วารสารวิชาการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra
<p>วารสารวิชาการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นวารสารของ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (Chulabhorn Royal Academy) รับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขาดังนี้</p> <p><br />1. Health Science (วิทยาศาสตร์สุขภาพ)</p> <p>2. Science and Technology (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)</p> <p>3. Health Professional Education (การศึกษาด้านวิชาชีพทางสุขภาพ)</p> <p>4. Health Technology (เทคโนโลยีด้านสุขภาพ)</p> <pre><br /><br /></pre>
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (Chulabhorn Royal Academy)
en-US
วารสารวิชาการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
3027-7418
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และคณาจารย์ท่านอื่น ในราชวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ความท้าทายและโอกาสในการส่งเสริมการสื่อสารสุขภาพจิตเพื่อสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตสู่ประชาชน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/275938
<p> การสื่อสารด้านสุขภาพจิตเป็นประเด็นท้าทายที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นโอกาสในการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแก่ประชาชน บทความนี้นำเสนอปัญหาปัจจุบัน ความต้องการ และแนวทางการพัฒนาการสื่อสารด้านสุขภาพจิต ปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต ได้แก่ การตีตราทางสังคม ข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการ และการขาดความเข้าใจที่เหมาะสมในกลุ่มประชาชน การพัฒนาการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแก่ประชาชนควรมีความยืดหยุ่น ทันสมัยและสามารถประยุกต์ใช้ในบริบทที่หลากหลาย ทั้งนี้ ควรเน้นการเรียนรู้แบบผสมผสาน ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อเสนอแนะสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรนักสื่อสารสุขภาพจิตที่ครอบคลุมความรู้พื้นฐาน ทักษะการสื่อสาร และแนวทางลดการตีตรา เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและส่งเสริมสุขภาวะจิตในระดับสังคม</p>
จิรังกูร ณัฐรังสี
ทศา ชัยวรรณวรรต
สุภาภรณ์ ศรีธัญรัตน์
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
64
71
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปลายประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าหูชั้นกลางโดยผ่านทางเยื่อแก้วหู
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276417
<p> การสูญเสียการได้ยินอย่างกะทันหันเป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิต ส่งผลให้เกิดความลำบากในการสื่อสาร การแยกตัวและอารมณ์เครียด การรักษาทันทีเพื่อทำให้การได้ยินกลับคืนมาและป้องกันความเสียหายถาวรจึงมีความสำคัญยิ่ง การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าหูชั้นกลางโดยผ่านทางเยื่อแก้วหูเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้ยาสเตียรอยด์ทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการทำรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าหูชั้นกลางโดยผ่านทางเยื่อแก้วหู โดยพยาบาลมีความรับผิดชอบที่ครอบคลุมการเตรียมผู้ป่วยทั้งก่อน เฝ้าระวังระหว่างการทำและดูแลหลังการรักษา รวมถึงจัดการภาวะแทรกซ้อนหลังการฉีด นอกจากนี้พยาบาลยังต้องให้ความรู้และการสนับสนุนทางอารมณ์แก่ผู้ป่วยและครอบครัว ช่วยให้เข้าใจสภาพที่เกิดและกระบวนการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลและทำให้มีการมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง</p>
กาญจนา ชิดปลัด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
72
79
-
บทบาทพยาบาลในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัดการตนเอง สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดชั่วคราว
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276365
<p> โรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack: TIA) เป็นภาวะฉุกเฉินทางระบบประสาทและเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือด (Ischemic Stroke) ในอนาคตแม้อาการของ TIA จะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง แต่ด้วยลักษณะอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เอง ทำให้ผู้ป่วยและญาติมักประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป และละเลยการดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคซ้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาตถาวร หรือแม้แต่เสียชีวิตได้</p> <p> ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างพลังอำนาจให้ผู้ป่วยสามารถจัดการสุขภาพของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วย TIA ซึ่งต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของพยาบาลวิชาชีพ</p> <p> ในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ผู้ป่วย TIA ครอบคลุมตั้งแต่การประเมินความสามารถในการเข้าใจข้อมูล การให้ความรู้ การฝึกทักษะการดูแลตนเอง ไปจนถึงการสนับสนุนสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง พยาบาลซึ่งเป็นบุคลากรที่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุด มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนมุมมองของผู้ป่วยจาก ภาวะที่หายได้เอง ไปสู่โอกาสในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ผ่านการสื่อสาร การสอน และการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดอุบัติการณ์และผลกระทบของโรคในระยะยาว</p>
ฉันทนา รักฉาย
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
80
88
-
แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงกรณีอุบัติเหตุหมู่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276128
<p> การจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง เป็นกลยุทธ์ทางการศึกษาเชิงประสบการณ์ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการสะท้อนคิดของผู้เรียน ผ่านการจำลองสถานการณ์ที่มีความสมจริงและมีปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียนสามารถแสดงบทบาทและฝึกปฏิบัติภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียมการ ประกอบด้วยวิเคราะห์คำอธิบายรายวิชาและมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ออกแบบและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ สร้างเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ เตรียมทีมผู้สอนและทีมสนับสนุนการสอน และประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขั้นดำเนินการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4 ระยะคือ เตรียมความพร้อมของผู้เรียน ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง สรุปการเรียนรู้ และสรุปจบและปิดการเรียนรู้ และขั้นประเมินผล โดยประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด และประเมินผลกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยทีมผู้สอนทุกคนสะท้อนคิด เพื่อค้นหาโอกาสพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนรู้ต่อไป แนวทางนี้สามารถประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ด้านการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อสาธารณภัย โดยเฉพาะในบริบทที่มีข้อจำกัดด้านการฝึกปฏิบัติจริง ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เชิงรุก มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ และมีความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน</p>
มาลี คำคง
ปุญณพัฒน์ ชำนาญเพาะ
มุขรินทร์ ทองหอม
รัตติกาล เรืองฤทธิ์
อนงค์ ภิบาล
กฤตพร สิริสม
จณิศาภ์ แนมใส
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
89
96
-
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพของพระสงฆ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/274345
<p><strong> ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong> พระสงฆ์มีแนวโน้มเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพของพระสงฆ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นพระสงฆ์ 362 รูป ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ การเข้าถึงบริการสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square test, Pearson's correlation และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พระสงฆ์มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนร้อยละ 54.4 อ้วนลงพุงร้อยละ 45.6 และความดันโลหิตสูงร้อยละ 37.3 มีพฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ การเข้าถึงบริการสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคมระดับปานกลาง ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพ ได้แก่ พฤติกรรมสุขภาพ (β=0.386) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (β=0.287) การเข้าถึงบริการสุขภาพ (β=0.175) อายุ (β=-0.145) และการสนับสนุนทางสังคม (β=0.118) ร่วมกันทำนายภาวะสุขภาพได้ร้อยละ 68.4</p> <p><strong>บทสรุป</strong> การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ควรเน้นการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างเครือข่ายการดูแลสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน</p>
สืบตระกูล ตันตลานุกุล
อรุณรัตน์ พรมมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
1
12
-
ผลของโปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ด้านการดูแลตนเองผ่านไลน์แอปพลิเคชันต่อความรู้และพฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/274740
<p><strong> บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง การส่งเสริมให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมและเพิ่มพูนความรู้ในการดูแลตนเองจึงมีความสำคัญ <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ด้านการดูแลตนเองผ่านไลน์แอปพลิเคชันต่อความรู้และพฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ด้านการดูแลตนเองผ่านไลน์แอปพลิเคชันซึ่งประกอบด้วยสื่อ e-book และวิดีโอความรู้ มีค่าความตรงเท่ากับ 1.00 และแบบวัดความรู้และแบบวัดพฤติกรรมในการดูแลตนเอง มีค่าความตรงเท่ากับ 0.90 และ 0.85 ตามลำดับ และความเที่ยงตรวจสอบด้วย KR - 20 เท่ากับ 0.85 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.78 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ไคสแควร์ paired t - test และ independent t – test <strong> ผลการศึกษา:</strong> หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย ความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง สูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <strong>บทสรุป:</strong> บุคลากรทางสุขภาพควรประยุกต์ใช้โปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ด้านการดูแลตนเองผ่านไลน์แอปพลิเคชัน เพื่อเสริมสร้างความรู้และส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองในการจัดการภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น</p>
วรัชญ์กัญญ์ กันทะวงศ์
กัมพล อินทรทะกูล
นุตชาติ ธีรสรเดช
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
13
22
-
มาตรฐานตัวชี้วัดทางเคมีและชีวภาพในกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ: การประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานภายในโรงพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/275259
<p><strong> บทนำ</strong><strong>: </strong>ความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรภายในหน่วยจ่ายกลาง(CSSD) ซึ่งเป็นงานให้บริการด้านการทำให้ปราศจากเชื้อ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยตัวชี้วัดทางเคมี (Chemical Indicators: CIs) และตัวชี้วัดทางชีวภาพ (Biological Indicators: BIs) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรับรองคุณภาพกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ และ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อภายในโรงพยาบาล การทบทวนมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องจึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับการประยุกต์ใช้ในบริบทของสถานพยาบาลไทย <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เพื่อทบทวน วิเคราะห์ และสังเคราะห์มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ตัวชี้วัดทางเคมี (CIs) และ ตัวชี้วัดทางชีวภาพ (BIs) ในกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อ และประเมินผลกระทบต่อคุณภาพการทำให้ปราศจากเชื้อ ความปลอดภัยของผู้ป่วย และอาชีวอนามัยของบุคลากรภายในหน่วยจ่ายกลาง(CSSD) ในบริบทของประเทศไทย<strong> ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผลการทบทวนพบว่า การใช้ตัวชี้วัดทางเคมี (CIs) ตามมาตรฐาน ISO 11140-1 รวมถึงการทดสอบด้วย Bowie–Dick ตาม มาตรฐาน ISO 11140-4/5 มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ ด้านการกำจัดอากาศออกให้หมดภายในช่องอบและการกระจายตัวของไอน้ำภายในช่องอบ สำหรับกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำ ในระบ(Pre-vacuum) ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานความ สมบูรณ์ของการทำให้ปราศจากเชื้อ ขณะเดียวกันตัววัดทางชีวภาพ (BIs) ตามมาตรฐาน ISO 11138 series ช่วยยืนยันผลทางจุลชีววิทยาที่ผ่านค่า D-value และ Z-value ทำให้การประเมินรอบของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำ มีความแม่นยำและเชื่อถือสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้ ตัวชี้วัดทางเคมี (Cis) และ ตัวชี้วัดทางชีวภาพ(BIs )อย่างถูกต้อง ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อบุคลากรที่ปฏิบัติงานภายในหน่วยจ่ายกลาง(CSSD) โดยลดการทำซ้ำรอบของการทำให้ปราศจากเชื้อด้วยไอน้ำและลดโอกาสเกิดการสัมผัสต่ออุปกรณ์ที่ปนเปื้อน ซึ่งส่งเสริมระบบความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัย (OHS) อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบพบว่าสถานพยาบาลในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด เช่น ความไม่สม่ำเสมอในการทดสอบ การขาดการใช้งานของตัวชี้วัดระดับสูง และความจำเป็นในการพัฒนาทักษะบุคลากร ด้านการตีความแปลผลของตัวชี้วัด ซึ่งล้วนส่งผลต่อคุณภาพของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อและความปลอดภัยโดยรวมในระบบบริการสุขภาพ <strong>บทสรุป</strong><strong>: </strong>การใช้ ตัวชี้วัดทางเคมี (CIs) และ ตัวชี้วัดทางชีวภาพ (BIs) ตามมาตรฐานสากลถือเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อที่มี คุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทั้งในด้านการป้องกันการติดเชื้อของผู้ป่วยและการลดความเสี่ยงทางอาชีวอนามัยของบุคลากรหน่วยจ่ายกลาง(CSSD) การสังเคราะห์ครั้งนี้เสนอกรอบแนวทางสำหรับการประยุกต์ใช้ ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพ มาตรฐานของกระบวนการทำให้ปราศจากเชื้อและสร้างความปลอดภัยที่ยั่งยืนในระบบบริการสุขภาพ</p>
วิทยา ชาญชัย
โสภาสิณี จิตรจุลรัตนมณี
เจริญศรี กันทะวงศ์
กัตติกา สุขวัลย์
ชนนิกานต์ สมบุญธวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
23
37
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ของประชาชน ศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 67 ทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276433
<p> <strong>บทนำ:</strong> ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนสามารถจัดการสุขภาพของตนเองได้ รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร <strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 78 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ โปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 4 ครั้งในระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพและแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Independent t-test, Paired t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ <strong>ผลการวิจัย:</strong> ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <strong>บทสรุป:</strong> รูปแบบเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิผลในการยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้น</p>
ธภัทร ธนรัชเดชานนท์
อโนชา ศิริโยธา
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
38
45
-
ผลของโปรแกรมการกระตุ้นการดูดกลืนโดยไม่ให้สารอาหาร ในทารกแรกเกิดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276521
<p><strong> ความเป็นมา</strong>: ทารกแรกเกิดก่อนกำหนดมักมีพัฒนาการของการประสานการดูด การกลืน และการหายใจล่าช้า ซึ่งส่งผลต่อการดูดนมและการเจริญเติบโต การกระตุ้นการดูดกลืนโดยไม่ให้สารอาหารเป็นวิธีที่อาจช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อช่องปากและเพิ่มความพร้อมในการกิน <strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการกระตุ้นการดูดกลืนโดยไม่ให้สารอาหารต่อการเพิ่มน้ำหนัก ระยะเวลานอนโรงพยาบาล และภาวะแทรกซ้อนในทารกแรกเกิดคลอดก่อนกำหนด โดยเปรียบเทียบในแต่ละกลุ่มอายุครรภ์ <strong>วิธีการ</strong>: การศึกษาแบบย้อนหลังในทารกที่มีอายุครรภ์หลังปฏิสนธิ (postmenstrual age) ตั้งแต่ 34 สัปดาห์ขึ้นไป ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร โปรแกรมประกอบด้วยการประเมินความพร้อมในการดูดกลืนโดยใช้แบบประเมิน Neonatal Oral Motor Assessment Scale (NOMAS) การนวดกระตุ้นช่องปาก และการดูดโดยไม่ให้สารอาหาร ประเมินผลลัพธ์ด้านน้ำหนัก ระยะเวลานอนโรงพยาบาล และภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตัวเขียวหรือออกซิเจนต่ำ เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มอายุครรภ์ <28 สัปดาห์, 28–32 สัปดาห์ และ >32 สัปดาห์ <strong>ผลการศึกษา</strong>: ทารกจำนวน 48 ราย (เพศชาย 28 ราย เพศหญิง 20 ราย) พบว่า กลุ่มอายุครรภ์ <28 สัปดาห์มีการเพิ่มน้ำหนักมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) และมีระยะเวลานอนโรงพยาบาลกว่ากลุ่มอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ และ กลุ่มอายุครรภ์ >32 สัปดาห์ (p <0.001) <strong>สรุป</strong>: โปรแกรมกระตุ้นการดูดกลืนโดยไม่ให้สารอาหารอาจส่งเสริมการเพิ่มน้ำหนักในทารกเกิดก่อนกำหนด โดยเฉพาะกลุ่มที่อายุครรภ์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรติดตามภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มอายุต่ำกว่า 28 สัปดาห์อย่างใกล้ชิด</p>
มทินา พนเจริญสวัสดิ์
จิรนันท์ วีรกุล
นวพร เลิศสวัสดิ์วิชา
มัธยันห์ แสนใจบาญ
สุนีรา อินทเสน
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
46
54
-
Factors Influencing Organ Donation Decision Among Healthcare Personnel at Loei Hospital
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jcra/article/view/276530
<p><strong> Background : </strong>Organ transplantation is the most effective treatment for patients with end-stage organ failure; however, the shortage of donated organs remains a major challenge. Healthcare personnel play a crucial role in promoting organ donation. This study aimed to identify factors influencing the organ donation decisions of healthcare personnel at Loei Hospital to inform the development of provincial-level donation campaigns. <strong>Methods: </strong>A cross-sectional study was conducted among 556 healthcare personnel from May 10 to June 10, 2025. Data were collected using a questionnaire covering demographic data, knowledge, attitudes, and willingness to donate organs. Generalized Estimating Equation (GEE) analysis was used to assess associations between these factors and organ donation decisions. <strong>Results: </strong>Among the participants, 128 individuals (23%) expressed willingness to donate organs. Moderate (score 4–7) and high (score >7) knowledge levels were significantly associated with donation decisions, with adjusted odds ratios (aOR) of 1.80 (95% CI: 1.51–2.30, p = 0.003) and 1.49 (95% CI: 1.31–1.74, p < 0.001), respectively. Similarly, moderate (score 25–40) and high (score >40) attitude levels showed stronger associations, with aORs of 4.81 (95% CI: 2.77–11.27, p = 0.04) and 5.78 (95% CI: 3.07–15.58, p = 0.014), respectively. <strong>Conclusion: </strong>Healthcare personnel with at least moderate knowledge and positive attitudes toward organ donation were more likely to choose to donate. Enhancing awareness and attitudes in this group may increase donation rates and support the development of effective institutional and community-based campaigns.</p>
Krit Santanapipatkul
Kusumarn Ramsiri
Abhisit Sukjaem
Pronpimon Kumprasert
Chayanan Tanyaphak
ลิขสิทธิ์ (c) 2026 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-11
2025-12-11
8 1
55
63