คน (ร้อยละ 22.3) และไม่ได้ใส่ฟันเทียมถึง 115 คน (ร้อยละ 77.7) และพบความสัมพันธ์ระหว่างความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมกับสภาวะการใส่ฟันเทียม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) โดยผู้สูงอายุที่มีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียม (ฟันธรรมชาติน้อยกว่า 20 ซี่ และคู่สบฟันหลังเฉพาะฟันแท้น้อยกว่า 4 คู่สบ) มีโอกาสได้ใส่ฟันเทียมเป็น 4.24 เท่าของผู้สูงอายุที่ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียม (OR=4.24, 95% CI=1.93-10.03, p&lt;0.001)</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/273371 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการดูแลสุขภาพช่องปาก กับสภาวะปริทันต์อักเสบของผู้สูงอายุ ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น 2025-04-03T14:58:50+07:00 ณัฐนันท์ วัฒนอเนก nattanan@scphkk.ac.th หยกภรณ์ ฆารสินธุ์ aeyok@hotmail.com พิชชารีย์ เสาวะรส 64202303036@scphkk.ac.th สุรัญชนา รุ่งเรือง 64202303053@scphkk.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยด้านพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการดูแล สุขภาพช่องปาก กับสภาวะปริทันต์อักเสบของผู้สูงอายุ ตำบล หนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 265 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณา (Descriptive research) ใช้หา ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติ ในการดูแลสุขภาพช่องปากกับสภาวะปริทันต์ อักเสบของผู้สูงอายุ โดยใช้ Chi-square test หรือ Fisher’s exact test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ระดับพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ ช่องปากของผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมอยู่ในระปานกลาง (ร้อยละ 83.0) ความรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปาก ส่วนใหญ่ มีความรู้อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.9) ทัศนคติในการดูแลสุขภาพ ช่องปาก ส่วนใหญ่มีทัศนคติอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 58.5) มีร่องลึกปริทันต์ 6 มิลลิเมตรขึ้นไป (ร้อยละ 46.8) และ มีร่องลึก ปริทันต์ 4-5 มิลลิเมตร (ร้อยละ 34.3) เป็นโรคปริทันต์อักเสบ (ร้อย ละ 81.1) ไม่เป็นโรคปริทันต์อักเสบ (ร้อยละ 18.9) จากการ วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ พบว่า พฤติกรรมมีความสัมพันธ์ กับสภาวะปริทันต์อักเสบอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI of OR: 0.65 ถึง 4.08; p-value = 0.29) ความรู้มีความสัมพันธ์กับ สภาวะปริทันต์อักเสบอย่างไม่มีนัย สำคัญทางสถิติ (p-value = 0.45) ทัศนคติมีความ สัมพันธ์กับสภาวะปริทันต์อักเสบ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.81)</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/274796 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2025-06-17T09:48:30+07:00 กิตติพัฒน์ หาสนาม 66202501001@scphkk.ac.th กฤชกันทร สุวรรณพันธุ์ kritkantorn@gmail.com วันเฉลิม รัตนวงษ์ 66202501001@scphkk.ac.th สุพัฒน์ อาสนะ su_assana@yahoo.com อรวรรณ นามมนตรี Orawann16@gmail.com เอกพล นิลเกตุ 63202501021@scphkk.ac.th <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 363 คน ที่ถูกเลือกโดยการสุ่มแบบเป็นระบบ ตอบแบบสอบถามแบบมีโครงสร้างที่ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และทดสอบค่าความเที่ยงของเครื่องมือ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของคอนบาช (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.84 ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการอธิบายสถานการณ์ความชุกของการสูญเสียฟันและสมการการถดถอยพหุโลจิสติกในการประเมินปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นำเสนอค่า Adjusted OR (ORadj) ที่ช่วงเชื่อมั่น 95%CI</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ความชุกของการสูญเสียฟันในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เท่ากับร้อยละ 77.13 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟัน ได้แก่ ปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคลด้านอาชีพเกษตรกร/รับจ้าง/ค้าขาย (ORadj = 5.07, 95% CI = 1.92 to 13.39) ปัจจัยระดับน้ำตาลในเลือด (ORadj = 4.46, 95% CI = 2.04 to 9.74) ปัจจัยการบริโภคเครื่องดื่มรสหวาน (ORadj = 4.00, 95% CI = 1.40 to 11.39) ปัจจัยการเข้าพบทันตบุคลากร (ORadj = 11.87, 95% CI = 5.94 to 23.74)</p> <p>ปัจจัยความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพช่องปาก (ORadj = 2.43, 95% CI = 1.16 to 5.08) และปัจจัยการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ (ORadj = 5.16, 95% CI = 2.08 to 12.79) สรุปได้ว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความชุกของการสูญเสียฟันในระดับสูง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันส่วนใหญ่เป็นปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ จึงควรมีการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมทันตสุขภาพเชิงบูรณาการสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/274802 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย 2025-06-13T14:33:17+07:00 เสรี เที่ยงธรรม 66202501018@scphkk.ac.th กฤชกันทร สุวรรณพันธุ์ kritkantorn@gmail.com วันเฉลิม รัตนวงษ์ 66202501018@scphkk.ac.th สุพัฒน์ อาสนะ su_assana@yahoo.com อรวรรณ นามมนตรี Orawann16@gmail.com เอกพล นิลเกตุ 63202501021@scphkk.ac.th <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติ สุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 - 28 กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 164 คน สุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามแบบมีโครงสร้างที่ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 4 ท่าน และทดสอบค่าความเที่ยงของเครื่องมือ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของคอนบาช เท่ากับ 0.92 ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป นำเสนอค่าแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติพหุถดถอยแบบ โลจิสติกในการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นำเสนอค่า Adjusted OR (ORadj) ค่าช่วงเชื่อมั่น 95% และค่า p-value กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ระดับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 51.22 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก ได้แก่ ปัจจัยระยะเวลาป่วยด้วยโรคเบาหวานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป (ORadj = 3.76, 95%CI = 1.82 to 7.77) และความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพช่องปากในระดับไม่ดีพอ (ORadj = 4.50, 95%CI = 2.90 to 9.65) สรุป ทันตบุคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพช่องปากให้ดีขึ้น เพื่อส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากที่ดี</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/273168 ประสิทธิผลโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุ โรคความดันโลหิตสูง จังหวัดมหาสารคาม 2025-03-24T16:30:04+07:00 ประทีป กาลเขว้า prateep@scphkk.ac.th โสรยา เฉลยจิต Soraya_mam@hotmail.com วรกมล หวังแลกลาง alyoilky1@gmail.com เบญญาภา กาลเขว้า benyapa@scphkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน พฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และระดับความดันโลหิต ของผู้สูงอายุโรคดันโลหิตสูงระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมในระยะก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม โดยประยุกต์ใช้แนวคิดความเชื่อด้านสุขภาพของเบคเกอร์ และการสร้างเสริมสุขภาพจิตตามแนวคิดของฮิลล์และสมิธ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 22 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 11 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับ การรักษาแบบปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน และพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคความดันโลหิต ตรวจสอบความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัค เท่ากับ 0.77 และ 0.76 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติ Paired t-test และ สถิติ Independent samples t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน และพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 9.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 5.88 ถึง 12.84, p &lt;0.001 และ ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 10.27, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 6.39 ถึง 14.16, p &lt;0.001 ตามลำดับ) และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 7.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 5.23 ถึง 9.50, p &lt;0.001 และ ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 13.46, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 10.14 ถึง 16.77, p &lt;0.001 ตามลำดับ) หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลอง มีระดับความดันโลหิตซิสโตลิกต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่าเฉลี่ย = 4.46, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -5.12 ถึง 14.43, p = 0.172 และ ค่าเฉลี่ย = 0.91, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -8.71 ถึง 10.53, p = 0.422 ตามลำดับ) นอกจากนั้น กลุ่มทดลองมีระดับความดันโลหิต ไดแอสโตลิกต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่าเฉลี่ย = 9.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -2.92 ถึง 3.47, p = 0.427 และ ค่าเฉลี่ย = 4.27, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -1.78 ถึง 10.33, p = 0.079 ตามลำดับ)</p> <p>สรุป ผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้และพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ค่าความดันโลหิตแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญ จึงควรมีการติดตามผลการใช้โปรแกรมฯ ในระยะยาวและใช้กลยุทธ์อื่นเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้ดีขึ้น</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/273065 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้หูฟังของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียน แห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-03-25T15:18:35+07:00 กนกรัตน์ จุมปาแฝด kunthida.king@gmail.com กุลธิดา กิ่งสวัสดิ์ kunthida.king@gmail.com ปริญญา จิตอร่าม dr.parinyaa@gmail.com ภัฐ ไทยตรง kunthida.king@gmail.com อาภาพร กฤษณพันธุ์ kunthida.king@gmail.com นพมาศ เครือสุวรรณ kunthida.king@gmail.com <p>สมรรถภาพการได้ยินซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางด้านภาษาและการสื่อสาร ในคนวัยรุ่น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้หูฟังในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 328 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) วิเคราะห์หาความสัมพันธ์หลายตัวแปร (Multivariate) ใช้สถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก (Multiple logistic regression)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง ร้อยละ 62.20 มีอายุเฉลี่ย 17.53 ปี (S.D. = 0.94 , Min = 15 , Max = 20) มีการใช้หูฟังเฉลี่ยครั้งละ 1 - 4 ชั่วโมง ร้อยละ 68.00 โดยใช้มากที่บ้าน โดยมีระดับเสียงอยู่ระหว่าง 50-60% ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้หูฟังเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน ได้แก่ เพศ (Adj.OR = 1.72, 95% CI: 1.49 - 5.82) ระดับการศึกษา (Adj.OR = 5.49, 95% CI: 4.12 - 11.26) การรับรู้ความรุนแรงจากการใช้หูฟัง (Adj.OR = 2.41, 95% CI: 2.05 - 13.56) การรับรู้ต่ออุปสรรคจากการใช้หูฟัง (Adj.OR = 7.61, 95% CI: 5.84 - 14.27) และสิ่งชักนำให้เกิดการใช้หูฟัง (Adj.OR = 6.14, 95% CI: 4.12 - 7.96) จากผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า โรงเรียนควรจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการใช้หูฟังที่ถูกวิธี ประโยชน์และโทษของการใช้หูฟัง รวมถึงการเพิ่มการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากเสียง โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กวัยเรียน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทันตาภิบาล