วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph <p><strong>วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน</strong></p> <p><em>Print ISSN: 2408-2686&nbsp;&nbsp;</em></p> <p><em>Online ISSN: 2730-308X</em></p> สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ th-TH วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2408-2686 ความรู้ และทัศนคติที่มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการบริจาคโลหิตของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาอายุ 17-20 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266662 <p>จากสถิติของศูนย์บริจาคโลหิต พบว่าผู้บริจาคโลหิตเพียงปีละ 1 ครั้งมีมากถึงร้อยละ 68.49 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณ โลหิตสำรองในประเทศไทยยังคงขาดแคลนในบางช่วงเวลาในขณะที่ผู้บริจาคโลหิต ช่วงอายุ 17-20 ปี มีเพียงร้อยละ 8.00 เท่านั้น การศึกษาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยนี้คือเพื่อศึกษา ความรู้ ทัศนคติ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเต็มใจบริจาค โลหิตของนักเรียนนักศึกษาอายุ 17-20 ปี ในเขตกรุงเทพ มหานคร ทำการเก็บข้อมูลศึกษา ระหว่างเดือนเดือนมีนาคม - เมษายน 2566 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 386 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ออนไลน์ (Google From)วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดย Chi-Square ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้และทัศนคติต่อการบริจาคโลหิต อยู่ระดับสูง ร้อยละ 60.10 และ ร้อยละ 88.00 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่าง ทราบถึงความสำคัญของการ บริจาคโลหิต ร้อยละ 98.19 การนำโลหิตไปใช้ ร้อยละ 98.19 การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนบริจาคโลหิต ร้อยละ 95.34 ในทางกลับกันกลุ่ม ตัวอย่างส่วนใหญ่ ไม่ทราบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์สุขภาพการบริจาคโลหิต เช่น เกณฑ์น้ำหนักตัวที่บริจาคโลหิตได้ ร้อยละ 33.16 เกณฑ์อายุที่บริจาคโลหิตได้ 59.84 และ เกณฑ์การบริจาคโลหิตของผู้เป็นโรคเบาหวาน ร้อยละ 71.50 ทางด้านความเต็มใจบริจาคโลหิตกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 67.60 “เต็มใจบริจาคโลหิต” ไม่แน่ใจ ร้อยละ 28.50 และ “ไม่เต็มใจร้อยละ 3.90 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจบริจาคโลหิต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศ (p&lt;0.05) สายอาชีพที่สนใจศึกษาต่อ (p&lt;0.05) และเคยบริจาคโลหิต (p&lt;0.05) ควรจัดหาหน่วยรับบริจาค ให้บริการตามจุดที่มีกลุ่มตัวอย่าง อายุ 17-20 ปี เช่น สถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรือศูนย์การค้า ที่วัยรุ่นนิยมไป ท่องเที่ยวผักผ่อน ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มปริมาณโลหิตบริจาคจากลุ่มเยาวชน</p> ศุจิมน มังคลรังษี ปภาดา ประภาตะนันทน์ ชัยรัศศ์ รัตนสายใย ปวริศา จิวะวิทูรกิจ พีรวัส โช ภัค บุญยุบล ธรรมธรณ์ จํารูญศรี ณัฐปวีณ์ธิดา เหรียญทองคำ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 10 10 ประสิทธิภาพของสบู่ผสมสารต้านแบคทีเรียและแอลกอฮอล์เจลในการยับยั้งแบคทีเรีย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266733 <p>การล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล เป็นกระบวนการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด เพื่อให้เห็นความสำคัญของการล้างมือที่ถูกต้อง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลต่อการยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียบนฝ่ามือของอาสาสมัคร โดยทำการเก็บตัวอย่างก่อนล้างมือ และหลังล้างมือที่ถูกต้องทั้งการล้างมือด้วยสบู่ และการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การทดลองที่ 1 ตรวจหาเชื้อโคลิฟอร์มเเบคทีเรียบนฝ่ามือโดยชุดทดสอบโคลิฟอร์มแบคทีเรียขั้นต้น (SI-2) เเละการทดลองที่ 2 ตรวจเชื้อเเบคทีเรียทั้งหมดบนฝ่ามือโดยชุดทดสอบแบคทีเรียทั้งหมดในภาชนะสัมผัสอาหารและมือ (Compact Dry TC) ทำการเก็บตัวอย่างจากมือของอาสาสมัครที่เต็มใจในการเข้าร่วมโครงการจำนวน 29 คน โดยอาสาสมัครเป็นพนักงานในอาคารในพื้นที่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นการเก็บตัวอย่างแบบสะดวก ในการทดลองที่ 1 ใช้สถิติการรายงานผลแบบร้อยละ และจำนวน ส่วนการทดลองที่ 2 ใช้สถิติการรายงานผลแบบค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจำนวน จากการทดสอบพบว่าการล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียบบนผ่ามือของสามาสมัครได้ 100 เปอร์เซ็น ในการทดสอบหาปริมาณเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดพบว่าก่อนการล้างมือด้วยสบู่บนเชื้อแบคทีเรียบนฝ่ามือเฉลี่ย 47 ± 30.41 โคโลนี/25 ตารางเซนติเมตร และลดลงเหลือเฉลี่ย 21 ± 29.70 โคโลนี/25 ตารางเซนติเมตรหลังล้างมือ ส่วนการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ลดจำนวนโคโลนีเฉลี่ย 63 ± 26.92 โคโลนี/25 ตารางเซนติเมตร เหลือ 12 ± 11.18 โคโลนี/25 ตารางเซนติเมตร จากการทดสอบสามารถสรุปได้ว่าการล้างมือที่ถูกวิธีทั้งการล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียได้โดยประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียของการล้างมือทั้งสองแบบไม่แตกต่างกัน</p> ชุติญา จิตบุญทวีสุข กชสร รัตนวิชัย ศุจิมน มังคลรังษี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 24 24 ความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม ในประชาชนเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266625 <p>สถานการณ์ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิต เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก สารเคมีปนเปื้อนในอากาศ น้ำเสีย เป็นต้น การรับรู้ถึงปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะทำให้ประชาชนมีความรู้และความตระหนักในการป้องกันตนเองจากอันตรายจากมลพิษสิ่งแวดล้อม งานวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ในประชาชนเขตพื้นที่อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 600 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์โดยใช้ Multiple linear regression ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับสูง (Mean=10.83,SD.=2.46) เจตคติ(Mean=52.59,SD.=6.77) และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมในระดับปานกลาง (Mean=52.83,SD.=5.87) ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้มากที่สุด ในเชิงบวก คือ การได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (ꞵ=0.559) และในเชิงลบ ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสารจากองค์การบริหารส่วนตำบล (ꞵ=-0.701) ปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติมากที่สุด ในเชิงบวกคือ การได้รับข่าวสารผ่านทางสื่อโซเชียล (ꞵ=2.28) และในเชิงลบ คือ ระยะเวลาการใช้สื่อโซเชียลในการรับข่าวสารสิ่งแวดล้อม (ꞵ=-1.19) และปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ในเชิงบวก คือ การได้รับความรู้จากหน่วยงานในพื้นที่ (ꞵ=8.488) และในเชิงลบ คือ การได้รับข่าวสารจากคนในครอบครัว (ꞵ=-2.19) จะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติตัวมากที่สุด ได้แก่ การได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การได้รับข่าวสารผ่านทางสื่อโซเชียล และการได้รับความรู้จากหน่วยงานในพื้นที่ ตามลำดับ ดังนั้นหน่วยงานในพื้นที่และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรมีบทบาสำคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติตัวที่ดีเพื่อป้องกันปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม โดยใช้รูปแบบการสื่อสารผ่านสื่อโซเชียลเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีปรสิทธิภาพมากขึ้น</p> นครินทร์ อสิพงษ์ ณัฐปาณี อสิพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 34 34 ระบาดวิทยาผู้สูงอายุบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม กรณีศึกษา เขตสุขภาพที่ 9 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266977 <p> เพื่อศึกษาระบาดวิทยาผู้สูงอายุที่บาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้มปี 2565 – 2566 กรณีศึกษา Falls Prevention Team ระดับดีเยี่ยมพลัส เขตสุขภาพที่ 9 จากรายงานการสอบสวนการพลัดตกหกล้มผู้สูงอายุที่บาดเจ็บและมารับบริการ ผลการศึกษาพบว่า จำนวนผู้สูงอายุที่พลัดตกหกล้มและบาดเจ็บ 49 ราย จำแนกเป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.4 พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป ร้อยละ 40.8 มีโรคประจำตัว ร้อยละ 61.2 รับประทานยาอย่างน้อย 4 ชนิด (ไม่รวมวิตามิน) ร้อยละ 46.7 มีประวัติการพลัดตกหกล้มในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 38.8 มีความบกพร่องด้านการมองเห็น ร้อยละ 42.9 ด้านการทรงตัว ร้อยละ 55.6 การนั่ง ลุก ยืน เดินช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 52.8 การพลัดตกหกล้ม ส่วนใหญ่เกิดภายในบ้าน ร้อยละ 69.4 พลัดตกหกล้มขณะเดิน ร้อยละ 61.2 จากสาเหตุของพื้นลื่น ร้อยละ 38.8 การบาดเจ็บมีกระดูกหัก ร้อยละ 28.6 และนำส่งโรงพยาบาลโดยญาติหรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ ร้อยละ 89.8 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 27 ราย ผ่าตัดกระดูก ร้อยละ 14.3 ได้รับการฟื้นฟู ร้อยละ 49.0 ภายหลังเกิดเหตุมีการปรับปรุง แก้ไขจุดเสี่ยงสูง ร้อยละ 69.4 ด้วยการจัดวางสิ่งของภายในบ้านให้เป็นระเบียบ ติดตั้งราวจับยึด การใช้ไม้เท้าพยุงตัวขณะเดิน ดังนั้น เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ ควรนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนามาตรการลดปัจจัยและโอกาสเสี่ยง มาตรการการเข้าถึงบริการระบบการแพทย์ฉุกเฉิน และมาตรการดูแลระยะยาวภายหลังการบาดเจ็บของผู้สูงอายุภายใต้บริบทของพื้นที่</p> นิพา ศรีช้าง สุรกิตต์ สิงธิมาศ ภัทรภร เลิศจิราการ ศุภวิชญ์ หอมหวล กฤศ เรียงไธสง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 46 46 ประสิทธิผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ในผู้ป่วยเบาหวาน อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267416 <h3> โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด และโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด และโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท และมีระดับไขมันแอลดีแอลที่เป็นอันตรายต่อร่างกายสูงกว่า 100 มก./ดล.ที่รับการรักษาในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาแส่ง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาแส่ง เป็นกลุ่มทดลอง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดอนธรรม เป็นกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัยมี 2 ส่วนคือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองได้แก่ กิจกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.90 ค่าความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดเท่ากับ 0.92. ใช้เวลา 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติการทดสอบที</h3> <h3> ผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าก่อนการทดลองจาก 3.07 (SD = 0.226) เป็น 3.70 (SD = 0.149) และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย ระดับความดันโลหิตช่วงบนน้อยกว่าก่อนการทดลองจาก 152.98 (SD = 6.992) เป็น 132.25 (SD = 8.982) ระดับความดันโลหิตช่วงล่างน้อยกว่าก่อนการทดลองจาก 96.18 (SD = 3.369) เป็น 86.42 (SD = 9.795) ระดับไขมันแอลดีแอลในเลือดน้อยกว่าก่อนการทดลองจาก 126.47 (SD = 16.552) เป็น 106.33 (SD = 17.107) และ โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีก 10 ปีข้างหน้า น้อยกว่าก่อนการทดลองจาก 25.41 (SD = 8.473) เป็น 22.41 (SD = 9.250) และน้อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</h3> <p> สรุปผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้องเหมาะสม เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจต่อการดูแลตนเองไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น ควรมีการติดตามประเมินผลในระยะยาวเพื่อลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อไป</p> <p> </p> <h3> </h3> ศิริรัตน์ ผ่านภพ จันทร์จีรา ยานะชัย กชภัส เหล็กบังวัน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 57 57 การศึกษาต้นทุนการให้บริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ปี 2565 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264692 <p> โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีต้นทุนรวมและต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการเพิ่มสูงขึ้นทุกปี การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนทางตรงรวม (Total Direct Cost :TDC) ในภาพรวมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, ต้นทุนรวม (Full cost) และต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ของหน่วยบริการผู้ป่วย (Patient service : PS) และหน่วยบริการสร้างเสริมสุขภาพ (Non-Patient service : NPS) ในภาพรวมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้วิธีจัดสรรต้นทุนแบบ Simultaneous Equation Method โดยใช้สมการเส้นตรง (Linear equation) ใช้โปรแกรม Hospital Cost Profile สร้างเมตริกการกระจายต้นทุน (allocation matrix) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา แบบศึกษาย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้รับผิดชอบงานวิเคราะห์ต้นทุนของ รพ.สต.8 แห่ง จำนวน 8 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลวิเคราะห์ต้นทุนตั้งแต่ ตุลาคม 2565 – พฤษภาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีต้นทุนทางตรง (TDC) เท่ากับ 24,194,692.17 บาท หน่วยต้นทุนบริการผู้ป่วย (PS) มีต้นทุนรวม (Full cost) เท่ากับ 15,326,543.92 บาท และค่าเฉลี่ย Unit cost ของงาน OPD Clinic พิเศษ (DM HT) มีต้นทุนมากที่สุดคือ 260.39 บาทต่อครั้ง หน่วยต้นทุนบริการสร้างเสริมสุขภาพ (NPS) มีต้นทุนรวม (Full cost) เท่ากับ 6,620,006.62 บาท และค่าเฉลี่ย Unit cost ของงานให้บริการผู้ป่วยที่บ้านมีต้นทุนมากที่สุด 547.44 บาทต่อครั้ง</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ควรมีการพัฒนาระบบการให้บริการสุขภาพในผู้ป่วยนอก การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในหน่วยบริการ กลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และการให้บริการผู้ป่วยที่บ้าน โดยใช้ทรัพยากรให้เหมาะสม คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ</p> ชาญณรงค์ อาจเอื้อม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 73 73 การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับแบบมีส่วนร่วม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลบ้านโคก อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267911 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีจุดประสงค์เพื่อการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับแบบมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลบ้านโคก อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลบ้านโคก จำนวน 30 คน ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ดำเนินการวิจัย 4 ระยะ โดยใช้วงจร PAOR ได้แก่ ขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติการ ขั้นสังเกต และขั้นสะท้อนผล เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถาม สัมภาษณ์ และสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ Paired sample t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการศึกษาพบว่า หลังการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับแบบมีส่วนร่วมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านโดยมีการให้ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ การมีทัศนคติที่ดีในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับทั้งตนเองและชุนชนโดยการเข้าไปทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนทั้งการเข้าเยี่ยมตามหมู่บ้านที่รับผิดชอบ การแนะนำการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการไม่ทานปลาดิบ และการมีส่วนร่วมร่วมกับชุมชนในการเฝ้าระมัดระวังโรคพยาธิใบไม้ตับร่วมกันกับชุมชนตำบลบ้านโคก อำเภอสร้างคอม ซึ่งหลังทดลองพบว่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลบ้านโคก มีค่าคะแนนเฉลี่ย ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติตัว และการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p> สมัย พิลาชาติ ปัญจมาพร รัตนหน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 87 87 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จังหวัดฉะเชิงเทรา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267915 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม กับพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 82 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนาได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ค่าไคสแควร์ และสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดี (<em></em> = 2.60, S.D. = 0.490) เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์พฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ พบว่า ปัจจัยนำ ได้แก่ ความรู้และทัศนคติ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ในเชิงคุณภาพเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำข้อมูลมาใช้วางแผนการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงต่อไป</p> มันทะนา มะเดื่อ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 98 98 วิธีการที่เหมาะสมในการลดความเข้มข้น ของสารฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนในอาหาร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/268075 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการที่เหมาะสมในการลดความเข้มข้นของสารฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนในอาหารโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายในการทดสอบความเข้มข้นของฟอร์มาลีน โดยแบ่งขั้นตอนการทดลองเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาชนิดของสารเคมี 4 ชนิด ได้แก่ เกลือ น้ำส้มสายชู ผงฟู และ ด่างทับทิม การศึกษาอัตราส่วนของสารเคมีที่ใช้ในการลดความเข้มข้นของฟอร์มาลีน เป็น 5 ระดับ ได้แก่ 0.5:200 1.5:200 3:200 5:200 และ 15:200 และศึกษาระยะเวลาของสารเคมีที่ใช้ในการแช่อาหาร 4 ช่วง ได้แก่ 5 10 15 และ 30 นาที ซึ่งผลการทดลองพบว่าน้ำส้มสายชูอัตราส่วน 15 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 200 มิลลิลิตร แช่อาหารอย่างน้อย 10 นาที และสารละลายด่างทับทิมอัตราส่วน 0.5 กรัม ต่อน้ำ 200 มิลลิลิตร แช่อาหารอย่างน้อย 5 นาที เป็นวิธีการที่สามารถลดความเข้มข้นของฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนอาหารได้มากที่สุดจากการทดสอบด้วยชุดดทดสอบอย่างง่าย </p> วรางคณา วิเศษมณี ลี จิราวรรณ บัวชุม กัญญาณัฐ คงเกาะทวด Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 109 109 รูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/269221 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีต่อผลการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี 3) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้</p> <p>ระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีต่อผลการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 398 คน จากสูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ (Yamane 1973: 727) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สมการการวิเคราะห์พหุคูณถดถอยเชิงเส้น (Multiple Linear Regression Analysis) พบว่า ปัจจัยที่มีต่อผลการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี คือ ความรู้ การรับรู้ การมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งปฏิกูล โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.390</p> <p>ระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสร้างรูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยการนำปัจจัยด้านความรู้ การรับรู้ การมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งปฏิกูล มาจัดทำรูปแบบการวิจัย โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ ผู้นำชุมชน และประชาชนตัวแทนชุมชน รวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน ดำเนินการประชุมระดมสมองปรับปรุงรูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p>ระยะที่ 3 เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ครัวเรือน ๆ ละ 1 คน โดยจัดการทดลองตามโปรแกรมจำนวน 12 สัปดาห์ ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองหลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยในด้านความรู้ เท่ากับ 9.06 คะแนน (S.D.= 0.86) ด้านการรับรู้เท่ากับ 43.53 คะแนน (S.D.= 3.55) ด้านการมีส่วนร่วมเท่ากับ 39.33 คะแนน (S.D.= 5.32) และพฤติกรรมในการจัดการสิ่งปฏิกูลเท่ากับ 45.43 คะแนน (S.D.= 6.04) ซึ่งสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อลงกต ตังคะวานิช สุภาพร แปยอ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 120 120 ความหมายและองค์ประกอบความรอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการของวัยรุ่นตอนต้น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/269118 <p>อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตพัฒนาการที่ดีมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหลอด เลือดหัวใจ การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความหมายและองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านอาหารและ โภชนาการของวัยรุ่นตอนต้น ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ และด้านวัยรุ่น จำนวน 9 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสัมภาษณ์ความรอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการของวัยรุ่นตอนต้น เป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการ วิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัย พบว่า ความหมายของความรอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการของวัยรุ่นตอนประกอบด้วย 2 ธีม 1) ความรู้ความเข้าใจด้านอาหารและโภชนาการ อาหารหลัก 5 หมู่ ธงโภชนาการ อาหารปลอดภัย ปริมาณและสัดส่วนอาหาร แหล่งที่มาของอาหาร การปรุง การเตรียม การจัดการอาหาร เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการกินอาหารเพื่อสุขภาพเหมาะสมกับ 2) ทักษะ ค้นหา และวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ เลือก รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเหมาะสมกับวัย องค์ประกอบของความ รอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการของวัยรุ่นตอนต้นประกอบด้วย 3 ธีม ดังนี้ 1) ความรอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการขั้นพื้นฐาน เป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่อ้างถึงความสามารถในการรับ อ่าน และทำความเข้าใจข้อมูลโภชนาการ 2) ความรอบรู้ด้านอาหารและโภชนาการขั้นปฏิสัมพันธ์ มุ่งเน้นไปที่ความรู้และเสริมสร้างพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสม 3) ความรอบรู้ด้านอาหารและ โภชนาการขั้นวิจารณญาณ ความสามารถในการตีความ สังเคราะห์ วิเคราะห์ ประเมิน และจัดการข้อมูลโภชนาการ ผลการวิจัย สามารถต่อยอดพัฒนาเครื่องมือความรอบรู้ด้านโภชนาการในวัยรุ่นตอนต้นและเป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพวัยรุ่นตอนต้นต่อไป</p> วรรณลี ยอดรักษ์ วัลลภา เชยบัวแก้ว สมเกียรติ สายธนู ศรีสุดา วนาลีสิน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 130 130 ประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ในประชากรเพศหญิง กลุ่มอายุ 30-70 ปี เขตรับผิดชอบโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/268661 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (BSE) ของประชากรเพศหญิง อายุ 30-70 ปี เขตรับผิดชอบโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่าง 184 คน เก็บข้อมูล มกราคม - มีนาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมสร้างเสริมพฤติกรรมมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ ประกอบด้วย การให้ความรู้ บรรยาย ดูวิดิทัศน์ สาธิต ประชุมกลุ่ม กระตุ้นเตือนผ่านไลน์กลุ่ม และแสดงข้อคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 56 ปี อายุน้อยที่สุด 30 ปี อายุมากที่สุด 70 ปี ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 97.3 สถานภาพส่วนใหญ่มีคู่สมรส ร้อยละ 78.3 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 75 เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง (BSE) การรับรู้โอกาสเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม การรับรู้ความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านม การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม การรับรู้อุปสรรคและพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (BSE) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p-value</em> &lt; 0.05) ประสิทธิผลของโปรแกรมสามารถสร้างเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองได้ ข้อเสนอแนะ คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยง และการรับรู้อุปสรรคของการตรวจเต้านมด้วยตนเองมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด และควรกระตุ้นเตือนเป็นประจำเพื่อให้เกิดการมีพฤติกรรมตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างเหมาะสม</p> ละออ เชื้อฉุน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 139 139 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็ง เต้านมด้วยตนเอง ในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่บ้านเขียบ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/269095 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองของหญิงไทยอายุ 20-59 ปี บ้านเขียบ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยประชากรเพศหญิงอายุ 20-59 ปี จำนวน 148 คนที่เข้าร่วมวิจัย จะถูกเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลทั้งหมดจะถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติทดสอบไคสแควร์ และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 31.1 ของกลุ่มตัวอย่างมีอายุระหว่าง 50 – 59 ปี มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับมากที่ร้อยละ 62.2 และการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองอยู่ในระดับปานกลางที่ร้อยละ 63.5 เมื่อทดสอบหาความสัมพันธ์ระหว่างอายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้กับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &gt; 0.05) ในขณะที่ความรอบรู้ด้านสุขภาพทั้ง 6 มิติ พบมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองที่ระดับ p &lt; 0.01 จากการศึกษาพบว่าการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้ประชาชนตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การตรวจพบโรคหรือการเกิดโรคในระยะเริ่มต้น และเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาโรคได้อย่างรวดเร็ว</p> ขนิษฐา แสงคำ สุมัทนา กลางคาร ศิรภัสร์ โคตรสีวงษ์ รุจิรา โนนสะอาด Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 152 152 การรับรู้ และทัศนคติต่อเซลล์บำบัด ในกลุ่มประชาชนคนไทยอายุ 15-60 ปี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/268663 <p>ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเวชศาสตร์ฟื้นฟูโดยการใช้เซลล์บำบัดเป็นทางเลือกการรักษาที่มีศักยภาพสำหรับการแก้ไขปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆการยอมรับและการนำนวัตกรรมทางการแพทย์มาใช้นั้นได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ของสาธารณชน นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้เซลล์บำบัดในการ รักษา โรคและการชะลอวัย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้และทัศนคติของประชาชนต่อการบำบัดด้วยเซลล์ และระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติเหล่านี้ การศึกษาครั้งนี้เป็น Cross sectional study เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) ศึกษาประชากรที่อาศัยอยู่ในเขต กรุงเทพมหานคร อายุ 15-60 ปี คำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตร Cochran ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 345 คน แต่มีผู้เข้าร่วมการศึกษานี้ทั้งหมด จำนวน 351 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 59.54 กลุ่มอายุ 26-35 ร้อยละ 28.77 การศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรี ร้อยละ 50.71 ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ เซลล์บำบัด จากสื่อสังคมออนไลน์ /อินเตอร์เน็ต ร้อยละ 43.59 ไม่เคยใช้เซลล์บำบัด ร้อยละ 79.20 กลุ่มตัว อย่างส่วนใหญ่มีการรับรู้เกี่ยวกับเซลล์บำบัด อยู่ระดับต่ำ ร้อยละ 46.72 มีทัศนคติเกี่ยวกับ เซลล์บำบัด อยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 47.86 การรับรู้เกี่ยวกับเซลล์บำบัดเป็นปัจจัยทำนายทัศนคติต่อ เซลล์บำบัด ของกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Beta=0.129, p-value&lt;0.05)สามารถทำนายได้ร้อยละ 12.9 ควรจัดแคมเปญให้การศึกษาเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัด ด้วยเซลล์ผ่าน ทางช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์เพื่อแพร่กระจายข้อมูลที่ถูกต้อง เกี่ยวกับประโยชน์ และความเสี่ยงของ การใช้เซลล์บำบัด</p> ชาลีลักษณ์ จันทราลักษณ์ ภูษณิศา อรุณฉาย ศรีเพชร นนท์ตา ศุจิมน มังคลรังษี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-07-30 2024-07-30 10 03 164 164 การประเมินผลโครงการแต่งงานช่วยชาติ มีลูกช่วยชาติ สุขฉลาด เก่งดี ทุกชีวีปลอดภัย อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้ตัวแบบ CIPPI MODEL https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/268040 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินผลโครงการแต่งงานช่วยชาติ มีลูกช่วยชาติ สุขฉลาด เก่งดี ทุกชีวีปลอดภัย โดยมีการประเมินผลโครงการใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท (Context) ด้านปัจจัยป้อนเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) ด้านผลผลิต (Product) และด้านผลกระทบ (Impact) โดยศึกษาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 70 คน จากกลุ่มตัวแทนคู่แต่งงานที่เข้าร่วมในโครงการ ในการวิจัยในการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม จำนวน 30 คู่ และกลุ่มเจ้าหน้าที่และผู้นำชุมชนจำนวน 40 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การประเมินด้านบริบท พบว่า โครงการแต่งงานช่วยชาติ มีลูกช่วยชาติ <br />สุขฉลาด เก่งดี ทุกชีวีปลอดภัย เกิดขึ้นจากปัญหาอัตราเกิดต่ำ และมีเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าในชุมชน นำไป<br />สู่นโยบายของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอในการแก้ไขปัญหาของพื้นที่ โดยวัตถุประสงค์<br />มีความสอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่จะดำเนินงานให้บรรลุตัวชี้วัดด้านคุณภาพของการส่งเสริมสุขภาพงานอนามัยแม่และเด็ก สนองนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งเน้นการจัดบริการให้มีการเพิ่มประชากรและมีคุณภาพ ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า เจ้าหน้าที่ในการดำเนินโครงการเพียงพอต่อการให้บริการ มีทีมสหวิชาชีพที่มีความรู้ มีกระบวนการทำงานชัดเจน อีกทั้งยังมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ด้านผลผลิต พบว่า ผลที่เกิดขึ้นกับคู่แต่งงานทำให้มีความพร้อมในการมีลูก และมีพัฒนาการสมวัยเป็นคนดีมีคุณธรรม ส่วนผลที่เกิดขึ้นต่อองค์กรทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานมีการพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถและบรรลุตัวชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุข ด้านผลกระทบ พบว่าผลกระทบในทางบวกเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร พัฒนาศักยภาพการดูแลประชาชนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนผลกระทบทางลบนั้น แม้จะได้รับงบประมาณจากเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอลดลง แต่มีการได้รับสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติม ทำให้เกิดกฎ กติกาชุมชน มาตรการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ในธรรมนูญอำเภอ และธรรมนูญตำบลคนม่วงสามสิบ</p> สุภาพร แปยอ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2024-08-13 2024-08-13 10 03 177 177