https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/issue/feed
วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
2025-09-22T09:03:39+07:00
วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
jkkpho.2564@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) กรณีศึกษา (Case Study) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/274833
การพัฒนาฟังก์ชันบันทึกกิจกรรมทางเภสัชกรรมและให้รหัส Health Intervention Code ในโปรแกรม iHospital ห้องยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลขอนแก่น
2025-08-13T23:12:43+07:00
ดวงกมล เอกสมทราเมษฐ์
duangkamon.aek@gmail.com
สุธี ทระกุลพันธ์
duangkamon.aek@gmail.com
สาธิต สีถาพล
duangkamon.aek@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฟังก์ชันบันทึกกิจกรรมทางเภสัชกรรมและให้รหัส Health Intervention Code ในโปรแกรม iHospital ห้องยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลขอนแก่น รูปแบบงานวิจัย คือ การวิจัยและพัฒนา มีการดำเนินงาน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1: การวิเคราะห์สถานการณ์ ระยะที่ 2: การออกแบบและพัฒนาจนได้ฟังก์ชันตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ระยะที่ 3: การประเมินผลโดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยดัชนีชี้วัดความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ มีผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 24 คน ประกอบด้วย เภสัชกรห้องยาผู้ป่วยนอก 19 คน เภสัชกรงานสารสนเทศ 4 คน เภสัชกรงานผลิต 1 คน และการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีแบบเจาะจง ผลการศึกษา พบโปรแกรม iHospital ไม่มีฟังก์ชันงานด้านเภสัชกรรม ผู้วิจัยจึงพัฒนาฟังก์ชันในโปรแกรม iHospital โดยให้ชื่อว่า Pharmacy Note & Pharmacy Notice ผลการพัฒนาทำให้ได้ฟังก์ชันตรงตามวัตถุประสงค์โดย Pharmacy Note สำหรับใช้บันทึกกิจกรรมทางเภสัชกรรมและให้รหัส Health Intervention Code และ Pharmacy Notice สำหรับใช้บันทึกข้อมูลเภสัชกรรมในผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวัง และเมื่อประเมินผลความพึงพอใจจากการตอบกลับ 22 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 91.67 ของผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด พบเภสัชกรมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในฟังก์ชัน Pharmacy Note และ Pharmacy Notice โดยเภสัชกรพึงพอใจในทุกหัวข้อประเมิน ได้แก่ ความพึงพอใจในภาพรวม ความง่ายในการใช้งาน ความปลอดภัยของข้อมูล การครอบคลุมการทำงาน การออกแบบ การตอบสนองการทำงาน และความเสถียรของระบบ</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276618
การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย ด้วยพลังชุมชน อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
2025-07-26T14:29:27+07:00
ธนชัย รินไธสง
tanachai1707@gmail.com
ปัทมา ล้อพงค์พานิชย์
pattama.l@ubru.ac.th
เจษฎา สุราวรรณ์
surawanjesada@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลรูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายด้วยพลังชุมชน อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ตามแนวคิด TK’s 5 Factors model of suicide กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย จำนวน 11 คน และสมาชิกเครือข่ายพลังชุมชนเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย จำนวน 31 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสอบถามความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย ตรวจคุณภาพเครื่องมือได้ค่า IOC 0.67 – 1.00 ค่า KR-20 0.71 และค่า Cronbach’s alpha 0.82 และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายด้วยพลังชุมชน SMILE model ประกอบด้วย S: Safety environment สร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย M: Masses cooperate สร้างความร่วมมือจากมวลชน I: Interpersonal skill สร้างทักษะเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายให้สมาชิกเครือข่ายพลังชุมชนฯ L: Laugh therapy สร้างเสียงหัวเราะบำบัดความเครียด E: Evaluation ประเมินผลและรายงานผลทุกสัปดาห์ ประสิทธิผลของรูปแบบฯ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และทัศนคติ ระยะก่อนการอบรม หลังการอบรม และ12 สัปดาห์หลังการอบรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) หลังการอบรมกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 90.30 แสดงพฤติกรรมการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายระดับสูง ผู้พยายามฆ่าตัวตายไม่กลับมาทำร้ายตัวเองซ้ำในระยะเวลา 12 สัปดาห์ รูปแบบที่พัฒนาขึ้นจึงเป็นการเติมเต็มแนวทางเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายที่ดำเนินการโดยบุคลากรสาธารณสุขให้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/275052
ปัจจัยพยากรณ์ภาวะกำเริบเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว
2025-06-02T19:44:04+07:00
วัฒนพล จิติลาภะ
mol_mt@hotmail.com
<p>โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั่วโลกและในประเทศไทย โดยภาวะกำเริบเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Acute exacerbation) เพิ่มความเสี่ยง ต่อการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต โรงพยาบาลวังน้ำเย็นพบแนวโน้มผู้ป่วย COPD เพิ่มขึ้นทุกปี การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะกำเริบเฉียบพลันในผู้ป่วย COPD กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวังน้ำเย็น ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 250 คน กลุ่มศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน จำนวน 106 คน กลุ่มควบคุมเป็นผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ไม่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน จำนวน 144 คน เครื่องมือที่ใช้แบบบันทึกข้อมูลในเวชระเบียนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่รักษาในโรงพยาบาลวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และการวิเคราะห์ถดถอยลอจิสติกเชิงพหุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีภาวะโรคร่วมความดันโลหิตสูง (OR<sub>adj</sub> 2.31, 95% CI= 1.12- 4.75, p-value < 0.05), หัวใจล้มเหลว (OR<sub>adj</sub> 2.94, 95% CI= 1.02- 8.45, p-value < 0.05) และผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่เคยมีอาการภาวะกำเริบเฉียบพลัน ≥2 ครั้ง/ปี (OR<sub>adj</sub> 35.74, 95% CI= 12.67-67.80, p-value < 0.001) สรุปได้ว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะกำเริบเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจล้มเหลวแบบมีเลือดคั่ง และการเกิดภาวะกำเริบ ดังนั้น ต้องคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการดูแลผู้ป่วย COPD เพื่อรองรับแนวโน้มผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในอนาคต</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276970
การศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกของการผ่าตัดต้อกระจกชนิดแผลเล็กโดยไม่ใช้เครื่องสลายต้อกระจก: การศึกษาแบบย้อนหลัง
2025-08-19T15:35:57+07:00
กษิดิ์เดช จรุงจิตตานุสนธิ์
kasidet.md40@gmail.com
พรรษกร วัฒนชัย
kasidet.md40@gmail.com
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังจากเหตุไปหาผล (Retrospective analytic Cohort study) เพื่อประเมินผลการผ่าตัดต้อกระจกวิธีแผลเล็ก (Manual Small Incision Cataract Surgery: MSICS) ในผู้ป่วยต้อกระจก (Cataract) 63 ตา ณ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) เพื่ออธิบายลักษณะพื้นฐานและภาวะแทรกซ้อน ส่วนการเปรียบเทียบระดับการมองเห็นก่อนและหลังผ่าตัดใช้ Friedman Test เพื่อตรวจสอบความแตกต่างของการมองเห็นใน 3 ช่วงเวลาหลังผ่าตัด (1 วัน, 2 สัปดาห์, 2 เดือน) และทำการเปรียบเทียบรายคู่ด้วย Wilcoxon Signed-Rank Test พร้อมการปรับค่า p-value ด้วยวิธี Bonferroni correction โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) ที่น้อยกว่า 0.05 ผู้ป่วยมีอายุเฉลี่ย 69.8 ปี (SD= 8.2) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (63.5%) และมีโรคร่วม คือ ความดันโลหิตสูง (50.8%) และเบาหวาน (33.3%) ชนิดต้อกระจกที่มากที่สุดในการศึกษานี้ คือ Mature Cataract (76.2%) ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าการมองเห็นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) จากก่อนผ่าตัดที่ระดับสายตาส่วนใหญ่อยู่ที่ Hand Motion เมื่อติดตามผลที่ 2 เดือนหลังผ่าตัด ค่ามัธยฐานการมองเห็นด้วยตาเปล่าดีขึ้นเป็นระดับ 20/40 และเมื่อมองผ่านรูเข็มดีขึ้นเป็นระดับ 20/30 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัดที่พบมากที่สุด คือ ถุงหุ้มเลนส์ด้านหลังฉีกขาด (posterior capsule rupture) (11.1%) และเอ็นยึดเลนส์ฉีกขาด (zonule dialysis) (3.2%) ส่วนภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดวันแรกที่พบบ่อย คือ เลือดออกในช่องหน้าม่านตา (hyphema) (25.4%) และที่ 2 เดือนพบถุงหุ้มเลนส์ขุ่น (posterior capsule opacification) (4.8%) โดยสรุป การผ่าตัด MSICS เป็นหัตถการที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูการมองเห็นสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกชนิดสุกงอมอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งเหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลชุมชนที่มีทรัพยากรจำกัด</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277147
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบในห้องฉุกเฉิน
2025-08-23T20:51:17+07:00
ธัญรัศม์ ปิยวัชร์เวลา
p.thanyaras@gmail.com
สุภาพรณ์ ตัณฑ์สุระ
p.thanyaras@gmail.com
สมพร หงษ์เวียง
p.thanyaras@gmail.com
อรไท โพธิ์ไชยแสน
p.thanyaras@gmail.com
จิราพร น้อมกุศล
p.thanyaras@gmail.com
ผนึกแก้ว คลังคา
p.thanyaras@gmail.com
กรัณย์พิชญ์ โคตรประทุม
p.thanyaras@gmail.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบในห้องฉุกเฉิน 2) พัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบในห้องฉุกเฉิน และ 3) ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ สมรรถนะของพยาบาล ความพึงพอใจของพยาบาล การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาล และผลลัพธ์การพยาบาล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ พยาบาลวิชาชีพ และทีมสหสาขาวิชาชีพ ศึกษาระหว่างวันที่ 8 มกราคม–10 สิงหาคม 2568 ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สภาพปัญหา 2) พัฒนาต้นแบบ 3) ทดลองใช้และปรับปรุง 4) ประเมินประสิทธิผล เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกการทบทวนเวชระเบียน แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แนวคำถามสนทนากลุ่ม แบบสังเกตการปฏิบัติ แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบประเมินสมรรถนะ และแบบบันทึกผลลัพธ์การพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test และ Chi-square ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติการพยาบาล 2) การพัฒนาสมรรถนะพยาบาล และ 3) นวัตกรรม KKaRe Trauma, Primary Survey Card และ SIT KKH ผลลัพธ์การใช้รูปแบบ พบว่า สมรรถนะพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 95.70) พยาบาลมีความพึงพอใจต่อรูปแบบร้อยละ 93.52 และผลลัพธ์การพยาบาลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ได้แก่ ลดความผิดพลาดในการคัดกรองผู้ป่วย การใส่ท่อช่วยหายใจภายใน 10 นาที การแก้ไขภาวะ Tension pneumothorax การจัดการความปวด และการส่งผ่าตัดเร่งด่วนภายใน 60 นาที สรุปได้ว่ารูปแบบนี้ช่วยยกระดับสมรรถนะและมาตรฐานการพยาบาลรวมถึงปรับปรุงผลลัพธ์ผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276968
ผลของการใช้โปรแกรมการบริการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับการพยาบาลทางไกล คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลลำปาง
2025-09-13T21:45:44+07:00
รัตตินันท์ เหมวิชัยวัฒน์
nai7323@yahoo.com
วันเพ็ญ กลิ่นหอม
Klinhorm_0230@hotmail.com
ธริชญา รักษ์กิตติกุล
Klinhorm_0230@hotmail.com
พรทิวา ทักษิณ
pornthaksin1739@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการบริการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับการพยาบาลทางไกล คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลลำปาง เป็นการศึกษากึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวเปรียบเทียบก่อน-หลัง (One Group Pre-Post Test Design) ในผู้ป่วยสูงอายุ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 35 ราย ที่คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลลำปาง ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ โปรแกรมการบริการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับการพยาบาลทางไกล แบบประเมินความรู้เรื่องเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการปฏิบัติตัว แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง และแบบประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Paired t-test และ Fisher exact test ผลการศึกษา: หลังการใช้โปรแกรม ผู้ป่วยมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการปฏิบัติตัวเพิ่มขึ้นจาก 7.37±0.60 เป็น 9.83±0.57 และคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจาก 76.3±5.44 เป็น 98.43±1.52 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ผลลัพธ์ทางคลินิก ได้แก่ อาการหายใจลำบาก ระดับความรุนแรงของอาการหายใจลำบาก และผลกระทบต่อสุขภาวะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรแกรมการบริการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับการพยาบาลทางไกล ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้น ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในภาพรวมระดับมากที่สุดที่ 4.64 คะแนน ควรนำไปใช้ในการดูแลระยะยาวต่อไป</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277546
การพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด : กรณีศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภู
2025-09-13T22:00:44+07:00
พรรณิภา ไชยรัตน์
pannipa.ch@udru.ac.th
นิตยากร ลุนพรหม
pannipa.ch@udru.ac.th
อุมาพร เคนศิลา
pannipa.ch@udru.ac.th
ศิรินทิพย์ คำมีอ่อน
pannipa.ch@udru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิขององค์การบริหารส่วนจังหวัด วิเคราะห์องค์ประกอบของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ครอบคลุมโครงสร้าง กระบวนการ และผลลัพธ์การดำเนินงาน และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพ<br />ปฐมภูมิขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นระบบสุขภาพรูปแบบใหม่ที่กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นหน่วยบริหารจัดการหลัก และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นหน่วยปฏิบัติการใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนตุลาคม 2568 โดยการวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เจาะลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานกองสาธารณสุข จำนวน 9 คน บุคลากรจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 6 แห่ง 39 คน และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ผู้แทนกลุ่มและองค์กรชุมชน รวม 35 คน ผลการศึกษาพบสถานการณ์ปัญหาด้านการบริหาร ด้านการจัดบริการ และการทำงานร่วมกับเครือข่าย จึงได้ยกร่างแนวทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1) แนวทางการบริหารจัดการ 7 เรื่อง ได้แก่ การบริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล การจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพ การบริหารบุคลากร การจัดการข้อมูลและระบบสารสนเทศ การบริหารทรัพยากรและเวชภัณฑ์ การบริหารงบประมาณ และการพัฒนากลไกบริหารจัดการ 2) แนวทางการสนับสนุนและกำกับบริการ 4 เรื่อง และ 3) แนวทางการสร้างความร่วมมือกับเครือข่าย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในส่วนการบริหารจัดการที่ต้องเน้นการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ สร้างกลไกกำกับติดตามที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบจัดการข้อมูล และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือผ่านกลไกคณะกรรมการสุขภาพและแผนพัฒนาสุขภาพระดับพื้นที่ เพื่อสร้างแผนปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277174
ผลของโปรแกรมการบำบัดความคิดต่อความหวังของ ผู้พยายามฆ่าตัวตาย โรงพยาบาลมุกดาหาร
2025-09-08T15:47:55+07:00
กิตติลักษณ์ ตั้งตรงศักดา
aoa.mee.mdh@gmail.com
กอบศักดิ์ พิมานแพง
aoa.mee.mdh@gmail.com
ธิดา แก้วจันทร์
aoa.mee.mdh@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดก่อน-หลังครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความหวังของผู้พยายามฆ่าตัวตายก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการบำบัดความคิด โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้พยายามฆ่าตัวตายที่เข้ารับการรักษา ณ ห้องตรวจจิตเวช โรงพยาบาลมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ขนาดตัวอย่างจำนวน 15 คน คำนวณโดยโปรแกรม G*Power Version 3.1.9.7 และคัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์คุณสมบัติ ได้แก่ อายุ 13 ปีขึ้นไป ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าพยายามฆ่าตัวตาย (ICD-10 รหัส X69–X84) ซึ่งพ้นระยะวิกฤติ เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2. แบบประเมินความคิดฆ่าตัวตาย ฉบับภาษาไทย 3. แบบประเมินความหวังตามแนวคิดของเฮิร์ท ฉบับภาษาไทย และ4.โปรแกรมการบำบัดความคิดต่อความหวังของผู้พยายามฆ่าตัวตาย ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือ (ข้อ 2 – 4) เท่ากับ 0.89, 0.89 และ 0.80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ paired t-test และสถิติ repeated measures ANOVA ผลการวิจัย พบว่า หลังได้รับโปรแกรมการบำบัดความคิด ผู้พยายามฆ่าตัวตายมีค่าเฉลี่ยคะแนนความหวังแตกต่างจากก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่า โปรแกรมการบำบัดความคิดมีประสิทธิผลในการเพิ่มและคงไว้ซึ่งระดับความหวัง รวมถึงช่วยลดความคิดฆ่าตัวตายในผู้พยายามฆ่าตัวตาย ดังนั้น บุคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมและพัฒนาการใช้โปรแกรมนี้ เพื่อให้บริการแก่ผู้พยายามฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276938
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุด โดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก กุมารเวชกรรม
2025-08-19T15:31:00+07:00
กนกวรรณ เพชรสุวรรณ
nutchanad@smnc.ac.th
นุชนาถ บุญมาศ
nutchanad@smnc.ac.th
วิลัย ศรีเตชะ
nutchanad@smnc.ac.th
ประภัสสร บ่าพิมาย
nutchanad@smnc.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาล เพื่อป้องกันและลดอุบัติการณ์การเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม จำนวน 9 คน และผู้ป่วยเด็กอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปจนถึงอายุ 15 ปี ที่ใส่ท่อช่วยหายใจ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 27 ราย แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันและลดอุบัติการณ์การเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผน ระยะที่ 3 ระยะประเมินผลจากแบบประเมินความสามารถในการนำไปใช้ แบบประเมินความพึงพอใจและผลลัพธ์ของรูปแบบการพยาบาล รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน -มิถุนายน พ.ศ. 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันและลดอุบัติการณ์การเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ โดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยเด็กที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 8 หมวด พยาบาลมีความสามารถนำแนวปฏิบัติไปใช้ ร้อยละ 88.90 มีความพึงพอใจในรูปแบบการพยาบาล อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.46 ผลลัพธ์ของรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น พบว่าอุบัติการณ์ท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยเด็ก ในปี พ.ศ. 2566 ร้อยละ 17.37 และลดลงเหลือ ร้อยละ 9.06 ในปี พ.ศ. 2567 สำหรับปี พ.ศ. 2568 ไตรมาสที่ 1 พบอุบัติการณ์ ร้อยละ 8.74 และไตรมาสที่ 2 ไม่พบอุบัติการณ์ จึงควรนำรูปแบบมาใช้ในผู้ป่วยเด็กในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมและขยายผลไปยังหอผู้ป่วยอื่นต่อไป</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276205
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการเด็กปฐมวัยในเขตเทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี หลังจากมีการระบาดของโรคโควิด-19
2025-09-13T21:21:59+07:00
ภณิภารัศมิ์ ธรรมโยธินกุล
ladda.imthongbai2490@gmail.com
ลัดดา อิ่มทองใบ
ladda.imthongbai2490@gmail.com
งามทรัพย์ เทศะบำรุง
ladda.imthongbai2490@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะโภชนาการและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของเด็กปฐมวัยในเขตเทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กอายุ 1-5 ปี และผู้ดูแลเด็ก จำนวน 81 คู่ เนื่องจากข้อจำกัดในการให้ข้อมูลและปัญหาด้านการสื่อสาร การวิจัยครั้งนี้จึงเก็บข้อมูลผ่านผู้ดูแลเด็ก ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ระหว่างธันวาคม 2565 ถึง มิถุนายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดการด้านอาหาร การได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแบบบันทึกโภชนาการของเด็ก ที่มีความตรงของเนื้อหา (IOC = 0.67–1.00) และมีค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.75 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและ ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับภาวะโภชนาการ ด้วยสถิติ Fisher’s Exact Test ผลการวิจัยพบว่า เด็กส่วนใหญ่มีภาวะโภชนาการอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งในด้านน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ (ร้อยละ 58) ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ (ร้อยละ 87.7) และน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง (รูปร่างสมส่วน ร้อยละ 61.7) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ น้ำหนักแรกคลอด (p = 0.003, 0.024, 0.007) การติดเชื้อโควิด-19 ของเด็ก (p = 0.006) และโรคประจำตัวของมารดา (p = 0.044) ขณะที่ปัจจัยด้านผู้ดูแลหลัก เช่น ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการจัดเตรียมอาหารไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการ นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์ พบว่าชุมชนมีการจัดการอาหารแบบพึ่งพาตนเอง เช่น การปลูกผักไว้บริโภคเอง และใช้จักรยานยนต์พ่วงข้างในการเข้าถึงแหล่งอาหาร ข้อเสนอแนะจากการวิจัยคือ การส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการที่ดีตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะการดูแลมารดาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ทารกมีน้ำหนักแรกคลอดที่ดี และส่งผลต่อภาวะโภชนาการที่เหมาะสมในช่วงปฐมวัย</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277016
ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากกับสภาวะช่องปากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
2025-08-19T15:41:31+07:00
เรวดี ศรีหานู
aeravadee@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะช่องปาก และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากกับสภาวะช่องปาก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น จำนวน 183 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม และการตรวจสภาวะช่องปาก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน Chi Square Test ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ระดับปานกลางร้อยละ 44.3 ทัศนคติระดับสูงร้อยละ 60.1 และพฤติกรรมระดับดีร้อยละ 73.2 2) สภาวะช่องปากมีความชุกโรคฟันผุร้อยละ 54.1 ค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุด (DMFT) เท่ากับ 1.59 ซี่ต่อคน สภาวะเหงือกปกติร้อยละ 39.9 3) เพศและผู้ดูแลหลักของนักเรียนไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุในทางสถิติ (P-value = 0.158 และ 0.829 ตามลำดับ) เพศไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะเหงือกอักเสบในทางสถิติ (P-value = 0.253) นักเรียนที่มีผู้ดูแลหลักเป็นบิดามารดามีเหงือกอักเสบมากกว่าผู้ดูแลหลักไม่ใช่บิดามารดา (P-value = 0.005) 4) ระดับความรู้กับโรคฟันผุและสภาวะเหงือกอักเสบและหินน้ำลาย ไม่พบความสัมพันธ์ทางสถิติ (P-value = 0.135 และ 0.645 ตามลำดับ) 5) ระดับทัศนคติกับโรคฟันผุ และสภาวะเหงือกอักเสบและหินน้ำลาย ไม่พบความสัมพันธ์ทางสถิติ (P-value = 0.931 และ 0.748 ตามลำดับ) 6) ระดับพฤติกรรมกับโรคฟันผุ และสภาวะเหงือกอักเสบและหินน้ำลาย ไม่พบความสัมพันธ์ทางสถิติ (P-value = 0.167 และ 0.481 ตามลำดับ) อย่างไรก็ตามทันตบุคลากรยังควรมีบทบาทในกิจกรรมเสริมความรู้ เพิ่มแรงสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน เพื่อผลักดันให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่ดีด้านสุขภาพช่องปากเพิ่มขึ้น</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277014
การพัฒนารูปแบบการให้บริการงานผู้ป่วยนอก ลดระยะเวลารอคอย ลดแออัด โรงพยาบาลพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
2025-08-19T15:39:48+07:00
นงนุช พลเขต
nursephonnqa2563@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการผู้ป่วยนอกที่ลดระยะเวลารอคอยและความแออัด โรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น โดยบูรณาการแนวคิด Smart Hospital เข้ากับทฤษฎีการบริหารจัดการยุคใหม่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการ การดำเนินงานประกอบด้วยการปรับปรุงสภาพแวดล้อม การจัดระบบคัดกรองผู้ป่วย และการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบคิวอัจฉริยะ ตู้ Kiosk การนัดหมายผ่าน QR Code และการให้บริการ Telemedicine มาใช้ การเก็บข้อมูลใช้เครื่องมือที่หลากหลาย ได้แก่ แนวทางการสัมภาษณ์แบบสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลระยะเวลาการรับบริการและเวลาการออกตรวจของแพทย์ แบบสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ผลการดำเนินงานพบว่า จำนวนผู้รับบริการเฉลี่ยต่อเดือนลดลงจาก 7,810 ราย เหลือ 7,455 ราย (ลดลง ร้อยละ4.55) ระยะเวลารอคอยเฉลี่ยลดลงจาก 95 นาที เหลือ 83 นาที และระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 92.31 นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีแนวโน้มใช้บริการ Telemedicine และระบบนัดล่วงหน้ามากขึ้น ส่งผลให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความแออัด และเพิ่มคุณภาพบริการโดยรวม การอภิปรายชี้ว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ร่วมกับการวางแผนเชิงระบบ ช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความคล่องตัว และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาและความพร้อมของบุคลากรบางส่วน จึงเสนอแนะให้ขยายระบบอัจฉริยะครอบคลุมทุกแผนก พัฒนาโมเดลการวางแผนกำลังคน และจัดการประเมินผลในระยะยาวเพื่อยืนยันความยั่งยืนของรูปแบบบริการ</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/276771
การมีส่วนร่วมในการปรับปรุงสุขาภิบาลอาหารในโรงเรียน เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
2025-09-08T15:59:33+07:00
ศณิชชญา คนมาก
sanitchaya009@gmail.com
กัมปนาท รูปขาว
Sanitchaya009@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการและประเมินผลของการมีส่วนร่วมในการปรับปรุงสุขาภิบาลอาหารในโรงเรียน เขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยดำเนินการกับโรงเรียน 9 แห่ง ครอบคลุมร้านอาหาร 72 ร้าน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ครูอนามัยและผู้บริหารโรงเรียน รวมทั้งสิ้น 81 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร พฤติกรรมสุขวิทยาส่วนบุคคล การสนทนากลุ่ม และการตรวจสอบการปนเปื้อนของโคลิฟอร์มแบคทีเรียในอาหาร ภาชนะ และมือผู้สัมผัสอาหาร ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการวิจัย แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะการวางแผน ได้ประสานงานหน่วยงานเกี่ยวข้องเก็บข้อมูลเบื้องต้น และวิเคราะห์เพื่อวางแผนเตรียมความพร้อม ระยะการปฏิบัติ ดำเนินการจัดสนทนากลุ่ม เพื่อหาแนวทางแก้ไข จากนั้นนำแผนกิจกรรมไปดำเนินการ ระยะการสังเกต ประเมินความสำเร็จโครงการเป็นเวลา 3 เดือน หลังดำเนินกิจกรรม กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร และพฤติกรรมสุขวิทยาส่วนบุคคลสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) อีกทั้งพบว่าการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรียในอาหารและอุปกรณ์ลดลงอย่างชัดเจน การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และระยะการสะท้อนผล ดำเนินการคืนข้อมูลผลการศึกษาให้ผู้เกี่ยวข้อง การศึกษานี้เสนอแนะให้ขยายผลไปยังพื้นที่อื่น และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่องในการจัดการสุขาภิบาลอาหารในโรงเรียน</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277129
การพัฒนารูปแบบการลดความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางในชุมชน อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี
2025-08-23T20:41:26+07:00
อดิเทพ เกรียงไกรวณิช
wnochit@gmail.com
วิสุทธิ์ โนจิตต์
wnochit@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การศึกษาสถานการณ์โรคข้อเข่าเสื่อมกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน 2) การพัฒนารูปแบบการลดความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อมในชุมชนโดยความร่วมมือของทีมสุขภาพ และ 3) การประเมินผลรูปแบบการลดความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางในชุมชน กลุ่มตัวอย่างในแต่ละขั้นตอนประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ ผู้สูงอายุ จำนวน 361 คน ขั้นตอนที่ 2 ได้แก่ แพทย์ นักกายภาพบำบัด นักการแพทย์แผนไทย นักวิชาการสาธารณสุข พยาบาลวิชาชีพ ผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อม และอสม. ขั้นตอนที่ 3 ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีระดับความรุนแรงข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลาง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละ 30 คน เครื่องมือในการวัดผลลัพธ์ของรูปแบบฯ ได้แก่ 1) แบบมาตรวัดความปวดข้อเข่าด้วยตัวเลข 2) แบบประเมิน Modified WOMAC และ 3) เครื่องมือวัดมุมแบบโกนิโอมิเตอร์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและค่าเฉลี่ยภายในกลุ่มด้วยสถิติ Paired t-test และระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ Independent t-test ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุจำนวนร้อยละ 37.40 มีความผิดปกติของข้อเข่า แบ่งเป็นระดับความรุนแรงปานกลาง ร้อยละ 63.70 เริ่มมีอาการข้อเข่าเสื่อม ร้อยละ 28.15 และระดับรุนแรงมาก ร้อยละ 8.15 หลังการทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมา กลุ่มทดลองมีระดับความปวด ระดับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อมน้อยกว่าก่อนทดลองและน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) และมุมองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าในท่าเหยียดเข่ามากกว่าก่อนทดลองและมากกว่าควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ดังนั้น บุคลากรด้านสุขภาพสามารถนำรูปแบบจากการวิจัยครั้งนี้ไปใช้และพัฒนาต่อยอดได้</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น