วารสารพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN <p>วารสารพยาบาลเป็นวารสารทางวิชาการของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ฯ จัดทำโดยมีจุดประสงค์ดังนี้ 1) <span lang="TH">เผยแพร่ความรู้ทางการพยาบาลและการผดุงครรภ์ รวมทั้งความรู้ใหม่ในวงการสุขภาพที่เกี่ยวข้อง </span>2) <span lang="TH">เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์เกี่ยวกับวิชาชีพการพยาบาล และ </span>3) <span lang="TH">เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพ และภาพลักษณ์ของวิชาชีพการพยาบาล </span></p> <p><span lang="TH"> </span>ISSN: 3057-188X (Online) </p> สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี en-US วารสารพยาบาล กองบรรณาธิการ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/277297 กรรณิการ์ สุวรรณโคต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-27 2025-08-27 74 3 สารบัญ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/277298 กรรณิการ์ สุวรรณโคต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-27 2025-08-27 74 3 บรรณาธิการแถลง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/277299 สุนิดา ปรีชาวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-27 2025-08-27 74 3 ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานกลุ่มเสี่ยง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/272503 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุ ประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัว อย่างเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน เลือกแบบเจาะจง สุ่มอย่างง่ายเลือกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าคล้อเป็นกลุ่มทดลอง และโรงพยา บาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเพ็ก เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือทดลอง ได้แก่ 1) โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานของกลุ่มเสี่ยง ตามแนวคิดแบบจำลองพรีสีด-โพรสีด 2) แอปพลิเคชันไลน์ 3) แบบบันทึกข้อมูลสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวาน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวาน 3 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูลทั่วไป (2) ข้อมูลสุขภาพ และ (3) แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานด้านรับประทานอาหารและออกกำลังกาย มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.97 และ 0.95 และมีค่าค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค 0.94 และ 0.77 ตามลำดับ และ 2) เครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปร แกรม กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมรับประทานอาหารและออกกำลังกาย สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบ มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ทิพย์วดี ธรรมคง วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-12 2025-08-12 74 3 1 10 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้านโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวในเขตภาคเหนือ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/271207 <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุ ประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการการดูแลและพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้านโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวในเขตภาคเหนือ ดำเนินการ 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาและความต้องการการดูแลผู้ป่วย ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยสำหรับผู้ดูแล ระยะที่ 3 การศึกษาประสิทธิผลของการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วย ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 27 คู่ เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า ผู้ดูแลไม่มีความมั่นใจและไม่มีส่วนร่วมในการวาง แผนการดูแล ผู้ป่วยกลับมารักษาซ้ำ การติดตามดูแลไม่ต่อเนื่อง และทรัพยากรไม่เพียงพอ แนวทางการดูแลผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ สำหรับพยาบาลวิชาชีพและสำหรับผู้ดูแล ประกอบด้วย การร่วมระบุปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการดูแล การเตรียมความพร้อมด้านความรู้ และการฝึกทักษะในการดูแล ประสิทธิผลของแนวทางการดูแลผู้ป่วย พบว่า คะแนนความพร้อมโดยรวมของผู้ดูแลอยู่ในระดับดี ความสามารถการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยหลังใช้แนวทางการดูแลสูงกว่าก่อนใช้แนวทางการดูแลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอยู่ในระดับดี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> กชพร พงษ์แต้ ปริมล หงษ์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-12 2025-08-12 74 3 11 20 ผลของการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองการประเมินภาวะสุขภาพมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์ต่อความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/272067 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับการประเมินภาวะสุขภาพมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์ ก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองและประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง หลังได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองของนักศึกษาพยาบาลในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล จำนวน 93 คน เลือกแบบเจาะจง โดยเป็นผู้ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือวิจัย ได้แก่ สถานการณ์จำลองการประเมินภาวะสุขภาพมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์ มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.95 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการประเมินภาวะสุขภาพมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์ มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.92 มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงเท่ากับ 0.82 และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.95 มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงเท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่าหลังได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการประเมินภาวะสุขภาพมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์สูงกว่าก่อนได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง หลังได้รับการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง อยู่ในระดับมากที่สุด</p> สมฤดี กีรตวนิชเสถียร อังคณา นวลยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-12 2025-08-12 74 3 21 30 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ใหญ่วัยกลางและผู้สูงอายุ ภายหลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ในจังหวัดลำปาง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/272437 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ใหญ่วัยกลางและผู้สูงอายุภายหลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ใหญ่วัยกลางและวัยผู้สูงอายุภายหลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง อายุ 50-75 ปีที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จำนวน 233 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ ตรวจความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67 - 0.83 และค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง อยู่ระหว่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน ผลการวิจัย พบว่า ผู้ใหญ่วัยกลางและผู้สูงอายุภายหลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตโดยรวม อยู่ในระดับพอใช้ (M ± SD = 98.60 ± 8.63) คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพโดยรวม อยู่ในระดับค่อนข้างมาก (M ± SD = 4.07 ± 0.76) ปัจจัยที่สัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ ได้แก่ รายได้ครัวเรือนต่อเดือน (r = 0.20) และความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต (r = 0.27) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วน อายุ และจำนวนโรคประจำตัวไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ</p> วัชรี ใจโพธิ์ เบญจวรรณ นันทชัย ทวีวรรณ ศรีสุขคำ สมคิด จูหว้า เทียนทอง ต๊ะแก้ว สุชาติ เครื่องชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-12 2025-08-12 74 3 31 40 ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมออกกำลังกายผู้สูงอายุ อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/272182 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมออกกำลังกาย น้ำหนัก เส้นรอบเอว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาของกลุ่มทดลองก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน เลือกแบบเจาะจงโดยเป็นผู้สูงอายุติดสังคม อายุ 60-75 ปี ที่อาศับอยู่ในอำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น สุ่มอย่างง่ายจากตำบลแวงใหญ่เป็นกลุ่มทดลอง และตำบลใหม่นาเพียงเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือทดลอง ได้แก่ 1) โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมออกกำลังกายตามแนวคิดแบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ แอปพลิเคชันไลน์ และ แบบบันทึกการออกกำลังกาย เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมออกกำลังกายผู้สูงอายุ มี 3 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ข้อมูลสุขภาพ และ 3) พฤติกรรมการออกกำลังกาย ซึ่งมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.67 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบที การทดสอบวิลคอกซันแมทช์แพร์ซายน์แรงค์และการทดสอบแมน-วิทนีย์ยู ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมออกกำลังกายสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ภัฐธีรา โม้อ้อน วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-17 2025-08-17 74 3 41 50 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสุขของบุคลากรพยาบาล ในโรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/270671 <p>การวิจัยเชิงบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสุขของบุคลากรพยาบาลในโรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรพยาบาลจำนวน 120 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยเป็น แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล บรรยากาศองค์กร และความสุข หาความตรงตามเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.72 และ 0.95 ตามลำดับ และค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงเท่ากับ 0.74 และ 0.95 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสหสัมพันธ์ของเปียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า บุคลากรพยาบาลมีความสุขอยู่ในระดับมีความสุข (M ± SD = 57.52 ± 9.84) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสุขอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ บรรยากาศองค์กร (r = 0.620) ส่วนปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความสุข ได้แก่ อายุ และรายได้ <span style="font-size: 0.875rem;">(p &gt; .05).</span></p> สถาพร ปัดทุมแฝง สุลี ทองวิเชียร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-17 2025-08-17 74 3 51 58 การจัดการและการป้องกันภาวะหมดไฟในการทำงานในพยาบาลวิชาชีพ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/271583 <p>ในปัจจุบันพบว่าพยาบาลที่อยู่ในระบบไม่เพียงพอต่อการให้บริการทางสุขภาพ พยาบาลลาออกเพิ่มมากขึ้นจากการที่พยาบาลไม่สามารถจัดการปัญหาหรืออารมณ์ของตนเอง เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้รับบริการ หรือญาติ การบริหารขององค์กรที่ไม่เอื้อต่อวิชาชีพพยาบาล และสภาพงานที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและซับซ้อน ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการทำงาน ส่งผลกระทบต่อพยา บาล ทำให้เกิดความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ไม่สามารถจัดการความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน ดังนั้น การจัดการและการป้องกันภาวะหมดไฟในพยาบาลทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในระดับบุคคล พยาบาลควรคำนึงถึงการมองหาแหล่งสนับสนุนทางสังคม การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ในระดับองค์กร ควรมีนโยบายจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงาน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับองค์กร และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน</p> เกสรา ทองประไพ หรรษา เศรษฐบุปผา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-12 2025-08-12 74 3 59 68