วารสารโรคเอดส์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal
<p> วารสารโรคเอดส์ เป็นวารสารทางวิชาการ จัดทำและเผยแพร่โดยกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการ และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นแหล่งความรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริการประชาชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วัณโรค และโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี โดยรับตีพิมพ์บทความประเภท นิพนธ์ต้นฉบับ รายงานผลการปฏิบัติงาน บทความฟื้นวิชา รายงานผู้ป่วย กรณีศึกษา และบทความพิเศษ โดยวารสารโรคเอดส์ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใด ๆ จากผู้เขียนในทุกขั้นตอน<span class="Y2IQFc" lang="th"><br /></span><strong>กำหนดเผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1 : เดือนมกราคม - เดือนเมษายน<br />ฉบับที่ 2 : เดือนพฤษภาคม - เดือนสิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 : เดือนกันยายน - เดือนธันวาคม<br /><strong>ISSN</strong> 0857-8575 (Print) ยกเลิกการพิมพ์ ปี พ.ศ. 2563<br /><strong>ISSN</strong> 2985-0371 (Online) เริ่มใช้งาน 25 พ.ค. 2566</p> <p> สำหรับผู้ที่สนใจเป็นสมาชิกและส่งบทความ ในระบบ ThaiJO วารสารโรคเอดส์ สามารถศึกษาข้อมูลได้ผ่านลิงค์ด้านล่าง<br /><a title="ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์" href="https://drive.google.com/file/d/1rSUeCbjNuIMKKXqvzyL4OMni58yeu-e7/view?usp=sharing">ขั้นตอนการสมัครสมาชิกวารสารโรคเอดส์</a><br /><a title="ขั้นตอนการส่งบทความ" href="https://drive.google.com/file/d/10A0wY7vhcSmV2n0tErElXvyvpMb9OjZJ/view?usp=sharing">ขั้นตอนการส่งบทความ</a><br />และสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ <strong>Information</strong> และ <strong>คู่มือการใช้งานระบบ </strong><strong>ThaiJO </strong>บนหน้าเว็บไซต์</p> <p> </p>
Division of AIDS and STIs, Department of Disease Control, Ministry of Public Health.
th-TH
วารสารโรคเอดส์
2985-0371
-
ผลของการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาโดยประยุกต์รูปแบบโมเดลเลิฟและทฤษฎีความสามารถของตนเองเพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/268076
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาโดยประยุกต์รูปแบบโมเดลเลิฟและทฤษฎีความสามารถของตนเองเพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) โดยดำเนินการในกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ทำการวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 40 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 40 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาโดยประยุกต์รูปแบบโมเดลเลิฟ และทฤษฎีความสามารถของตนเองเพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ดำเนินการทดลองจำนวน 8 ครั้งๆ ละ 50 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 8 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบ เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ปกติตามเนื้อหาเรื่องเพศศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent t-test ผลวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศสูงกว่าก่อนทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนระดับความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างเสริมความรอบรู้เรื่องเพศที่ประยุกต์รูปแบบโมเดลเลิฟและทฤษฎีความสามารถตนเอง พบว่ากลุ่มทดลองมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด</p>
ภาสกร ชาญจิราวดี
สิงหา จันทน์ขาว
เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์
Copyright (c) 2024 วารสารโรคเอดส์
2024-08-30
2024-08-30
36 2
57
67
10.14456/taj.2024.6
-
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด และระดับซีดีโฟร์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/268779
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง ศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด และระดับซีดีโฟร์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 22 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง และกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมการจัดการตนเอง ประกอบด้วย (1) การเลือกเป้าหมาย (2) การเก็บรวบรวมข้อมูล (3) การประมวลและประเมินข้อมูล (4) การตัดสินใจ (5) การลงมือปฏิบัติ และ (6) การสะท้อนตนเอง ระยะเวลาในการทดลอง 12 สัปดาห์ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเอง และแบบรวบรวมข้อมูลปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดและระดับซีดีโฟร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังทดลองภายในกลุ่มด้วยสถิติ Paired sample t-test, Wilcoxon signed-rank test และเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ independent t–test, Mann-Whitney U Test ผลการวิจัยพบว่า (1) กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) (2) กลุ่มทดลองมีปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดหลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม และ (3) กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับซีดีโฟร์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โปรแกรมการจัดการตนเองช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองได้และทำให้ระดับซีดีโฟร์สูงขึ้น</p>
ภาณุพงศ์ จันทโรจน์
นงนุช โอบะ
รัฐภูมิ ชามพูนท
อัมราภรณ์ ภู่ระย้า
Copyright (c) 2024 วารสารโรคเอดส์
2024-08-30
2024-08-30
36 2
68
81
10.14456/taj.2024.7
-
ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อความตั้งใจในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จังหวัดนนทบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/268900
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสุขศึกษาต่อความรอบรู้ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความตั้งใจในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 71 คน เป็นกลุ่มทดลอง 32 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 39 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม สุขศึกษาที่พัฒนาขึ้นจากการประยุกต์ใช้แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม จัดกิจกรรมตามโปรแกรมทั้งหมด 7 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที ระยะเวลา 6 สัปดาห์ กิจกรรมคือ การฝึกทักษะเข้าถึง เข้าใจ ไต่ถาม ตัดสินใจ และนำไปใช้ ด้วยการบรรยาย เรียนรู้จากคลิปวิดีโอ เข้าร่วมฐานกิจกรรม ระดมสมอง นำเสนอและอภิปรายกลุ่ม และการให้แรงสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามก่อนและหลังการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และสูงสุด และสถิติเชิงวิเคราะห์ ได้แก่ Chi-square, Paired t-test, Independent t-test, Wilcoxon Signed Ranks test และ Mann-Whitney U test พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีทักษะการเข้าถึง เข้าใจ ไต่ถาม ตัดสินใจ นำไปใช้ ความรอบรู้ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในภาพรวม และความตั้งใจในการป้องกันโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์สูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการควรมีนโยบายให้โรงเรียน ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องบูรณาการเนื้อหาและวิธีการจัดการเรียนการสอนและจัดให้มีกิจกรรมเสริมทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทักษะความรอบรู้ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเพิ่มบทบาทของเพื่อน ผู้ปกครอง และคุณครูในการส่งเสริมให้นักเรียนมีพฤติกรรมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างเหมาะสม</p>
เบญจมาศ จำปาหอม
มณฑา เก่งการพานิช
ศรัณญา เบญจกุล
Copyright (c) 2024 วารสารโรคเอดส์
2024-08-30
2024-08-30
36 2
82
95
10.14456/taj.2024.8
-
ข้อเสนอเชิงนโยบาย : การตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรในกรุงเทพมหานคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/268992
<p>โรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส Mpox ผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ร่วมด้วย มักมีอาการที่รุนแรง การตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีจึงเป็นมาตรการที่สำคัญที่ทำให้ทราบถึงความรุนแรงของโรคฝีดาษวานรและการควบคุมปัญหาโรคเอดส์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาอาการทางคลินิกของโรคฝีดาษวานรที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี และให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาแนวทางการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่พบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรมากที่สุดของประเทศไทย การศึกษาเป็นรูปแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ โดยใช้ฐานข้อมูลระบบเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานร สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรในกรุงเทพมหานครมีจำนวน 409 ราย เป็นเพศชาย 404 ราย (ร้อยละ 98.78) และเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ 402 ราย (ร้อยละ 98.29) โดยผู้ป่วย 142 ราย (ร้อยละ 34.72) ได้รับการวินิจฉัยที่สถานพยาบาลเอกชน ลักษณะทางคลินิกที่พบมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ผื่น ไข้ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ พบผู้ติดเชื้อเอชไอวี 172 ราย (ร้อยละ 42.05) อาการผื่นที่แขน/ขา และ เจ็บคอมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีโอกาสพบอาการผื่นที่แขน/ขา และเจ็บคอเป็น 1.98 (95%CI: 1.06 - 3.73) และ 2.72 (95%CI: 1.28 - 5.82) เท่าของกลุ่มผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวี ตามลำดับ ผลการศึกษานี้เป็นข้อพิจารณาแก่ผู้ให้บริการในการให้คำปรึกษาเพื่อการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี กรณีสังเกตพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรที่มีอาการผื่นที่แขน/ขา หรือเจ็บคอร่วมด้วย เพิ่มเติมจากกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่กำหนดไว้ในแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของประเทศไทย</p>
ชาโล สาณศิลปิน
Copyright (c) 2024 วารสารโรคเอดส์
2024-08-30
2024-08-30
36 2
96
107
10.14456/taj.2024.9
-
ความตั้งใจในการรับวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานรของกลุ่มชายรักชาย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThaiAIDSJournal/article/view/269673
<p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาเป็นแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตั้งใจในการรับวัคซีนไข้ทรพิษ และปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการรับวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานรของกลุ่มชายรักชาย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประชากรที่ศึกษา คือ กลุ่มชายรักชาย สัญชาติไทย อายุระหว่าง 18-45 ปี ที่ไม่เคยรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษมาก่อน จำนวน 310 คน โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ในการพรรณนาคุณลักษณะของกลุ่มประชากรที่ศึกษา และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ในการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการรับวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานร กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 77.7 ของกลุ่มชายรักชาย มีความตั้งใจในการรับวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานร และปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการรับวัคซีน ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 26-35 ปี (OR<sub>adj</sub>=2.77, 95%CI=1.47-5.22) และผู้ที่มีอายุ 36-45 ปี (OR<sub>adj</sub>=2.54, 95%CI=1.00-6.47) ตามลำดับ จำนวนคู่นอนมากกว่า 1 คนขึ้นไปในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (OR<sub>adj</sub>=2.98, 95%CI=1.11-7.49) และการรับรู้อุปสรรคของการรับวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานรระดับปานกลาง-ต่ำ (OR<sub>adj</sub>=3.72, 95%CI=1.18-11.72) ผลการศึกษานี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมการรับรู้เกี่ยวกับความเชื่อด้านสุขภาพ โดยเฉพาะด้านการรับรู้อุปสรรคของการรับวัคซีน เช่น กิจกรรมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรแบบเชิงรุก ลดความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเสียเวลาในการมารับบริการวัคซีน รวมถึงการสื่อสารถึงความปลอดภัยของวัคซีน ผลข้างเคียงของวัคซีน และการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฝีดาษวานรและวัคซีนไข้ทรพิษเพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานร ในกลุ่มชายรักชาย เพื่อส่งเสริมความตั้งใจในการรับวัคซีน และลดอุบัติการณ์การเกิดโรคฝีดาษวานร</p>
พัชนีย์ เพลินพร้อม
จิตติ หาญประเสริฐพงษ์
พัชราภรณ์ ไกรนรา
โรม บัวทอง
Copyright (c) 2024 วารสารโรคเอดส์
2024-08-30
2024-08-30
36 2
108
120
10.14456/taj.2024.10