วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph
<p><strong>วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน</strong></p> <p><em>Print ISSN: 2408-2686 </em></p> <p><em>Online ISSN: 2730-308X</em></p>
th-TH
editorial.ajcph@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.สุมัทนา กลางคาร)
phattarapon@snru.ac.th (อาจารย์ ดร.ภัทรพล โพนไพรสันต์,มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร)
Thu, 13 Feb 2025 11:13:39 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ผลการพัฒนารูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270717
<p>การวิจัยและพัฒนา (Research & Development) เรื่องผลการพัฒนารูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เพื่อประเมินผลการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานีโดยมีกระบวนการวิจัย 6 ขั้นตอน คือ 1) การสำรวจปัญหาและความต้องการ 2) การออกแบบระบบต้นแบบ 3) การพัฒนาระบบต้นแบบ 4) การทดลองใช้งานและการปรับปรุงระบบ 5) การขยายการใช้งาน และ 6) การประเมินผล ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการสังเกต การสนทนากลุ่ม การประเมินความพึงพอใจรูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสรุปข้อมูลจากระบบรายงานการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย ใช้แบบสังเกต แบบบันทึกผลการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น สถิติที่ใช้ ประกอบด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าน้อยที่สุด ค่ามากที่สุด และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการพัฒนารูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการปฏิบัติงานจากกระดาษเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้ง 4 ขั้นตอนของระบบการส่งต่อ ประกอบด้วยการส่งผู้ป่วย การรับส่งต่อ การส่งกลับ และการรับการส่งกลับ สามารถลดระยะเวลาและกระบวนการส่งตัวผู้ป่วย โดยผู้ใช้งานมีค่าระดับความพึงพอใจระดับมากทุกด้านค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 และผู้วิจัยสรุปรูปแบบการรับ-ส่งต่อผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จังหวัดอุบลราชธานี ตามแนวทาง SMART Model ประกอบด้วย S : Service Design การวิเคราะห์ออกแบบระบบที่ดี ครอบคลุมทุกกระบวนงาน M : Monitoring & Maintenance การติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และการปรับปรุงระบบตามความต้องการ A : Attitude ทัศนคติเชิงบวกของผู้บริหารและผู้ใช้งานที่มีต่อระบบ R : Rationality ความมีเหตุผลและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และ T : Technology การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถนำไปใช้กับทั้ง 26 โรงพยาบาลในจังหวัดอุบลราชธานี และควรพัฒนาระบบการเชื่อมโยงการรับส่งต่อ ทั้งในจังหวัด ในเขตสุขภาพ และนอกเขตสุขภาพ รวมไปถึงการกำหนดนโยบายระดับประเทศ</p>
หรรษา ชื่นชูผล, จุรีรัตน์ สิงห์คำ, จักรพงษ์ วงศ์กมลาไสย
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270717
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของการเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านอุบัติภัยสารเคมีของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดสงขลา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270358
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมของหน่วยบริการสาธารณสุขในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข กรณีเกิดอุบัติภัยสารเคมีและศึกษาผลของการเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านอุบัติภัยสารเคมี ในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดสงขลา ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรในโรงพยาบาล จำนวน 94 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Wilcoxon Signed Ranks Test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า การเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินสารเคมี แบบ PDCA ได้แผนปฏิบัติการ ดังนี้ 1) แผนทรัพยากร บทบาท หน้าที่รับผิดชอบ 2) การพัฒนาบุคลากร 3) การสื่อสารการมีส่วนร่วม 4) อบรมการเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินสารเคมี หลังพัฒนาค่าเฉลี่ยความรู้การปฏิบัติการเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) มีการปฏิบัติการเตรียมความพร้อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ผลการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 52.1 เป็น ร้อยละ 57.4 มีความต้องการในการสนับสนุนเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน จาก ร้อยละ 92.6 เป็น ร้อยละ 95.7 ด้านกำหนดนโยบายของหน่วยงาน จาก ร้อยละ 92.6 เป็น ร้อยละ 95.7 และไม่ต้องการสนับสนุนลดลง จาก ร้อยละ 84.0 เป็น ร้อยละ 81.9 ตามลำดับ เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังดำเนินการค่าเฉลี่ยการเตรียมความพร้อมในการจัดการอุบัติภัยสารเคมีไม่แตกต่างกัน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> หน่วยบริการสาธารณสุขควรมีการเตรียมความพร้อมในการจัดการอุบัติภัยสารเคมีเพื่อช่วยเหลือดูแลผู้ประสบภัยได้อย่างปลอดภัยทันท่วงที</p>
สุวพิทย์ แก้วสนิท
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270358
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันการดื้อยาของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270307
<p>การศึกษาภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการดื้อยาปฏิชีวนะและการป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยาในประชาชนเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จำนวน 1,714 คน ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมผ่านแบบสอบถามออนไลน์ที่ครอบคลุมความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการป้องกันการดื้อยา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา t-test, ANOVA และแบบจำลองเชิงเส้นทั่วไป โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการดื้อยาอยู่ในระดับปานกลาง (M=10.17, SD=1.82) และมีทัศนคติที่ดีต่อการป้องกันเชื้อดื้อยา (M=25.11, SD=3.22) ระดับพฤติกรรมป้องกันเชื้อดื้อยาอยู่ที่ปานกลาง (M=46.83, SD=6.90) ผู้หญิงมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันเชื้อดื้อยา สูงกว่าผู้ชาย ความรู้เกี่ยวกับเชื้อดื้อยามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับทัศนคติต่อการป้องกันเชื้อดื้อยา (r=0.387**, p<0.01) และความสัมพันธ์เชิงลบกับพฤติกรรมป้องกันเชื้อดื้อยา (r=-0.078**, p<0.01) ทัศนคติต่อการป้องกันเชื้อดื้อยาเป็นปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันเชื้อดื้อยาได้ร้อยละ 9.80 (Exp (β)=0.098, p<0.01) กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ปานกลางเกี่ยวกับการดื้อยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจเกิดจากการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน ควรเพิ่มการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม และพัฒนาการเข้าถึงระบบสาธารณสุข รวมถึงเสริมกฎระเบียบเพื่อจำกัดการขายยาปฏิชีวนะที่หน้าเคาน์เตอร์</p>
ศุจิมน มังคลรังษี, อมิรา วงศ์ศรีศุภกุล, ดณิตา สุวิชชากุล, วรพร ขันธ์สุวรรณ, ธัญธิดา ชยาวนิช, มัทธาธิยาห์ ใจศรีตระกู, ธนบดี งิ้วพรหม, ลลนา พวงชมภู, ลลิตา พวงชมภู, สิริกร ฐิติอนันท์, ลลสา ครูทรงธรรม
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270307
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมของนักเรียนมัธยมตอนต้นโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270466
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อป้องกันการสูบบุหรี่ในนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2566 โดยการสุ่มเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 120 คน จาก2 โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง (n=60) และกลุ่มควบคุม (n=60) โดยกลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ ซึ่งประกอบด้วย การบรรยาย "โทษ พิษ ภัยของบุหรี่ " การชมคลิปวิดีโอ สปอร์ตโฆษณา บุคคลต้นแบบที่เคยสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าแล้วเลิกได้สำเร็จ คู่มือการป้องกันการสูบบุหรี่และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมจากผู้วิจัยให้ความรู้ กระตุ้นเตือน โดย เพื่อน ครูและผู้ปกครอง กลุ่มควบคุมได้รับสุขศึกษาในโรงเรียนระยะเวลาดำเนินการ 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดย ใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ลักษณะทางประชากรโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยคะแนน ด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent t-test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนและค่าเฉลี่ยความแตกต่าง ของคะแนนด้านความรู้เกี่ยวกับโทษ พิษภัยของการสูบบุหรี่ ทัศนคติเกี่ยวกับการรับรู้ประโยชน์ในการไม่สูบบุหรี่การรับรู้การควบคุมพฤติกรรมในการปฏิบัติตัวป้องกันการสูบบุหรี่ เพิ่มขึ้นจากก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมนี้มีประสิทธิผลในการป้องกันการสูบบุหรี่ได้ ดังนั้น ควรนำโปรแกรมไปขยายผลให้ครอบคลุมนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย และพื้นที่อื่นๆ ที่มีบริบทใกล้เคียงกัน</p>
นภาภรณ์ พัฒน์มณี, นฤมล สินสุพรรณ, ชนะพล ศรีฤาชา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270466
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาเครือข่ายการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน จังหวัดหนองบัวลำภู
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270512
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการพัฒนาเครือข่ายการป้องกันการติดเชื้อวัณโรค และการประเมินประสิทธิผลของการพัฒนาเครือข่ายการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เครือข่าย จำนวน 192 คน ผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านและผู้ป่วยติดเชื้อวัณโรค กลุ่มละ 83 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา, Wilcoxon Signed Ranks Test, Paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการพัฒนาเครือข่ายการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน ประกอบด้วย การร่วมวางแผน (plan) การปฏิบัติ (do) การสังเกตผลการปฏิบัติ (check) การตรวจสอบและประเมินผล (action) ผลการพัฒนาเครือข่าย ในการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน พบว่า ได้รูปแบบการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อวัณโรค ผู้ป่วยและผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน มีกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคและป้องกันการแพร่เชื้อวัณโรคต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชน หลังพัฒนาเครือข่ายมีความรู้โดยรวมระดับดีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) มีส่วนร่วมดำเนินงานป้องกันการติดเชื้อวัณโรคโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ผลการพัฒนากลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านพบว่า หลังพัฒนามีพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value= 0.012) ผลการดูแลผู้ป่วย พบว่า ระยะเวลาที่ป่วยโรควัณโรค 1 ปีขึ้นไป ร้อยละ 69.9 ระยะเวลาที่ได้รับยารักษาโรควัณโรค 1 ปีขึ้นไป ร้อยละ 21.7 เคยนอนรักษาในโรงพยาบาล ร้อยละ 20.5 มีภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 6.0 การรักษาครบ ร้อยละ 72.3 รักษาหาย (cured) ร้อยละ 36.1 รักษาล้มเหลว และ เสียชีวิตระหว่างการรักษา ร้อยละ 15.7 สรุป หลังพัฒนาเครือข่ายการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน มีความรู้ พฤติกรรมการป้องกันและปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเพิ่มขึ้น</p>
ราชันย์ ท้าวพา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270512
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง และภาวะโภชนาการของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่รักษาด้วยการฟอกเลือดจากเครื่องไตเทียม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270590
<p>การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการเลือกบริโภคอาหารทำให้ผู้ป่วยเบื่อและปฏิเสธการรับประทาน ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมระหว่างมื้อหรืออาหารว่างจึงมีความสำคัญในการช่วยลดปัญหาทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การวิจัยเชิงพรรณานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง และศึกษาภาวะโภชนาการ ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่รับการรักษาด้วยการฟอกเลือดจากเครื่องไตเทียม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มตัวอย่างสำหรับการสนทนากลุ่มจำนวน 12 ราย นำข้อมูลที่ได้สร้างเป็นแบบสอบถามความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง และกลุ่มตัวอย่างสำหรับสอบถามความต้องการผลิตภัณฑ์และประเมินภาวะโภชนาการจำนวน 60 ราย ด้วยแบบประเมินภาวะโภชนาการ subject global assessment (SGA) และ malnutrition inflammatory score (MIS) วัดสัดส่วนร่างกาย และเก็บข้อมูลผลทางห้องปฏิบัติการจากเวชระเบียนผู้ป่วย วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยวิธีไคสแควร์ ผลการตอบแบบสอบถามความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 68.30 มีความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง นอกจากนั้นผู้ป่วยยังให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าถึงและหาซื้อได้ง่ายของผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือลักษณะอาหารว่างที่มีลักษณะชิ้นเล็กๆ หลายๆ ชิ้น จำพวกผลไม้หรือคุกกี้ และมีราคาที่ไม่สูงมากนัก และผลการศึกษาภาวะโภชนาการ พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีภาวะทุพโภชนาการตั้งแต่ระดับปานกลางถึงรุนแรง เมื่อประเมินภาวะโภชนาการด้วยแบบประเมินภาวะโภชนาการทั้งสองแบบ (SGA B ร้อยละ 55 และ MIS B ร้อยละ 56.67) สรุปได้ว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีภาวะทุพโภชนาการ และต้องการผลิตภัณฑ์อาหารว่าง ที่สามารถหาซื้อและเข้าถึงได้ง่าย มีราคาที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะช่วยลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้</p>
อภิมุข วงค์ใหญ่, ทวีศักดิ์ เตชะเกรียงไกร, ปาริสุทธิ์ เฉลิมชัยวัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270590
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การวิจัยเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ : การขยายผลรูปแบบระบบสุขภาพอย่างไร้รอยต่อ โดยการมีส่วนร่วมเชิงบูรณาการ สำหรับผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง จังหวัดยโสธร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270662
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและประเมินผลลัพธ์การขยายผลรูปแบบระบบสุขภาพอย่างไร้รอยต่อโดยการมีส่วนร่วมเชิงบูรณาการสำหรับผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิด CFIR และ Proctor กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุ 520 คน และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย 87 คน ในพื้นที่ 5 อำเภอ จังหวัดยโสธร เครื่องมือประกอบด้วย แนวคำถามการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถาม ผลการวิจัยด้านองค์ประกอบการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ พบว่า เป็นนโยบายที่สำคัญและสอดคล้องกับสังคมผู้สูงอายุ มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน บุคลากรและทรัพยากรมีความพร้อม ผลลัพธ์การดำเนินงาน พบว่ามีการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยปรับให้เข้ากับบริบทในพื้นที่ ผ่านการจัดทำแผน การบูรณาการกับงานประจำ กลไกขับเคลื่อนคือคณะทำงานเชิงบูรณาการ และคณะทำงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข การกำกับติดตามและเสริมพลังโดยใช้ข้อมูล ผลลัพธ์การจัดบริการ ได้แก่ 1)ส่งเสริมป้องกันและควบคุมความเสี่ยง 2)จัดการและร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุ 3) ดูแลเมื่อเจ็บป่วย 4)ดูแลหลังกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ผลลัพธ์ด้านสุขภาพพบว่าผู้สูงอายุเข้าถึงบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองมีแนวโน้มลดลง การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) นโยบายมีประโยชน์/มีความชัดเจน 2) บริบทต้นทุนในพื้นที่มีความพร้อม 3) การมีส่วนร่วมและการยอมรับ 4) กลไกขับเคลื่อนเชิงบูรณาการหลายระดับที่เข้มแข็ง 5) ความสามารถในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติและการกำกับติดตามที่ดี 6) เกิดระบบบริการสุขภาพที่ครบวงจร และ 7) ผู้สูงอายุเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ลดอัตราป่วยและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง</p>
ถนอม นามวงศ์, นริศรา อารีรักษ์, จินดา คำแก้ว
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270662
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ของคนพิการทางการเคลื่อนไหว ในชุมชนสามเหลี่ยม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270659
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ของคนพิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนสามเหลี่ยม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ผ่านการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับฉลากรายชื่อ จำนวน 40 คน แบ่งเป็นเพศหญิง จำนวน 22 คน และเพศชาย จำนวน 18 คน อายุเฉลี่ย 69.9 ± 16.6 ปี (ช่วงอายุ 23 - 93 ปี) ทำการศึกษาด้วยแบบสอบถามพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ 5 ด้าน ได้แก่ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย พฤติกรรมการจัดการอารมณ์ พฤติกรรมไม่สูบบุหรี่ และพฤติกรรมไม่ดื่มสุรา คำถามด้านละ 5 ข้อ รวมทั้งหมด 25 ข้อ ประเมินคะแนนเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ปฏิบัติประจำ ปฏิบัติบ่อยครั้ง ปฏิบัติบางครั้ง และปฏิบัติน้อย/ไม่ปฏิบัติ คะแนนรวมทั้งหมด 100 คะแนน (ช่วงคะแนน 25 - 100 คะแนน) ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 แล้ววิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ของคนพิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนสามเหลี่ยมในภาพรวม เท่ากับ 72.25 ± 7.01 คะแนน ซึ่งอยู่ระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาพฤติกรรมแยกรายด้าน พบว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมไม่สูบบุหรี่ พฤติกรรมไม่ดื่มสุรา อยู่ในระดับสูง พฤติกรรมการจัดการอารมณ์ อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนพฤติกรรมการออกกำลังกาย อยู่ในระดับต่ำ ผลการสำรวจครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยบริการปฐมภูมิสามเหลี่ยมเพื่อนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวางแผนการโครงการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการทางการเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่อไป</p>
อธิพงศ์ พิมพ์ดี, ชยากร พิพิศจันทร์, วิมลสิริ เจริญครบุรี, สรารัตน์ ช่างเหล็ก
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270659
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นไทย: การวิเคราะห์บทบาทของการศึกษาและบทบาทของการส่งเสริมสุขภาพทางเพศ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270781
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศในวัยรุ่นไทยและผลกระทบจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของวัยรุ่น โดยวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งในช่วงนี้มักมีการสำรวจและทดลองทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การขาดการศึกษาและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ เช่น การติดเชื้อ HIV/เอดส์ ซิฟิลิส และโรคหนองใน การศึกษานี้ใช้การทบทวนวรรณกรรมเพื่อตรวจสอบปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นไทย โดยเน้นบทบาทของการศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพทางเพศ ผลการวิเคราะห์สรุปเป็นแนวทางพัฒนานโยบายและโปรแกรมการศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพทางเพศ</p> <p>การศึกษาพบว่าวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่มีความรู้และทัศนคติที่จำกัดเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่สม่ำเสมอและการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย งานวิจัยนี้ยังเน้นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการศึกษาเรื่องสุขภาพทางเพศ โดยเฉพาะในด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนานโยบายและการศึกษาเพื่อเพิ่มความตระหนัก และการป้องกันตนเองจากความเสี่ยงติดโรคทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไทย ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และส่งเสริมผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีในกลุ่มเยาวชน</p>
ศุจิมน มังคลรังษี, รวิษฎา เชียงสอน
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/270781
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยทำนายประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดน่าน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271019
<p>อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาสุขภาพชุมชน การทราบปัจจัยทำนายประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ อสม. จะช่วยให้การพัฒนาศักยภาพของอสม. และประสบผลสำเร็จมากขึ้น งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ อสม.จังหวัดน่าน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง 446 คน เลือกมาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอ้างอิง ได้แก่ ไค-สแควร์ สหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติการถดถอยพหุคูณ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 85.90) อายุเฉลี่ย 54.83 ปี (x̅ =54.83, S.D.= 9.52) การศึกษาระดับมัธยมศึกษา(ร้อยละ 57.00) สถานภาพสมรส/คู่(ร้อยละ 68.80) ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานเป็นอสม. 10-20 ปี (ร้อยละ 28.70) (x̅ =13.69,S.D.= 9.42) ปัจจัยภายในอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยค้ำจุน และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง เมื่อวิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณ พบว่า ปัจจัยภายใน ได้แก่ ความคาดหวังในการปฏิบัติงาน(B=0.34) ปัจจัยจูงใจ ได้แก่ ความสำเร็จในการปฏิบัติงาน(B=-0.38) การได้รับการยอมรับนับถือ(B=0.29) ลักษณะของงานที่สร้างสรรค์และท้าทาย(B=1.03) ความก้าวหน้าในงาน(B=0.48) และปัจจัยค้ำจุน ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กร(B=-0.46) ค่าจ้างและผลตอบแทน(B=0.57) ความมั่นคงในงาน(B=0.29) และตำแหน่งงาน(B=0.38) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05) เป็นปัจจัยที่สามารถทำนายประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของอสม.ได้ร้อยละ 55.10 (R=0.551) ดังนั้นควรพัฒนาการปฏิบัติงานของอสม. โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมปัจจัยภายใน ปัจจัยจูงใจ และปัจจัยค้ำจุน เพื่อให้ อสม.ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
วัลลภา อุตเสน, น้ำเงิน จันทรมณี
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271019
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271086
<p> การศึกษานี้มุ่งทดสอบผลกระทบของการสูบบุหรี่ของคนใกล้ชิด การรับรู้สื่อทางออนไลน์ ความเชื่อเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง การวิจัยนี้ใช้การออกแบบการวิเคราะห์เชิงภาคตัดขวางโดยมีตัวอย่างเป็นนักเรียน 250 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยระบุว่าการสูบบุหรี่ของคนใกล้ชิดและการรับรู้สื่อทางออนไลน์มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยการสูบบุหรี่ของคนใกล้ชิดมีผลต่อความเชื่อเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า (β = 0.245) และทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า (β = 0.276) อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การรับรู้สื่อทางออนไลน์มีผลต่อความเชื่อเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า (β = 0.318) และทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า (β = 0.245) อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้ความเชื่อเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 41.5% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาแผนที่มุ่งเน้นการลดอิทธิพลของการสูบบุหรี่ของคนใกล้ชิด การรับรู้สื่อทางออนไลน์และการปรับเปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติเพื่อช่วยลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มวัยรุ่น การวิจัยนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่อไป โดยโรงเรียนและหน่วยงานรัฐบาลควรแก้ไขปัจจัยที่ส่งเสริมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาผ่านการจัดการศึกษาเกี่ยวกับความรู้เท่าทันสื่อและบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการโฆษณาและการขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะทางออนไลน์</p>
ปภัสสันต์ ตันหราพันธุ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271086
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การสํารวจประชากรหนู และปรสิตนำโรคจากหนู ภายในช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2566 - 2567
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271269
<p>หนูเป็นสัตว์นำโรคโดยตรง และเป็นสัตว์รังโรคของโรคติดต่อมาสู่คน โดยเป็นพาหะนำโรคได้หลายโรคที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขของโลกรวมทั้งในประเทศไทย การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตุประสงค์เพื่อสํารวจประชากรหนู และการควบคุมพาหะนำโรคภายในช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ วิธีวิจัยใช้การวิจัยเชิงพรรณนาโดยใช้เครื่องมือ คือ แบบสำรวจสัตว์รังโรค ปี พ.ศ. 2566 - 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า ค่าร้อยละความสำเร็จในการวางกับดัก ปี พ.ศ. 2566 เท่ากับ 4.0 และปี พ.ศ. 2567 เท่ากับ 9.0 ตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2566 ดักหนูได้ 2 ชนิด เป็นหนูจี๊ด (<em>Rattus exulans</em>) จำนวน 1 ตัว คิดเป็นร้อยละ 50.0 และหนูท้องขาว (<em>Rattus tanezumi</em>) จำนวน 1 ตัว คิดเป็นร้อยละ 50.0 หนูที่ดักได้ไม่พบปรสิตภายนอก สำหรับปี พ.ศ. 2567 ดักหนูได้ 3 ชนิด จำนวน 10 ตัว แบ่งเป็นหนูหริ่งป่าใหญ่ขนสั้น (<em>Mus shortridgei</em>) จำนวน 5 ตัว คิดเป็นร้อยละ 50.0, หนูฟานเล็ก (<em>Maxomys whiteheadi</em>) จำนวน 4 ตัว คิดเป็นร้อยละ 40.0 และหนูนาใหญ่ (<em>Rattus argentiventer</em>) จำนวน 1 ตัว คิดเป็นร้อยละ 10.0 มีสัดส่วนเพศผู้ต่อเพศเมีย เท่ากับ 1:2.33 หนูที่ดักได้มีปรสิตภายนอก (Ectoparasite) จำนวน 1 ตัว คิดเป็นค่าร้อยละของการมีปรสิตอยู่บนตัว เท่ากับ 10.0 ปรสิตภายนอกที่พบเป็นหมัดหนูชนิด <em>Xenopsylla cheopis</em> คิดเป็นค่าดัชนีหมัดหนู เท่ากับ 0.1 สำหรับข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ควรมีการดำเนินการปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมภายในช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และควรมีการเฝ้าระวัง และสํารวจประชากรหนู และการควบคุมพาหะนำโรคภายใน ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อนำผลการศึกษา ที่ได้มาเปรียบเทียบดูแนวโน้มของจำนวนพาหะนำโรค และเพื่อใช้ในการพยากรณ์การเกิดโรคติดต่อที่มีหนูเป็นรังโรคต่อไป</p>
บัญชา ขำศิริ, ปิยะพันธ์ เชื้อเมืองพาน, กรรณิการ์ รัตนพันธ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271269
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสมุนไพรไทยบางชนิดที่ใช้รักษาโรคผิวหนัง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271097
<p> งานวิจัยนี้ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดด้วยเอทานอลของสมุนไพรไทย 10 ชนิด (ทองพันชั่ง พลู บัวบก พญายอ เสลดพังพอนตัวผู้ สำมะงา เหงือกปลาหมอ ฟ้าทะลายโจร กระเบา และชุมเห็ดเทศ) ต่อเชื้อ 11 สายพันธุ์ ด้วยวิธี disk diffusion และ broth dilution พบว่าสารสกัดจากสมุนไพรไทยทุกชนิดที่ศึกษามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้อย่างน้อย 2 สายพันธุ์ สารสกัดจากพลูและเสลดพังพอนตัวผู้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับสมุนไพรไทยชนิดอื่น สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ทุกสายพันธุ์ที่ศึกษา จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากพลูมีศักยภาพสูงสุดในการยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus ATCC 25923, methicillin-resistant S. aureus, methicillin-susceptible S. aureus, Staphylococcus epidermidis, Escherichia coli ATCC 25922, extended-spectrum beta-lactamases (ESBL)-producing E. coli, Klebsiella pneumoniae ATCC 700603 (ESBL-producing strain), carbapenem-resistant K. pneumoniae, Acinetobacter baumannii, Pseudomonas aeruginosa ATCC 27853, และ P. aeruginosa โดยมีค่า inhibition zone ค่า minimal inhibitory concentration และค่า minimal bactericidal concentration อยู่ระหว่าง 13.7-32.0 มิลลิเมตร 0.5-8 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และ 2-8 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากพลูมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่หลากหลายและมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรไทยสำหรับรักษาโรคผิวหนังต่อไป</p>
พรทิพย์ พึ่งม่วง, ปัญจพร นิ่มมณี, วัชรินทร์ รังษีภาณุรัตน์, พัชรี กัมมารเจษฎากุล, สมหญิง งามอุรุเลิศ, สุมลรัตน์ ชูวงษ์วัฒนะ, สุวรรณา เสมศรี, สุชา จุลสำลี
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/271097
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มโดยภาคีเครือข่าย ตำบลบุญเกิด อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272041
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยภาคีเครือข่ายตำบลบุญเกิด อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะคือ 1) ศึกษาสถานการณ์การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในภาพรวมโดยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 316 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและไค-สแควร์ และ 2) ดำเนินการตามวงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการคือ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือภาคีเครือข่ายจำนวน 20 คน เก็บข้อมูลการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณที่สะท้อนผลสำเร็จของการดูแลเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 271 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาบริบทพบว่า ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการต่อการพลัดตกหกล้มร้อยละ 26.94 มีประวัติการพลัดตกหกล้มร้อยละ 11.81 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มคือ การศึกษา อาชีพ และการมีโรคประจำตัว ผลการสังเคราะห์รูปแบบประกอบด้วย 3 ทีมดำเนินการคือทีมช่างจิตอาสาปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ทีมแกนนำป้องกันพลัดตกหกล้มออกให้คำแนะนำ และทีมสหวิชาชีพจัดอบรมให้ความรู้ และแบ่งผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่มสี เรียงตามลำดับการช่วยเหลือก่อนและหลังคือ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว ผลการประเมินรูปแบบที่พัฒนาขึ้นพบว่า กลุ่มเสี่ยงพลัดตกหกล้มลดลงเหลือร้อยละ 8.86 การพลัดตกหกล้มลดลงเหลือร้อยละ 2.95 โดยสรุปรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุโดยภาคีเครือข่ายที่พัฒนาขึ้น ช่วยลดปัญหาการพลัดตกหกล้มได้จริงควรขยายผลในการดำเนินการในพื้นที่อื่นต่อไป</p>
สุพรรณ นามอยู่, วรศิลป์ ผัดมาลา, ประภัทตรา ปัญญา, รุ่งทิวา เมืองน้อย, ทวีวรรณ ศรีสุขคำ, ประจวบ แหลมหลัก
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272041
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ผลการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนรู้การสะท้อนคิด เพื่อส่งเสริมความสามารถการคิดวิจารณญาณ นักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272489
<p>การพัฒนาความสามารถการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติทางคลินิกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบ One group pretest-posttest design มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้การสะท้อนคิด 2) เพื่อศึกษาผลการสะท้อนคิดในการพัฒนาการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 ที่เรียนวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็ก จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการเรียนรู้การสะท้อนคิด ซึ่งมีค่า IOC เท่ากับ 0. 82 2) แบบบันทึกการสะท้อนคิด มีค่า IOC เท่ากับ 0.86 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการคิดวิจารณญาณ มีค่า IOC เท่ากับ 0.82 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Paired t-test และ การวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนการคิดวิจารณญาณก่อนการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสะท้อนคิดอยู่ในระดับสูงและค่าเฉลี่ยคะแนนการคิดวิจารณญาณหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสะท้อนคิดอยู่ในระดับสูงมาก (µ = 87.43, s = 6.78; µ =105.60, s = 7.81 ตามลำดับ) โดยหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้การสะท้อนคิดสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการเรียนรู้การสะท้อนคิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.01) 2) ผลการสะท้อนคิดโดยใช้การเรียนรู้รูปแบบการสะท้อนคิด พบว่า สามารถพัฒนาความสามารถการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาล ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ 2) การประเมิน 3) การอธิบาย 4) การควบคุมตนเอง 5) ความรู้สึกด้านบวกกับตนเอง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการสะท้อนคิดทำให้การคิดวิจารณญาณเพิ่มขึ้น จึงควรส่งเสริมให้ผู้สอนใช้รูปแบบการสอนสะท้อนคิดในรายวิชาอื่นๆเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิจารณญาณนักศึกษาพยาบาล</p>
วรรณลี ยอดรักษ์, ณัฏฐินี ชัวชมเกตุ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272489
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ผลการดำเนินโครงการ “ภารกิจพิชิตมะเร็งเต้านม” ชมรมถันยรักษ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272635
<p>“ภารกิจพิชิตมะเร็งเต้านม”ภายใต้โครงการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม เพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยของมะเร็งเต้านมและรณรงค์ให้ผู้หญิงไทยรู้จักวิธีการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกต้อง พร้อมสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอโดยมีความมุ่งหวังที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยและลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม ผ่านกิจกรรมรณรงค์สื่อสารของนักศึกษาจากชมรม ถันยรักษ์ ครอบคลุมการให้ความรู้สู่ชุมชนในพื้นที่บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ และชมรมถันยรักษ์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ได้ดำเนินกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ตามบริบทพื้นที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนั้นๆ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยส่งเสริมให้ความรู้และสร้างความตระหนักเรื่องมะเร็งเต้านมให้กับนักศึกษา บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยและประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเอง 2. เพื่อรณรงค์ให้นักศึกษาบุคลากรและประชาชนตระหนักและให้ความสำคัญในการตรวจคัดกรองเต้านมด้วยตนเอง 3. เพื่อเพิ่มฐานการบันทึกการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ 4. เพื่อสร้างแกนนำชมรมและอาสาสมัครภายใต้การดำเนินงานของชมรมถันยรักษ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์และเพื่อความสืบสาน-ต่อยอด สู่ความยั่งยืนของภารกิจพิชิตมะเร็งเต้านม ผลที่เกิดขึ้นคือความสำเร็จจากการดำเนินงานทั้งภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ นักศึกษาเกิดความตระหนักเกี่ยวกับการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ขยายผลกิจกรรมไปยังทุกคณะในการร่วมกิจกรรมของชมรมถันยรักษ์และเกิดการสร้างแกนนำชมรมเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนในปีต่อไปและในภาคประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ได้ดำเนินการร่วมกับส่วนราชการในจังหวัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่จัดกิจกรรมอบรมแกนนำ อาสาสมัครสาธารณสุขในการตรวจคัดกรองเต้านมด้วยตนเองเพื่อค้นหาความผิดปกติของเต้านมให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วย ความชุกและอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมในสตรีได้</p>
วีระพล นวลภักดี , นราวุธ สินสุพรรณ์, กัญญา กิ่งจันทร์, ดาวินี ชิณวงศ์, อุไร เชื่อมไธสง, ภัทรพล โพนไพรสันต์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/272635
Thu, 13 Feb 2025 00:00:00 +0700