วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) กรณีศึกษา (Case Study) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> jkkpho.2564@gmail.com (วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น) jkkpho.2564@gmail.com (วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น) Wed, 19 Jun 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269981 มิ่งขวัญ ภูหงษ์ทอง Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269981 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์ของการผ่าตัดผ่านกล้องในผู้ป่วยกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นทะลุ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268237 <p> ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นที่ยอมรับและได้ผลดีกว่าผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เนื่องจากปวดแผลผ่าตัดน้อยกว่า ลดวันนอนโรงพยาบาล ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว การศึกษาแบบย้อนหลัง เชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการผ่าตัดเย็บซ่อมรูรั่วผ่านกล้อง เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นทะลุที่ได้รับการผ่าตัดผ่านกล้อง โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เดือนมกราคม 2564 ถึงธันวาคม 2566 จำนวน 20 ราย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกผลลัพธ์ของการผ่าตัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และพิสัยควอไทล์ ผลการศึกษาพบว่า ระยะเวลาผ่าตัดเฉลี่ย 81.00 ± 21.92 นาที ผ่าตัดแบบ 3 ports ร้อยละ 90 การปนเปื้อนในช่องท้องอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 55 มัธยฐานปริมาณเลือดที่เสียไปขณะผ่าตัดเท่ากับ 10 ml. (Q1-Q3 : 5.5-10) ไม่พบการผ่าตัดซ้ำ พบผู้ป่วยเกิดปอดอักเสบหลังผ่าตัดและปฏิเสธการรักษา 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 ใช้เครื่องช่วยหายใจหลังผ่าตัด และพักรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต 2 รายคิดเป็นร้อยละ 10 ซึ่ง 1 รายเป็นรายเดียวกันกับผู้ป่วยที่เกิดปอดอักเสบและปฏิเสธการรักษา ค่ามัธยฐานระยะเวลาที่รับรักษาในโรงพยาบาล 6 วัน (Q1-Q3 : 5.5-7) สถานะเมื่อจำหน่ายเป็นปกติร้อยละ 95 ผลการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้นหลังผ่าตัด 8 สัปดาห์ พบแผลเรื้อรังหายช้าร้อยละ 40 และติดเชื้อ H. Pylori ร้อยละ 55 การเย็บซ่อมรูรั่วในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นทะลุ ผ่านกล้องเป็นวิธีที่ปลอดภัย สามารถดำเนินการได้ในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีเครื่องมือพร้อม</p> กิตติพร กลิ่นขจร Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268237 Fri, 21 Jun 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบคุณภาพการนอนหลับหลังดื่มชาใบกัญชา และอาการไม่พึงประสงค์ในบุคลากรทางการแพทย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268266 <p> การศึกษาแบบกึ่งทดลองหนึ่งกลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพการนอนหลับระหว่างวันที่ไม่มีการดื่มชาและวันที่มีการดื่มชาใบกัญชาจำนวน 2 ใบ 4 ใบ และ 6 ใบ และเพื่อศึกษาอาการไม่พึงประสงค์หลังดื่มในบุคลากรทางการแพทย์ อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น อาสาสมัครจำนวน 63 คน ผ่านเกณฑ์คัดเลือก เข้าร่วมการทดลอง 4 วัน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามการนอนหลับริชาร์ดแคมป์เบลล์ และแบบสอบถามอาการไม่พึงประสงค์ โดยวันที่หนึ่งเป็นการเก็บข้อมูลพื้นฐาน วันที่สองดื่มชาใบกัญชา 2 ใบ (น้ำหนักเฉลี่ย 0.75±0.02 กรัม) วันที่สามดื่มชาใบกัญชา 4 ใบ (น้ำหนักเฉลี่ย 1.44±0.03 กรัม) และวันที่สี่ดื่มชาใบกัญชา 6 ใบ (น้ำหนักเฉลี่ย 2.16±0.03 กรัม) ประมาณ 30 นาทีก่อนเข้านอน โดยมีระยะพัก 1 สัปดาห์ระหว่างวันทดลอง ผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 69.84) อายุเฉลี่ย 39.38±7.54 ปี การวิเคราะห์พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของคุณภาพการนอนหลับโดยรวมระหว่างวันที่ไม่มีการดื่มชาและวันที่ดื่มชาใบกัญชา 2 ใบ (ผลต่างค่ามัธยฐาน 3.35, 95%CI: 1.60-8.04, p-value = 0.0003) วันที่ดื่มชาใบกัญชา 4 ใบ (ผลต่างค่าเฉลี่ย 5.23±14.68, 95%CI: 1.53-8.93, p-value = 0.0063) วันที่ดื่มชาใบกัญชา 6 ใบ (ผลต่างค่าเฉลี่ย 9.12±1.64, 95%CI: 5.85-12.39, p-value = 0.0001) เกิดอาการไม่พึงประสงค์ในวันที่ดื่มชาใบกัญชา 2 ใบ จำนวน 13 คน (ร้อยละ 20.63) วันที่ดื่มชาใบกัญชา 4 ใบ จำนวน 12 คน (ร้อยละ 19.05) วันที่ดื่มชาใบกัญชา 6 ใบ จำนวน 15 คน (ร้อยละ 23.81) โดยส่วนใหญ่เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรงของระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร</p> ยุทธนา เปล่งวาจา Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268266 Fri, 21 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ. 2ส. ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268760 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. <br />ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จำนวน 559 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2566 - มกราคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตาม 3อ.2ส. ของประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ฉบับปรับปรุงปี 2561 กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสอบค่าความเที่ยงของเครื่องมือโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. มีค่าความเที่ยง 0.97 และ 0.74 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 65.30 มีพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. อยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 23.79 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r=0.139) ซึ่งผลการศึกษานี้จะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและวิธีการปรับพฤติกรรมสุขภาพนักศึกษาในประเด็น 3อ.2ส. ต่อไป</p> อรทัย พงษ์แก้ว, ลัดดา พลพุทธา Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268760 Fri, 21 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลของการสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ของสามี หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268299 <p> การศึกษาวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เปรียบเทียบพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ของสามีหญิงตั้งครรภ์ 2) เปรียบเทียบแรงจูงใจในการเลิกสูบบุหรี่ของสามีหญิงตั้งครรภ์ก่อนและหลังการสร้างแรงจูงใจในการเลิกสูบบุหรี่ กลุ่มตัวอย่างเป็นสามีหญิงตั้งครรภ์ ที่สูบบุหรี่ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้าจำนวน 32 คน ได้รับคำปรึกษาเพื่อเลิกสูบบุหรี่ 1 ครั้ง ติดตามผลที่ 4 สัปดาห์ ใช้กระบวนการสร้างแรงจูงใจโดยสร้างการรับรู้ความรุนแรงและโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคจากการสูบบุหรี่และประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ร่วมกับส่งเสริมบทบาทของบิดา เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่และแบบสอบถามแรงจูงใจในการเลิกสูบบุหรี่ มีค่าความเชื่อมั่น 0.73 และ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired sample t-test ผลการศึกษาพบว่าหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ พบพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ระยะลงมือปฏิบัติ (Action) ร้อยละ 21.9 หลังการทดลองพบว่ามีปริมาณบุหรี่ที่สูบต่อวันลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001) โดยก่อนทดลองกลุ่มตัวอย่างสูบบุหรี่เฉลี่ย 12.50 มวนต่อวัน หลังทดลองสูบบุหรี่ เฉลี่ย 4.56 มวนต่อวัน และพบว่าหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีแรงจูงใจในการเลิกสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ ผลวิจัยสะท้อนว่ากระบวนการสร้างแรงจูงใจฯ นี้ ช่วยให้สามีหญิงตั้งครรภ์ลดการสูบบุหรี่ลง โดย 1 ใน 5 สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จ จึงควรนำมาใช้เป็นแนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ของสามีหญิงตั้งครรภ์ในคลินิกฝากครรภ์หรือคลินิกเลิกบุหรี่ในสถานบริการสุขภาพ โดยติดตามประเมินพฤติกรรมต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน</p> ศุภจิรา สืบสีสุข, สุพัตรา กองเพชร Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268299 Wed, 19 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัดการตนเองในผู้สูงอายุ โรคความดันโลหิตสูง อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268925 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้าน การจัดการตนเอง และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับการจัดการตนเองในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงรับบริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลซำสูง อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 88 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เมษายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและมีค่าความเชื่อมั่นด้านความรอบรู้สุขภาพ เท่ากับ 0.76 ด้านการจัดการตนเอง เท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สันและสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 68.39 ปี (SD= 7.15) อายุระหว่าง 60-69 ปีร้อยละ 59.09 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ 35.23 ระยะเวลาเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ระหว่าง 1-10 ปี ร้อยละ 68.18 ส่วนใหญ่ควบคุมระดับความดันโลหิตได้ ร้อยละ 86.36 มีโรคแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 42.05 กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมในระดับปานกลาง (SD.=9.57) ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับการจัดการตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p&lt; .001 (r=.553) ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านสุขภาพในการดูแลผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงโดยส่งเสริมการจัดการตนเองผ่านการสนับสนุนความรอบรู้ด้านสุขภาพในทุกระดับ</p> เหมชาติ นีละสมิต Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268925 Wed, 19 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลของการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลเครือข่ายสุขภาพอำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269421 <p> การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล เครือข่ายสุขภาพอำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ประยุกต์ร่วมกับแนวคิดระบบสุขภาพองค์การอนามัยโลก ศึกษาปัญหา บริบท การพัฒนาแนวทางการแพทย์ทางไกล ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของสหวิชาชีพทุกกระบวนการ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง รวม 15 คน และผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ตรวจรักษาด้วยการแพทย์ทางไกล ระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ.2566 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ.2567 ทั้งสิ้น 350 คน เป็นเบาหวาน 194 คน ความดันโลหิตสูง 156 คน คัดเลือกแบบเจาะจง วัดผลโดยใช้แบบประเมินประสิทธิผลการดูแลผู้ป่วยด้วยการแพทย์ทางไกล โดยใช้โปรแกรมหมอพร้อมร่วมกับตรวจรักษาผ่าน Zoom วิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ paired <em>t</em> test และประเมินประสิทธิผลใช้สถิติ one sample <em>t </em>test ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ขาดการส่งต่อข้อมูล ผู้ป่วยควบคุมน้ำตาลและความดันไม่ได้ เมื่อพัฒนารูปแบบการดูแล พบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีค่าเฉลี่ย FBS ลดลงจาก 197.70 เป็น 156.60 mg/dl ค่าเฉลี่ย HbA1C ลดลงจาก 9.03 เป็น 7.30 % ลดจากก่อนพัฒนา ระดับซิสโทลิกเฉลี่ยลดลงจาก 143.22 เป็น 135.62 mmHg ค่าเฉลี่ยความดันไดแอสโทลิก เฉลี่ยลดลงจาก 87.45 เป็น 77.18 mmHg ลดจากก่อนพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<em>p</em>-value &lt; 0.001) และความพึงพอใจต่อระบบบริการอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.62, SD = 0.48) ดังนั้นรูปแบบการพัฒนานี้สามารถลดระดับน้ำตาลและความดันโลหิตสูงได้เข้าถึงบริการสะดวก ผู้ป่วยพึงพอใจมาก</p> อรภัทร วิริยอุดมศิริ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269421 Fri, 21 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสื่อสารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268250 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross - Sectional Descriptive Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสื่อสารที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น โดยเก็บข้อมูล 171 คน จากประชากรทั้งหมด 248 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดตคล้องมากกว่า 0.50 และวิเคราะห์หาความเที่ยงโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช ได้เท่ากับ 0.97 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 25 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมของระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จ ระดับการสื่อสาร และระดับการปฏิบัติงานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.23 (S.D.=0.49), 4.14 (S.D.=0.45) และ 4.15 (S.D.=0.45) ตามลำดับ โดยพบว่าภาพรวมปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสื่อสารมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.688, p-value&lt;0.001) และ (r=0.585, p-value&lt;0.001) ตามลำดับ และตัวแปร 3 ตัวประกอบด้วย ปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลและภาพลักษณ์ของสถานบริการ การสื่อสารด้านการบริหารจัดการข้อมูล และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือมีผลและสามารถร่วมพยากรณ์ การปฏิบัติงานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 54.7 (R<sup>2</sup>=0.547, p-value&lt;0.001)</p> ศิริลักษณ์ สีสมบัติ; สุรชัย พิมหา Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/268250 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้เพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269580 <p> การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความรอบรู้เพศวิถีศึกษาของนักเรียน 2) ระดับทักษะชีวิตของนักเรียน และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน โรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 392 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลเดือนกันยายน 2566 ด้วยแบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ความรอบรู้เพศวิถีศึกษา 3) ทักษะชีวิต 4) พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น ส่วนที่ 2)=0.95 3)=0.96 4)=0.96 และมีค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.80-1.00 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยโลจิสติก ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรอบรู้เพศวิถีศึกษาของนักเรียนภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้ (x̄ =2.80±0.41) ระดับทักษะชีวิตของนักเรียนภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ =3.53±0.57) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) ได้แก่ การพักอาศัย ความเพียงพอของค่าใช้จ่าย ความรอบรู้เพศวิถีศึกษาด้านการเข้าถึง ด้านการตัดสินใจ ด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้านการบอกต่อ ทักษะชีวิตด้านการเข้าใจผู้อื่น ด้านการจัดการกับความเครียด โรงเรียนและหน่วยงานด้านการสาธารณสุข ควรเร่งส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเพศวิถีศึกษา และการพัฒนาทักษะชีวิต ตั้งแต่เด็กก่อนเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อให้วัยรุ่นมีความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษา และมีทักษะชีวิต ที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมทางเพศที่ถูกต้องเหมาะสม และสามารถจัดการรับมือกับปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธนปนันท์ อัครวีรวัฒน์, ทัศพร ชูศักดิ์, พรรณี บัญชรหัตถกิจ, สุทิน ชนะบุญ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269580 Sat, 22 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาการบริหารกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว เพื่อกำหนดนโยบายการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ ในระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุข https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269417 <p> การศึกษานี้ ใช้วิธีวิจัยแบบผสมคู่ขนาน (parallel mixed methods) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ในระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา คือ คนต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว และใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ผลการศึกษา ประชากรต่างด้าวที่มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 541,905 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามอายุมากกว่า 7 ปี ร้อยละ 92.39 ผู้ติดตามแรงงานอายุไม่เกิน 7 ปี ร้อยละ 6.43 และคนต่างด้าว ร้อยละ 1.18 ประชากรต่างด้าวมีบัตรประกันสุขภาพ กระจายตามสัญชาติ เมียนมา ร้อยละ 64.31 กัมพูชา ร้อยละ 25.44 ลาว ร้อยละ 9.76 อย่างไรก็ตาม จำนวนคนต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และลดลงในปีงบประมาณพ.ศ. 2566 การเข้ารับบริการของผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว พบว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ป่วยต่างด้าวมารับบริการทั้งหมด กรณีผู้ป่วยใน จำนวน 15,463 คน คิดเป็นร้อยละ 2.85 ของคนต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพ กรณีผู้ป่วยนอก จำนวน 7,620 คน คิดเป็นร้อยละ 1.41 ของคนต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพ โดยสัญชาติเมียนมาเข้ารับบริการมากที่สุด ทั้งนี้ จำนวนคนต่างด้าวที่มารับบริการทั้งหมดลดลงในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการใช้บริการของประชากรต่างด้าว รายการที่มีการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ กรณีค่าใช้จ่ายสูง กรณีผู้ป่วยใน มากที่สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ 2566 คือ รายการผู้ป่วยในที่มีน้ำหนัก RW &gt;=4 (ร้อยละ 63.59 และ 60.92 ตามลำดับ) สำหรับกรณีผู้ป่วยนอกรายการที่มีการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ กรณีค่าใช้จ่ายสูงจากกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าวมากที่สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ 2565 ได้แก่ รายการยาต้านไวรัสเอดส์ (ยา ARV) (ร้อยละ 67.18 และ 58.75 ตามลำดับ)</p> ณัฐนันท์ สุตะวงศ์, ธมลพรรห์ จินต์พงค์ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269417 Fri, 21 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่ ในช่องท้องโป่งพองที่ได้รับการผ่าตัดด้วยวิธีการสอดใส่หลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟต์ผ่านทางสายสวน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269599 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลลัพธ์แนวปฏิบัติการพยาบาล (CNPG) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพอง(AAA) ที่ได้รับการผ่าตัดด้วยวิธีการสอดใส่หลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟต์ผ่านทางสายสวน (EVAR) ดำเนินการ 2 ระยะ ได้แก่ 1) พัฒนา CNPG โดยใช้ Soukup model 2) ศึกษาผลการใช้ CNPG กลุ่มตัวอย่าง 1) พยาบาลวิชาชีพ 35 คน และ 2) ผู้ป่วย AAA ผ่าตัด EVAR 25 คน ศึกษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น ช่วง 15 ก.ย. 2566 ถึง 31 พ.ค. 2567 เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) CNPG 2) แบบประเมินผลลัพธ์การพยาบาล 3) แบบประเมินความมีวินัยการปฏิบัติตาม CNPG 4) แบบสอบถามความพึงพอใจพยาบาล และ 5) แบบประเมินความพึงพอใจผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัย 1) CNPG ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมของหอผู้ป่วยหนักในการรับผู้ป่วย การพยาบาลระยะวิกฤตหลังผ่าตัด การพยาบาลเพื่อวางแผนจำหน่ายจากหอผู้ป่วยระยะวิกฤต การพยาบาลเพื่อฟื้นฟูสภาพในระยะวิกฤตหลังผ่าตัด 2) นวัตกรรมรับส่งข้อมูลผู้ป่วย และ EWS AAA KKH และ 3) ผลการใช้ CNPG พบว่า พยาบาลพึงพอใจต่อCNPG ระดับมากที่สุด (M=90.40, SD=11.60) ผู้ป่วยพึงพอใจต่อบริการพยาบาลระดับมากที่สุด (M=4.60, SD=0.70) พยาบาลมีวินัยในการปฏิบัติตาม CNPG ร้อยละ 98.32 กลุ่มใช้ CNPG พบอุบัติการณ์การเตรียมรับผู้ป่วยไม่พร้อม ภาวะแทรกซ้อนการดักจับและรายงานแพทย์ล่าช้า คะแนนความปวดมากกว่า 4 ใน 24 ชม.หลังผ่าตัด และการกลับเข้ารักษาซ้ำใน ICU ภายใน 72 ชม. น้อยกว่ากลุ่มไม่ใช้ CNPG และถอดท่อช่วยหายใจสำเร็จ ใน 48 ชม.แรกหลังผ่าตัดสำเร็จสูงกว่ากลุ่มไม่ใช้ CNPG ควรนำแนวปฏิบัติฯ นี้ไปใช้ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี</p> อัจฉราวรรณ นาเมืองจันทร์, วาสนา รวยสูงเนิน, ศศิอมราช์ ส่งเสริมธเนศ, นงลักษณ์ ชัยเสนา, สุภาพรณ์ ตัณฑ์สุระ, ณัฐปภัสร์ โคตรหลักคำ, วินิจตรา อัตชู, ชัยวัฒน์ ไชยกาศ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269599 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินของผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินและฉุกเฉินเร่งด่วนที่มารับบริการที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269508 <p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional AnalyticalResearch)เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการใช้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน(Resuscitative)และฉุกเฉินเร่งด่วน(Emergency) ที่มารับบริการที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชุมแพจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินและฉุกเฉินเร่งด่วน จำนวน 300 ราย ที่เข้ารับบริการที่ห้องฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562ถึง มกราคม 2563 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลใช้สถิติพรรณนา โดยนำมาแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานข้อมูลแบบสอบถามปัจจัยมีผลต่อการใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินและผู้ป่วยฉุกเฉินนำมาแจกแจงความถี่ ตามระดับความคิดเห็นและหาค่าร้อยละ รวมทั้งวิเคราะห์เป็นค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานพร้อมทั้งแปรผลของความคิดเห็น วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลตัวแปรใช้ สถิติวิเคราะห์ ใช้สหสัมพันธ์อย่างง่าย (Pearson’s correlation) และสมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติ คุณภาพระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินและแรงสนับสนุนทางสังคมมีผลต่อการเลือกใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value&lt;.01)และสามารถอธิบายความแปรปรวนการเลือกใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉินได้ร้อยละ 55.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R2=0.55, F=40.04, P&lt;.01) ผลการศึกษาจึงควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ของการใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉินมากขึ้น การให้ความรู้ประชาชนทราบถึงอาการฉุกเฉินที่ถูกต้อง ตลอดจนพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้มีคุณภาพเพื่อผู้รับบริการสามารถเรียกใช้บริการได้รวดเร็วและปลอดภัย</p> สิทธิพงษ์ ศิริประทุม, ชญานิศ ศรีรักษา, นรินทร์ทิพย์ พรมภักดี Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jkkpho/article/view/269508 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700