วารสารโรคเอดส์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal
<p> วารสารโรคเอดส์ เป็นวารสารทางวิชาการ จัดทำและเผยแพร่โดยกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นแหล่งความรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริการประชาชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี โดยรับตีพิมพ์บทความประเภท นิพนธ์ต้นฉบับ รายงานผลการปฏิบัติงาน บทความฟื้นวิชา รายงานผู้ป่วย กรณีศึกษา และบทความพิเศษ โดยวารสารโรคเอดส์ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใด ๆ จากผู้เขียนในทุกขั้นตอน<span class="Y2IQFc" lang="th"><br /></span><strong>กำหนดเผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1 : เดือนมกราคม - เดือนเมษายน<br />ฉบับที่ 2 : เดือนพฤษภาคม - เดือนสิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 : เดือนกันยายน - เดือนธันวาคม<br /><strong>ISSN</strong> 0857-8575 (Print) ยกเลิกการพิมพ์ ปี พ.ศ. 2563<br /><strong>ISSN</strong> 2985-0371 (Online) เริ่มใช้งาน 25 พ.ค. 2566</p> <p> สำหรับผู้ที่สนใจเป็นสมาชิกและส่งบทความ ในระบบ ThaiJO วารสารโรคเอดส์ สามารถศึกษาข้อมูลได้ผ่านลิงค์ด้านล่าง<br /><a title="ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์" href="https://drive.google.com/file/d/1rSUeCbjNuIMKKXqvzyL4OMni58yeu-e7/view?usp=sharing">ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์</a><br /><a title="ขั้นตอนการส่งบทความ" href="https://drive.google.com/file/d/10A0wY7vhcSmV2n0tErElXvyvpMb9OjZJ/view?usp=sharing">ขั้นตอนการส่งบทความ</a><br />และสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ <strong>Information</strong> และ <strong>คู่มือการใช้งานระบบ </strong><strong>ThaiJO </strong>บนหน้าเว็บไซต์</p> <p> </p>
Division of AIDS and STIs, Department of Disease Control, Ministry of Public Health.
th-TH
วารสารโรคเอดส์
2985-0371
-
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/270346
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง กลไกทางโมเลกุล และการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเบื้องต้น จากรายงานผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง มีภาวะกล้ามเนื้อน้อยมีประมาณ ร้อยละ 21.9 - 22.4 และจากการติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลา 27 ปี พบว่า ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี มีโอกาสเสี่ยงที่กล้ามเนื้อเสื่อม 0.95 – 2.23 เท่า และ all-cause cumulative mortality สูงถึงร้อยละ 35.2 ชี้ให้เห็นว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษามีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะการสูญเสียกล้ามเนื้อได้เนื่องจากตับมีส่วนสำคัญในการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อโดยผ่านกลไกการเปลี่ยนแปลงทางโมเลกุลเป็นระยะเวลานาน เช่น การอักเสบของกล้ามเนื้อและจับตัวกันเป็นก้อนในเส้นใยกล้ามเนื้อ (inclusion body myositis) อินซูลินทำงานบกพร่อง เป็นต้น โดย core protein และ nonstructural protein 5A ของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะไปกระตุ้นให้หลั่ง inflammatory cytokines ในขณะเดียวกันก็กดการทำงานของ cytokine signaling proteins ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน กล้ามเนื้อนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้น้อยลงทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียสภาพและเมตาบอลิซึมเปลี่ยนแปลง ทำให้เข้าสู่ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยเนื่องจากอิทธิพลระหว่าง virus-host-environment นอกจากการบริโภคโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นร่วมกับการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านและแบบแอโรบิก หรือการกินยาบางชนิดที่อาจจะส่งผลด้านดีต่อการดูแลกล้ามเนื้อแล้ว การประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังได้</p>
กาญจนา ศรีสวัสดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารโรคเอดส์
2025-04-30
2025-04-30
37 1
46
55
10.14456/taj.2025.5
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพตามโมเดล K-shape ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มผู้ต้องขังชายที่ติดเชื้อเอชไอวีในเรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/272081
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพตามโมเดล K-shape ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มผู้ต้องขังชายที่ติดเชื้อเอชไอวีในเรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี ดำเนินการในกลุ่มผู้ต้องขังชายที่ติดเชื้อเอชไอวีในเรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี จำนวน 59 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 29 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพตามโมเดล K-shape ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ดำเนินการทดลอง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ และแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และพฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย paired sample t-test และ independent sample t-test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพตามโมเดล K-shape ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และพฤติกรรมการดูแลตนเอง เพิ่มขึ้นและสูงกว่าระยะก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p>
สิริลักษณ์ พรหมโกมุท
Copyright (c) 2025 วารสารโรคเอดส์
2025-04-30
2025-04-30
37 1
1
12
10.14456/taj.2025.1
-
ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ของผู้ป่วยเอชไอวีหลังปรับยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นสูตรผสม TLD (tenofovir disoproxil fumarate, lamivudine และ dolutegravir) ที่รับการรักษา ณ โรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/271147
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยเอชไอวีที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ที่เข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส tenofovir disoproxil fumarate, lamivudine และ dolutegravir (TLD) ที่โรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 รวมจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 450 ราย ข้อมูลถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ได้แก่ กลุ่มที่ 1 มีจำนวน CD4 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (276 ราย) และกลุ่มที่ 2 ที่มีจำนวน CD4 มีแนวโน้มลดลง (174 ราย) ผลการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของจำนวน CD4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ จำนวน CD4 พื้นฐาน ร้อยละของจำนวน CD4 พื้นฐานน้ำหนักตัวก่อนและหลังการรักษาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ก่อนและหลังการรักษาการนอนหลับพักผ่อนมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน การออกกำลังกายมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ การดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน การรับประทานผักมากกว่า 1 ทัพพีต่อวัน และการเปิดเผยข้อมูลการติดเชื้อและมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี นอกจากนี้ ยังพบว่า การทำกิจกรรมทางศาสนา เช่น การนั่งสมาธิในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของจำนวน CD4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าทั้งปัจจัยทางกายภาพและจิตสังคมมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นสูตรผสม TLD ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าในบริบทที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงแนวทางการรักษาและการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
อุดมรัตน์ ปลอดชูแก้ว
รัตนวรรณ แก้วไข่
พรเทพ เดชผล
Copyright (c) 2025 วารสารโรคเอดส์
2025-04-30
2025-04-30
37 1
13
23
10.14456/taj.2025.2
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศติดตามงานโรคเอดส์ในโรงพยาบาลด้วยวิธีเยี่ยมเสริมพลังแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวี เขตสุขภาพที่ 10
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/270751
<p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศโดยใช้การเยี่ยมเสริมพลังแบบบูรณาการงานป้องกันควบคุมโรคเอดส์ เขตสุขภาพที่ 10 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยเลือกพื้นที่แบบเจาะจง จำนวน 29 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัดทุกแห่ง และโรงพยาบาลชุมชนในเขตสุขภาพที่ 10 ที่มีผลการดำเนินงานการรักษาผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีต่ำกว่าร้อยละ 80.0 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหาร และทีมสหวิชาชีพในโรงพยาบาล ทำการศึกษาระหว่าง 1 ตุลาคม 2562 - 30 กันยายน 2565 เก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านระบบรายงานข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ (NAP web report) และวัดระดับความพึงพอใจ ข้อมูลเชิงคุณภาพรวบรวมข้อมูลจากการสอบถาม การสนทนากลุ่ม การสรุปจากเอกสาร และการถอดบทเรียน ได้รูปแบบการนิเทศงานเยี่ยมเสริมพลังแบบบูรณาการเขตสุขภาพที่ 10 มีขั้นตอนกระบวนงาน TDRC 4 ขั้นตอน คือ (1) การเตรียมทีม (team) (2) ข้อมูล (data) (3) การสรุปผล (result) และ (4) การนำผลย้อนกลับมาพัฒนา (continuing) ผลการดำเนินงานระดับเขต พบว่า ด้านผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีได้รับบริการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีระดับเขตเพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 80.0 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เป็น ร้อยละ 86.0 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผลการดำเนินงานระดับโรงพยาบาล พบว่า จำนวนโรงพยาบาลที่สามารถปรับระดับการเข้าถึงการรักษาผู้อยู่ร่วมก้บเอชไอวีจากระดับสีแดงไปเป็นระดับสีเหลืองและสีเขียวเพิ่มขึ้น จำนวน 23 แห่ง คิดเป็น ร้อยละ 79.3 ระดับความพึงพอใจในการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมาก (Mean=4.36, SD=0.55) ปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ การบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพ งบประมาณและการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่าย ข้อเสนอแนะควรพัฒนาทักษะการสื่อสารเชิงนโยบายต่อผู้บริหารของทีมเยี่ยมต่อไป</p>
พัชมณ เจริญนาวี
สุริยงค์ บุญประเชิญ
นิตยา ดาวงศ์ญาติ
จิรัญญา มุขขันธ์
ทิพวรรณ์ หมื่นพัน
Copyright (c) 2025 วารสารโรคเอดส์
2025-04-30
2025-04-30
37 1
24
35
10.14456/taj.2025.3
-
ผลของโปรแกรมลดการตีตราตนเองของผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี โรงพยาบาลคลองหอยโข่ง (ยุวสมาคมแห่งประเทศไทย) อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/271063
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมลดการตีตราตนเองของผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว คือ ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีที่มารับยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่โรงพยาบาลคลองหอยโข่ง อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2567 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีแบบสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีของกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และสื่อวีดิทัศน์ เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติ paired sample t-test เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการตีตราตนเองและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมลดการตีตราตนเอง ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีมีภาพรวมการลดการตีตราตนเองทั้งก่อนและหลังไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.14) แต่มีการตีตราตนเองลดลงในด้าน (1) “รู้สึกท้อแท้/สิ้นหวัง เนื่องจากติดเอชไอวี” และ (2) “รู้สึกอายที่ติดเชื้อเอชไอวี” และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองเพิ่มขึ้น (1) “รู้สึกว่าตนเองเป็นคนล้มเหลว” (2) “ต้องการยอมรับนับถือตนเองมากกว่านี้” (3) “รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าเท่าเทียมกับคนอื่นๆ” (4) “มีความสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดี เท่าเทียมกับคนอื่นๆ” (5) “รู้สึกว่าตนเองยังมีสิ่งที่ดีอยู่หลายอย่าง” (6) “มีมุมมองความคิดที่ดีต่อตนเอง” และ (7) โดยรวม “มีความพึงพอใจในตนเอง” อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้น การใช้โปรแกรมการให้ความรู้ และมีกรณีตัวอย่างให้ศึกษาในวีดิทัศน์โดยการส่งทางไลน์ น่าจะทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมได้</p>
นงนุช มนตรีกุล ณ อยุธยา
Copyright (c) 2025 วารสารโรคเอดส์
2025-04-30
2025-04-30
37 1
36
45
10.14456/taj.2025.4