https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/issue/feed
วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ
2024-11-21T12:14:36+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา จันทรา
journal@bcnsurat.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ ดำเนินการโดย วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี ขอเชิญสมาชิกและ ผู้สนใจทุกท่านร่วมส่งบทความวิชาการ บทความวิจัย และบทความนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ ด้าน การพยาบาล การแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตีพิมพ์ เผยแพร่ ทั้งนี้ผลงานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นเมื่อได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ผู้แต่งจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของวารสาร ฯ</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/270108
การจัดการอาการ และอาการปวด หลังการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
2024-09-25T16:07:31+07:00
ณชา แจ้งใจเย็น
582601024@bcnnakhon.ac.th
เสาวลักษณ์ รัตนโชติ
saowalak@bcnsurat.ac.th
<p> โรคหลอดเลือดสมองเป็นกลุ่มอาการทางระบบประสาทเกิดจากการอุดตัน ตีบ หรือแตกของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองส่วนนั้นอาจตายได้ส่งผลไปถึงการสูญเสียหน้าที่ของอวัยวะในร่างกายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนนั้นๆ โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบตามมาคืออาการปวดหลังการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เป็นอาการปวดที่เกิดจากระบบประสาททำงานผิดปกติ และ อาการปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ซึ่งการจัดการอาการปวดมี 2 วิธี คือการจัดการอาการปวดโดยใช้ยา ได้แก่ กลุ่มยาแก้ซึมเศร้า กลุ่มยากันชัก กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ ยา Benzodiazepines และยา Botulinum Toxin การจัดการอาการปวดโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ การฝังเข็ม การนวดแผนไทยหรือแผนโบราณ การประคบ การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และการพันผ้าเทปพยุงไหล่</p> <p>บทความวิชาการมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงอาการปวด หลังการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และการจัดการอาการเพื่อพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง แนวทางการจัดการอาการที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง รวมถึงวิธีการที่อาศัยความร่วมมือจากบุคลากรด้านสุขภาพ ส่งผลให้ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/270174
นวัตกรรม 7 สี ปันรัก ไกลโรคความดันโลหิตสูง
2024-10-24T13:57:14+07:00
โศรตรีย์ แพน้อย
Soratree@bcnsurat.ac.th
ปัณฐิตา พรมเสนะ ปัณฐิตา พรมเสนะ
punthita@bcnsurat.ac.th
ชนิตา อินทร์ภักดี
punthita@bcnsurat.ac.th
จุฑาภรณ์ เกลี้ยงกลม
punthita@bcnsurat.ac.th
จุฑามาศ จันทราภรณ์
punthita@bcnsurat.ac.th
ชลดา คงกัลป์
punthita@bcnsurat.ac.th
ชลธิชา อินทร์ชื่น
punthita@bcnsurat.ac.th
ชาลินี สุวรรณ
punthita@bcnsurat.ac.th
ชลิสา จุล่าย
punthita@bcnsurat.ac.th
ฐานิดา ไกรชู
punthita@bcnsurat.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมการให้ความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและการดูแลสุขภาพตามแนวคิดปิงปองจราจร 7 สี ศึกษาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและการดูแลสุขภาพตามแนวคิดปิงปองจราจร 7 สีก่อนและหลังการได้รับการใช้นวัตกรรม 7 สี ปันรัก ไกลโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงศึกษาระดับความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการใช้นวัตกรรม 7 สี ปันรัก ไกลโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนที่มาใช้บริการในศูนย์สุขภาพเมืองชุมชน โพหวาย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ นวัตกรรม 7 สี ปันรัก ไกลโรคความดันโลหิตสูง แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและการดูแลสุขภาพตามแนวคิดปิงปองจราจร 7 สี และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม 7 สี ปันรัก ไกลโรคความดันโลหิตสูง หาความเชื่อมั่น โดยแบบสอบถามความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและการดูแลสุขภาพตามแนวคิดปิงปองจราจร 7 สี หาค่าคูเดอร์ ริชาร์ดสัน-21 ได้ .82 และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม ตรวจสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค .87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบสัมพันธ์</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและการดูแลสุขภาพหลังใช้นวัตกรรมสูงกว่าก่อนใช้นวัตกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean=4.76, SD.= .25) ข้อรายการที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงสุด คือ นวัตกรรมสามารถนำไปเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้จริง (Mean=4.87, SD.= .34) และน้อยที่สุดคือ นวัตกรรมสามารถทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับปิงปองจราจร 7สี มากขึ้น (Mean=4.67, SD.= .44) และนวัตกรรมมีความแข็งแรง (Mean=4.67, SD.= .47)</p>
2024-12-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/269886
รูปแบบการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านยา ในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสงขลา
2024-07-21T06:14:14+07:00
ณัฐฎา สุรณัฐกุล
natada31@hotmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนาเพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการ สร้างรูปแบบและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสงขลา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาและความต้องการการดำเนินงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ เภสัชกร จำนวน 80 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถามปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 นำข้อมูลจากระยะที่ 1 มาสร้างรูปแบบ ระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบโดยวิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงพยาบาลชุมชนจังหวัดสงขลา 15 แห่ง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติวิลคอกซัน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านยา ได้แก่ นโยบายสู่ผู้ปฏิบัติและการกำกับติดตามไม่ต่อเนื่อง งบประมาณไม่เพียงพอ ขาดความร่วมมือของสหวิชาชีพ อัตรากำลังไม่เพียงพอ ยาขาด ไม่มีคู่มือ/แนวปฏิบัติความปลอดภัยด้านยา ขาดการเชื่อมต่อข้อมูล ไม่มีระบบการตรวจสอบ ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา ส่วนความต้องการการดำเนินงาน ได้แก่ จัดศูนย์กระจายยา จัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด นวัตกรรม จัดสรรอัตรากำลัง ระบบการนิเทศติดตาม พัฒนาศักยภาพของบุคลากร จัดสรรงบประมาณ ระบบเทคโนโลยี ลดภาระงานด้านเอกสาร การศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนรู้ มีระบบการให้คำปรึกษา 2) รูปแบบ คือ 5C3SDTI ได้แก่ 1) จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 2) จัดทำปฏิทินการดำเนินงาน 3) สร้างช่องทางการประสานงาน 4) เลือกโรงพยาบาลต้นแบบ 5) สร้างเกณฑ์มาตรฐานให้ชัดเจน 6) พัฒนาการให้คำปรึกษา 7) ตั้งคณะกรรมการนิเทศ 8) จัดเวทีประชุมแลกเปลี่ยน 9) พัฒนาบุคลากรและระบบบริหารเวชภัณฑ์คลังยาของ รพ.สต. 10) นำเทคโนโลยีมาใช้ และ 11) สร้างนวัตกรรม และ 3) หลังใช้รูปแบบคะแนนตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ดังนั้นรูปแบบ 5C3SDTI สามารถใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนโรงพยาบาลชุมชนโดยการวางแผนและดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม</p>
2024-09-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/270251
สถานการณ์ ความต้องการ และการคาดการณ์แนวโน้มกำลังคนด้านสาธารณสุขในระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด ในภาคเหนือของประเทศไทย
2024-07-19T16:12:52+07:00
ปฐมพงษ์ กันธิยะ
patompong1234@hotmail.com
นภชา สิงห์วีรธรรม
noppcha.s@cmu.ac.th
สินีนาฏ ชาวตระการ
sineenart.c@cmu.ac.th
<p>การศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ความต้องการ และการคาดการณ์แนวโน้มกำลังคนด้านสาธารณสุขในระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในภาคเหนือของประเทศไทย จากข้อมูลบุคลากรใน รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. ในเขตภาคเหนือเขตสุขภาพที่ 1 และ 2 ปีงบประมาณ 2566 โดยศึกษาข้อมูลของ กองบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล วิเคราะห์ความต้องการและคาดการณ์แนวโน้มกำลังเปรียบเทียบกับกรอบอัตรากำลังคนตามสายวิชาชีพนำเสนอข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาความถี่และร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มีบุคลากรด้านสาธารณสุขประสงค์ถ่ายโอน 1,988 คน การเปรียบเทียบกับกรอบความต้องการ พบว่าวิชาชีพพยาบาลขาดจำนวน 767 คน ถ้าเติมเข้าในระบบจำนวนปีละ 100 คน จะสามารถเติมเต็มอัตรากำลังตามกรอบภายใน ปี พ.ศ. 2579 วิชาชีพสาธารณสุขยังขาดจำนวน 818 คน ถ้าเติมเข้าในระบบจำนวนปีละ 100 คน จะสามารถเติมเต็มอัตรากำลังตามกรอบภายในปี พ.ศ. 2579 วิชาชีพทันตสาธารณสุขยังขาดจำนวน 205 คน ถ้าเติมเข้าในระบบจำนวนปีละ 50 คน จะสามารถเติมเต็มอัตรากำลังตามกรอบภายในปี พ.ศ. 2574 และวิชาชีพแพทย์แผนไทยยังขาดจำนวน 303 คน ถ้าเติมเข้าในระบบจำนวนปีละ 50 คน จะสามารถเติมเต็มอัตรากำลังตามกรอบภายใน ปี พ.ศ. 2576</p> <p>จำนวนความต้องการและคาดการณ์แนวโน้มวิชาชีพใน รพ.สต. สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์สำหรับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อให้เกิดการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิที่เป็นไปตามมาตรฐานการจัดบริการใน รพ.สต. ที่ถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตภาคเหนือ</p>
2024-09-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/268825
ผลของโปรแกรมการให้การปรึกษารายกลุ่มตามแนวคิดการพิจารณาเหตุผลอารมณ์และพฤติกรรมต่อการเผชิญปัญหาในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
2024-07-15T09:01:44+07:00
พัชนี เรืองระพีพรรณ
mainurse2534@gmail.com
วินีกาญจน์ คงสุวรรณ
vineekarn.k@psu.ac.th
อรวรรณ หนูแก้ว
orawan.n@psu.ac.th
<p>วิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการเผชิญปัญหาของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการให้การปรึกษารายกลุ่มตามแนวคิดการพิจารณาเหตุผลอารมณ์และพฤติกรรม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่ให้การดูแลผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว จำนวน 60 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนเรื่องระดับการศึกษา สถานภาพและอายุโดยการจับคู่กลุ่มตัวอย่าง ใช้การสุ่มอย่างง่ายเพื่อแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้การปรึกษารายกลุ่มตามแนวคิดการพิจารณาเหตุผลอารมณ์และพฤติกรรม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวคำนวณค่าความเที่ยงของเครื่องมือโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาคเท่ากับ .84 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และโปรแกรมการให้การปรึกษารายกลุ่มตามแนวคิดการพิจารณาเหตุผลอารมณ์และพฤติกรรม ดำเนินกิจกรรมทั้งหมด 5 กิจกรรม ใช้เวลากิจกรรมละ 60-90 นาที ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของโปรแกรมฯ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน หาค่าความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรมฯ ด้วยแบบประเมินค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติแบบสัมพันธ์ และการทดสอบค่าทีแบบอิสระ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวมีคะแนนการเผชิญปัญหาของกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมฯสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-45.68, <em>p< .01</em>) และผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวในกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมโปรแกรมฯมีคะแนนการเผชิญปัญหาสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-25.71, <em>p< .01</em>)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/267552
ผลของการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในคลินิกเลิกบุหรี่ โรงพยาบาลแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
2024-07-18T09:22:02+07:00
ยุพาพรรณ ช้างพลายงาม
jintana@pckpb.ac.th
จินตนา ทองเพชร
jintana@pckpb.ac.th
นพดล สุขศรี
jintana@pckpb.ac.th
คมศักดิ์ สังขนิมิตร
jintana@pckpb.ac.th
สุภาวดี วาระดี
jintana@pckpb.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ จำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน และระดับความรุนแรงการติดนิโคติน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สูบบุหรี่ คลินิกเลิกบุหรี่ เลือกแบบเฉพาะเจาะจง 34 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ 4 ครั้ง ในระยะ 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ 1 เดือน และ 2 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบประเมินพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ แบบบันทึกจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน และระดับความรุนแรงการติดสารนิโคติน ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจกลุ่มตัวอย่างลดการสูบบุหรี่ได้ ร้อยละ 52.94 และเลิกบุหรี่ได้ ร้อยละ 32.35 ตามลำดับ ร้อยละ 97.13 สูบลดลงเฉลี่ย 10 มวน ร้อยละ 79.42 มีระดับความรุนแรงการติดนิโคตินอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ จำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน และระดับความรุนแรงการติดนิโคติน พบว่าหลังให้คำปรึกษากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น (<em>t= -8.37, p< .01)</em> จำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน (<em>t=3.67, p< .01</em>) และระดับความรุนแรงการติดนิโคตินลดลง (<em>t=2.67, p< .05</em>) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ดังนั้นควรขยายบริการการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจในการเลิกบุหรี่ในเครือข่ายบริการสุขภาพ ติดตามผู้ป่วยในระยะยาวเพิ่มขึ้นและพัฒนาศักยภาพการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทางสุขภาพ</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/268832
ผลของโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ของสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง
2024-06-11T15:04:39+07:00
วริศรา งามกิจ
looknam_24@hotmail.com
วินีกาญจน์ คงสุวรรณ
vineekarn.k@psu.ac.th
วีณา คันฉ้อง
weena.k@psu.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ต่อความรู้สึก มีคุณค่าในตนเองของสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง กลุ่มตัวอย่างคือสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง อายุ 20-59 ปี จำนวน 60 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน ที่ได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ และกลุ่มควบคุม 30 คน ได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของโรเซนเบิร์ก และโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ จัดกิจกรรมเป็นรายกลุ่ม 5 กลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 60-90 นาที จำนวน 4 สัปดาห์ โปรแกรมและเครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าความตรงของเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือ แบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .81 และทดลองใช้กับสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงจำนวน 5 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มโดยการทดสอบค่าที เปรียบเทียบผลการศึกษาของกลุ่มทดลองแบบก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติการทดสอบค่าทีแบบสัมพันธ์ และเปรียบเทียบหลังการทดลองระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง โดยใช้สถิติทีอิสระ </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ มีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>(</em>t=-17.69<em>, p< .001)</em> และหลังได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>(</em>t=10.84,<em> p< .001)</em></p> <p>ผลการวิจัยแสดงถึงโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจสามารถส่งเสริมให้สตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงเกิดการพัฒนาความสามารถจัดการกับภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิต และเผชิญกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างรวดเร็วภายหลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤติ ทำให้ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงเพิ่มขึ้นจริง ดังนั้นพยาบาลจิตเวชสามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงได้</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/272275
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วยต้อกระจกหลังทำการผ่าตัด ใส่เลนส์แก้วตาเทียม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
2024-11-21T12:14:36+07:00
เสาวลี จันทร์วิน
boonprajuk2518@gmail.com
บุญประจักษ์ จันทร์วิน
boonprajuk2518@gmail.com
<p>การวิจัยแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วยต้อกระจก และ 2) ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วยต้อกระจกหลังทำการผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยต้อกระจกหลังทำการผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม จำนวน 140 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบมีระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วยต้อกระจกหลังทำการผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม ตรวจสอบเครื่องมือด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง .80-1.0 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช เท่ากับ .80 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความเชื่อด้านสุขภาพ พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean=4.21, SD.= .34) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสาร รองลงมาคือ การรับรู้ถึงประโยชน์ การรับรู้โอกาสเสี่ยง แรงจูงใจ การรับรู้ความรุนแรงซึ่งอยู่ในระดับมาก สำหรับการรับรู้ต่ออุปสรรค มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยต้อกระจกหลังอยู่ในระดับสูง (Mean=4.54, SD.= .47) เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยทำนาย พบว่า การรับรู้ถึงประโยชน์ของการดูแลตนเอง การรับรู้ต่ออุปสรรคของการดูแลตนเอง การรับรู้โอกาสเสี่ยงของโรค และระดับการศึกษา (มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช.) สามารถร่วมกันทำนายได้ ร้อยละ 31.3 (R<sup>2</sup>=0.313) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p-value < .05</em>)</p> <p>พยาบาลวิชาชีพควรสร้างโปรแกรมที่ให้ผู้ป่วยต้อกระจกได้รับรู้ประโยชน์ของการดูแลตนเอง รวมถึงการรับรู้ด้านอื่นไปพร้อม ๆ กัน</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jhri/article/view/268069
ผลของการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของหญิงตั้งครรภ์
2024-06-11T15:09:08+07:00
ศศิกานต์ กาละ
rangsinan.r@tsu.ac.th
รังสินันท์ เรืองศรี
rangsinan.r@tsu.ac.th
มิ่งกมล อุตตสุรดี
rangsinan.r@tsu.ac.th
ฉวีวรรณ หีมซา
rangsinan.r@tsu.ac.th
สุมลทิพย์ กิติลาโภ
rangsinan.r@tsu.ac.th
สุดารัตน์ เอ็มบุตร
rangsinan.r@tsu.ac.th
ผกาวัลย์ หนูมาก
rangsinan.r@tsu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบตัวอย่างกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต่อความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 25 ราย ดำเนินการอบรมประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) การให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ปัญหาและแนวทางการแก้ไข และ 3) การฝึกทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ได้แก่ แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหา และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ ตรวจสอบความเที่ยงของแบบประเมินความรู้โดยใช้คูเดอร์ริชาร์ดสัน-20 ได้ .70 แบบประเมินทัศนคติและความตั้งใจ ใช้วิธีหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคมีค่าความเที่ยง .73 และ .86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติการทดสอบค่าทีแบบสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการหญิงตั้งครรภ์มีความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p< .001),</em> (<em>p< .001</em>) และ (<em>p< .01</em>) ตามลำดับ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ครั้งนี้ ช่วยสร้างเสริมให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ มีทัศนคติที่ดี มีความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเพิ่มขึ้น ดังนั้นบุคลากรสุขภาพสามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี