วารสารทันตาภิบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ <p>เป็นวารสารวิชาการทางด้านทันตสาธารณสุขจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านทันตสาธารณสุขและที่เกี่ยวข้องให้กับทันตบุคลากร โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข เพื่อเปิดโอกาสให้ทันตบุคลากร และผู้เกี่ยวข้องได้นำเสนอผลงานวิชาการ ซึ่งได้แก่ ผลงานวิจัย รายงานผู้ป่วย บทความที่น่าสนใจอันเป็นวิชาการใหม่ๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทันตบุคลากรรวมถึงส่งผลต่อประชาชนผู้รับบริการ<br />วารสารจัดทำเป็นราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p>Online ISSN: 2697-665X<br />Print ISSN: 0857-880X</p> <p>บทความที่ตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน</p> <p>All submitted menuscripts must be reviewed by expert reviewers at least 3 reviewers.</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารทันตาภิบาล</p> tdn.journal@gmail.com (Dr. Werachat Yudthachawit) rawin@scphkk.ac.th (Mr. Rawin Julsawat) Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แรงจูงใจและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261921 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือ ทันตบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 123 คน สุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อมากกว่า 0.50 และมีค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งหมด เท่ากับ 0.98 เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยการสัมภาษณ์ทันตบุคลากร จำนวน 12 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานโดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับแรงจูงใจ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรอยู่ในระดับมาก (=3.91, S.D.=0.40, =3.86, S.D.=0.48 และ =4.15, S.D.=0.48 ตามลำดับ) ภาพรวมแรงจูงใจและปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.773, r=0.716, p-value&lt;0.001 ตามลำดับ) ซึ่งพบว่าตัวแปรอิสระทั้ง 5 ตัวแปร ได้แก่ ปัจจัยจูงใจด้านความรับผิดชอบ ปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ ปัจจัยค้ำจุนด้านสถานภาพของวิชาชีพ ปัจจัยค้ำจุนด้านเงินเดือนและค่าตอบแทน และปัจจัยจูงใจด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน สามารถร่วมกันในการพยากรณ์และมีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ได้ร้อยละ 74.8 (R<sup>2</sup> =0.748, p-value &lt;0.001)</p> อธิตยา ชุมศรี, สุวิทย์ อุดมพาณิชย์, ประจักร บัวผัน Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261921 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อความสุขในการปฏิบัติงาน ของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261924 <p>การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรที่ศึกษา คือ ทันตบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 130 คน ซึ่งศึกษาจากประชากรทั้งหมด โดยไม่มีการสุ่มตัวอย่าง และใช้สถิติอ้างอิงเพื่อใช้อนุมานไปยังประชากรเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช 0.95 และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกทำการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูล จำนวน 12 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ถึง วันที่ 14 ธันวาคม 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จ การสนับสนุนจากองค์การ และความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.84, S.D.= 0.50), (x̄ = 3.83, S.D.= 0.53) และ (x̄ = 3.91, S.D.= 0.43) ตามลำดับ ภาพรวมปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r= 0.629, p-value &lt;0.001 และ r= 0.578, p-value &lt;0.001) ตามลำดับ และตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปร ได้แก่ การสนับสนุนจากองค์การด้านการบริหารจัดการ ปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านหน่วยงานสนับสนุนทุกระดับมีแผนงานสนับสนุน มีผลและสามารถร่วมกันในการพยากรณ์ความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 42.2 (R<sup>2</sup>= 0.422, p-value &lt;0.001)</p> บรรหาร เอ็มประโคน, มกราพันธุ์ จูฑะรสก, ประจักร บัวผัน Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261924 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 คุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 8 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261959 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 8 ประชากรที่ศึกษา คือ ทันตบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 229 คน สุ่มอย่างง่ายได้จำนวนตัวอย่าง 157 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 14 คน แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ถึง 14 มกราคม 2566 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานได้แก่สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและสถิติการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยมีการกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยทางการบริหาร และระดับการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.87 (S.D.=0.58) และ 4.09 (S.D.= 0.48) ตามลำดับ โดยพบว่า คุณลักษณะส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษามีความสัมพันธ์ระดับต่ำกับการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.183, p-value=0.022) และคุณลักษณะส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์ระดับต่ำเชิงผกผันกับการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร ได้แก่ อายุ รายได้ และระยะเวลาการปฏิบัติงาน (r=-0.205, p-value=0.010, r=-0.184, p-value=0.021 และ r=-0.160, p-value=0.045) ตามลำดับ และพบว่าภาพรวมปัจจัยทางการบริหารมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.625, p-value &lt;0.001) และตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ปัจจัยทางการบริหารด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลา และคุณลักษณะส่วนบุคคลด้านอายุ สามารถร่วมกันพยากรณ์และมีผลต่อการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 8 ได้ร้อยละ 47.9 (R2=0.479, p-value &lt;0.001)</p> นาถอนงค์ พิลาฤทธิ์, ประจักร บัวผัน Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261959 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ความสัมพันธ์กับสภาวะโรคฟันผุในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลชุมพลบุรี อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262988 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง<br />มีวัตถุประสงค์เพื่อหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคฟันผุและศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากในหญิงตั้งครรภ์โรงพยาบาลชุมพลบุรี อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์ ที่โรงพยาบาลชุมพลบุรี 138 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2566 ถึง 30 เมษายน 2566 โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการถดถอยแบบโลจิสติก (Multiple logistic regression) นำเสนอค่า Adjusted Odds ratio (Adjusted OR) พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95% (95% CI) และค่า p-value </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หญิงตั้งครรภ์มีฟันผุร้อยละ 58.7 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากภาพรวมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 51.4 อายุเฉลี่ย 26.58 ปี ระดับการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. ร้อยละ 39.9 ประกอบอาชีพเป็นแม่บ้าน/ไม่มีอาชีพ ร้อยละ 42.0 ตั้งครรภ์เป็นครั้งที่ 2 ร้อยละ 41.3 มีรายได้เฉลี่ย 6,681.54 บาท และตั้งครรภ์อยู่ไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 52.9 จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคฟันผุในหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่ ความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากและรายได้ของหญิงตั้งครรภ์ พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากในระดับต่ำมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคฟันผุ 3.77 เท่าเมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากในระดับสูง (Adjusted OR = 3.77; 95% CI: 1.78-7.99, p-value = 0.001) และพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีรายได้ &gt;11,000 บาท/เดือนเป็นปัจจัยป้องกันการเกิดโรคฟันผุได้ถึง 0.34 เท่าเมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่มีรายได้ ≤11,000 บาท/เดือน (Adjusted OR = 0.34; 95% CI: 0.13-0.91, p-value = 0.032)</p> อัญชลี ศรีสมบูรณ์, สุพจน์ คำสะอาด, ชนัญญา จิระพรกุล, สุวรรณา เอื้ออรรถการุณ, นพวรรณ หวังสุดดี Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262988 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 คุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262389 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์<br />เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ<br />ทันตบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 155 คน ซึ่งผู้วิจัยศึกษาจากประชากรทั้งหมด และใช้สถิติอ้างอิงเพื่อใช้อนุมานไปยังประชากรเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม เพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อมากกว่า 0.50 และวิเคราะห์ความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งชุดเท่ากับ 0.96 และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูล จำนวน 12 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มีนาคม - 31 มีนาคม 2566สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยทางการบริหาร และภาพรวมระดับความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรที่ปฏิบัติงานใน<br />โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น อยู่ในระดับมาก<br />มีค่าเฉลี่ย 3.90 (S.D.= 0.48) และ 3.87 (S.D.= 0.42) ตามลำดับ คุณลักษณะส่วนบุคคลด้านเพศ พบว่าทันตบุคลากร เพศชาย เพศหญิง มีความสุขในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />(p-value= 0.034) และปัจจัยทางการบริหารมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับ ความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r= 0.737, p-value &lt;0.001) ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจัยทางการบริหารด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และด้านงบประมาณ ซึ่งทั้ง 3 ตัวแปร มีผลและสามารถร่วมกันพยากรณ์ความสุขในการปฏิบัติงานของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล<br />จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 57.0 (R<sup>2</sup>= 0.570, p-value &lt;0.001)</p> ศศิธร วงษ์คาน, นพรัตน์ เสนาฮาด, นครินทร์ ประสิทธิ์, สุรชัย พิมหา Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262389 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะช่องปากของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนประถมศึกษาที่อยู่ในเขตตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262438 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาสภาวะช่องปากของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น และ 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปาก ทัศนคติในการดูแลสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และการแปรงฟันกับสภาวะช่องปากของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนรัฐบาลในเขตตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร จำนวน 91 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบสังเกตการแปรงฟัน และแบบตรวจสภาวะช่องปาก การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ด้านความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเท่ากับ 0.73-1.00 และการตรวจสอบด้านความเที่ยง (Reliability) มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค มากกว่า 0.7</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมี สภาวะโรคฟันผุ ถอน อุด จำนวน 532 ซี่ ร้อยละ 24.36 ของจำนวนซี่ฟันทั้งหมดที่ตรวจ ค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด เท่ากับ 5.85 ซี่/คน โดยเป็นฟันผุ 4.37 ซี่/คน, ฟันถอน 1.38 ซี่/คน และฟันอุด 0.09 ซี่/คน และมีหินน้ำลายรวมทั้งมีเลือดออกในฟันซี่เดียวกัน (Sextant) จำนวน 153 Sextant ร้อยละ 28.36 ค่าเฉลี่ยมีหินน้ำลายรวมทั้งมีเลือดออก 1.68 sextant/คน ข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า อายุไม่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคฟันผุ แต่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคเหงือกอักเสบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p = 0.03) และระดับการศึกษาปัจจุบัน ไม่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคฟันผุ แต่มีความสัมพันธ์กับสภาวะโรคเหงือกอักเสบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p=0.03) ส่วนข้อมูลส่วนบุคคลด้านอื่น ๆ ได้แก่ เพศ, สถานศึกษา, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, อาชีพผู้ปกครอง และจำนวนเงินที่ได้มาโรงเรียน รวมทั้งระดับความรู้, ระดับทัศนคติ, ระดับพฤติกรรมและระดับทักษะการแปรงฟัน พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับสภาวะช่องปาก</p> ทศพล แอนโก Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/262438 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาในผู้ปกครองต่อสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียน ในเขตอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261745 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาในผู้ปกครองต่อสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียน ในเขตอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 140 คน ได้แก่ เด็กก่อนวัยเรียนและผู้ปกครอง แบ่งเป็น กลุ่มทดลอง 70 คน ซึ่งได้รับโปรแกรมทันตสุขศึกษาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม และกลุ่มเปรียบเทียบ 70 คน ซึ่งได้รับคู่มือการดูแลส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียน ดำเนินการวิจัย 8 สัปดาห์ สุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม และแบบบันทึกสภาวะสุขภาพช่องปาก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลอง ผู้ปกครองในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) โดยผู้ปกครองในกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 2.08 คะแนน (95% CI: 1.69, 2.46) และ 0.47 คะแนน (95% CI: 0.40, 0.53) ตามลำดับ เด็กก่อนวัยเรียนในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยคะแนนความสะอาดของฟันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) โดยเด็กก่อนวัยเรียนในกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความสะอาดของฟันน้อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 0.61 คะแนน (95% CI: 0.48, 0.74) หมายความว่ามีความสะอาดของฟันมากขึ้นกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างภายในกลุ่มทดลอง พบว่า หลังการทดลอง ผู้ปกครองมีความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนสูงขึ้น และมีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนดีขึ้น ตลอดจนเด็กก่อนวัยเรียนมีปริมาณคราบจุลินทรีย์ลดลง และมีความสะอาดของฟันมากขึ้น</p> ณภัทรพงษ์ หงษีทอง Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/261745 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุ เขตอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/263685 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการสูญเสียฟัน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุในเขตอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 60-74 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลน้ำพองและเทศบาลลำน้ำพอง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 226 คน โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิและการสุ่มอย่างง่ายเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความเข้มแข็งในการมองโลก แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และแบบบันทึกสภาวะทันตสุขภาพค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความเข้มแข็งในการมองโลกและแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากมีค่าเท่ากับ 0.73 และ 0.72 ตามลำดับ วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องในการตรวจฟันด้วยสถิติแคปปามีค่าเท่ากับ 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันโดยใช้สถิติ<br />Chi-square test นำเสนอค่า Odds Ratio (OR) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบความชุกของการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุในเขตอำเภอน้ำพองอย่างน้อย 1 ซี่ เท่ากับ ร้อยละ 89.8 ผู้สูงอายุที่มีฟันใช้งานน้อยกว่า 20 ซี่ เท่ากับ ร้อยละ 48.23 และผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันทั้งปากเท่ากับร้อยละ 3.5 เมื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการ<br />สูญเสียฟันโดยพิจารณาการมีฟันในช่องปากน้อยกว่า 20 ซี่ พบว่า<br />อายุมีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (AOR=2.48 95%CI 1.35-4.54, p-value = 0.003)</p> อรวรรณ นามมนตรี, ธัญวรัตม์ เที่ยงธรรม, สุพิชญา ภิรมจิตร, เสาวลักษณ์ ชมพูทัศน์, ณัฐกฤตา ผลอ้อ Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/263685 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปากของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/265080 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปากของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 355 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.8 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 66.5 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 86.5 มีรายได้ระหว่าง 5,000 - 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 48.2 สิทธิการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ใช้สิทธิประกันสุขภาพทั่วหน้า ร้อยละ 47.9 ในระหว่าง 12 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไปรับบริการตรวจสุขภาพช่องปากประจำปี หรือไปรับบริการทันตกรรมตามนัด ร้อยละ 43.1 ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากที่ระดับพอใช้ ร้อยละ 64.5 ระดับพฤติกรรมสุขภาพช่องปากที่ระดับปานกลาง ร้อยละ 70.4 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก พบว่า ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพช่องปากและการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพช่องปากมีอิทธิพลบวกกับพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value&lt;0.001) มีความสามารถในการอธิบายพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก ร้อยละ 33.7</p> <p>จากการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปาก ในองค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพช่องปาก ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพช่องปากและด้านการจัดการตนเองเพื่อเสริมสร้างสุขภาพช่องปาก สามารถนำประเด็นความรอบรู้ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปากมาออกแบบสื่อการให้ทันตสุขศึกษา และจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมสุขภาพช่องปากที่เหมาะสมกับกลุ่มนักศึกษา</p> ปางพุฒิพงษ์ เหมมณี, ทัศพร ชูศักดิ์, รัฐพล ศิลปะรัศมี Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/265080 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการให้บริการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดชัยภูมิ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/265866 <p>ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงซึ่งมีความยากลำบากในการเข้าถึงบริการทันตสาธารณสุข หากทำความสะอาดช่องปากได้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงมีข้อจำกัดด้านกายภาพ มีอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันและต้องการมีผู้ดูแลสุขภาพเพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ดังนั้นการดูแลสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงจึงมีความสำคัญไม่ต่างจากการดูแลสุขภาพทั่วไป งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการให้บริการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดชัยภูมิ ผู้วิจัยดำเนินการด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การศึกษาเอกสาร และใช้กระบวนการสนทนากลุ่มย่อยของบุคคลในชุมชนและผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมสุขภาพในชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสนทนากลุ่มย่อยและการศึกษาเอกสาร</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการให้บริการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งภายในรูปแบบใช้วงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน มี 10 ขั้นตอน ผู้แทนชุมชน ผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข และทันตบุคลากรมีส่วนร่วมในการดำเนินการทุกขั้นตอน โดยการดำเนินการตามกรอบแนวคิดวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงจะได้รับการบริการด้านทันตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นอกจากนี้การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ช่วยเหลือผู้ดูแล และทันตาภิบาลทำให้เกิดการส่งต่อข้อมูลของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและทันต่อการรักษาเบื้องต้นหรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย</p> วรรณา วัดโคกสูง Copyright (c) 2023 วารสารทันตาภิบาล http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TDNJ/article/view/265866 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700