https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/issue/feed
วารสารสภาการพยาบาล
2025-09-30T11:31:28+07:00
Noppawan Piaseu, PhD
noppawan.pia@mahidol.edu
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารสภาการพยาบาล</strong> เป็นวารสารวิชาการที่มีการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขา กำหนดออกราย 3 เดือน ปีละ 4 ฉบับ โดยสภาการพยาบาลเป็นเจ้าของ มีเป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งในการเผยแพร่ผลงานวิชาการของพยาบาลวิชาชีพ และความก้าวหน้าในศาสตร์สาขาการพยาบาล ทั้งด้านการพยาบาลทางคลินิกและชุมชน การศึกษาพยาบาล การบริหารการพยาบาล และที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ชื่อวารสารสำหรับการอ้างอิง:</strong> J Thai Nurse Midwife Counc<br /><strong>Online ISSN:</strong> 2985-0894<br /><strong>Print ISSN:</strong> 1513-1262<br /><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์:</strong> ไทย และ อังกฤษ<br /><strong>จำนวนฉบับต่อปี:</strong> 4 ฉบับ (มกราคม-มีนาคม, เมษายน-มิถุนายน, กรกฏาคม-กันยายน, ตุลาคม-ธันวาคม)</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/277984
Editorial Note
2025-09-30T11:31:28+07:00
ศาสตราจารย์ ดร. นพวรรณ เปียซื่อ
noppawan.tnmc@gmail.com
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274984
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพในมารดาวัยรุ่นที่มีบุตรคนแรก
2025-04-23T14:46:33+07:00
ธนพร ประเสริฐทรัพย์
tnppss.mn@gmail.com
พรรณพิไล ศรีอาภรณ์
tnppss.mn@gmail.com
ปิยะภรณ์ ประสิทธิ์วัฒนเสรี
tnppss.mn@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> มารดาวัยรุ่นที่มีบุตรคนแรกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของมารดาหลังคลอด การมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ดีจึงมีความสำคัญต่อมารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรก การปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ถูกต้องเหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งนี้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในระดับสูงกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งการรับรู้สมรรถนะแห่งตน คือ การที่มารดาวัยรุ่น รับรู้และตัดสินความสามารถของตนเอง และนำไปสู่การวางแผนการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพให้สำเร็จผลได้ หากมารดาวัยรุ่นมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนดี จะช่วยให้มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม นำไปสู่การมีภาวะสุขภาพที่ดี </p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของ มารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรกระหว่างกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มทดลอง ที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับการพยาบาลตามปกติ </p> <p><strong>การออกแบบวิจัย</strong> การศึกษานี้เป็นแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง ผู้วิจัย ประยุกต์ใช้แนวคิดการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ตามทฤษฎีส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์และคณะ และแนวคิดของแบนดูรา ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมในการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการรับรู้และความเชื่อมั่นในความสามารถของมารดาวัยรุ่นหลังคลอดในการจัดการและปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยผ่านแหล่งการเรียนรู้ 4 แหล่ง ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วย 3 ระยะในช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์หลังคลอด ได้แก่ ระยะที่ 1: ภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังคลอด ระยะที่ 2: 48 ชั่วโมงหลังคลอด และระยะที่ 3: สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 6 หลังคลอด </p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาวัยรุ่นที่คลอดบุตรคนแรก จำนวน 32 คน ได้รับการรักษา ณ หอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 เลือกตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้าดังนี้ 1) อายุ 10 - 19 ปี 2) เป็นมารดาครรภ์เดี่ยวที่คลอดทางช่องคลอด 3) ไม่มีภาวะแทรกช้อนในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด ได้แก่โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะตกเลือดหลังคลอด ภาวะติดเชื้อ หลังคลอด 4) ทารกไม่มีภาวะแทรกช้อนจากการคลอดหรือภายหลังคลอด เช่น ได้รับบาดเจ็บจากการคลอด 5) มารดาสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนที่มีแอปพลิเคชันไลน์ และ 6) มีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ในระดับน้อยหรือปานกลาง (มีคะแนนระหว่าง 34.00 - 124.66) คำนวณขนาดตัวอย่าง ด้วยโปรแกรม G*Power โดยกำหนด ระดับนัยสำคัญ .05 อำนาจการทดสอบ .95 ค่าขนาดอิทธิพลที่ได้จากงานวิจัยที่ผ่านมาเท่ากับ 0.64 ได้กลุ่มตัวอย่าง 32 คน จัดเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองแบบเจาะจง กลุ่มละ 16 คน กลุ่มทดลอง เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะ แห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินกิจกรรม 3 ระยะ ใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์หลังคลอดโดยมีกิจกรรมการ ส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ทั้ง 4 แหล่งการเรียนรู้ได้แก่ ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง ตัวแบบหรือประสบการณ์ของบุคคลอื่น การชักจงด้วยคำพูด และ สภาวะทางร่างกายและอารมณ์ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2) แบบบบันทึกการติดตามทางโทรศัพท์ร่วมกับแอปพลิเคชันไลน์ และ 3) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของการปฏิบัติพฤติกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และ 2) แบบสอบถามพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งประเมินพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด 6 ด้าน ได้แก่ 1) ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ 2) โภชนาการ 3) การเคลื่อนไหวร่างกาย 4) การจัดการความเครียด 5) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 6) การพัฒนาทางจิตวิญญาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ การทดสอบ ฟิชเชอร์เอ็กแชค และการทดสอบแมนวิทนีย์ยู</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีค่ามัธยฐานของอายุ คือ 17 และ 17.5 ปี (10R = 3.0, IQR = 2.0) ส่วนใหญ่มีอาชีพนักเรียนหรือนักศึกษา(ร้อยละ56.25,50) และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 56.25, 68.75) มีสถานภาพสมรสโสด (ร้อยละ 93.75, 68.75) ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย (ร้อยละ 93.75, 75) และมีรายได้เพียงพอ (ร้อยละ 81.25, 75) สามีมีอายุ 20 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 68.75, 62.5) สามีของกลุ่มทดลองประกอบอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน ร้อยละ 43.75 และ สามีของกลุ่มควบคุมประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 37.5 ภายหลังสิ้นสุดการทดลอง พบว่า คะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) โดยคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพรายด้าน ได้แก่ ด้าน ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ด้านโกชนาการ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ และด้านการจัดการความเครียดของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) ส่วนพฤติกรรมสุขภาพด้านการเคลื่อนไหวร่างกายไม่มีความแตกต่างกัน (p = 060)</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> พยาบาลผดุงครรภ์สามารถนำโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปใช้เพื่อให้มารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรกมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ด้านการศึกษา สถาบันการศึกษาพยาบาลสามารถนำผลการวิจัยไปไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาพยาบาล ให้เกิดความตระหนักถึงการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด และควรมีการศึกษาติดตาม รวมทั้งพัฒนาและประเมินผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในมารดาวัยรุ่น กลุ่มอื่น ๆ เช่น มารดาวัยรุ่นที่ได้รับการผ่าตัดคลอด หรือคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274086
ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวเร็วในผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง
2025-04-10T10:04:38+07:00
วรุณยุพา รอยกุลเจริญ
varunyupa.r@stin.ac.th
ชื่นฤทัย ยี่เขียน
jayeekian88@gmail.com
<p><strong>บทนำ </strong>การผ่าตัดถุงน้ำดีเป็นการผ่าตัดที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ การฟื้นตัวภายหลังการผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกช้อนจากการผ่าตัด เช่น ปวดแผลผ่าตัด ท้องอืด ประกอบกับผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยของร่างกายตามวัย ทำให้ฟื้นตัวช้าหลังผ่าตัด ปัจจุบันยังไม่พบรายงานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวเร็วหลังการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้องในผู้สูงอายุในประเทศไทย </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวเร็วในผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาโดยการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ เลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยสุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้องในช่วงเวลาที่ศึกษา การวิจัยนี้ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านเป็นกรอบแนวคิดโดยเป็นการเปลี่ยนผ่านจากสภาวะป่วยไปสู่การฟื้นตัว โดยการฟื้นตัวเร็วหลังการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการเปลี่ยนผ่าน การฟื้นตัวเร็วหลังการผ่าตัดขึ้นอยู่กับปัจจัยของบุคคลและการรักษา ได้แก่ อายุ เพศ ดัชนีมวลกาย การจำแนกผู้ป่วยตาม American Society of Anesthesiologists (ASA) การสูบบุหรี่ การมีโรคร่วม การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด การเป็นถงน้ำดีอักเสบ ระยะเวลาในการผ่าตัดและ การดมยาสลบ ผลการตรวจทางโลหิตวิทยา และผลการรักษาหลังผ่าตัด </p> <p><strong>วิธีการดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 229 คน ที่รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันออก ตั้งแต่ พ.ศ. 2559-2567 สุ่มตัวอย่างโดย ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน โดยใช้แบบเก็บข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้าง มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาที่ .80 การทดสอบความเที่ยงแบบวัดซ้ำเท่ากับ .97 และการทดสอบความเที่ยง ระหว่างผู้ประเมินเท่ากับ .95 วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวเร็วในผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดี โดยการส่องกล้อง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบตัวแปรเดียวและการวิเคราะห์ถดถอยแบบลอจิสติก แบบทวิภาค กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> ผู้ป่วยทั้งหมด 229 คน อายุเฉลี่ย 68.0 ปี (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 6.6, ค่าต่ำสุด-ค่าสูงสุด 60-90 ปี) ดัชนีมวลกายเฉลี่ย 25.0 กิโลกรัม/เมตร (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.4) โดยเป็นเพศหญิง ร้อยละ 64.2 มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ร้อยละ 45.0 มีโรคร่วม ร้อยละ 93.0 มีโรคแทรกช้อน ร้อยละ 36.2 ผ่าตัดแบบฉุกเฉิน ร้อยละ 13.5 ส่วนใหญ่จัดอยู่ใน ASA Grade 2 ร้อยละ 64.2 ระยะเวลา การผ่าตัดมีค่ามัธยฐานที่ 90 (Q1-03-70-115) นาที จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ร้อยละ 1.31 มีอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ขณะผ่าตัด ร้อยละ 21.0 ในจำนวนนี้เป็นภาวะหัวใจเต้นช้าน้อยกว่า 50 ครั้งต่อนาที ร้อยละ 15.3 มีใส่ท่อระบายที่แผลผ่าตัด ร้อยละ 20.1 การศึกษานี้แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ฟื้นตัวเร็วหรือมีจำนวนวันนอนรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 วัน กับกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าหรือมีจำนวนวันนอนรักษาตัวมากกว่า 3 วัน คิดป็นร้อยละ 68.1 และ 31.9 ตามลำดับ ปัจจัยที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเร็วในผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง ปัจจัยที่มีนัยสำคัญทั้งจากการวิเคราะห์ข้อมูลแบบตัวแปรเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติก แบบทวิภาค ได้แก่ 1) ผ่าตัดแบบฉุกเฉิน (Adjusted OR [95% CI]: -6.17 [-9.24 to -3.09], p < .001) 2) ใส่ท่อระบายที่แผลผ่าตัด (Adjusted OR [95% CI]: -1.99 [-3.46 to -0.51], p = .008) 3) เกล็ดเลือด น้อยกว่า 150 (×10<sup>3</sup>/mm<sup>3</sup>) (Adjusted OR [95% CI]: -3.19 [-5.26 to -1.13], p = .002) 4) ได้รับยาแก้ปวดชนิดรับประทาน (Adjusted OR [95% CI]: -1.34 [-2.36 to -0.32], p = .010) และ 5) มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด (Adjusted OR [95% CI]: -1.81 [-2.82 to -0.80], p < .001).</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> ผู้สูงอายุที่มีโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีควรมีการป้องกันการผ่าตัดแบบฉุกเฉิน ได้แก่ การนัดหมายทำผ่าตัดก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง ก่อนการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง ควรประเมินปริมาณเกล็ดเลือดและแก้ไขปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ ภายหลังการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง หากมีการใส่ท่อระบายที่แผลผ่าตัด และได้รับยาแก้ปวดชนิดรับประทาน ควรวางแผนบริหารจัดการความปวด การดูแลการลุกนั่ง การเคลื่อนไหว และป้องกันการเกิดภาวะแทรกช้อนหลังผ่าตัดที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวเร็ว</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/273690
ผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะต่อความรู้ ทัศนคติและทักษะการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
2025-02-20T10:41:18+07:00
อรจิรา เทียนน้ำเงิน
onchira260219@hotmail.com
ภาวิณี กาญจนบุตร
onchira260219@hotmail.com
จิรวัชร เกษมสุข
onchira260219@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วยเด็กเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหัวใจซึ่งมีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ พยาบาลที่ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะนี้จำเป็นต้องมีสมรรถนะเฉพาะทางเพื่อช่วยลดภาวะแทรกช้อนและอัตราการเสียชีวิต ปัจจุบันพบว่า สภาการพยาบาลยังไม่มีข้อกำหนดสมรรถนะทางการพยาบาลเฉพาะทางในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้น และพบว่าพยาบาลยังไม่มีทักษะในการดูแลผู้ป่วยเด็ก เมื่อมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดขึ้นแม้ว่าจะได้รับการอบรมการกู้ชีวิตขั้นสูงในผู้ป่วยเด็กแล้วก็ตาม การจัดโปรแกรมการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะส่งเสริมคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะต่อความรู้ ทัศนดติและทักษะการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเปรียบเทียบความรู้ ทักษะและทัศนคติต่อการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะของกลุ่มตัวอย่างระหว่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ</p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดกลุ่มเดียววัดผลก่อน และหลังการทดลองโดยประยุกต์แนวคิดการโค้ชของเฮลเฟอและวิลสันในกระบวนการสอนของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การสร้างสัมพันธภาพ การให้ข้อมูล 2) การสร้างทักษะด้วยการสอนและฝึกปฏิบัติ 3) การทบทวนทักษะ 4) การติดตามประเมินผล มุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งประกอบด้วย 9 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 12 ขั้ว 2) การอ่านและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 3) การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ 4) การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ 5) การบริหารยา Anti-arrhythmia 6) การทำ Vagal maneuver 7) การดูแลผู้ป่วยที่ทำ cardioversion/defbrillation 8) การดูแลผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดชั่วคราว 9) การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น และกำหนดผลลัพธ์ การเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาความรู้ ทักษะการดูแลและทัศนคติที่ดีต่อการพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลใหม่จำนวน 12 คน ที่ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหัวในแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เลือกแบบเจาะจง ตามเกณฑ์คัดเข้า ดังนี้ 1) สำเร็จการศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาการพยาบาลและผดุงครรภ์ 2) มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการพยาบาลตั้งแต่ 1-5 ปี 3) สามารถใช้คอมพิวเตอร์และมีโทรศัพท์ สมาร์ตโฟนที่ใช้แอปพลิเคชันไลน์ได้ 4) สมัครใจเข้าร่วมโปรแกรม กำหนดขนาดตัวอย่างเป็นไปตามหลักการของการวิเคราะห์อำนาจการทดสอบโดยใช้โปรแกรม G*Power เครื่องมือวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในการดแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ประกอบด้วย แผนการสอนภาคทฤษฎี แผนการสอนภาคปฏิบัติ หนังสือคู่มือ สื่อพาวเวอร์พอยต์ วีดิทัศน์ แอปพลิเคชันไลน์ อุปกรณ์ทางการแพทย์และยา หุ่นฝึกการปฏิบัติการช่วยชีวิตทารกขั้นสูงเต็มตัว และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แบบประเมินทักษะในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และ แบบสอบถามทัศนคติของพยาบาลต่อการพัฒนาความรู้ความสามารถในการพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย การทดสอบทีคู่</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ร้อยละ 75) สถานที่ปฏิบัติงานมีโอกาสให้การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ร้อยละ 91.7) ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการตรวจและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจมากกว่าหรือเท่ากับหนึ่งครั้ง (ร้อยละ 50) ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการตรวจและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจในผู้ป่วยเด็กมากกว่าหรือเท่ากับหนึ่งครั้ง (ร้อยละ 50) ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ร้อยละ 58.3) และได้รับการอบรมเกี่ยวกับการกู้ชีวิตขั้นสูงในเด็ก (ร้อยละ 91.7) ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยความรู้ โดยรวม พบว่า ค่าเฉลี่ยความรู้ภาคทฤษฎีหลังได้รับโปรแกรม (M=66.75, SD=14.81) มากกว่า ก่อนได้รับโปรแกรม (M=25.75, SD=10.81) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=11.660. p<.001) ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยทักษะในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยรวม พบว่า ทักษะในการดูแลผู้ป่วยหลังได้รับโปรแกรม (M-55.67,SD=5.16) มากกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (M=6.25, SD=3.70) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (1=33.754,p<.001) แต่ค่าเฉลี่ยทัศนคติก่อนได้รับโปรแกรม (M=25.83, SD=2.44) และหลังได้รับโปรแกรม (M=26.08, SD=4.64) ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=.248, p=.405)</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> หน่วยงานที่ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถนำโปรแกรมนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการฝึกอบรมพยาบาลเพื่อพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลโดยเฉพาะด้านความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ การศึกษาครั้งต่อไปควรออกแบบการวิจัย เป็นเชิงทดลองเพื่อยืนยันผลการวิจัยรวมทั้งการติดตามผลลัพธ์</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/273794
ผลของโปรแกรมการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองต่อความรู้ ความมั่นใจ และการปฏิบัติทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อน
2025-02-27T10:56:25+07:00
สุเนตร บุบผามาลา
sunetr_boo@vu.ac.th
แสงเดือน จินดาไพศาล
sunetr_boo@vu.ac.th
ปณิตา ปรีชากรกนกกุล
sunetr_boo@vu.ac.th
ศุกลรัตน์ ชาญวิรัตน์
sunetr_boo@vu.ac.th
อินทิพร ปักเคเต
sunetr_boo@vu.ac.th
สุภาวดี เนติเมธี
sunetr_boo@vu.ac.th
<p><strong>บทนำ </strong>การดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อนระหว่างคลอด ได้แก่ ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะทารกเครียด ภาวะสายสะดือย้อย ภาวะรกค้าง ภาวะคลอดติดไหล่ และภาวะตกเลือดหลังคลอด เป็นความท้าทายสำหรับนักศึกษาพยาบาล การฝึกปฏิบัติจริงในห้องคลอดยังมีข้อจำกัด เนื่องจากนักศึกษาพยาบาลมีความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้และทักษะที่จำกัด รวมทั้งสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดมีจำนวนลดลง การฝึกปฏิบัฏิบัติในสถานการณ์เสมือนจริง โดยอ้างอิงทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Kolb สามารถใช้ในการเตรียมความพร้อมนักศึกษาพยาบาลให้มีความรู้ ความมั่นใจ และทักษะการดูแลสรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน ระหว่างคลอด อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมระหว่างกลุ่มที่ปฏิบัติการพยาบาลในห้องคลอดทันทีหลังเข้าร่วมโปรแกรมเตรียมความพร้อมในสถานการณ์เสมือนจริง และกลุ่มที่ปฏิบัติการพยาบาลในห้องคลอด 1 เดือนภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมต่อความรู้ ความมั่นใจ และการปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้ในการพยาบาล สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ 2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความมั่นใจในการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อนก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ และ 3) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้ ความมั่นใจ และผลการปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อนระหว่างกลุ่มทดลอง ซึ่งฝึกปฏิบัติการพยาบาลทันทีหลังได้รับการเตรียมความพร้อมและกลุ่มเปรียบเทียบ ซึ่งฝึกปฏิบัติการพยาบาล 1 เดือนหลังได้รับการเตรียมความพร้อม </p> <p><strong>การออกแบบวิจัย</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบการศึกษาสองกลุ่มวัดผลก่อน และหลังการทดลอง </p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 ที่ศึกษาในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาล มารดา-ทารก และการผดุงครรภ์ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 120 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายและจัดเข้ากลุ่มโดยการจับคู่ตามเพศและเกรดเฉลี่ยสะสมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 60 คน แล้วจับฉลากเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ นักศึกษาทั้ง 2 กลุ่มฝึกปฏิบัติในสถานการณ์เสมือนจริง หลังจากนั้นกลุ่มทดลองได้รับการฝึกปฏิบัติในห้องคลอดทันทีภายหลังการเตรียมความพร้อม ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบฝึกปฏิบัติในคลินิกหลังจากระยะเวลาผ่านไป 1 เดือน การศึกษาใช้ระยะเวลา 3 เดือน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์เสมือนจริงในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน และแบบสอบถามแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ความรู้ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน 3) ความมั่นใจในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรก์ช้อน 4) การปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน และ 5) แนวทางการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสอบถามทุกส่วนได้รับการประเมินความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองในการพยาบาล สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อน ความรู้ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน ความมั่นใจใจในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน การปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน เท่ากับ .80, .89,.80 และ .95 ตามลำดับ แบบสอบถามความมั่นใจในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน และการปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน ทดสอบความเชื่อมั่นในนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .93 และ .94 ส่วนแบบประเมินความรู้ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อน ทดสอบความเชื่อมั่น โดยสูตรของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน 20 ได้ค่าเท่ากับ .72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบฟิชเชอร์ การทดสอบทีแบบอิสระและแบบคู่ กำหนดระดับนับนัยสำคัญที่ .05 </p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> อายุเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง 22.25 ปี (SD=2.03) และกลุ่มเปรียบเทียบ 22.27 ปี (SD=1.61) ทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ อายุ เกรดเฉลี่ยสะสม ค่าใช้จ่ายต่อเดือน และโรคประจำตัว (p=1.000, .960, .902, .419, 1.000 ตามลำดับ) ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมค่าเฉลี่ย ความรู้ของกลุ่มทดลอง (M=19.450, SD=4.086) และกลุ่มเปรียบเทียบ (M=19.567, SD=4.634) ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.884 และความมั่นใจในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนของกลุ่มทดลอง (M=3.638, SD=0.448) และกลุ่มเปรียบเทียบ (M=3.672, SD=0.448) ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.684) ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้ (M=30.950.SD=4.869) (และความมั่นใจ (M=4.248.SD= 459) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) เช่นเดียวกับกลุ่มเปรียบเทียบที่มีค่าเฉลี่ยความรู้ (M=32.300, SD=3.514) และความมั่นใจ (M=4.160, SD=0.509) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) แต่ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม (p=.084, .329) เมื่อเปรียบเทียบผลการปฏิบัติการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกช้อนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยการปฏิบัติ (M=3.513, SD=0.359) สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (M=3.080, SD=0.510) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) </p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> โปรแกรมการเตรียมความพร้อมนักศึกษาพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อน โดยใช้สถานการณ์เสมือนจริงมีประสิทธิภาพในการพัฒนาความรู้ ความมั่นใจ และ การปฏิบัติในคลินิกของนักศึกษาพยาบาล การขึ้นฝึกปฏิบัติในคลินิกทันทีภายหลังได้รับโปรแกรม เตรียมความพร้อมส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการปฏิบัติการพยาบาล</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274900
ความต้องการด้านการเรียนรู้และอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศของวัยรุ่น: การศึกษาเชิงคุณภาพแบบบรรยาย
2025-04-21T15:42:04+07:00
สิตานันท์ ศรีใจวงศ์
sitanan@unc.ac.th
สืบตระกูล ตันตลานุกุล
seubtrakul@unc.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong> สุขภาพทางเพศของวัยรุ่นในช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วและทัศนคติของสังคม ยังไม่เปิดกว้างต่อประเด็นเพศศึกษา แม้ว่าจะมีความพยายามในการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องเพศและการพัฒนาบริการสุขภาพสำหรับเยาวชน แต่การเข้าถึงยังคงเผชิญข้อจำกัดจากหลากหลายปัจจัย ทั้งในระดับ บุคคล ครอบครัว โรงเรียน และระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในบริบทวัฒนธรรมภาคเหนือที่ยังคงมีค่านิยมดั่งเดิม การทำความเข้าใจความต้องการเรียนรู้และอุปสรรคในการเข้าถึงบริการของเยาวชนผ่านมุมมองของผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายจึงมีความสำคัญต่อการออกแบบบริการสุขภาพทางเพศที่เหมาะสม </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับความต้องการเรียนรู้ อุปสรรค และการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศของเด็กและเยาวชนวัยเจริญพันธุ์ในเขตสุขภาพที่ 2 2) ศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับการสื่อสารทางเพศกับเด็กและเยาวชนตามการรับรู้ของนักเรียน ครู และ ผู้ปกครอง และ 3) ศึกษาการรับรู้และแนวทางการพัฒนาการจัดบริการสุขภาพทางเพศที่เป็นมิตร สำหรับเด็กและเยาวชนตามการรับรู้ของนักเรียนและบุคลากรสาธารณสุข </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยายที่ใช้กระบวนทัศน์ของนักสร้างสรรค์/นักตีความ เพื่อทำความเข้าใจการรับรู้และมุมมองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศของวัยรุ่น ผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดสำหรับการพัฒนาบริการสุขภาพที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ความต้องการด้านการเรียนรู้ 2) อุปสรรคในการเช้าถึงบริการ และ 3) ประสบการณ์และการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้อง การวิจัยยังนำแนวคิดสุขภาพทางเพศเชิงบวกและแนวคิด การให้บริการที่เป็นมิตรสำหรับเยาวชนมาเป็นแนวทางของการศึกษา </p> <p><strong>การดำเนินการวิจัย</strong> การวิจัยดำเนินการในเขตสุขภาพที่ 2 ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 - มิถุนายน พ.ศ. 2566 การคัดเลือก ผู้ให้ข้อมูลใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจงและการเลือกแบบลูกโซ่จากผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 100 คน ประกอบด้วย นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้น 50 คน (อายุ 9-15 ปี) ผู้ปกครอง 20 คน ครู 15 คน และบุคลากรสาธารณสุข 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม แบบสังเกตแบบบไม่มีส่วนร่วม และแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (50 ครั้ง) การสนทนากลุ่ม (8 กลุ่ม) และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (15 แห่ง) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการ วิเคราะห์เนื้อหาตามแนวทางของ Elo และ Kyngäs โดยใช้โปรแกรม NVivo 12 ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยตรวจสอบด้วยการตรวจสอบระหว่างสมาชิก การตรวจสอบแบบสามเส้าทั้งด้านข้อมูล ผู้วิจัย และวิธีการ และการสะท้อนกลับของผู้วิจัย</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบประเด็นสำคัญ 3 ด้านตามวัตถุประสงค์การวิจัย ด้านแรก ความต้องการเรียนรู้ของนักเรียนแบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่ย่อย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และการดูแลตนเอง ทักษะความสัมพันธ์และการสื่อสาร การป้องกันและความปลอดภัยทางเพศ การใช้เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์อย่างปลอดภัย และความหลากหลายทางเพศและการยอมรับนักเรียนที่เคยใช้บริการสุขภาพแสดงความต้องการในการปรับปรุงบริการใน 4 ด้าน ได้แก่ การปรับปรุงกระบวนการให้บริการ การพัฒนาสื่อการสอนที่ทันสมัย การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ และการฝึกอบรมผู้ให้บริการ อุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลและบริการพบ 4 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ อุปสรรคด้านทัศนคติและความเชื่อ (3 หมวดหมู่ย่อย) อุปสรรคด้านการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง (4 หมวดหมู่ย่อย) อุปสรรคด้านระบบบริการสุขภาพ (5 หมวดหมู่ย่อย) และอุปสรรคด้านครอบครัวและโรงเรียน (3 หมวดหมู่ย่อย) ด้านที่สอง การรับรู้เกี่ยวกับการสื่อสารทางเพศพบว่า นักเรียนรับรู้ว่าผู้ปกครองและครูไม่มั่นใจในการพูดคุย เรื่องเพศ ครูรับรู้ว่าตนเองขาดความมั่นใจและทักษะในการสื่อสาร และผู้ปกครองรับรู้ว่าตนเองกลัว การพูดคุยเรื่องเพศจะกระตุ้นความสนใจของลูกและขาดความรู้ที่ทันสมัย ด้านที่สาม การรับรู้ต่อบริการ ปัจจุบันและแนวทางการพัฒนา นักเรียนรับรู้ว่าบริการปัจจุบันไม่เป็นมิตรและมีการตัดสิน บุคลากรสาธารณสุขรับรู้ว่าตนเองขาดเวลาและทักษะเฉพาะทาง แนวทางการพัฒนาบริการที่เป็นมิตรตามการรับรู้ของทุกฝ่ายประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมและกระบวนการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายและการทำงานร่วมกัน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ </strong>การวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าความต้องการเรียนรู้ของวัยรุ่นมีความแตกต่างตามช่วงวัย และมีความต้องการใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและความหลากหลายทางเพศ อุปสรรคในการเข้าถึงบริการเป็นปัญหาหลายระดับที่เชื่อมโยงกัน และการสื่อสารระหว่างทุกฝ่ายขาดประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะ หลัก 5 ประการ ได้แก่ 1) การพัฒนาหลักสูตรเพศศึกษาแบบบูรณาการที่เพิ่มเนื้อหาการประเมิน ข้อมูลออนไลน์และความหลากหลายทางเพศ 2) การพัฒนาระบบบริการสุขภาพทางเพศที่เป็นมิตร แบบเป็นรูปธรรม โดยจัดตั้งคลินิกเยาวชนแยกต่างหาก พัฒนาแอปพลิเคชันให้คำปรึกษา และปรับเวลาให้บริการ 3) การสร้างกลไกการประสานงานระหว่างภาคส่วน โดยจัดตั้งคณะกรรมการสุขภาพทางเพศเยาวชนระดับอำเภอและระบบส่งต่อดิจิทัล 4) การพัฒนาศักยภาพผู้ปกครองในการสื่อสารทางเพศ โดยพัฒนาโปรแกรมการสื่อสารแบบลำดับขั้นและสร้างกลุ่มสนับสนุน และ 5) การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนแบบยั่งยืน โดยจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนและเครือข่ายผู้นำชมชน การวิจัยนี้สร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับความต้องการที่หลากหลายของวัยรุ่นในยุคดิจิทัล และเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการพัฒนานโยบายและการปฏิบัติที่ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274678
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น
2025-04-17T10:32:17+07:00
พิมพ์สุภัค อุ่มพิมาย
phim_yingthai@outlook.co.th
รุ่งรัตน์ ศรีสุริยเวศน์
phim_yingthai@outlook.co.th
พรนภา หอมสินธุ์
phim_yingthai@outlook.co.th
<p><strong>บทนำ</strong> ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามมีการใช้เพิ่มขึ้นในกลุ่มนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศหญิง งานวิจัยที่ผ่านมาส่วนใหญ่มุ่งเน้นในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป การศึกษาที่เฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงตอนต้นมีจำกัด และขาดกรอบแนวคิดทฤษฎีที่ชัดเจน ความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่พฤติกรรม จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของวัยรุ่นหญิงตั้งแต่ระยะแรกให้เร็วที่สุด </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น ได้แก่ ประสบการณ์การสูบบุหรี่มวนและการใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่มวน ในปัจจุบัน การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ทัศนคติต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า การสูบบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าของเพื่อน การสูบบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าของผู้ปกครอง และการเข้าถึงสื่อ </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงความสัมพันธ์ โดยใช้ทฤษฎี อิทธิพลสามทางของเฟลย์ และพีเทรียทีส เป็นกรอบแนวคิดของการศึกษา เนื่องจากเป็นทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ครอบคลุมทั้งปัจจัยระดับบุคคล ระหว่างบุคคล และสังคม สิ่งแวดล้อม โดยสาเหตุ หรือปัจจัยต่าง ๆ ในแต่ละกลุ่มส่งผลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่แตกต่างกันตั้งแต่ระดับน้อยจนถึงมาก และส่งผลต่อความตั้งใจทดลองพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือเริ่มต้นพฤติกรรมนั้น ซึ่งจะนำไปสู่การทำนายพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของบุคคลนั้น </p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 193 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในกำกับของรัฐ ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยมีเกณฑ์คัดเข้ากลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1) สัญชาติไทย 2) อายุ 13 -15 15 ปี 3) ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง และหรือผู้อำนวยการโรงเรียน และนักเรียนเต็มใจเข้าร่วมการวิจัย คำนวณขนาดตัวอย่างด้วยสูตรที่ใช้ในการสำรวจ เพื่อการประเมินสัดส่วนของพาเรล และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมการสูบบุหรี่และการใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าของเพื่อนและบุคคลในครอบครัว ความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า การเข้าถึงสื่อ และความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า การตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ไฟฟ้า แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า แบบสอบถามการเข้าถึงสื่อ และแบบสอบถามความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาคของแบบสอบถามเท่ากับ .86, 90, .80 และ 95 ตามลำดับ และค่าคูเดอร์-ริชาร์ดสันของแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติพรรณนาได้แก่การแจกแจง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงคือ การวิเคราะห์ลอจิสติกแบบทวิ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 13 ปี (SD = .279) ส่วนใหญ่มีเกรดเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป (ร้อยละ 94.3) พักอาศัยอยู่กับบิดามารดา (ร้อยละ 66.3) ได้รับเงินมาโรงเรียน 100 - 199 บาทต่อวัน (ร้อยละ 62.2) บิดามารดาอาศัยอยู่ด้วยกัน (ร้อยละ 67.9) มีความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า (ร้อยละ 29.5) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาตอนต้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า (Adjusted Odds Ratio: AOR = 8.81, 95% C1= 3.784 - 20.529) การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ไฟฟ้า (AOR = 3.55, 95% CI = 1.559 - 8.061) และการเข้าถึงสื่อ (AOR = 2.65, 95% CI = 1.177 - 5.948)</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> ผลการศึกษานี้เป็นประโยชน์กับผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากลยุทธ์การป้องกันการทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนหญิงมัธยมตอนต้นในโรงเรียนโดยค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อความตั้งใจสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ ทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ไฟฟ้าและการเข้าถึงสื่อ</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274117
ประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ในสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด เอ วัน
2025-03-11T11:58:50+07:00
ภภีม โทบุราณ
papeam_to@kkumail.com
นิลุบล รุจิรประเสริฐ
papeam_to@kkumail.com
<p><strong>บทนำ</strong> ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของการตั้งครรภ์ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสมช่วยลดความเสียงต่อภาวะแทรกซ้อนทั้งในมารดาและทารก การใช้โปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ช่วยให้สตรีตั้งครรภ์สามารถติดตามพฤติกรรมสุขภาพ และระดับน้ำตาลในเลือดได้สะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถสื่อสารกับทีมสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นการส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกายและระดับน้ำตาลในเลือด หลังบริโภคอาหาร 2 ชั่วโมงของสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด เอ วัน </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การศึกษานี้เป็นแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มทดสอบก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้แนวคิดการจัดการตนเองของเครียร์เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด เอ วัน โปรแกรมประกอบด้วย 6 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) การตั้งเป้าหมาย ซึ่งสตรีตั้งครรภ์และทีมสุขภาพ ร่วมกันกำหนดเป้าหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งช่วยให้สตรีตั้งครรภ์สามารถบันทึกพฤติกรรมสุขภาพ เช่น อาหารที่บริโภค กิจกรรมการออกกำลังกาย และระดับน้ำตาลในเลือดผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ในแอปพลิเคชันไลน์ 3) การประมวลผลและประเมินข้อมูล ซึ่งช่วยให้สตรีตั้งครรภ์ตระหนักถึงผลกระทบของพฤติกรรมที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด 4) การตัดสินใจที่ช่วยให้สตรีตั้งครรภ์เลือกแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น การเพิ่มการออกกำลังกายหรือลดปริมาณอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง 5) การลงมือปฏิบัติเป็นกระบวนการที่สตรีตั้งครรภ์ดำเนินการตามแผนที่กำหนด โดยมีทีมีสุขภาพติดตามผล และให้คำแนะนำผ่านแอปพลิเคชันไลน์ และ 6) การสะท้อนตนเอง ซึ่งช่วยให้สตรีตั้งครรภ์ประเมินการปฏิบัติของตนเองและปรับปรุงพฤติกรรมให้เหมาะสมในอนาคต </p> <p><strong>วิธีการดำเนินการวิจัย </strong>กลุ่มตัวอย่างคือสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ชนิด เอ วัน จำนวน 52 คน ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากคลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจัดเข้ากลุ่มควบคุม 26 คน และ กลุ่มทดลอง 26 คน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามมาตรฐาน ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาล ตามมาตรฐานร่วมกับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ใช้ระยะเวลา 7 สัปดาห์ โปรแกรมผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่มีความเที่ยงโดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค .71 แบบสอบถามพฤติกรรมการออกกำลังกาย ที่มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค .95 และแบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดหลังบริโภคอาหาร 2 ชั่วโมง เก็บข้อมูลในสัปดาห์ที่ 1, 3, 5 และ 7 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบที่แบบอิสระ การทดสอบทีแบบคู่ และการทดสอบไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> ตัวอย่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีอายุเฉลี่ย 29.26 ปี (SD = 5.95) และ 28.57 ปี (SD = 6.16) ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร (M = 41.92, SD = 3.68) สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (M = 36.34, SD = 4.48) และสูงกว่า กลุ่มควบคุม (M = -37.46, SD = 5.21) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -6.395, 3.568, p<.001) ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกาย (M = 36.88. SD = 8.29) สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (M = 29.76, SD = 10.93) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม (M = 28.26, SD = 8.44) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -4.135, 3.712, p < .001) นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีสัดส่วนของผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาล หลังบริโภคอาหาร 2 ชั่วโมงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ( 120 mg/dL) มามากกว่ากลุ่มควบคุมในสัปดาห์ที่ 3 และ 5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (χ² = 4.282, p = .039; χ² = 9.028, p = .003) อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มมีสัดส่วนของผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติในสัปดาห์ที่ 7 ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (χ² = 3.519, p = .061)</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> พยาบาลและบุคลากรทีมสุขภาพสามารถประยุกต์ใช้โปรแกรมการจัดการตนเองผ่านแอปพลิเคชันไลน์เพื่อส่งเสริมการควบคุมพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย และระดับน้ำตาลในสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด เอ วัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถติดตามพฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะการแจ้งเตือนสุขภาพ การใช้คู่มือออนไลน์ และการติดตามผลแบบเรียลไทม์</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274794
ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัวสำหรับกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวานในจังหวัดชัยภูมิ
2025-04-28T15:00:40+07:00
สมคิด โชตินวกุล
yaikid1623@gmail.com
สุทธีพร มูลศาสตร์
yaikid1623@gmail.com
สมนึก สกุลหงส์โสภณ
yaikid1623@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong> โรคเบาหวานเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขทั่วโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่อย่างต่อเนื่อง การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ การศึกษาที่ผ่านมา พบว่าการจัดการตนเองร่วมกับการสนับสนุนจากครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้เป็นโรคเบาหวานและกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด ส่งผลให้สามารถลดดัชนีมวลกายและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ กลุ่มสงสัยป่วยเบาหวาน เป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการวินิจฉัยโรค ซึ่งผลการวินิจฉัยอาจระบุได้ทั้งเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือ เป็นกลุ่มเสี่ยง หากสร้างเสริมการจัดการตนเองร่วมกับการสนับสนุนจากครอบครัวในระยะนี้ จะช่วยส่งผลดีต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ลดโอกาสในการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานในอนาคด และยังช่วยควบคุมโรคในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว ต่อความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวาน การสนับสนุนของครอบครัว พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวาน ดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวาน </p> <p><strong>แบบการวิจัย</strong> การวิจัยนี้เป็นแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังประยุกต์แนวคิดการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวของไรอัลและซาวิน ประกอบด้วยด้านบริบท โดยประเมินพฤติกรรมสุขภาพปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยง และศักยภาพของครอบครัวในการสนับสนุน ด้านกระบวนการ โดยจัดกิจกรรมในการเสริมสร้างความรู้ ทักษะความสามารถในการจัดการตนเองด้านอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียดโดยการสนับสนุนจากครอบครัว รวมถึงการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ระยะสั้นในการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด นำสู่ผลลัพธ์ระยะยาว ได้แก่ ลดดัชนีมวลกายและระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อลดโอกาสในการเป็นโรคเบาหวาน</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวานในจังหวัดชัยภูมิจำนวน 70 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายตามเกณฑ์คัดเข้าจัดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 35 คน กำหนดขนาดของตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G* Power โดยใช้ขนาดอิทธิพล 0.80 จากการศึกษาที่ผ่านมา กำหนดอำนาจการทดสอบ .90 ผู้วิจัยระบุพื้นที่ในชุมชนอย่างเจาะจงให้เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จากนั้นสุ่มตัวอย่างเช้ากลุ่ม เครื่องมือวิจัยพัฒนาโดยผู้วิจัยแบ่งเป็น 2 ชุด ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว ระยะเวลา 8 สัปดาห์ กิจกรรมประกอบด้วย การอบรมเชิงปฏิบัติการจำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 และ 4 เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับครอบครัว ฝึกทักษะการออกกำลังกายด้วยการเต้นตีคลีไฟประกอบเพลง และการกำกับติดตามผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยครอบครัวสัปดาห์ละ 1 ครั้งตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูลทั่วไป (2) ความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวาน (3) การสนับสนุนของครอบครัว (4) พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวาน และ (5) การประเมินทางคลินิก ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง และระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้ว ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรม และแบบสอบถามแต่ละส่วนได้เท่ากันคือ 1 ตรวจสอบความเชื่อมั่นได้ค่า KR-20 ของแบบสอบถามความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานเท่ากับ .82 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราคของแบบสอบถามการสนับสนุนของครอบครัว และพฤติกรรมการจัดการตนเองเท่ากับ .86 และ .89 ตามลำดับ เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที่แบบอิสระและการทดสอบที่แบบคู่</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีข้อมูลทั่วไปและข้อมูลสุขภาพไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อายุเฉลี่ย (57.40, SD = 3.35 ปี และ 57.94, SD-4.45 ปีตามลำดับ) ภายหลัง เข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานโดยรวม (1=7.156, p <.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-9.367, p <.001) การสนับสนุนของครอบครัวในการป้องกันโรคเบาหวานในภาพรวม (t=10.957, p<.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-.11.580, p <.001) พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวานโดยรวม (t=17.024, p<.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม โปรแกรม (1=-20.922,px.001) ดัชนีมวลกายน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (t=-3.100, p=.003) และน้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (1=7.425, p<.001) ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่ากับกลุ่มควบคุม (๒-5.431, p<.001) และน้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-7.395, p<.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ </strong>พยาบาลและทีมสหวิชาชีพที่ให้การดูแลกลุ่มสงสัยโรคเบาหวานสามารถนำโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว โดยเฉพาะการสร้างเสริมความรู้และความเชื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การสร้างเสริมทักษะการควบคุมกำกับตนเอง และการสร้างเสริมครอบครัวในการป้องกันโรคเบาหวานไปใช้ในกลุ่มเป้าหมายที่มีบริบทใกล้เคียงกัน</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/274791
ความต้องการของผู้ป่วย ญาติผู้ดูแล และพยาบาลในการดูแลโรคหลอดเลือดสมองในชุมชน
2025-04-17T16:36:08+07:00
จุรีพร เกษแก้ว
jureemu58@gmail.com
นพวรรณ เปียซื่อ
noppawan.pia@mahidol.ac.th
สุภามาศ ผาติประจักษ์
suphamas.par@mahidol.edu
<p><strong>บทนำ </strong>โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม การวิจัยเกี่ยวกับความต้องการในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีชุมชนเป็นฐานยังมีจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ดูแลในครอบครัว และพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพแบบพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบาย ความต้องการในการดูแลของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ดูแลในครอบครัว และพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบพรรณนา </p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong>ผู้ให้ข้อมูลเป็นพยาบาล 35 คน ที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิใน 4 จังหวัดทางภาคกลาง และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือผู้ดูแลในครอบครัว จำนวน 25 คน เลือกแบบเจาะจง ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มโดยใช้แนวคำถามกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา </p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 80) มีเพียง 5 คนที่อยู่ในระยะฟื้นตัวระยะเวลาการรับบริการจากหน่วยบริการปฐมภูมิเฉลี่ย 60 เดือน ความต้องการของผู้ป่วยหรือผู้ดูแลในครอบครัว ได้แก่ 1) ข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาณเตือนและการรักษา 2) การสนับสนุนทางสังคมและเครือข่ายการดูแล 3) บริการทางสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน และ 4) การบริการที่มีประสิทธิภาพและการสื่อสารเชิงบวก ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความต้องการด้านโครงสร้าง ในเรื่องบุคลากรและสถานที่ โดยต้องการให้มีพยาบาลเพิ่มขึ้น และมีสถานที่ให้บริการที่กว้างขวางขึ้น มีที่นั่งเพียงพอ ความต้องการด้านกระบวนการ ได้แก่ คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัฏิบัติและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น แนวทางการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การเลิกสูบบหรี่ และการสังเกตอาการเตือนของโรค นอกจากนี้ยังมีความต้องการด้านการดูแลในภาวะฉุกเฉิน และการได้รับบริการและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลระยะยะยาว พยาบาลทั้งหมดเป็นเพศหญิง มีค่ามัธยฐานของประสบการณ์ในการทำงานที่หน่วยบริการปฐมภูมิ 8 ปี ความต้องการของพยาบาล ได้แก่ 1) ทักษะการดูแลผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน 2) ความเป็นมืออาชีพด้านการจัดการ/การบริหารจัดการ และ 3) ประสิทธิภาพของระบบการดูแล</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ </strong>ผลการศึกษานี้เสนอแนะให้มีการพัฒนาแนวทางการจัดการดูแลผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง โดยการเสริมทักษะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินให้กับพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการบริหารจัดการเครือข่ายและการสนับสนุนการดูแล รวมถึงการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยหรือผู้ดูแล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในชุมชน</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/275852
ประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติโดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงของนักศึกษาพยาบาล: การศึกษาติดตาม
2025-06-09T15:11:40+07:00
นารีรัตน์ บุญเนตร
nareerat.b@stin.ac.th
มินธิฌา ไกรสิทธิ์
minticha.k@stin.ac.th
เนตรสุมล จตุรจรรยาเลิศ
netsumol.j@stin.ac.th
กฤษณา ทไนสวรรค์
kritsana.t@stin.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong> การเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาพยาบาลก่อนเข้าสู่การฝึกปฏิบัติจริง เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ในสถานการณ์จริงมักประสบข้อจำกัดหลายประการ ทั้งในด้านจำนวนผู้รับบริการที่ไม่เพียงพอ ลักษณะของสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้ ตลอดจนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ป่วย ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนทักษะทางคลินิกของผู้เรียน และอาจส่งผลต่อความมั่นใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งเทคโนโลยีเสมือนจริง เป็นเครื่องมือที่สามารถจำลองสถานการณ์ที่มีความสมจริงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสามารถควบคุมได้ ผู้เรียนจึงสามารถฝึกฝนทักษะซ้ำได้หลายครั้งโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยจริง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อติดตามผลของการเตรียมความพร้อม ในการทำคลอดปกติที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานต่อความพึงพอใจ ความมั่นใจ และคะแนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงสถานการณ์การคลอดปกติ ความมั่นใจ และคะแนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 ระหว่างกลุ่มเตรียมความพร้อมตามเกณฑ์มาตรฐานและกลุ่มเตรียมความพร้อมสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน </p> <p><strong>การออกแบบการวิจัย</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลติดตามไปข้างหน้า โดยใช้กรอบแนวคิด การเรียนรู้ด้วยตนเองของ Garison มาประยุกต์ใช้ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง แนวคิดดังกล่าวสามารถเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนในหลายมิติ ได้แก่ การบริหารจัดการตนเอง การติดตาม ควบคุมตนเอง และแรงจูงใจในการเรียนรู้</p> <p><strong>การดำเนินการวิจัย</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 หลักสูตรพยาบาบาลศาสตรบัณฑิต สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ที่ลงทะเบียนในรายวิชาการพยาบาลมารดาทารก และการผดุงครรภ์ 1 ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2566 และรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2567 จำนวน 198 คน เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูล จากประชากรทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์ในช่วงเวลาที่กำหนด จึงไม่มีการคำนวณขนาดตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินคะแนนการฝึกทำคลอดปกติด้วยสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริง มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1 แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยี เสมือนจริงสถานการณ์การคลอดปกติ ความมั่นใจในการทำคลอดปกติ มีค่าความเชื่อมั่น โดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .92 และแบบการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Mann-Whitney U test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> กลุ่มเตรียมความพร้อมสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่มีการใช้สื่อ Vitual Reality (VR) การคลอดปกติ ในการฝึกทำคลอดปกติด้วยตนเองโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง มีคะแนนนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ (M = 26.05, SD = 3.17) มากกว่ากลุ่มเตรียมความพร้อมตามเกณฑ์มาตรฐาน (M = = 24.73, SD = 3.83) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = -2.430,p =.015) อย่างไรก็ตาม ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีเสมือนจริง และความมั่นใจในการเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ </strong>ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงมีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ดังนั้นจึงควรมีการบูรณาการสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเข้าสู่กระบวนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้นักศึกษาเกิดความคุ้นเคยและสามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น การศึกษาครั้งนี้เป็นเชิงเปรียบเทียบ จึงควรมีการออกแบบวิจัยครั้งต่อไปให้สามารถควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสุ่มตัวอย่างหรือการจัดกลุ่มอย่างชัดเจน</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล