วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph
<p><strong>วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน</strong></p> <p><em>Print ISSN: 2408-2686 </em></p> <p><em>Online ISSN: 2730-308X</em></p>
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
th-TH
วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2408-2686
-
การพัฒนากระบวนการดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอร่อนพิบูลย์ หลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274866
<p> การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอร่อนพิบูลย์หลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & Mctaggart โดยรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยแบบสัมภาษณ์และข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อำเภอ ร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 47 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการใช้ Content analysis</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอร่อนพิบูลย์หลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ภายใต้แนวคิดการจัดการ POCCC พบว่า ด้านการวางแผน (Planning) (3.03+0.45) ด้านการจัดองค์กร (Organizing) (3.10+0.37) ด้านการสั่งการ (Commanding) (3.29+0.45) ด้านการประสานงาน (Coordinating) (3.34+0.46) และด้านการควบคุมงาน (Controlling) (3.05+0.37) และปัจจัยแห่งความสำเร็จได้แก่ ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ ผู้นำที่เข้มแข็ง แผนงานชัดเจน และการสนับสนุนจากภาคีและประชาชน ส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ</p>
ภาวิณี จันทร์ดำ
อดิศร วงศ์คงเดช
วรพจน์ พรหมสัตยพรต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
12
12
-
การพัฒนารูปแบบวิธีการลดความเครียดในบุคลากรสาธารณสุขของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274883
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมลดความเครียดของบุคลากรสาธารณสุขในสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ กระบวนการวิจัย แบ่งเป็น 2 ระยะ คือระยะที่ 1 ศึกษาภาวะความเครียด ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและความต้องการเกี่ยวกับโปรแกรมลดความเครียด กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรสาธารณสุข จำนวน 123 คน ระยะที่ 2 พัฒนาโปรแกรมและศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมโดยใช้แบบสอบถามภาวะความเครียด กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรสาธารณสุขที่มีภาวะความเครียดระดับปานกลางขึ้นไป (จากระยะที่ 1)จำนวน 42 คน กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอนคือ ขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติตามแผน ขั้นสังเกต และขั้นสะท้อนผล ใช้สถิติเชิงพรรณนาศึกษาข้อมูลทั่วไปและภาวะความเครียด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม และการสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานได้แก่ Multiple linear regression และ pair t-test ผลการศึกษาระยะที่ 1 พบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีความเครียดในระดับปานกลางและระดับรุนแรง ลักษณะงานมีความสัมพันธ์กับภาวะความเครียดอย่างมีนัยสำคัญ (Coef.=0.43,95%CI=0.04-0.82) ต้องการรูปแบบลดความเครียดที่เข้าถึงง่าย แบบออนไลน์ ใช้เวลาไม่มาก ปฏิบัติตามได้ง่าย ผลการศึกษาระยะที่ 2 พบว่า รูปแบบวิธีการลดความเครียดเป็นแบบออนไลน์ประกอบไปด้วย 5 กิจกรรม ได้แก่ การสนทนากลุ่ม สมาธิบำบัด ฝึกหยุดความคิด การนวดเพื่อผ่อนคลาย นอนอาบเสียงดนตรี ระยะเวลาทั้งหมด 2 สัปดาห์ หลังทดลองใช้ พบว่า ความเครียดของบุคลากรลดลงอยู่ในระดับน้อยและปานกลาง คะแนนภาวะความเครียดก่อนและหลังใช้รูปแบบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (MD=14.09,SD=8.32,95%CI=12.60-15.57) ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาในครั้งนี้สามารถพิจารณานำกระบวนการในการพัฒนาไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มเป้าหมายอื่นๆภายใต้บริบทของพื้นที่นั้นๆ การวิจัยในอนาคตควรพิจารณาใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น การศึกษาในลักษณะทดลองหรือกึ่งทดลอง เพื่อให้สามารถประเมินความสัมพันธ์และผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทั้งนี้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยลดระดับความเครียดในบุคลากรสาธารณสุขได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น การวิจัยในอนาคตควรมีการออกแบบการศึกษาโดยมีกลุ่มเปรียบเทียบ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ที่ได้ </p> <p> </p>
กชกร หงษ์ศรีจันทร์ วูลเลย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
26
26
-
การพัฒนากระบวนการจัดทำแผนกลยุทธ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274906
<p>การจัดทำแผนกลยุทธ์ มีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการทำงานขององค์กร ปัจจุบันโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ยังไม่มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ในบริบทภายหลังการถ่ายโอน การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ศึกษาเพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาการจัดทำแผนกลยุทธ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & Mctaggart โดยรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสัมภาษณ์และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย การสัมภาษณ์ สังเกต ถอดบทเรียน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เจ้าหน้าผู้ที่ปฏิบัติงาน ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในพื้นพื้นที่อำเภอพระแสง จำนวน 65 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและการใช้ Content analysis</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลยุทธ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หลังการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่มีแผนกลยุทธ์รองรับในการปฎิบัติงาน การศึกษานี้จึงศึกษาพัฒนากระบวนการจัดทำแผนกลยุทธ์ โดยการจัดประชุมเชิงปฎิบัติการวิเคราะห์ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ระดมความคิด เสนอแผนกลยุทธ์สุขภาพ ทำให้ รพ.สต. มีแผนกลยุทธ์ ประกอบด้วย มี 4 ยุทธศาสตร์ 16 กลยุทธ์และ 16 แผนงาน กิจกรรมหลัก 13 โครงการ ผลการประเมินกระบวนการ จัดทำนำแผนยุทธศาสตร์ไปใช้ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.05 (S.D.=0.80) ปัจจัยความสำเร็จ คือ ความเป็นผู้นำ การจัดการงบประมาณและการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง </p>
สุนันทา บัวจันทร์
อดิศร วงศ์คงเดช
วรพจน์ พรหมสัตยพรต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
40
40
-
การพัฒนาสูตรอาหารเสริมโปรตีนจากจิ้งหรีด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274898
<p> โปรตีนเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสูตรอาหารเสริมโปรตีนจากจิ้งหรีดและประเมินการยอมรับทางประสาทสัมผัสของผลิตภัณฑ์ สูตรอาหารเสริมพัฒนาเป็น 3 สูตร ได้แก่ Oral Crick 1, 2 และ 3 โดยใช้จิ้งหรีดสายพันธุ์ <em>Acheta domesticus</em> เป็นแหล่งโปรตีนหลัก และทำการทดสอบการยอมรับทางประสาทสัมผัสจากอาสาสมัคร 50 คน ผลการศึกษาพบว่า Oral Crick 2 ได้รับคะแนนประเมินสูงสุด โดยเฉพาะด้านรสชาติและเนื้อสัมผัส และจากการวิเคราะห์สารอาหารพบว่ามีใยอาหาร 10.93 กรัม/100 กรัม และปริมาณโปรตีนสูงถึง 32.05 กรัม/100 กรัม นอกจากนี้ยังมีปริมาณกรดอะมิโนจำเป็น เช่น กรดอะมิโนกลูตามิค ที่มีปริมาณสูงที่สุด และกรดอะมิโน ลิวซีน ไอโซลิวซีน และวาลีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าอาหารเสริมโปรตีนจากจิ้งหรีดสามารถเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคโปรตีนเพื่อส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลต่อมวลกล้ามเนื้อในมนุษย์ และการพัฒนาเชิงผลิตภัณฑ์</p>
ศักดิ์สิทธิ์ ทาแก้ว
รัฐพล ไกรกลาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
50
50
-
การพัฒนาตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ จังหวัดสุพรรณบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274873
<p>การวิจัยและพัฒนานี้เริ่มจากการศึกษาข้อมูลสุขภาพสำคัญในจังหวัดสุพรรณบุรี เช่น อัตราการเจ็บป่วย การเข้าถึงบริการ และแนวโน้มของโรคสำคัญ เพื่อกำหนดตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ โดยการสนทนากลุ่มกับผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงผู้ปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดที่ตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในพื้นที่ วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) การพัฒนาตัวชี้วัดเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ และ 2) การประเมินผลการใช้ตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 21 คน และผู้เกี่ยวข้องกับการวางแผนและประเมินผลด้านสุขภาพ 189 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง และใช้แบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่น 0.97 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา กระบวนการวิจัยประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การร่างตัวชี้วัดจากการสังเคราะห์เอกสารและสนทนากลุ่ม โดยใช้กรอบ Value Chain ร่วมกับ Six Building Blocks Plus One (2) การพัฒนาตัวชี้วัดด้วยเทคนิคเดลฟายแบบปรับปรุง และ (3) การประเมินผลการใช้ตัวชี้วัด ผลการวิจัยพบว่าพัฒนาตัวชี้วัดรวม 41 ตัว ขับเคลื่อนภายใต้ 2 นโยบายหลัก ได้แก่ การบูรณาการระบบสุขภาพแบบไร้รอยต่อ (34 ตัวชี้วัด) และนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ (7 ตัวชี้วัด) ทั้งหมดได้รับการคัดเลือกและผ่านเกณฑ์การประเมิน โดยมีค่า Median ≥ 3.50 และค่า = 4.26, SD = 0.46 ผลการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ตุลาคม 2567 ถึงมีนาคม 2568 พบว่า 28 ตัวชี้วัด (68.30) ผ่านเกณฑ์, 11 ตัวชี้วัด (26.82) ไม่ผ่านเกณฑ์, และ 2 ตัวชี้วัด (4.88) ยังไม่ถึงเวลาประเมิน แม้ว่าผลการดำเนินงานจะดี แต่ควรมีการติดตามและรายงานผลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีในการใช้ข้อมูลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ.</p>
สุทิศา อาภาเภสัช
พีรยุทธ รัตนเสลานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
63
63
-
การพัฒนาเมนูอาหารท้องถิ่นลดโซเดียม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275194
<p> การบริโภคโซเดียมมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด การลดปริมาณโซเดียมสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอาหารท้องถิ่นลดโซเดียมจำนวน 10 เมนู จากอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ในกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไป อำเภอสตึกจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 75 คน วิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมและความพึงพอใจระหว่างสูตรทั่วไปและสูตรลดโซเดียม โดยใช้สถิติ Dependent paired t-test ผลการศึกษาพบว่า สูตรลดโซเดียมมีการลดปริมาณโซเดียมลงอย่างมีนัยสำคัญ เฉลี่ย ร้อยละ 64.41 (p < 0.05) ในขณะที่ค่าพลังงาน โปรตีน ไขมัน น้ำตาล และใยอาหาร แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยมากกว่า 7.00 คะแนน แสดงถึงการยอมรับของผู้บริโภค จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า การลดโซเดียมในอาหารท้องถิ่นสามารถทำได้โดยการปรับเครื่องปรุง ลดการใช้วัตถุดิบแปรรูป และใช้เทคนิคการปรุงอาหารเฉพาะที่ช่วยคงไว้ซึ่งเนื้อสัมผัส สีสัน กลิ่น และรสชาติ สอดคล้องกับแนวทางองค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ลดการบริโภคโซเดียมลงมากกว่าร้อยละ 30 เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี ควรมีการติดตามผลระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของแนวทางนี้ </p>
ยุทธนา พรหมอุ่น
รัฐพล ไกรกลาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
75
75
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนเขตอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274879
<p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และปัจจัยทำนาย ได้แก่ ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนเขตอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนจำนวน 216 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 58.80) โดย ปัจจัยด้านความเชื่อเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร เป็นปัจจัยเดียวที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสามารถใช้เป็นตัวทำนายพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนได้</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อจัดการเรียนการสอนในรายวิชาสุขศึกษา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมทัศนคติและความเชื่อที่ถูกต้องเกี่ยวกับโภชนาการ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และพัฒนาภาวะโภชนาการของนักเรียนวัยเรียนให้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตต่อไป</p>
คชานนท์ เขียนโพธิ์
ประจวบ แหลมหลัก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
95
95
-
การพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยโดยการมีส่วนร่วมของครัวเรือนและชุมชนในเขตเทศบาลตำบลเมืองสรวง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275353
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยโดยการมีส่วนร่วมของครัวเรือนและชุมชน ในเขตเทศบาลตำบลเมืองสรวง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้แนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart, 1988 ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติการ ขั้นสังเกตผล และขั้นสะท้อนผล มาใช้ในพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยโดยการมีส่วนร่วมของครัวเรือนและชุมชน จำนวน 2 ชุมชน ได้แก่ บ้านเมืองสรวง หมู่ 2 ตำบลเมืองสรวง และบ้านวนาทิพย์ หมู่ที่ 7 ตำบลหนองผือ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก และอาสาสมัครเข้าร่วมวิจัยประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเชิงลึก ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 2 หมู่บ้าน และผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 2 คน รวมจำนวน 26 คน และ 2) กลุ่มตัวแทนครัวเรือน จำนวน 154 คน ในการศึกษาครั้งนี้ ได้คำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างกรณีทราบประชากร โดยใช้สูตรของเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 154 คน ระยะเวลาในการดำเนินการศึกษา 16 สัปดาห์ ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือน ชุมชน พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือน และการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือนวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและร้อยละ (Percentage) ก่อนและหลังเข้าร่วมวิจัย ในส่วนของข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยการถอดข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า สถานการณ์การจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่เทศบาลตำบลเมืองสรวงยังประสบปัญหาในหลายด้าน โดยประชาชนมีบางส่วนขาดความความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาขยะมูลฝอย ขาดพฤติกรรมการคัดแยกขยะที่เหมาะสม การเพิ่มขึ้นของประชากร และการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ยังไม่ค่อนข้างน้อย หลังการเข้าร่วมวิจัย พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือน การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากก่อนการเข้าร่วมวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) และสูงกว่ากลุ่มไม่เข้าร่วมวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001) โดยมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือน การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือนมากกว่ากลุ่มไม่เข้าร่วมวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สรุปการพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือนและชุมชนนี้ช่วยให้ลดปริมาณขยะมูลฝอยในพื้นที่รับผิดชอบได้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนและชุมชนไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ได้</p>
ศิริพร ศรีตะวัน
วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์
ชวลิต หงษ์ยนต์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
108
108
-
การพัฒนารูปแบบชุมชนรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ ตำบลท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275603
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์การปฏิบัติ (practical action research) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบชุมชนรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ โดยใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถาม การสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มขับตัวอย่าง เป็นกลุ่มแกนนำในการขับเคลื่อนรูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 77 คน และกลุ่มประเมินผลลัพธ์ คือกลุ่มที่ได้รับการตรวจพบไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึง 2565 จำนวน 45 คน โดยกลุ่มตัวอย่างเดียวกันนี้ได้รับการประเมินก่อนและหลังการดำเนินโครงการ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพก่อนและหลังการดำเนินโครงการด้วยสถิติ Paired Sample <em>t</em>-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em> < .05 ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวิเคราะห์ปัญหา (2) การประชุมชี้แจงแนวทางการป้องกัน (3) การรณรงค์ผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (4) การกำหนดมาตรการชุมชน (5) การสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย (6) การติดตามและสนับสนุนกิจกรรม (7) การประเมินผลการดำเนินงาน และ (8) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จของรูปแบบ ได้แก่ การปฏิบัติตามมาตรการ 5 ประการ “เลิก - เปิด - เคาะ - ไม่ - ถ่าย” ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ผลการดำเนินงานพบว่า กลุ่มเป้าหมายมีคะแนนเฉลี่ยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> </p>
ปราณี สิงคาม
จตุพร เหลืองอุบล
อดิศร วงศ์คงเดช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
123
123
-
แนวทางการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในชุมชนไทย: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (พ.ศ. 2548–2567)
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275692
<p>โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุสำคัญของภาระโรคในประเทศไทย การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในระดับชุมชนเป็นกลยุทธ์หลักที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังขาดการรวบรวมองค์ความรู้ในลักษณะเป็นระบบการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมภาษาไทยอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในชุมชนของประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2548–2567 เพื่อจัดกลุ่มรูปแบบการดำเนินงานและเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายวิธีการศึกษาใช้แนวทาง PRISMA 2020 โดยสืบค้นข้อมูลจากฐาน ThaiJo, TCI1 และ TCI2 ครอบคลุมบทความวิจัยภาษาไทยฉบับเต็มที่ตีพิมพ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ใช้เกณฑ์คัดเลือกบทความที่ดำเนินงานในชุมชนเกี่ยวกับ NCDs ผลการคัดเลือกแสดงในรูปแบบ PRISMA Flow Diagram และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบงานวิจัยที่เข้าเกณฑ์จำนวน 229 ฉบับ สามารถจำแนกรูปแบบการดำเนินงานได้ 4 ประเภท ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน (2) การเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพ (3) การจัดการตนเองและการเสริมพลังอำนาจ และ (4) การพัฒนาระบบบริการสุขภาพระดับท้องถิ่น โดยแต่ละรูปแบบมีความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ และส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ตัวชี้วัดชีวภาพ และความยั่งยืนของระบบสุขภาพชุมชนการจัดกลุ่มแนวทางเหล่านี้สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติและนโยบายสาธารณสุขในอนาคต โดยเน้นการบูรณาการกลไกชุมชน ครอบครัว อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และระบบบริการสุขภาพในระดับท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน</p>
ระพีพันธ์ จอมมะเริง
ภูริทัต พลเสน
มณฑา เก่งการพานิช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
134
134
-
- การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275807
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ จำนวน 108 คน และผู้จัดรูปแบบบริการสุขภาพ 25 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครสร้าง และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired Samples t-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 69.40) อายุเฉลี่ย 64.09 ปี (SD = 9.76) มีระยะเวลาเป็นโรคเฉลี่ย 7 ปี (SD = 5.35) โดยมีผู้ดูแลหลักเป็นบุตรหลาน (ร้อยละ 54.60) การมีส่วนร่วมของสมาชิกครอบครัวและชุมชนต่อการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง พบว่า ก่อนดำเนินการภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (เฉลี่ย 3.63 ± 1.04) และหลังดำเนินการภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 4.31 ± 0.83 แสดงถึงการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังการดำเนินงาน</p> <p> ระบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย ระบบการดูแลผู้ป่วยตามแนวคิด “NAMUANG MODEL” (แนวคิด 7 ด้าน) ได้แก่ การดูแลโรค NCDs แบบบูรณาการ ความร่วมมือกับชุมชน การจัดการทรัพยากร การเสริมพลังผู้ดูแล การปรับบริการให้เหมาะสม การเชื่อมโยงเครือข่ายเทคโนโลยี และธรรมาภิบาล ผลการวิเคราะห์พบว่าค่าความดันโลหิตเฉลี่ยก่อนและหลังการพัฒนาระบบลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><0.001) แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชนอย่างยั่งยืน</p> <p> </p>
จุฑาทิพย์ หีดแก้ว
เขมิกา สมบัติโยธา
สุมัทนา กลางคาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
145
145
-
ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 หรือลองโควิด (Long COVID) จังหวัดร้อยเอ็ด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275783
<p>ภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 หรือภาวะลองโควิด (Long COVID) เป็นอาการที่ยังหลงเหลืออยู่หรือเกิดขึ้นใหม่หลังจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 สามารถเกิดได้ทุกระบบของร่างกาย ซึ่งอาการอาจดีขึ้นและหายไปเอง แต่บางรายอาจแย่ลงหรือกลับมาเป็นซ้ำได้ วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะลองโควิด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 325 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก พบว่า ความชุกของภาวะลองโควิด ร้อยละ 80 เพศหญิง มีโอกาสเป็นลองโควิดมากกว่าเพศชาย 2.19 เท่า (Adj.OR=2.19; 95% CI: 1.24 – 3.86; p-value = 0.007) และผู้ที่มีโรคประจำตัวมีโอกาสเป็นลองโควิดมากกว่าผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว 3.14 เท่า (Adj.OR =3.14; 95% CI: 1.62 – 6.09; p-value=0.001) ภาวะลองโควิดส่วนใหญ่ที่พบ คือ หงุดหงิดง่าย ความจำสั้นและสมาธิแย่ลง เหนื่อยล้าง่ายภายหลังจากทำกิจกรรม ใจสั่น เจ็บหรือแน่นหน้าอก ไอ ความอยากอาหารลดลง หายใจลำบาก ปวดศีรษะ หูอื้อหรือสูญเสียการได้ยิน และผมร่วง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน แม้ในผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อยจึงยังจำเป็นต้องป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาวะลองโควิดมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เพศหญิงและผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งควรได้รับการติดตาม เฝ้าระวัง และคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด</p>
เพชรัตน์ ศิริสุวรรณ
อลงกรณ์ สุขเรืองกูล
สุธาสินี วังคะฮาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
163
163
-
ความสัมพันธ์ของการบริโภคผักและผลไม้กับความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ: กรณีศึกษาอำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275909
<p>ภาวะสมองเสื่อมเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในผู้สูงอายุ การส่งเสริมสุขภาพด้านโภชนาการ โดยเฉพาะการบริโภคผักและผลไม้ อาจมีบทบาทในการชะลอความเสื่อมของสมอง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในผู้สูงอายุไทยเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ยังมีจำกัด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความแตกต่างด้านพฤติกรรมการบริโภคและชนิดของผักและผลไม้ตามบริบทของพื้นที่ การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคผักและผลไม้กับความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 322 คน คัดเลือกด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – มกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา นำเสนอค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และสถิติเชิงอนุมานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยลอจิสติกแบบพหุคูณ นำเสนอค่า Adjusted odd ratios (AORs) และช่วงเชื่อมั่น 95% (95%CIs)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่บริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอร้อยละ 36.0 และ 48.1 ตามลำดับ พบความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมร้อยละ 24.5 ผู้ที่บริโภคผักไม่เพียงพอมีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเป็น 4.85 เท่า (AOR=4.85, 95%CI: 2.56–9.19, p<.001) และผู้ที่บริโภคผลไม้ไม่เพียงพอมีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเป็น 2.14 เท่า (AOR=2.14, 95%CI: 1.11–4.12, p=.024) เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคเพียงพอ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่เพียงพอช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม การส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุในชุมชน</p>
อารียา เที่ยงสูงเนิน
ชุติกานต์ สุปน
อาทิตยา เบ้ามะโน
จิรัญญา บุรีมาศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
177
177
-
ปัจจัยทำนายการกลับมารักษาซ้ำในผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง โรงพยาบาลสะเดา จังหวัดสงขลา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/275924
<p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และปัจจัยทำนาย การกลับมารักษาซ้ำในผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่างที่มารับการรักษาที่โรคพยาบาลสะเดา ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567 จำนวน 122 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi square และ Stepwise multiple regression analysis ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างกลับมารักษาซ้ำ ร้อยละ 39.34 โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกับการกลับมารักษาซ้ำในผู้ป่วย โรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง ได้แก่ อายุ (c<sup>2</sup> = 23.57) อาชีพ (c<sup>2</sup> = 13.11) ระยะเวลาที่เริ่มปวดหลัง (c<sup>2</sup> = 6.52) และโรคประจำตัว (c<sup>2</sup> = 34.55) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 และปัจจัยทำนายการกลับมารักษาซ้ำในผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ โรคประจำตัว (Beta = 0.394) อายุ (Beta = 0.276) ระยะเวลาเริ่มปวดหลัง (Beta = 0.276) การดื่มสุรา (Beta = 0.171) และการออกกำลังกาย (Beta = -0.218) ซึ่งร่วมกันทํานายการกลับมารักษาซ้ำในผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังได้ร้อยละ 45.4 ซึ่งควรได้รับการพิจารณาในกระบวนการวางแผนการดูแลรักษาอย่างครอบคลุม โดยเน้นการป้องกันการเกิดซ้ำและส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม เช่น ท่าทางในการทำงานที่ถูกต้อง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือมีโรคประจำตัวร่วม</p>
ธันวา ตันตินาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
192
192
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลดและการคัดแยกขยะมูลฝอยในครัวเรือน ของประชาชนตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/276000
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชน ในตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ตัวแทนครัวเรือนที่รับผิดชอบการคัดแยกขยะ จำนวน 343 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ ร้อยละ สถิติไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมการลดและการคัดแยกขยะมูลฝอยในครัวเรือนอยู่ในระดับดี ร้อยละ 70.26 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลดและการคัดแยกขยะมูลฝอยในครัวเรือน ได้แก่ เพศ (p-value=0.005) ระดับการศึกษา (p-value=0.043) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวก ได้แก่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (r<sub>s</sub>=0.130) ความรู้ (r<sub>s</sub>=0.227) ทัศนคติ (r<sub>s</sub>=0.381) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (r<sub>s</sub>=0.211) การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม (r<sub>s</sub>=0.344) และความตั้งใจในการปฏิบัติพฤติกรรม (r<sub>s</sub>=0.687) ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงลบ ได้แก่ จำนวนสมาชิกในครอบครัว (r<sub>s</sub>=-0.199) สอดคล้องกับทฤษฎีตามแบบแผน ที่พบว่าความตั้งใจในการปฏิบัติพฤติกรรมเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการลดและการคัดแยกขยะในครัวเรือน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจัดทำโครงการหรือมาตรการส่งเสริมการคัดแยกขยะในระดับครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง เน้นการสร้างแรงจูงใจและความตระหนัก เช่น ครัวเรือนต้นแบบคัดแยกขยะ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อการคัดแยกขยะ เช่น การจัดหาถังขยะแยกประเภทที่เพียงพอ</p>
ศศิมา แพงพา
ภูวสิทธิ์ ภูลวรรณ
จรินทร์ทิพย์ ชมชายผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
205
205
-
ปัจจัยทำนายความพึงพอใจของความสำเร็จในการทำงานบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หลังการถ่ายโอนสังกัดสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/276035
<p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความพึงพอใจของความสำเร็จในการทำงานบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหลังการถ่ายโอนสังกัดสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลภายหลังถ่ายโอนมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร เขตอำเมือง จังหวัดสกลนคร จำนวน 175 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามโดยผ่านผู้ทรงตรวจสอบเครื่องมือ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา = 0.96 และหาค่าความเชื่อมั่น ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค = 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่สามารถทำนายความพึงพอใจของความสำเร็จในการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบและด้านนโยบายและการบริหารงาน สามารถพยากรณ์ความพึงพอใจของความสำเร็จในการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลได้ร้อยละ 34.10 (adj.R<sup>2</sup> = 0.341) จากผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ปรับปรุงนโยบายและสภาพแวดล้อมการทำงานเพื่อส่งเสริมแรงจูงใจและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน</p>
จิราภรณ์ จำปาจันทร์
นลิตา สุพรรณ์
สุปรียา วงศ์เจริญ
ภัทรพล โพนไพรสันต์
อนุวัฒน์ สุรินราช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
218
218
-
ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมทักษะชีวิตต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/276033
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของโปรแกรมการสร้างเสริมทักษะชีวิตร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ โดยการประยุกต์ใช้แนวคิดทักษะชีวิต โดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองร่วมกับแรงสนับสนุน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมัธยมศึกษาในอำเภอเขวาสินรินทร์ จำนวน 41 คน ได้รับโปรแกรมการสร้างเสริมทักษะชีวิตต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนมัธยมศึกษาในอำเภอจอมพระ ได้รับโปรแกรมปกติ จำนวน 41 คน ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ วิเคราะห์และนำเสนอด้วยค่าสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลด้านประชากร และสถิติเปรียบเทียบผลต่างของคะแนนทักษะชีวิตต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ โดยใช้สถิติ (Paired t-test) และใช้สถิติ (Independent t-test) เปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะชีวิตและพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนทักษะการปฏิบัติตัวเพิ่มขึ้นจาก (Mean=10.20 S.D.=4.33) เป็น (Mean=14.80 S.D.=2.12) และหลังการทดลองมีผลต่างค่าคะแนนในทุกด้านสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้ มีประสิทธิผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ต่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ดังนั้นควรนำโปรแกรมไปขยายผลให้ครอบคลุมนักเรียนกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่อื่นๆ ที่มีบริบทใกล้เคียงกัน</p>
วีระพล นวลภักดี
กุลชญา ลอยหา
คมสันต์ ธงชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
231
231
-
ประสิทธิผลโปรแกรมการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมต่อพฤติกรรมรุนแรงของผู้มีความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมจากยาเสพติดในอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/276785
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมต่อพฤติกรรมรุนแรงของผู้มีความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมจากยาเสพติดในอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในในโรงพยาบาลพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น และครอบครัวในปี 2568 ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ ถึงเดือน มิถุนายน 2568 เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีแบบเจาะจงจำนวน 66 คน กำหนดเป็นกลุ่มทดลอง 33 คน และกลุ่มควบคุม 33 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบวัดความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงและความต้องการรักษา และแบบประเมินพฤติกรรมความรุนแรง มีค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 87 และ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Z Test ผลการศึกษาพบว่าหลังการทดลอง ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมรุนแรงจากยาเสพติดในกลุ่มทดลองมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value ˂.05) และมีพฤติกรรมรุนแรงต่ำกว่าก่อนการได้รับโปรแกรม และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value ˂.05)</p> <p>การศึกษาโปรแกรมการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมชี้ให้เห็นว่า สามารถเพิ่มความพร้อมในการเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูได้ และลดพฤติกรรมรุนแรงของผู้มีความผิดปกติทางจิต จากยาเสพติดได้ ดังนั้นควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้โดยเฉพาะในบริบทโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดขอนแก่น</p>
วาสนา โยธานัก
นันทนา มวลเมืองสอง
สุภัทราภรณ์ ผลบุญภิรมย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
245
245
-
แรงสนับสนุนทางสังคมที่มีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274699
<p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณาแบบตัดขวาง (Descriptive-Cross-sectional study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ประชากร คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในอำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร จำนวน 1,086 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 274 คน โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิสองขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นที่สัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค ระหว่าง 0.81 – 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ (Multiple linear regression analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 66.79 มีอายุเฉลี่ย 50.82 ปี (S.D. = 6.90) มีการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 59.86 ได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 83.94 โดยพบว่า แรงสนับสนุนทางสังคมด้านการได้รับข้อมูลข่าวสาร (b=0.952, p=0.002) มีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการพัฒนาและสนับสนุนข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยกระตุ้นและเสริมข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ อสม. ปฏิบัติงานได้อย่างประสิทธิภาพ</p>
นันทนา จันทมุงคุณ
ภูวสิทธิ์ ภูลวรรณ
จรินทร์ทิพย์ ชมชายผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
256
256
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย(MCI)ของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลตำบลหางดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/274726
<p>ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment: MCI) เป็นภาวะที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองเริ่มเสื่อมถอย โดยเฉพาะด้านความจำ แม้ยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปสู่โรคสมองเสื่อมในอนาคต การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของภาวะ MCI และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลหางดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey study) กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 295 คน โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE-Thai 2002) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบทวิ (Binary Logistic Regression) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าอายุเฉลี่ยของผู้สูงอายุ 67.70 ปี ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการศึกษามีภาวะ MCI คิดเป็นร้อยละ 10.2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโอกาสเกิดภาวะ MCI อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอายุ 75–79 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า (Adjusted OR 8.97; 95% CI: 2.56–31.45) ขณะที่กลุ่มอายุ 70–74 ปี และกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณ 3.7 เท่า และ 5.9 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 60–64 ปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่มีโอกาสเกิดภาวะ MCI มากกว่าผู้ที่ไม่มีโรคนี้ถึง 3.4 เท่า (Adjusted OR 3.38; 95% CI: 1.23–9.30) ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วน มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มี BMI ปกติประมาณ 3 เท่า ในทางตรงกันข้าม ผู้สูงอายุที่มีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของตนเองกลับพบว่ามีความเสี่ยงเกิดภาวะ MCI น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มีความกังวลถึงประมาณร้อยละ 70 ข้อเสนอแนะ ควรมีการคัดกรองภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) อย่างสม่ำเสมอในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 70 ปี พร้อมทั้งส่งเสริมการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะน้ำหนักเกิน และกิจกรรมที่เสริมสร้างการตระหนักรู้และการมองอนาคต ซึ่งอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว</p>
สกิจา ล้ำวีรประเสริฐ
สายหยุด มูลเพ็ชร์
สามารถ ใจเตี้ย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
2025-10-14
2025-10-14
11 04
268
268