วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph <p><strong>วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน</strong></p> <p><em>Print ISSN: 2408-2686&nbsp;&nbsp;</em></p> <p><em>Online ISSN: 2730-308X</em></p> th-TH editorial.ajcph@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.สุมัทนา กลางคาร) phattarapon.po@gmail.com (อาจารย์ ดร.ภัทรพล โพนไพรสันต์,มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์) Thu, 04 Apr 2024 12:59:25 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาส้นเท้าแตก กรณีศึกษาเพศหญิง อายุ 40-50 ปี หมู่ 8 ตำบลบุดี อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/261842 <p> การศึกษาครั้งนี้มีรูปแบบการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Analytical Cross Sectional Studies) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาส้นเท้าแตก กรณีศึกษาเพศหญิง อายุ 40-50 ปี หมู่ 8 ตำบลบุดี อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา โดยศึกษาในกลุ่มเพศหญิง อายุ 40-50 ปี หมู่ 8 ตำบลบุดี อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา จำนวน 98 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของเครซซี่และมอแกน (Krejcie and Morgan )</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 40-50 ปี (ร้อยละ 100) และส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน (ร้อยละ 33.67) โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรถแล้ว (ร้อยละ 80.61) ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา (ร้อยละ 51.02) และกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับส้นเท้าแตกเป็นอันดับ 2 คือมีรอยแตกชัดเจนแต่ไม่ถี่ (ร้อยละ 80.61) สาเหตุและปัจจัยเกี่ยวกับปัญหาส้นเท้าแตก พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นประจำ (ร้อยละ 39.80) และสวมรองเท้าเปิดส้นเป็นประจำ (ร้อยละ 53.06) และได้สวมใส่รองเท้าเพื่อสุขภาพ (ร้อยละ 53.06) และกลุ่มตัวอย่างทาครีมบำรุงและสครับส้นเท้าเป็นประจำ (ร้อยละ 53.06) และมีการดื่มน้ำต่อวัน (ร้อยละ 41.84) และอาบน้ำอุ่นและแช่น้ำร้อน (ร้อยละ 51.02) กลุ่มตัวอย่างได้สวมใส่รองเท้าที่รัดส้นเท้าเป็นประจำ (ร้อยละ 41.84) และพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการขาดความเอาใจใส่ในการดูแลส้นเท้าของท่าน (ร้อยละ 37.76) และเคยขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะส้นเท้าแตก (ร้อยละ 41.84) และกลุ่มตัวอย่างที่เคยเข้ารับการรักษา เรื่องส้นเท้าแตก (ร้อยละ 40.82)</li> <li>จากการทดสอบสมมุติฐานด้วยสถิติ Chi-square พบว่าตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับปัญหาส้นเท้าแตกของเพศหญิง อายุ 40-50 ปี หมู่ 8 ตำบลบุดี อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ระดับส้นเท้าแตกมีความสัมพันธ์ทางสถิติกับปัญหาส้นเท้าแตกของเพศหญิง ซึ่งพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มี (ร้อยละ 31.63) มีแนวโน้มเกิดปัญหาส้นเท้าแตกมากกว่าระดับอื่น ๆ </li> </ol> นูรรีย๊ะ ล่าเตะเกะ, ฮูดา เจ๊ะแวมาแจ, นูฮารีฟา กอเด, นูรีตา สาและ, นุรลิสา หะยีมามุ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/261842 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 แรงจูงใจและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264275 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและปัจจัยทาง การบริหารที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 890 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างเป็นแบบแบ่งชั้นภูมิ ได้จำนวน 137 คน เครื่องมือใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 12 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงวิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่าภาพรวมแรงจูงใจ ปัจจัยทางการบริหาร และคุณภาพชีวิตการทำงานอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.99 (S.D.=0.40), 3.81 (S.D.=0.57) และ 4.07 (S.D.=0.44) ตามลำดับ และภาพรวมแรงจูงใจมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับคุณภาพชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาฬสินธุ์ (r=0.772, p&lt;0.001) และปัจจัยทางการบริหารมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง (r=0.616, p&lt;0.001) และพบว่าปัจจัย 4 ตัวแปร ได้แก่ ปัจจัยจูงใจด้านความสำเร็จในการทำงาน ปัจจัยค้ำจุนด้านการปกครองบังคับบัญชา ปัจจัยค้ำจุนด้านชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัว และด้านเวลาในการปฏิบัติงาน มีผลและสามารถร่วมพยากรณ์คุณภาพชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ร้อยละ 78.9 (R<sup>2</sup>=0.789, p&lt;0.001)</p> วราภรณ์ เขตผดุง , นพรัตน์ เสนาฮาด, สุรชัย พิมหา, นครินทร์ ประสิทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264275 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 รายงานสอบสวนการแพร่กระจายของวัณโรคปอดในเรือนจำแห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264609 <p>การศึกษานี้เป็น Retrospective Cohort Study และ Investigation Descriptive โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิที่บันทึกใน TB03, National Tuberculosis Information Program และแบบบันทึกการรักษาพยาบาลจากผู้ป่วยของโรงพยาบาลชุมชน พรรณนาข้อมูลระบาดวิทยาเชิงสอบสวนโรค และอธิบายลักษณะการแพร่ของวัณโรคปอดในเรือนจำ ใช้ Kaplan-Meier และ Log rank test ในการประมาณระยะเวลาที่เข้าเรือนจำและทดสอบความแตกต่างระหว่างระยะเวลาที่เข้าเรือนจำจนได้รับการวินิจฉัยตามลำดับ ใช้ Cox's Regression เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับปัจจัยที่สัมพันธ์กับระยะเวลาการรักษาสำเร็จจนหายจากการติดเชื้อวัณโรคปอด กำหนดคระดับนัยสำคัญ p-value &lt; 0.05</p> <p>ผู้ต้องขังที่ติดเชื้อวัณโรคปอดปี 2552 และปี 2557-2565 จำนวน 53 ราย อายุน้อยสุด 20 ปีผู้ต้องขังติดเชื้อวัณโรคปอดพบที่แดน 7 มากที่สุด และเป็นผู้ต้องขังรายเก่า ที่นอน 1 รายในเรือนจำเฉลี่ย 1:1.5-1.6 ตารางเมตรหรือระยะการนอน 150-160 cm. X 10-15 cm. ผลสอบสวนพบว่าพลาดการวินิจฉัยหรือล่าช้า สถานการณ์โควิด-19 รักษาไม่ต่อเนื่อง ติดเชื้อวัณโรคปอดมาก่อน ผลการศึกษาพบว่าผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ วัณโรคปอดมีระยะเวลาเข้าเรือนจำจนถึงได้รับการรักษา มีค่ามัธยฐาน (Median Survival Time) 14 เดือนหรือ 1.2 ปี (95% CI = 10.9-17.0) ประเภทผู้ต้องขัง (เก่า/ ใหม่, p &lt; 0.001, 95% CI = 4.63-40.43, Adjusted HR = 13.68) และปีที่เข้าเรือนจำ (ก่อนปี 2562/หลังปี 2562, p = 0.001, 95% CI = 4.16-267.73, Adjusted HR = 33.36) เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาหายของผู้ต้องขังติดเชื้อวัณโรคปอดในเรือนจำ การศึกษานี้ใช้เป็นข้อมูลในการบริหารและจัดการเพื่อป้องกันการแพร่ของวัณโรคในเรือนจำ</p> เวสารัช วรุตมะพงศ์พันธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264609 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาการดำเนินงานร้านอาหารสู่มาตรฐาน อาหารสะอาด รสชาติอร่อย ระดับดีมาก ในเขตเทศบาลตำบลวาปีปทุม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264854 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาการดำเนินงานร้านอาหารสู่มาตรฐาน อาหารสะอาด รสชาติอร่อย ระดับดีมาก ในเขตเทศบาลตำบลวาปีปทุม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายซึ่ง ประกอบด้วย ตัวแทนภาคประชาชน จำนวน 165 คน ตัวแทนภาควิชาการ จำนวน 10 คน และตัวแทนภาคการเมือง จำนวน 3 คน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) กลุ่มศึกษาบริบท สถานการณ์ คือ กลุ่มประชาชน ภาควิชาการ และภาคการเมือง จำนวน 178 คน 2) กลุ่มที่มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบ คือตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 60 คน 3) กลุ่มที่เข้าร่วมประเมินผลการพัฒนาและปัจจัยแห่งความสำเร็จ จำนวน 60 คน มีการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดย ใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม แบบประเมิน และแบบทดสอบความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ความถี่ ร้อยละ และ Paired simple t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า จากการดำเนินงานพัฒนาร้านอาหารสู่ มาตรฐาน อาหารสะอาด รสชาติอร่อย ระดับดีมาก ซึ่งใช้การดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จากการดำเนินงานประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาบริบทของพื้นที่ และสภาพชุมชน <strong> </strong>2) การร่วมวางแผนกับภาคีเครือข่าย 3) การดำเนินการตามแผน 4) การสังเกตและติดตามผลร่วมกับภาคีเครือข่าย 5) การสะท้อนผลและถอดบทเรียนแห่งความสำเร็จ ซึ่งทำให้ร้านอาหารผ่านเกณฑ์มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย ระดับดีมาก เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 8.33 เป็นร้อยละ 33.33 ซึ่งจากการมีแนวทางปฏิบัติที่ดี ทำให้การพัฒนาการดำเนินงานร้านอาหารสู่มาตรฐาน อาหารสะอาด รสชาติอร่อย ระดับดีมาก ในเขตเทศบาลตำบลวาปีปทุม อำเภอวาปีปทุม ประสบความสำเร็จ และสามารถนำแนวทางไปพัฒนาต่อเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตได้ โดยอาศัยหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน</p> สุภาวดี สาที, วรพจน์ พรหมสัตยพรต, จตุพร เหลืองอุบล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264854 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบล โดยกระบวนการสมัชชาสุขภาพตำบลทุ่งเขาหลวง อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264848 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประเภทการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการสมัชชาสุขภาพ ในการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา คือ 1) กลุ่มดำเนินการบริหารจัดการกองทุนฯ จำนวน 36 คน 2) กลุ่มภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมพัฒนาฯ จำนวน 35 คน เก็บรวบข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ พิสัย ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ Paired t – test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลโดยใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพตำบลทุ่งเขาหลวง อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด ในครั้งนี้ ประกอบไปด้วยกระบวนการ 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาบริบทพื้นที่และวิเคราะห์สภาพปัญหา 2) ประชุมเชิงปฏิบัติการ 3) กำหนดประเด็นปัญหา พัฒนาประเด็นและแสวงหาฉันทามติ 4) จัดทำแผนปฏิบัติการ 5) ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการสู่การปฏิบัติ 6) ติดตาม สนับสนุน และประเมินผลการดำเนินงาน 7) แลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน และ 8) ถอดบทเรียน สรุปผล ปัญหาอุปสรรค ผลจากการใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพดังกล่าว ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มดำเนินการบริหารจัดการกองทุนฯ มีระดับความรู้ บทบาท การมีส่วนร่วม และความพึงพอใจในการดำเนินงานกองทุนฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และกลุ่มภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมพัฒนาฯ มีระดับความรู้ การมีส่วนร่วม และความพึงพอใจในการดำเนินงานกองทุนฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลโดยใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพตำบลทุ่งเขาหลวง ในครั้งนี้ คือ 1) การทำงานเป็นทีมของทุกภาคส่วน (Team work) 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาคีเครือข่าย (Knowledge sharing) 3) ความมีภาวะผู้นำของนายกและปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง (Leadership) คือ การมีส่วนร่วมของทุกเครือข่ายในพื้นที่ร่วมกันพัฒนากระบวนการ มีการสื่อสารแลกเปลี่ยนเรียนการทำงานร่วมกัน เครือข่ายทุกภาคส่วนในชุมชนมีความเข้มแข็งและสามัคคี และผู้นำขององค์กรมีภาวะผู้นำและให้ความความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน สามารถนำทีมพัฒนากระบวนการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง ผ่านการประเมินการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพ อยู่ในระดับ A<sup>+</sup> เป็นกองทุนที่มีศักยภาพสูง สามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้ได้</p> รุ่งฤดี ศรีชัยวาน, เทอดศักดิ์ พรหมอารักษ์, พัดชา หิรัญวัฒนกุล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264848 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาตัวแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะ อ้วนในเด็กวัยเรียน : กรณีศึกษาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านควนตะแบก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264846 <p>โรคอ้วนในเด็กเป็นปัญหาสำคัญทำให้เกิดไม่ติดต่อเรื้อรัง การพัฒนาตัวแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพในการป้องกันภาวะอ้วนในเด็กวัยเรียน : กรณีศึกษาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านควนตะแบก มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาตัวแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะอ้วนในเด็กวัยเรียน แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะอ้วนในเด็กวัยเรียน วิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างผู้เกี่ยวข้องการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะอ้วน จำนวน 24 คน ระยะที่ 2 พัฒนาตัวแบบฯ โดยผู้วิจัย และประยุกต์ใช้ค่า IOC เพื่อแสดงความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ของตัวแบบฯกับองค์ประกอบหลักองค์ประกอบย่อยจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ระยะที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของตัวแบบฯ โดยใช้แบบประเมิน AGREE II (2017)</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) สถานการณ์การสร้างเสริมความรอบด้านด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะอ้วนในเด็กวัยเรียน เด็กที่มีภาวะอ้วนมีพฤติกรรมชอบบริโภคอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และขนมขบเคี้ยว และยังไม่สามารถจัดการตนเองเพื่อควบคุมน้ำหนัก ผู้ปกครองต้องดูแลและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย 2) ตัวแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ฯ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ดังนี้ (1) ความรู้ความเข้าใจ (2) การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ (3) การสื่อสารเพื่อความเชี่ยวชาญ (4) การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพ (5) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (6) การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง 3) ตัวแบบตวาม</p> <p>รอบรู้ฯมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ (71.42) และคุณภาพในภาพรวมของตัวแบบ (89.79) ตัวแบบสร้างเสริมความรอบด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะอ้วนในเด็กวัยเรียน ตัวแบบฯส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองทำให้เด็กวัยเรียนบริโภคอาหารและมีกิจกรรมทางกายอย่างถูกต้อง สามารถประยุกต์ใช้ในเด็กวัยเรียนกับโรงเรียนอื่นๆ</p> วรรณลี ยอดรักษ์, เจตจรรยา บุญญกูล, อนงค์ ภิบาล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/264846 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ระหว่างภาวะซึมเศร้ากับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265194 <p>การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional research) มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ ผู้สูงอายุ จำนวน 420 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยใช้การทดสอบของฟิชเชอร์ (Fisher’s exact test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศหญิง ร้อยละ 60.50 ส่วนใหญ่อายุ 60-69 ปี ร้อยละ 54.80 การศึกษาสูงสุดระดับประถมศึกษา ร้อยละ 87.40 สถานภาพสมรส ร้อยละ 76.90 ส่วนใหญ่มีรายได้น้อยกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 85.70 แหล่งที่มาของรายได้ส่วนใหญ่ได้รับจากสวัสดิการจากรัฐ ร้อยละ 61.00 การพักอาศัยส่วนใหญ่อยู่กับบุตร/ หลาน ร้อยละ 46.90 การมีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 35.00 ส่วนผลการคัดกรองโรคซึมเศร้า พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 88.30 รองลงมามี ภาวะซึมเศร้าระดับน้อย ร้อยละ 10.70 ระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ร้อยละ 54.30 รองลงมามีคุณภาพชีวิตปานกลาง ร้อยละ 41.20 และพบว่า ปัจจัยแหล่งที่มาของรายได้ และผลการคัดกรองโรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;.05)</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า มีผู้สูงอายุบางส่วนที่มีภาวะซึมเศร้า และเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต ดังนั้นผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการลดภาวะซึมเศร้าและส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุมากขึ้น</p> วิลาวัณย์ ชาดา, ชัยกฤต ยกพลชนชัย, เพ็ญมาศ สุคนธจิตต์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265194 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุชนเผ่าม้ง และลัวะ ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำตวง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265336 <p>สถานการณ์การสูญเสียฟันพบได้มากในผู้สูงอายุ ซึ่งการสูญเสียฟันมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เพื่อการวางแผนงานป้องกันการสูญเสียฟันที่เหมาะสม การศึกษานี้เป็นการวิจัยวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการสูญเสียฟัน พฤติกรรม ความรอบรู้ด้านทันตสุขภาพ และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุชนเผ่าม้งและลัวะ ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำตวง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ชนเผ่าม้งและลัวะ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบ Cluster Random Sampling จำนวน 95 คน ใช้แบบสัมภาษณ์และแบบตรวจสุขภาพช่องปากในการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6 มกราคม–30 มิถุนายน 2566 วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติหาความสัมพันธ์โดยใช้สมการถดถอยปัวซอง</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 52.63 เป็นชนเผ่าม้ง ร้อยละ 82.11 มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน ร้อยละ 56.80 สถานภาพสมรส ร้อยละ 76.84 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 91.58 ความชุกของการสูญเสียฟัน ร้อยละ 81.05 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก อยู่ในระดับต่ำและสูง ร้อยละ 35.80 เท่ากัน ด้านพฤติกรรมเสี่ยง อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 43.20 ความรอบรู้ด้านทันตสุขภาพ ทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟัน ในผู้สูงอายุชนเผ่าม้งและลัวะ ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำตวง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ได้แก่ ความรอบรู้ด้านทันตสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ความรอบรู้ด้านทันตสุขภาพด้านที่ 1 ความรู้ความเข้าใจ (IRR=2.40, 95%CI[1.64-.52, p=0.001]) ด้านที่ 2 การเข้าถึงข้อมูลและบริการ (IRR=4.21, 95%CI[2.78-6.37], p=0.001) ด้านที่ 5 การรู้เท่าทันสื่อ (IRR=1.71, 95%CI[1.26-2.32], p=0.001) ด้วยเหตุนี้ ควรมีการศึกษาและพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านทันตสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับชนเผ่า โดยให้ความสำคัญตั้งแต่กลุ่มวัยทำงานเพื่อป้องกันและลดการสูญเสียฟันในวัยผู้สูงอายุต่อไป</p> <p> </p> ชนนิกานต์ เขื่อนเขตร, สมชาย จาดศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265336 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษาชุมชนตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265702 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและทบทวนสถานการณ์ปัญหาขยะมูลฝอยในชุมชน และ 2) พัฒนารูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน ในเขตพื้นที่ชุมชนตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 75 คน จากกลุ่มคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล เครื่องมือและการเก็บรวบรวมข้อมูล ส่วนที่ 1 ศึกษาทบทวนสถานการณ์ ด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนตำบลเหล่าบก ส่วนที่ 2 การสนทนากลุ่มครั้งที่ 1 เพื่อกำหนดประเด็นการสร้างรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน และการสนทนากลุ่ม ครั้งที่ 2 เพื่อหาข้อสรุปร่วมต่อรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้อมูลทั่วไปของประชากรในตำบลเหล่าบกมี ทั้งหมด 5,435 คน แยกเป็นเพศชาย 2,625 คน คิดเป็นร้อยละ48.30 เพศหญิง 2,810 คน คิดเป็นร้อยละ 51.70 จำนวน 1,466ครัวเรือน มีปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในชุมชน 149.66 ตัน/เดือน ขยะมูลฝอยทั่วไป 81.47 ตัน/เดือน ขยะอินทรีย์ 43.02 ตัน/เดือน ขยะรีไซเคิล 24.97 ตัน/เดือน ขยะอันตราย 0.2 ตัน/เดือน ปัญหาหลักด้านการจัดการขยะมูลฝอย คือ ประชาชนไม่มีการคัดแยกขยะมูลฝอยและนำมาขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์น้อย 2) ผลจากการสนทนากลุ่ม ได้รูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้แก่ การคัดแยกขยะมูลฝอยกลับไปใช้ประโยชน์โดยชุมชน การจัดการตั้งแต่ต้นทาง โดยคัดแยกเป็น 4 ประเภท คือ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะมูลฝอยทั่วไป และขยะอันตราย ขยะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จัดเก็บตามเวลาที่กำหนดตามที่ชุมชนเสนอ และกำจัดขยะอย่างถูกวิธีโดยองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่าบก นำรูปแบบการจัดการขยะจัดทำเป็นคู่มือ ประกอบด้วย สาเหตุของปัญหา กลวิธีดำเนินงาน วัตถุประสงค์และตัวชี้วัดความสำเร็จ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อการพัฒนา</p> สุภาพร แปยอ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265702 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านโภชนาการ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของผู้สูงในเขตพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265757 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านโภชนาการ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านโภชนาการ กับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 249 ราย เครื่องมือที่ใช้ประกอบไปด้วย 1)คุณลักษณะส่วนบุคคล 2)แบบวัดความรอบรู้ด้านโภชนาการ และ3)พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และวิเคราะความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Pearson’s Product Moment Correlation</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าความรอบรู้ด้านโภชนาการของผู้สูงอายุในภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาข้อมูลรายด้านพบว่าการเข้าถึงข้อมูลด้านโภชนาการและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตนเองด้านโภชนาการอยู่ในระดับต่ำ ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี พบว่า ความรอบรู้ด้านโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักโภชนบัญญัติ 9 ประการ มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt;0.001 โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ กล่าวคือ ถ้าหากผู้สูงอายุมีความรอบรู้ด้านโภชนาการในระดีบดี ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาบัญญัติ 9 ประการอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ความรอบรู้ด้านโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักธงโภชนาการผู้สูงอายุ มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt;0.001 โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ กล่าวคือ ถ้าหากผู้สูงอายุมีความรอบรู้ด้านโภชนาการในระดีบดี ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักธงโภชนาการผู้สูงอายุอยู่ในระดับที่สูงขึ้น</p> <p> ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับวางแผนพัฒนาโปรแกรมความรอบรู้ด้านโภชนาการ ของผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี</p> ลำใย นะราช, ธิดารัตน์ สมดี, เขมิกา สมบัติโยธา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/265757 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความรู้และพฤติกรรมการดูแลช่องปากของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในเขตกรุงเทพมหานคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266293 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ จำนวน 475 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ Google form ระหว่างวันที่ 5-30 เมษายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple regression analysis) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 65.9 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 41.1 รองลงมาเป็นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ร้อยละ 35.4 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 23.6 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เรียนอยู่แผนการเรียนวิทย์-คณิตร้อยละ 68.6 ได้รับข่าวสารการดูแลรักษาสุขภาพปากและฟันผ่านทาง สื่อสังคมออนไลน์ อินเทอร์เน็ตร้อยละ 46.7 รองลงมาเป็นผู้ปกครองร้อยละ 20 จากที่โรงเรียน หนังสือเรียนร้อยละ 14.7 จากแหล่งอื่น ๆ ร้อยละ 7.6 จากเพื่อนร้อยละ 7.4 และจากทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยาสาร ร้อยละ 3.6 ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีรายได้ครอบครัวก่อนหักค่าใช้จ่ายต่อเดือน 40,001-80,000 บาทคิดเป็นร้อยละ 24.6 มีการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรักษาปีละ 2 ครั้ง ร้อยละ 26.5 รองลงมาเป็นน้อยกว่าปีละ 1 ครั้งร้อยละ 25.9 มากกว่าปีละ 2 ครั้งร้อยละ 24.8 และปีละ 1 ครั้งร้อยละ 22.7 ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลปากและฟันอยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 60.21 และมีพฤติกรรม การดูแลสุขภาพปากและฟันอยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 50.10 พฤติกรรมที่ปฏิบัติเสมอมากสุด คือการทำความสะอาดลิ้น พบทันตแพทย์อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ส่วนพฤติกรรมที่ปฏิบัติเสมอน้อยสุด เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับการ งดอาหาร ที่มีน้ำตาลและเป็นกรด การใช้น้ำยาบ้วนปาก และการใช้ไหมขัดฟัน จากการวิเคราะห์ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลปากและฟัน พบว่าจำนวนครั้งที่พบทันตแพทย์เพื่อตรวจ และรักษา (Beta=0.313, p-value&lt;0.01) และรายได้ ครอบครัวต่อเดือน (Beta=0.112, p-value&lt;0.05) เป็นปัจจัยที่มีอำนาจทำนายพฤติกรรมการดูแลปากและฟันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ไปรยา ทองแย้ม, ธีรญา ช่วยพิทักษ์, พชรพร วงษ์ปักษา, อธิวรรธน์ อยู่บาง, ศุจิมน มังคลรังษี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266293 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการติดตามการกินยาฟาวิพิราเวียร์ของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266481 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการติดตามการกินยาฟาวิพิราเวียร์ของผู้ป่วย COVID-19 ในโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 30 เมษายน 2565 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วย COVID-19 อายุ 18 ปี ขึ้นไป ได้รับการวินิจฉัยด้วยวิธี RT-PCR พบเชื้อ Coronavirus ในกลุ่มอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 271 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ โปรแกรมการติดตามการกินยาฟาวิพิราเวียร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์ แบบบันทึกพฤติกรรมการกินยา และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้โปรแกรมฯ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired sample t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วย COVID-19 ทั้งหมด 271 ราย ภายหลังการได้รับโปรแกรมฯ มีระดับความรู้สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การติดตามพฤติกรรมการบันทึกการกินยาผ่านโปรแกรมฯ มีผู้บันทึกการกินยาครบทุกมื้อ 239 คน (88.19%) บันทึกการกินยาไม่ครบ 31 คน (11.44%) ผลการติดตามความคลาดเคลื่อนทางยา ไม่พบอุบัติการณ์การกินยาผิดพลาด การติดตามอาการข้างเคียงจากยาฟาวิพิราเวียร์ พบจำนวน 20 ครั้ง (7.38%) ประกอบด้วย คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย ตามลำดับ ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการใช้โปรแกรมฯ อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.70, S.D.=0.43) ซึ่งโปรแกรมการติดตามการกินยาฟาวิพิราเวียร์ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ทำให้มีความมั่นใจในการกินยา สามารถกินยาได้อย่างถูกต้อง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย</p> มาดีฮะห์ วาเง๊าะ, ชนกานต์ มีรอด, ชนาธิป หอมทอง, พัชรี มีเย็น, ธนัญชัย จวบประสพ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266481 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการป้องกันฝุ่น PM2.5 ของประชาชนอายุ 18-60 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266561 <p> PM<sub>2.5 </sub>เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อสุขภาพ ก่อให้เกิด โรคต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะในเด็ก ผู้มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ จากการอยู่อาศัย ในเมืองหลวงของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยการทำอุตสาหกรรม และมลพิษจากการขนส่ง</p> <p>การวิจัยเชิงพรรณาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมป้องกันฝุ่น PM<sub>2.5</sub> ของประชาชนอายุ 18-60 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากกลุ่มตัวอย่าง 386 คน ในช่วงวันที่ 1 พฤษภาคม - 31 กรกฎาคม 2566 ผ่านการประชาสัมพันธ์ในกลุ่ม สังคมออนไลน์ในส่วนของข้อมูล ส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ด้วย สถิติเชิงพรรณา (Descriptive Statistics) และใช้สถิติ วิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผล ต่อพฤติกรรมการป้องกันฝุ่น PM<sub>2.5 </sub>จากผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับ PM<sub>2.5 </sub>อยู่ใน ระดับปานกลาง ร้อยละ 59.59 มีเจตคติต่อการป้องกัน PM<sub>2.5 </sub>อยู่ในระดับดี ร้อยละ 87.05 และมี พฤติกรรมการป้องกัน PM<sub>2.5 </sub>ในระดับดี ร้อยละ 71.24 อย่างไรก็ตาม ระดับการศึกษา อาชีพ และลักษณะการอยู่อาศัยอาจเป็นปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมต่อการป้องกัน ตนเองจากฝุ่นของประชาชนจากการวิเคราะห์สถิติข้อมูลแบบจำลอง เชิงเส้นทำนายพฤติกรรมการป้องกัน PM<sub>2.5 </sub>พบว่า เจตคติต่อการป้องกัน PM<sub>2.5 </sub>เป็นตัวแปรที่มีอำนาจในการ ทำนายพฤติกรรมมากที่สุด (<strong>β</strong>=0.665, <em>p</em>-value &lt;0.05)</p> <p>ดังนั้น ภาครัฐควรส่งเสริมความรู้ PM<sub>2.5</sub> มุ่งเน้นไปที่ประชาชน ควรเพิ่มช่องทางการกระจายข่าวสารที่ประชาชนเข้าถึงโดยส่วนใหญ่ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและถูกต้องลงบนสื่อสาธารณะ เช่น โทรทัศน์ และ สื่ออินเทอร์เน็ต หรือประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียง</p> พัทธนันท์ วิวัฒนไพศาล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/266561 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบและกลไกการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ‘SALE Model’ ตัวแบบลพบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267057 <p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาระบบและกลไกการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2566 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เครือข่าย จำนวน 408 คน ผู้ดูแล จำนวน 102 คน และผู้สูงอายุ จำนวน 102 คน กระบวนการพัฒนาตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart (1988) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบบันทึกข้อมูล ได้แก่ การมีส่วนร่วมของเครือข่าย ศักยภาพของผู้ดูแล และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา, paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบและกลไกการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร มี 3 ระยะ คือ 1) การศึกษาสถานการณ์ 2) กระบวนการพัฒนา และ 3) การประเมินผล ผลการพัฒนาระบบ ได้แก่ มีระบบการคัดกรองสุขภาพ สนับสนุนชมรมผู้สูงอายุ มีการพัฒนาเครือข่าย จัดบริการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว และพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลในระยะท้ายของชีวิต หลังพัฒนาเครือข่ายรับรู้การสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุอยู่ในระดับสูงมากกว่าก่อนพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001) จากร้อยละ 40.2 เป็นร้อยละ 71.3 มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบอยู่ในระดับสูงมากกว่าก่อนพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001) จากร้อยละ 77.9 เป็นร้อยละ 78.2 และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุระดับดีเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001) จากร้อยละ 72.8 เป็นร้อยละ 73.8 ศักยภาพผู้ดูแลด้านบทบาทมีระดับสูง ร้อยละ 81.4 และมีความสามารถในการดูแล ร้อยละ 87.3 หลังพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.0</p> <p>สรุป การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ได้ตัวแบบ ‘SALE Model’ สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างครอบคลุม ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น</p> ชูพงษ์ คงเกษม, วิไลลักษณ์ หมดมลทิน, ณรษา เรืองวิลัย Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267057 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน : กรณีศึกษา ผู้ป่วยเอชไอวีระยะสุดท้ายที่มีภาวะแทรกซ้อน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267312 <p>การวิจัยกรณีศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้านในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่มีภาวะแทรกซ้อน เกณฑ์ในการคัดเข้าคัดเลือกผู้ป่วยเอชไอวีระยะสุดท้ายที่มี PPS Score &lt; 40 คะแนน ส่งต่อจากโรงพยาบาลเพื่อดูแลที่บ้าน วิธีการวิจัยแบบกรณีศึกษาจำนวน 2 ราย เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วย แบบประเมิน PPS score แบบประเมิน ADL แบบประเมินความเครียด ST-5 แบบประเมินภาวะซึมเศร้า 2Q และ แบบประเมิน 9Q เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยกระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน ประยุกต์ใช้ตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กรณีศึกษาที่ 1 เพศหญิง อายุ 50 ปี สถานภาพสมรสคู่ สามีเป็นผู้ดูแล มีอาชีพค้าขาย ประวัติบิดามารดาและพี่สาวเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอด ได้รับการวินิจฉัยเป็นติดเชื้อเอชไอวีและมะเร็งปอดระยะแพร่กระจาย และรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีร่วมกับยาบรรเทาอาการปวด คะแนน PPS = 40% ไม่มีภาวะพึ่งพา ความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยและญาติปรับตัวต่อการเจ็บป่วย กรณีศึกษาที่ 2 เพศชาย อายุ 33 ปี สถานภาพสมรสหม้าย บิดามารดาเป็นผู้ดูแล ไม่มีรายได้ ไม่เคยตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้รับการวินิจฉัยมีการแพร่กระจายของเชื้อที่สมองไม่ได้รับยาต้านเอชไอวี ได้รับยาบรรเทาอาการปวด คะแนน PPS = 10% (อาการอยู่ในระยะสุดท้าย) มีภาวะพึ่งพา และมีภาวะซึมเศร้า และบิดายังปรับตัวไม่ได้เนื่องจากเคยสูญเสียบุตรชาย การจัดการปัญหาของทั้งสองกรณีเป็นไปตามแนวทางการดูแลระยะสุดท้าย และสิ่งที่ต้องคำนึงคือการเตรียมจิตใจของญาติให้สามารถเผชิญกับการสูญเสีย</p> สุจิตรา หงษ์ยนต์, บุศรา อนุพันธ์, ประณมกร พาหะนิช Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267312 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบประสิทธิผลของการตรวจผ่านระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการตรวจแบบดั้งเดิมในผู้ป่วยเบาหวานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โรงพยาบาลมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267773 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการตรวจผ่านระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการตรวจแบบดั้งเดิมเพื่อควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน การศึกษาเชิงกึ่งทดลอง (Qusai Experimental Research) แบบกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองครั้งนี้ ดำเนินการวัดผลการทดสอบก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้ ดำเนินการวัดผลการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง ภายใต้กรอบแนวคิดการให้ความรู้และเสริมสร้างทักษะเพื่อการดูแลโรคเบาหวานด้วยตนเอง กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (HbA1c≥7) ได้รับการสุ่มเป็นกลุ่ม เพื่อรับบริการตรวจผ่านระบบการแพทย์ทางไกล ด้วย LINE Application 39 คน และกลุ่มรับบริการแบบดั้งเดิม 39 คน ณ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลมหาชนะชัย อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่าน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1c) ที่ติดตามครบ 12 สัปดาห์ จำนวน 75 คน พบว่าค่าเฉลี่ย HbA1c ลดลงจากค่าตั้งต้นในทั้งสองกลุ่มแต่ไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.328) และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร (FPG) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.127) ส่วนการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนการจัดการตนเองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p = 0.002) โดยกลุ่มที่ได้รับการตรวจผ่านระบบการแพทย์ทางไกลมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น สรุป การตรวจผ่านระบบTelemedicine สามารถนำไปใช้ในการตรวจรักษาผู้ป่วยเบาหวานที่มีความเสี่ยงต่ำได้อย่างปลอดภัย ลดความแออัดของผู้ป่วย ลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย</p> รัฐศาสตร์ สุดหนองบัว Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267773 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแบบประเมินคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้อง รอพบแพทย์ และรับยาโดยไม่จำเป็น ณ โรงพยาบาลมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267774 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน ภายใต้โมเดลการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบรวดเร็ว (Rapid Application Development: RAD) และแนวคิด Joint application development (JAD) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับคัดกรอง และให้คำแนะนำ รวมทั้งแนวทางการจัดการตนเองแบบโต้ตอบแก่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ณ โรงพยาบาลมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยและพัฒนาเว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน กลุ่มเป้าหมาย ทีมพัฒนาจำนวน 5 คน คัดเลือกเฉพาะเจาะจง ระยะที่ 2 ประเมินประสิทธิผลของการใช้เว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน โดยการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีค่า HbA1c ≥ 7 mg% ได้รับการสุ่มเป็นกลุ่ม เพื่อใช้เว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน 32 คน และรับบริการดั้งเดิม 32 คน ดำเนินการวิจัย 4 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า เว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน สามารถค้นหา บันทึกข้อมูลผู้ป่วยรายบุคคล และสามารถประมวลผลเชื่อมโยงระบบ HOSxP เพื่อแสดงผลและให้แนวทางการปฏิบัติพร้อมคำแนะนำในการจัดการตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านการประเมินประสิทธิผล พบว่า กลุ่มศึกษาที่ใช้เว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชัน มีค่าเฉลี่ย HbA1c ลดลงหลัง 12 สัปดาห์แม้จะไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุม (p = 0.384) และมีความพึงพอใจระดับมากที่เว็บแอปพลิเคชันลดระยะเวลารอคอยในการรอรับบริการ ( = 4.62, S.D. = 0.55) และพึงพอใจในการให้คำแนะนำ แนวทางในการจัดการตนเองแบบโต้ตอบ ( = 4.31, S.D. = 0.69) จึงสามารถนำเว็บสมาร์ท เอ็นซีดีส์ แอปพลิเคชันไปใช้ประกอบการพัฒนาระบบงานให้บริการในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่อไปได้</p> รัฐศาสตร์ สุดหนองบัว Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/267774 Thu, 04 Apr 2024 00:00:00 +0700