วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) กรณีศึกษา (Case Study) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> jkkpho.2564@gmail.com (วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น) jkkpho.2564@gmail.com (วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น) Wed, 06 Mar 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268358 มิ่งขวัญ ภูหงษ์ทอง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268358 Sat, 23 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยที่ติดเชื้อในกระแสเลือด กรณีศึกษา 2 ราย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267501 <p> ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) เป็นภาวะวิกฤติที่พบบ่อยและมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ดังนั้น การได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็วจะช่วยลดความรุนแรงและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะดังกล่าวได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้กระบวนการพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยใช้แนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมาเป็นแนวทางในการประเมินสภาพผู้ป่วย และนำเครื่องมือประเมินผู้ป่วย Sepsis ชื่อ NEW score มาช่วยคัดกรองและค้นหาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยทำการศึกษาผู้ป่วยที่มีอาการและแสดงอาการของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหนองสองห้อง โดยทำการศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ตามแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วย Sepsis ผลที่ได้จากการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยรายที่ 1 มีภาวะช็อก การพยาบาลที่สำคัญได้แก่การดูแลระบบไหลเวียนโลหิต การเฝ้าระวังภาวะไม่สมดุลของอิเลคโตรไลท์ การให้สารน้ำและโภชนาการ การดูแลด้านจิตใจ และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยรายที่ 2 มีภาวะไข้และมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทั้ง 2 รายได้วางแผนการจำหน่ายตามหลัก D-M-E-T-H-O-D เมื่อติดตามผลลัพธ์ทางการพยาบาลพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 รายมีอาการดีขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ดังนั้นการปฏิบัติการพยาบาลที่มีแนวปฏิบัติที่ดีในการเฝ้าระวังและติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและทันต่อการเปลี่ยนแปลง จะช่วยลดความเสี่ยง ลดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้</p> ปิยภัสรา หรี่อินทร์ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267501 Sat, 23 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับรุนแรง ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267350 <p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) เพื่อประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ได้แก่ 1) การเกิดภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงได้รับการประเมินและรายงานแพทย์ได้ทันใน 5 นาที 2) ผู้ป่วยอาการทรุดลงขณะรอผ่าตัด 3) ระยะเวลารอคอยผ่าตัด 4) จำนวนวันนอนรักษาในโรงพยาบาล 5 ) ผู้ป่วยเสียชีวิตใน 24 ชั่วโมง 6) การมีวินัยในการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล และ 7) ความพึงพอใจของพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับรุนแรงที่เข้ารับการรักษาที่งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลขอนแก่น เป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 25 คน และพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน 50 คน ห้องผ่าตัด 25 คน ในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสังเกตการปฏิบัติ แบบประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล และแบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาล วิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ ใช้สถิติ Pearson Chi-Square Test และ Mann-Withney U Test ข้อมูลการปฏิบัติและความพึงพอใจของพยาบาล ใช้สถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการพยาบาลตามแนวปฏิบัติ ได้รับการประเมินและรายงานแพทย์ได้ทันใน 5 นาทีสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อาการทรุดลงขณะรอผ่าตัด ระยะเวลารอคอยผ่าตัด น้อยกว่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) อุบัติการณ์การเสียชีวิต จำนวนวันนอนรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่า แต่ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 พยาบาลปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ร้อยละ 96.80 ความพึงพอใจต่อการใช้แนวปฏิบัติ ร้อยละ 94.19 สรุปว่าแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับรุนแรงที่ได้รับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อผู้ป่วย พยาบาล และองค์กร</p> บังอร ศรีสงคราม, ธัญรัศม์ ปิยวัชร์เวลา, ศิราณี คำอู, กรัณย์พิชญ์ โคตรประทุม, จิราพร น้อมกุศล, สมพร หงษ์เวียง, นิตยา ศรีสุทธิกมล Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267350 Wed, 06 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางการค้นหาผู้ใช้ยาเสพติดด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/266459 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มุ่งเน้นศึกษาระดับการปฏิบัติและการมีส่วนร่วมของคณะทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ในการพัฒนาแนวทางการค้นหาผู้ใช้ยาเสพติด ในพื้นที่ตำบลบ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น พิจารณาใช้แนวทางการสนทนากลุ่ม การอบรมให้ความรู้ นำสู่กระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม A-I-C ตามแนวทางการพัฒนา 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) สร้างการรับรู้นโยบายสู่การปรับกระบวนการดำเนินงาน 2) การผ่องถ่ายนโยบายการดำเนินงาน 3) การมอบหมายภารกิจสู่ปฏิบัติการ 4) ประชาคมชุมชนสร้างการรับรู้ 5) ปฏิบัติการเชิงรุกมาตรการเคาะประตูบ้านแจกซองผ้าป่าแจ้งเบาะแส 6) การรวบรวม สอบทาน และจัดทำบัญชีรายชื่อ ระหว่าง ภาคประชาชน ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ ภายหลังการพัฒนา พบว่า 1) ผู้เข้าร่วมโครงการมีคะแนนการปฏิบัติเพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 52.4 ค่าเฉลี่ยความแตกต่างของคะแนนการปฏิบัติมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.001 2) มีส่วนร่วม ในการพัฒนาได้อย่างเหมาะสม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 62.3 ค่าเฉลี่ยความแตกต่างของคะแนนการมีส่วนร่วมมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.001 3) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความแตกต่างของการค้นหาผู้ใช้ยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 94.4 4) แนวทางการค้นหาผู้ใช้ยาเสพติดด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่สามารถพัฒนาผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานตำบลจัดการคุณภาพชีวิต ผลการดำเนินงานรางวัลชนะเลิศต้นแบบระดับเขตสุขภาพที่ 7 นำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการค้นหาผู้ใช้ยาเสพติดในชุมชนเพื่อนำเข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรอง การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วิระวัติ นักร้อง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/266459 Thu, 07 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาการบริการสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในคลินิก หมอครอบครัว ตำบลสะอาด อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/266737 <p> งานวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบบริการสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ให้มีประสิทธิภาพสร้างผลกระทบที่ดีต่อสุขภาวะของผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 85 คน ซึ่งได้รับการส่งต่อ มารับบริการในคลินิกหมอครอบครัว แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบบริการ 3) ประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แนวทางสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุม และแบบประเมินพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวาน และระดับน้ำตาล ในเลือด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน Paired sample T- test ผลการวิจัย พบว่า พื้นที่บริการมีศักยภาพจัดการตนเองที่สอดคล้องกับการจัดการภาวะเรื้อรัง มีบริการคลินิกหมอครอบครัวที่มีศักยภาพ ทีมสหวิชาชีพ และอาสาสมัคร ที่ร่วมจัดบริการมีหลายกลุ่มและมีความเพียงพอ แต่ยังขาดทักษะการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมโรค และลดภาวะแทรกซ้อน การเชื่อมต่อข้อมูลสองหน่วยบริการดำเนินการ ได้ช้า และผู้รับบริการเองยังขาดสมรรถนะในการจัดการตนเอง จึงพัฒนาบริการที่เอื้อให้มีกระบวนการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยหลักการพัฒนาสติเพื่อสุขภาพ ผลการพัฒนาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานมีสัดส่วนลดลง การออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ/สติ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดเกินเกณฑ์ปกติมีสัดส่วนลดลง ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยจึงควรเน้นรูปแบบของคลินิกบริการหลายแบบในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาล กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นไปตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย รวมถึงการมีส่วนร่วมบริการของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง</p> ศิริพร เหลืองอุดม, พรรณิภา ไชยรัตน์, ดังการ พลลาภ, ศศิธรณ์ นนทะโมลี Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/266737 Thu, 07 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยจิตเภท โรงพยาบาลหนองนาคำ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267173 <p> การศึกษานี้เป็นแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยด้านแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมกับความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยจิตเภทที่มารับบริการในโรงพยาบาลหนองนาคำ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยจิตเภทจำนวน 16 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบประเมินความร่วมมือในการรับประทานยา แบบประเมินแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และแบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ โดยใช้สถิติ Chi Square ผลการศึกษาพบว่า ความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยจิตเภทอยู่ในระดับสูง (x ̅= 1.40 SD =0.94) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การมาตรวจตามแพทย์นัด (p-value = 0.02 ) ปัจจัยแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพไม่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.48) และปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมไม่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value = 0.40) การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าควรพัฒนากระบวนการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมาตรวจตามแพทย์นัด </p> ภัทรพร ภูคลัง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267173 Thu, 07 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลของการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกลุ่มผู้ให้บริการในคลินิกฝากครรภ์ ต่อปัญหาภาวะเลือดจางในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ ๗ ขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267537 <p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาคุณภาพงาน โดยมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาความรู้และพฤติกรรมการปฏิบัติตัวของหญิงครรภ์มีภาวะโลหิตจางและเสี่ยงโลหิตจาง 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้เกี่ยวกับโภชนาการในหญิงตั้งครรภ์ 3) ประเมินผลรูปแบบการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับโภชนาการในหญิงตั้งครรภ์ วิธีการศึกษาวางแผน ประกอบด้วย การสำรวจความรู้ 18 ข้อ และพฤติกรรม 12 ข้อ ก่อนและหลังได้รับกิจกรรมด้านโภชนาการ สำหรับหญิงตั้งครรภ์โลหิตจางและเสี่ยงโลหิตจางในคลินิกฝากครรภ์ จากนั้นนำผลการศึกษา มาสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก ในแพทย์ทุกราย พยาบาลที่ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ นักโภชนการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ย ความเข้มข้นของเลือด(ฮีมาโตคริต) ก่อนเข้ากิจกรรม 33.5±1.79 mg/dl หลังเข้ากิจกรรม 31.96±2.21 mg/dl ทั้งนี้ฮีมาโตคริตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คะแนนความรู้เรื่องโลหิตจางก่อนและหลัง เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังได้รับเมนูเสริมธาตุเหล็ก และกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่ ประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติตัวของหญิงตั้งครรภ์มีที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ การหยุดกินยาเมื่อมีผลข้างเคียง สื่อโภชนาการที่สนใจมากที่สุดคือ ข้อความสั้นๆและวีดีโอ ผลการสัมภาษณ์ แบบกลุ่มและเชิงลึกในของเจ้าหน้าที่ในคลินิกฝากครรภ์ พบว่า สื่อในโรงเรียนพ่อแม่มีความเพียงพอแต่ขาดการสื่อสารสองทาง และควรให้มีการประเมินพฤติกรรมการกินยาและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ข้อเสนอแนะ ปรับแนวทางให้การรักษาและให้คำแนะนำในหญิงตั้งครรภ์ เน้นกิจกรรมหรือสื่อ ที่นำไปสู่การปรับพฤติกรรม</p> มกรารัตน์ หวังเจริญ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267537 Fri, 15 Mar 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบผลการประเมินประสิทธิภาพตามเกณฑ์ Total Performance Score (TPS) ของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดขอนแก่น ปีงบประมาณ 2564-2566 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267873 <p> ด้วยงบประมาณภาครัฐมีจำกัด ไม่เพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข หากหน่วยบริการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของหน่วยบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีผลกระทบต่อสถานะวิกฤตทางการเงินของหน่วยบริการ กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ทำแนวทางประเมินประสิทธิภาพ Total Performance Score (TPS) เพื่อเป็นเครื่องมือประเมินประสิทธิภาพด้านกระบวนการและผลลัพธ์การดำเนินงาน การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการประเมินประสิทธิภาพ Total Performance Score (TPS) ของหน่วยบริการในจังหวัดขอนแก่น ปีงบประมาณ 2564 - 2566 รูปแบบการศึกษาเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (Cross - sectional descriptive study) โดยศึกษาเปรียบเทียบจากข้อมูลทุติยภูมิ (secondary source) จากข้อมูลผลการประเมินประสิทธิภาพหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564 - 2566 กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ มีจำนวนหน่วยบริการทั้งสิ้น 26 แห่ง ประกอบด้วย (1) โรงพยาบาลศูนย์ จำนวน 1 แห่ง (2) โรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 2 แห่ง และ (3) โรงพยาบาลชุมชน จำนวน 23 แห่ง ผลการศึกษา พบว่าร้อยละของหน่วยบริการที่มีผลการประเมินประสิทธิภาพในแต่ละระดับคะแนน ปีงบประมาณ 2564 - 2566 ดังนี้ ระดับคะแนนดีมาก (Grade A) พบว่ามีร้อยละ 0.00 ร้อยละ 26.92 และร้อยละ 19.23 ตามลำดับ ระดับคะแนนดี (Grade B) พบว่ามีร้อยละ 3.85 ร้อยละ 19.23 และร้อยละ 23.08 ตามลำดับ ระดับคะแนนพอใช้ (Grade C) พบว่ามีร้อยละ 30.77 ร้อยละ 34.62 และร้อยละ 19.23 ตามลำดับ ระดับคะแนนต้องปรับปรุง (Grade D) พบว่ามีร้อยละ 34.62 ร้อยละ 11.54 และร้อยละ 15.38 ตามลำดับ และระดับคะแนนไม่ผ่าน (Grade F) พบว่ามีร้อยละ 30.77 ร้อยละ 7.69 และร้อยละ 23.08 ตามลำดับ</p> ธัญญา อุพลเถียร, ชัชวาลย์ มุ่งแสง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267873 Fri, 22 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการป้องกันการบาดเจ็บ จากอุบัติเหตุทางถนน อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267430 <p> การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยดำเนินการ (Operation Research) มี 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สภาพปัญหา ระยะที่ 2 หารูปแบบแนวทางที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ ดำเนินการศึกษาในคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และประชาชนในชุมชน ดำเนินการวิจัย ปีงบประมาณ 2565 รวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ จากโรงพยาบาลหนองเรือ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษา สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2564 กลุ่มอายุ 15-19 ปี พบสูงสุด ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ร้อยละ 75.27, 71.67, 84.33, 83.02, 87.17 และ 83.07 ตามลำดับ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 88.57, 93.02, 81.43, 74.10, 81.91 และ 89.01 ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ ร้อยละ 34.41, 34.67, 26.50, 22.06, 25.16 และ 31.63 จากการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน 8 องค์ประกอบ ส่งผลให้ปีงบประมาณ 2565 จำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ลดลงถึง ร้อยละ 29.52 จำนวนผู้บาดเจ็บลดลงลดลงร้อยละ 30.13</p> คมชาญ ไชโยแสง, พิชิต แสนเสนา, ธวัชชัย คำป้อง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/267430 Fri, 22 Mar 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268175 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ และการสร้างรูปแบบการพัฒนาการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะ 1) ศึกษาปัจจัยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ โดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยง 0.98 2) การพัฒนารูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ และ 3) การยืนยันรูปแบบการพัฒนาการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 75.93 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการป้องกันและควบคุม โรคไม่ติดต่อ ได้แก่ ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันและควบคุมโรค การสนับสนุนทางสังคม และความเชื่อด้านสุขภาพ รูปแบบการพัฒนาการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของ อสม. ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) ด้านความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ 2) ด้านการสนับสนุนทางสังคม และ 3) ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญ มีความเห็นว่ารูปแบบการพัฒนาการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของ อสม. อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด (มัธยฐาน = 5.00) ร้อยละ 91.67</p> ถนัต จ่ากลาง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268175 Fri, 22 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268174 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด 2) การพัฒนารูปแบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด และ 3) ประเมินผลการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 - มกราคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์ เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า มีกลุ่มเป้าหมายที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 167 คน รูปแบบการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน คือ 1) การเตรียมครอบครัว 2) การสำรวจผลกระทบ ความคาดหวังของครอบครัวเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในชุมชนและแนวทางการแก้ไข 3) การให้ความรู้เรื่องโรคสมองติดยา 4) การให้ความรู้เรื่องวงจรการใช้ยา ปัญหาในช่วงเลิกยาระยะแรก 5) การให้ความรู้เรื่องการระกอบอาชีพ/การศึกษา 6) การป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ และ 7) การคืนคนดีสู่สังคม ผลการพัฒนารูปแบบ พบว่า ประชาชน ไม่มีพฤติกรรมกลับไปเสพซ้ำ ร้อยละ 95.2 กลุ่มเยาวชนในวัยเรียนไม่กลับไปเสพซ้ำและไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติด ร้อยละ 100 และมีชุมชนต้นแบบการแก้ไขปัญหายาเสพติด ภาพรวมการมีส่วนร่วมการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีคะแนนเพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรส่งเสริมให้ชุมชน เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด จะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้สอดคล้องกับบริบทของ แต่ละชุมชนได้อย่างแท้จริง</p> ประพัทธ์ ธรรมวงศา Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268174 Fri, 22 Mar 2024 00:00:00 +0700