วารสารสัตวศาสตร์ประยุกต์

Nutritive Value and In-Vitro Digestibility of Blended Ratios of Wheat Offal and Wet Sorghum Brewer Residue as Feed for Livestock

2025-08-18T01:36:41+07:00

The use of agro-industrial by-products as animal feeds has been a matter of interest for the last few decades. Hence, this study evaluated the chemical composition, volatile fatty acid profile, and in-vitro digestibility of blended ratios of wheat offal and wet sorghum brewer residue. Fresh wet sorghum brewer residue (WSBR) was collected from local gin (Burukutu) producers and blended with wheat offal (WO) on a weight-for-weight basis in the following rations: 1WO:1WSBR, 1WO:1.5WSBR, 1WO:1.2WSBR, 1WO:2.5WSB, 1WO:1.3WSBR, and 1WO:3.5WSBR, arranged in a Completely Randomized Design. The blends were air-dried for 3 days at 39 °C. Samples of blended ratios were analyzed for chemical composition, volatile fatty acids profile, and in-vitro digestibility using standard procedures. The dry matter contents of ratios 1:1, 1:2, 1:2.5, 1:3, and 1:3.5 were significantly higher (p < 0.05) than the 1:1.5 ratio. The crude fibre content significantly increased (p < 0.05) as the proportion of WSBR increased in the blends. The carbohydrate fractions of ratios 1:2, 1:2.5, and 1:3 were significantly higher (p < 0.05) than those of ratios 1:1 and 1:1.5. The neutral detergent fibre was significantly higher (p < 0.05) in ratio 1:3.5 than in other blended ratios. Furthermore, the hemicellulose content was significantly higher (p < 0.05) in ratios 1:1.5, 1:2.5, and 1:3 than in ratio 1:1, and was lowest in 1:3.5. However, ratios 1:1 and 1:1.5 had significantly higher (p < 0.05) acetic, propionic, butyric, valeric, and lactic acid contents than the other ratios. Notably gas production was significantly highest (p < 0.05) in ratio 1:1 from 3 to 24 hours of in-vitro digestibility compared to other ratios. It could be concluded that blended ratios of wheat offal and wet sorghum brewer residue improved nutrient availability for livestock animals; however, ratios 1:1 and 1:1.5 produced more in-vitro gases, while ratios 1:1, 1:1.5, and 1:2 showed superior dry matter digestibility.

Quality Evaluation of Chicken Powder from Broiler Chicken Fed Abattoir Wastes in Their Diet

2025-07-22T13:37:04+07:00

There is an increasing desire and demand for animal products with improved nutritional quality, resulting in the inclusion of abattoir waste in the feed of broiler chickens used as a raw material for the processing of chicken powder (CP). A total of 150 Ross breed chicks were raised intensively for 8 weeks. The birds were fed compounded feed (CF) with inclusion of abattoir waste (AW) and allocated to five dietary treatments (T) in a completely randomized design: T1, CF only; T2, CF + 5% AW; T3, CF + 10% AW; T4, CF + 15% AW, and T5, CF + 20% AW. Three chickens were selected from each treatment for CP processing. Result on day 0 showed that inclusion of AW in the diet of broiler chickens increased the protein of CP. Moisture content increased with increasing AW. Cholesterol in all treatments was below the limit recommended for broilers and their products. No significant difference (p > 0.05) was observed in iron (Fe), while sodium (Na) and potassium (K) increased with AW. On day 28, no significant changes were observed in protein content; however, storage intervals caused variation in ash and moisture content. T2 and T3 had the lowest microbial load on day 0 and 28. Microbial load increased with AW, and T4 and T5 were significantly (p < 0.05) higher in total viable count (TVC) and total bacterial count (TBC). Result for palatability showed that T2 was significantly preferred, followed by T1 and T3 with no significant difference. CP is a high-protein animal product in which the nutritive component is enhanced with inclusion of 5-10% abattoir waste in the diet of broiler chicken.

การผ่าตัดติดตั้งปากเทียมสามมิติบริเวณปากบนในนกฟอพัส (Forpus coelestis): รายงานเบื้องต้นของกรณีศึกษา

2025-07-17T13:54:41+07:00

การเสียรูปหรือการสูญเสียปากในนกแก้ว ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพฤติกรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การกินอาหาร การดูแลตกแต่งขน และการปีนป่าย รายงานฉบับนี้จึงนำเสนอกรณีศึกษาครั้งแรกของการผ่าตัดติดตั้งปากเทียมที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D printing) บริเวณปากบนของนกแก้วสายพันธุ์แปซิฟิกพารอตเลต หรือนกฟอพัส (Pacific parrotlet; Forpus coelestis) ซึ่งเป็นนกแก้วขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดทางกายวิภาคและกลไกเฉพาะตัว สัตว์ป่วยรายนี้เป็นนกฟอพัสเพศเมียที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุโดนนกที่มีขนาดใหญ่กว่ากัด ส่งผลให้สูญเสียปากส่วนบนทั้งหมด การรักษาประกอบด้วยการออกแบบปากเทียมเฉพาะรายโดยอิงจากภาพถ่ายเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized tomography scan) ของนกสายพันธุ์เดียวกัน จากนั้นผลิตชิ้นงานด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติด้วยเทคนิคสเตอริโอลิโธกราฟี และเคลือบด้วยเรซินทางทันตกรรม เพื่อความเข้ากันได้ทางชีวภาพและความทนทานในการใช้งาน ขั้นตอนการผ่าตัดเริ่มจากการฝังสกรูไทเทเนียมขนาดเล็กบริเวณปากส่วนบนที่เหลือ ร้อยลวดสแตนเลสผ่านกะโหลก และยึดปากเทียมเข้ากับกะโหลกพร้อมปิดรอยต่อด้วยเรซินทันตกรรม โดยทั้งหมดใช้เวลาเพียงประมาณ 15 นาที ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการวางยาสลบที่มักพบในนกขนาดเล็ก ภายหลังการผ่าตัด นกเริ่มกินอาหารนิ่มได้ด้วยตนเองภายใน 3 วัน และกลับมาแสดงพฤติกรรมการใช้ปากตามธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่อง จากการติดตามผล พบว่าปากเทียมสามารถคงสภาพและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ก่อนที่จะเริ่มหลุดออกเนื่องจากมีเนื้อเยื่องอกทดแทน (Granulation tissue) ก่อตัวบริเวณจุดยึด จึงมีการถอดอุปกรณ์ออกเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ทางคลินิกในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติเพื่อการบูรณะปากในนกขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถนำแนวทางนี้ไปพัฒนาและต่อยอดใช้กับสัตว์ปีกสายพันธุ์อื่นทั้งขนาดเล็กและใหญ่ได้ในอนาคต พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงบทบาทของการผลิตแบบดิจิทัลในการยกระดับคุณภาพการรักษาด้านศัลยกรรมตกแต่งในสัตว์ และการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์อย่างเป็นรูปธรรม

รายงานสัตว์ป่วย: การใช้การตรึงภายนอกแบบบานพับที่ระหว่างข้อต่อเพื่อรักษาข้อเคลื่อนหลุดบริเวณข้อเข่าในนกแก้วบลูแอนด์โกลด์มาคอว์

2025-08-19T14:14:18+07:00

รายงานกรณีศึกษานี้ นำเสนอแนวทางการรักษาภาวะข้อเข่าเคลื่อนหลุดในนกแก้วบลูแอนด์โกลด์มาคอว์ ด้วยการตรึงภายนอกแบบบานพับที่ระหว่างข้อต่อ โดยนกมาคอว์เพศผู้ อายุ 11 ปี ได้เข้ารับการตรวจรักษาเนื่องจากอาการไม่สามารถลงน้ำหนักขาขวา ร่วมกับอาการบวมของข้อ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการเกิดอุบัติเหตุเป็นระยะเวลา 3 วัน การรักษาเบื้องต้นด้วยวิธีการประคับประคอง อันประกอบด้วยการดึงข้อให้เข้าที่ การพัก และการให้ยาต้านการอักเสบ ไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานและความมั่นคงของข้อต่อได้ จึงพิจารณาให้ทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ในการผ่าตัด ได้เลือกใช้อุปกรณ์ Fixateur Externe du Service de Santé des Armées (FESSA) ร่วมกับอุปกรณ์ตรึงภายนอกแบบบานพับ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะทางกายวิภาคและชีวกลศาสตร์ที่จำเพาะของข้อเข่าในนก วิธีการดังกล่าวนี้ มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงให้แก่ข้อต่อ พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งช่วงการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมระหว่างการฟื้นตัวของข้อ ภายหลังการผ่าตัด นกมีการฟื้นตัวที่ดี โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เครื่องยึดติดภายนอกมีความมั่นคงและช่วยให้นกสามารถเกาะคอนได้ มีการถอดเครื่องยึดติดภายนอกเมื่อครบ 3 สัปดาห์ และภายหลังการผ่าตัดเป็นเวลา 6 เดือน พบว่า นกมาคอว์สามารถกลับมาใช้งานขาได้เป็นปกติ โดยไม่มีภาวะข้อเคลื่อนหลุดซ้ำ