https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/issue/feed วารสารโรคเอดส์ 2025-08-31T16:30:17+07:00 Wiwat Rojanapithayakorn wiwatroj@yahoo.com Open Journal Systems <p> วารสารโรคเอดส์ เป็นวารสารทางวิชาการ จัดทำและเผยแพร่โดยกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นแหล่งความรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริการประชาชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี โดยรับตีพิมพ์บทความประเภท นิพนธ์ต้นฉบับ รายงานผลการปฏิบัติงาน บทความฟื้นวิชา รายงานผู้ป่วย กรณีศึกษา และบทความพิเศษ โดยวารสารโรคเอดส์ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใด ๆ จากผู้เขียนในทุกขั้นตอน<span class="Y2IQFc" lang="th"><br /></span><strong>กำหนดเผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1 : เดือนมกราคม - เดือนเมษายน<br />ฉบับที่ 2 : เดือนพฤษภาคม - เดือนสิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 : เดือนกันยายน - เดือนธันวาคม<br /><strong>ISSN</strong> 0857-8575 (Print) ยกเลิกการพิมพ์ ปี พ.ศ. 2563<br /><strong>ISSN</strong> 2985-0371 (Online) เริ่มใช้งาน 25 พ.ค. 2566</p> <p> สำหรับผู้ที่สนใจเป็นสมาชิกและส่งบทความ ในระบบ ThaiJO วารสารโรคเอดส์ สามารถศึกษาข้อมูลได้ผ่านลิงค์ด้านล่าง<br /><a title="ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์" href="https://drive.google.com/file/d/1rSUeCbjNuIMKKXqvzyL4OMni58yeu-e7/view?usp=sharing">ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์</a><br /><a title="ขั้นตอนการส่งบทความ" href="https://drive.google.com/file/d/10A0wY7vhcSmV2n0tErElXvyvpMb9OjZJ/view?usp=sharing">ขั้นตอนการส่งบทความ</a><br />และสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ <strong>Information</strong> และ <strong>คู่มือการใช้งานระบบ </strong><strong>ThaiJO </strong>บนหน้าเว็บไซต์</p> <p> </p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/273665 ระบบการให้คะแนนทำนายการเสียชีวิตในระยะแรกของผู้ป่วยวัณโรค: การทบทวนการนำไปใช้ทางคลินิก 2025-06-24T15:16:34+07:00 ปรารถนา พลากำแหง Prattana1029@hotmail.com ปรเมษฐ์ อินทร์สุข poramate_is@mju.ac.th ปรมัติ ศักดิ์แสน porra2636@gmail.com <p>การเสียชีวิตในระยะแรกของการรักษาวัณโรคยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก โดยพบอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 50 ในช่วง 2-3 เดือนแรกของการรักษา การพัฒนาระบบการให้คะแนนทำนายความเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคัดกรองและวางแผนการดูแลรักษา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ระบบการให้คะแนนที่ใช้ในปัจจุบัน โดยศึกษาองค์ประกอบและตัวแปรสำคัญในการพยากรณ์โรค ประเมินประสิทธิภาพและข้อจำกัดในทางคลินิก ตลอดจนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำไปประยุกต์ใช้สำหรับหน่วยบริการสาธารณสุขในระดับต่างๆ การศึกษาใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ที่เกี่ยวกับการนำไปใช้ทางคลินิก ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการระบบคะแนนพื้นฐานที่ใช้ตัวแปรทางคลินิกประมาณ 5-8 ตัวแปร สู่ระบบที่มีความซับซ้อน ซึ่งบูรณาการตัวแปรทางคลินิก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และปัจจัยทางประชากรศาสตร์และสังคม รวมถึงการพัฒนาระบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตโดยระบบที่พัฒนาขึ้นมีค่าความแม่นยำในการทำนาย (area under the curve, AUC) อยู่ระหว่าง 0.81-0.89 และสามารถลดอัตราการเสียชีวิตในช่วง 2 เดือนแรกได้ร้อยละ 30-40 แม้จะพบข้อจำกัดด้านความแม่นยำในประชากรที่มีความแตกต่างและความซับซ้อนในการประยุกต์ใช้ แต่แนวโน้มการพัฒนาที่มุ่งเน้นการใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีใหม่ ควบคู่กับการพัฒนาระบบที่มีความยืดหยุ่น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำนายและความเหมาะสมกับบริบทที่แตกต่างกัน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรคเอดส์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/273872 ผลของโปรแกรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ต่อการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดในอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) 2025-05-29T11:04:26+07:00 ศุภกิจ บัวลอยลม supakij_bualoylom@cmu.ac.th วิลาวัณย์ เตือนราษฎร์ Wilawan.tuanrat@cmu.ac.th ศิวพร อึ้งวัฒนา sivaporn.a@cmu.ac.th <p>อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการดำเนินการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรควัณโรคในเรือนจำ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ในการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคของ อสรจ. เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental study) แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (two-group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่าง คือ อสรจ. จำนวน 36 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 18 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ แผนกิจกรรมโปรแกรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นตามแนวคิดของโคล์บ ระยะเวลา 5 สัปดาห์ เอกสารบรรยายเนื้อหาสถานการณ์ของวัณโรคในเรือนจำและการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดในเรือนจำ คู่มือการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดในเรือนจำ สำหรับ อสรจ. และชุดอุปกรณ์การปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดในเรือนจำสำหรับ อสรจ. และ (2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสังเกตการประเมินการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอด ซึ่งผ่านการตรวจสอบและแก้ไข จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 ท่าน ได้ค่าความเที่ยงตรงเนื้อหา (content validity index) เท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่น (reliability) เท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square test, Fisher’s exact test, independent t-test และสถิติ McNemar test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีสัดส่วนการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่ากลุ่มทดลองมีการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคปอดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) ผลการวิจัยสามารถนำใช้พัฒนา อสรจ. ให้มีการปฏิบัติการป้องกันวัณโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรคเอดส์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/272698 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ โรงพยาบาลดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา 2025-04-28T12:01:54+07:00 ลาเดือน แก้วจินดา laduen_k@hotmail.com พรทิพย์ ปาอิน porntip.pa@up.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental design) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (one group pretest-posttest design) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ โรงพยาบาลดอกคำใต้ ระหว่างเดือนสิงหาคม - ธันวาคม ปี พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 ราย เลือกแบบเจาะจง เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ รักษาแบบผู้ป่วยนอกด้วยยาต้านไวรัสและมีผลตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดมากกว่า 20 copies/mL ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ ตามรูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข 5 กิจกรรม ได้แก่ (1) กิจกรรมฝึกทักษะการเข้าถึง (2) กิจกรรมฝึกทักษะการสร้างความเข้าใจ (3) กิจกรรมฝึกทักษะการไต่ถาม (4) กิจกรรมฝึกทักษะการตัดสินใจ และ (5) กิจกรรมฝึกทักษะการนำไปใช้ โดยผ่านการให้ความรู้ การติดตามหนุนเสริมกำลังใจเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและติดตามข้อมูลหลังครบ 5 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ paired t-test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) สรุปได้ว่า โปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในทางที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น ควรมีการเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพแก่กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์อย่างสม่ำเสมอ และควรมีการติดตามผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรคเอดส์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/270943 คุณภาพชีวิตของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีสูตรผสมทีแอลดี (เทนอฟโฟเวียร์ ไดโซฟร็อกซิล ฟิวเมอเรท ลามิวูดีน และโดลุเทกราเวีย) ที่รับการรักษาในโรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-07-23T14:24:48+07:00 รัตนวรรณ เเก้วไข่ rattanawanv1@gmail.com อุดมรัตน์ ปลอดชูแก้ว udomrat41@yahoo.com พรเทพ เดชผล wslnw.pd@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสสูตรผสมทีแอลดี (เทนอฟโฟเวียร์ ไดโซฟร็อกซิล ฟิวเมอเรท ลามิวูดีน และโดลุเทกราเวีย) ที่โรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่มีอายุมากกว่า 18 ปี และได้รับยาต้านไวรัสเป็นสูตรผสมทีแอลดีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จำนวน 286 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม WHOQOL-BREF-THAI วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและถดถอยพหุโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า คะแนนคุณภาพชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 97.44±11.93 (ค่าน้อยสุด = 65, ค่ามากสุด = 127) โดยผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ร้อยละ 57.7 มีคุณภาพชีวิตในระดับดี และที่เหลือร้อยละ 42.3 อยู่ในระดับปานกลาง ไม่พบผู้ที่มีคุณภาพชีวิตในระดับไม่ดี ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตระดับดีอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี (OR<sub>adj</sub> = 13.77, 95%CI: 5.83–32.52, p&lt;0.05) และการเปิดเผยสถานะการติดเชื้อแก่ครอบครัวหรือบุคคลที่ไว้ใจ (OR<sub>adj</sub> = 2.12, 95%CI: 1.26–3.56, p&lt;0.05) ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสนับสนุนทางสังคมและการได้รับการสนับสนุนจากคนใกล้ชิดในการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ ลดความเครียด และส่งเสริมการดูแลตนเอง อย่างไรก็ตาม ควรมีการเปิดเผยข้อมูลสถานะการติดเชื้ออย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรคเอดส์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/273248 การพัฒนารูปแบบการจัดบริการคัดกรองเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบ ซี ในกลุ่มผู้ต้องขัง เขตสุขภาพที่ 8 ปี 2563 - 2564 2025-07-16T16:24:33+07:00 ดวงเดือน จันทะโชติ duangchan252219@gmail.com จิราภา ตาลหยง iamjirapa14@gmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการคัดกรองเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบ ซี ในกลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มเป้าหมาย คือ (1) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล เรือนจำ จำนวน 35 คน (2) กลุ่มผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในเรือนจำเป้าหมาย 5 แห่งในเขตสุขภาพที่ 8 จำนวน 7,876 คน ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2562 - กันยายน พ.ศ. 2564 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรม แบบบันทึกการคัดกรอง การสนทนากลุ่ม และถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า การจัดบริการ มี 2 รูปแบบ คือ (1) แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ปฏิบัติงานภายใต้ภาวะปกติ และ (2) แบบเน้นบทบาทเรือนจำเป็นหลัก ปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ความแตกต่างรูปแบบใหม่ คือ ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการตามสถานการณ์ การมอบอำนาจให้เรือนจำจัดการในกระบวนการหลัก และการประสานการดำเนินงานเชิงระบบการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจากภาคีเครือข่าย ทำให้เกิดความต่อเนื่องของระบบบริการมากยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2564 ผลการคัดกรองเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563 โดยการคัดกรองเอชไอวีจาก 1,209 ราย เป็น 6,667 ราย คัดกรองซิฟิลิส 1,209 ราย เป็น 2,648 ราย และคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ซี 1,209 ราย เป็น 5,604 ราย ความชุกการติดเชื้อในปี พ.ศ. 2563-2564 พบติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 0.99 และ 0.66 ซิฟิลิสร้อยละ 2.56 และ 1.78 และไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 0.90 และ 1.39 ตามลำดับ ปัจจัยความสำเร็จ ผู้บริหารสนับสนุนงานนโยบาย การมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่าย และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะที่ได้ คือ ควรมีการจัดบริการอย่างต่อเนื่องและให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ต้องขังแรกรับเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคไปสู่ผู้ต้องขังรายอื่นในเรือนจำ และเน้นให้ความรู้คำแนะนำและสนับสนุนอุปกรณ์ในการป้องกันตนเองในผู้ต้องขังรายเก่าที่มีพฤติกรรมเสี่ยง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารโรคเอดส์