https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/issue/feed วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 2025-12-11T17:30:13+07:00 วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น jkkpho.2564@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) กรณีศึกษา (Case Study) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/278892 การพัฒนารูปแบบการจัดระบบบริการสุขภาพด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 2025-12-02T08:54:12+07:00 พัฒนี ศีตะจิตต์ achiroong13@gmail.com อชิรญาณ์ มาตเจือ achiroong13@gmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรูปแบบการจัดระบบบริการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้กลไกวิจัย<br />เชิงปฏิบัติการ (PAOR) ผู้มีส่วนในการศึกษา ได้แก่ ทีมสหวิชาชีพและเครือข่ายสุขภาพชุมชน จำนวน 35 คน และผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 390 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตและการมีส่วนร่วม แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจ ดำเนินการพัฒนาในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 วิเคราะห์ผลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired t-test ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการจัดระบบบริการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ประกอบด้วย รูปแบบการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล การตรวจคัดกรองโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง กำหนดบทบาทและระบบการดูแลผู้ป่วยโดยการมีส่วนร่วมของสหวิชาชีพและเครือข่ายสุขภาพชุมชนอย่างชัดเจน หลังการใช้รูปแบบ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p &lt;0.05</em>) ด้านพฤติกรรมการกินหวานและกินเค็ม พบว่า หลังการดำเนินการกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการกินหวานและกินเค็มที่ดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p &lt;0.05</em>) การพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิดังกล่าว สามารถส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถควบคุมโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ต่อไป</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277936 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพ ห้องผ่าตัด ในโรงพยาบาลตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 7 2025-10-28T15:21:16+07:00 สถาพร พรพิพัฒนจิระ sataporn.p@kkumail.com สมปรารถนา ดาผา somdapa@kku.ac.th <p>การวิจัยความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของการบริหารความเสี่ยงและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด ในโรงพยาบาลตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 7 เก็บข้อมูลจากพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด ในโรงพยาบาลตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 7 จำนวน 209 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามด้านความตระหนักในการบริหารความเสี่ยง และแบบสอบถามด้านการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.83 ตรวจสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามด้านความตระหนักในการบริหารความเสี่ยง และแบบสอบถามการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด เท่ากับ 0.86 และ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า ระดับการบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัด ในโรงพยาบาลตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 7 ภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.43, S.D.=0.73) ตัวแปรที่ร่วมกันพยากรณ์การบริหารความเสี่ยงของพยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 7 คือ ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง ด้านความเคยชินต่อสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง และด้านระยะเวลาและความถี่ในการรับรู้เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง ได้ร้อยละ 55.7 (R<sup>2</sup>=0.557) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้บริหารควรส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัย สร้างความรู้ ความเข้าใจ และความเคยชินกับกระบวนการบริหารความเสี่ยง ส่วนในการวิจัยครั้งต่อไปควรพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการขยายขอบเขตการศึกษาไปยังโรงพยาบาลระดับอื่น และหน่วยงานที่มีความเสี่ยงสูงต่อไป</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/277905 การพัฒนาแนวปฏิบัติการหย่าเครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 2025-10-28T15:26:42+07:00 อรุณลักษณ์ นาทองบ่อ nui24arunrax@gmail.com นราภรณ์ ท่อนโพธ์ nui24arunrax@gmail.com รุ่งตะวัน ฮีท nui24arunrax@gmail.com เบญจมาภรณ์ หาญชาญเลิศ nui24arunrax@gmail.com สุนิสา สีชาบาล nui24arunrax@gmail.com <p>ภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งหากใช้เป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (VAP) ระยะเวลาการรักษานานขึ้น และค่าใช้จ่ายสูงขึ้น งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการหย่าเครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลโกสุมพิสัย โดยใช้กรอบแนวคิดกระบวนการหย่าเครื่องช่วยหายใจของสมาคมพยาบาลวิกฤต อเมริกาครอบคลุมทั้ง 3 ระยะ คือ Pre - weaning phase, Weaning phase และ Weaning Outcome phase ดำเนินการระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2568 มี 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ บริบท สภาพปัญหา 2) พัฒนาแนวทางการปฏิบัติ 3) การประเมินผลการพัฒนาแนวปฏิบัติการหย่าเครื่องช่วยหายใจกลุ่มผู้ร่วมวิจัย คือ ทีมสหวิชาชีพ 13 คน และผู้ป่วยที่มีภาวะหายใจล้มเหลว ได้รับการใส่ท่อหลอดลมคอและใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นผู้ที่มีความพร้อมในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ 115 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยสามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจสำเร็จ 99 ราย (ร้อยละ 86.08) ไม่พบอุบัติการณ์ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะเวลาการใช้ท่อช่วยหายใจและค่าใช้จ่ายเฉลี่ยลดลง บุคลากรมีความมั่นใจในการประเมินและตัดสินใจมากขึ้น ความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.72) สรุปได้ว่า แนวปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพ ลดภาวะแทรกซ้อน และควรนำไปประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/278914 ผลกระทบของข่าวผู้ป่วยยาเสพติดอาละวาดหรือใช้ความรุนแรง ต่อการใช้ชีวิตของประชาชน 2025-11-23T21:15:20+07:00 วฤษาย์ สถิรธนากร warisa086@gmail.com <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยยาเสพติดที่ก่อเหตุอาละวาดหรือใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ทำการศึกษากับประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไปในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 328 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและอย่างง่าย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมิถุนายน–กันยายน 2568 และวิเคราะห์ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่รับรู้ข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยยาเสพติด 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ ร้อยละ 35.7 ช่องทางการรับรู้ข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์ ร้อยละ 63.1 การรับข่าวส่งผลกระทบต่อความรู้สึกเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 30.2 และเกิดความรู้สึกกังวล ร้อยละ 25.9 พฤติกรรมการใช้ชีวิตมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ร้อยละ 37.8 และความคิดเห็นต่อความปลอดภัยในชุมชนได้รับผลกระทบปานกลาง ร้อยละ 30.8 จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ประชาชนเสนอแนวทางการจัดการปัญหาผู้ป่วยยาเสพติดที่ก่อเหตุรุนแรง ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย การบำบัดฟื้นฟู และการป้องกัน ดังนั้น ควรส่งเสริมให้สื่อมวลชนและสื่อออนไลน์นำเสนอข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและแนวทางแก้ไขปัญหา โดยไม่สร้างความกลัวหรือซ้ำเติมผู้ป่วยยาเสพติด เพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมหาทางออกเชิงบวกในสังคม</p> 2025-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น