วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat
<p>วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ ผลการวิจัย ทางด้านการพัฒนาสุขภาพ อันเป็นกลไกให้ประชาชน มีสุขภาวะที่ดีและมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมเป็นแหล่งให้บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงประชาชนทั่วไป เปิดรับบทความวิจัยต้นฉบับ และบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับด้านการแพทย์สาขาเวชกรรมป้องกัน การสาธารณสุข การพยาบาล การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยบทความทุกเรื่องผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง (double blinded) อย่างน้อยจำนวน 3 ท่าน</p>
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ
2822-0927
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกสูงอายุ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/271520
<p><em>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพการนอนหลับและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกสูงอายุ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามและแบบวัดคุณภาพการนอนหลับ </em><em> (The Pittsburgh Sleep Quality Index: PSQI) ในผู้สูงอายุจำนวน 223 คน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปและปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์ของปัจจัยกับคุณภาพการนอนหลับด้วยโมเดลเชิงเส้นโดยนัยทั่วไป (generalized Linear Model) ทำการศึกษาระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์-31 มีนาคม 2566 </em></p> <p><em>ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการศึกษามีอายุเฉลี่ย 72 (SD.=8.0) ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 65 ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวร้อยละ 98.2 คะแนนคุณภาพการนอนหลับเฉลี่ย 12 (SD.=2.33) คะแนน ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี และพบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับคะแนนคุณภาพการนอนหลับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การลุกขึ้นมาขับถ่ายปัสสาวะกลางดึกของผู้สูงอายุ โดยพบว่าผู้สูงอายุที่ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกมีคะแนนคุณภาพการนอนหลับ 12.3 คะแนน (SD.=1.95) คะแนน ซึ่งมากกว่าผู้สูงอายุกลุ่มที่ไม่มีปัญหาดังกล่าว 0.97 คะแนน (95% CI:0.36, 1.59, p=0.002) </em></p>
พัชราวรรณ ณรงค์สระน้อย
สุรัตน์ คร่ำสุข
วิภา งามสุทธิกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
5
19
-
การติดตามและประเมินผลสมรรถนะทางการพยาบาลของพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป ในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ที่สำเร็จการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น)
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/271812
<p><em>การวิจัยเชิงบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสมรรถนะของพยาบาลเวชปฏิบัติที่สำเร็จการอบรมระยะสั้น 4 เดือน หลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น) จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สำเร็จ การอบรมและปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รุ่นที่ 11 ถึงรุ่นที่ 14 จำนวน </em><em>202 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินสมรรถนะของพยาบาลทางเฉพาะทาง สาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น) ซึ่งเป็นมาตราประมาณค่า 4 ระดับ มี 8 สมรรถนะ จำนวน 50 ข้อ ผ่านการประเมินความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ผู้เข้าอบรมมีสมรรถนะ </em><em>8 ด้าน เรียงตามลำดับดังนี้ สมรรถนะที่ 3 คุณลักษณะเชิงวิชาชีพ (M = 3.72, SD = 0.45) สมรรถนะที่ 1 ด้านจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และกฎหมาย (M = 3.70, SD = 0.45) สมรรถนะที่ 6 ด้านการสื่อสารและสัมพันธภาพ (M = 3.67, SD =0.52) สมรรถนะที่ 4 ด้านภาวะผู้นำ การจัดการ และการพัฒนาคุณภาพ (M =3.66 S.D.=0.53) สมรรถนะที่ 8 ด้านสมรรถนะด้านสังคม (M = 3.64, SD = 0.49) และสมรรถนะที่ 7 ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ (M =3.54, SD = 0.55) ส่วนสมรรถนะที่ 5 ด้านวิชาการและการวิจัย (M = 3.49, SD = 0.60) และสมรรถนะที่ 2 ด้านการปฏิบัติการพยาบาล (M = 3.48, SD = 0.60) การปรับปรุงหลักสูตรการอบรมจึงควรเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะด้านการปฏิบัติการพยาบาลและด้านวิชาการและการวิจัย ควรมีการติดตามและประเมินสมรรถนะของผู้สำเร็จการอบรมเป็นระยะ เพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับสมรรถนะในแต่ละด้านอย่างลึกซึ้ง</em></p>
หฤทัย กงมหา
จงกลณี ตุ้ยเจริญ
ประทุ่ม กงมหา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
20
34
-
การประเมินความพร้อมในการทำงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ จากการตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/271888
<p><em>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาเพื่อศึกษาสัดส่วนของพนักงานที่มีสุขภาพเหมาะสมต่อการทำงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ ที่เข้ารับการตรวจประเมินความพร้อมสำหรับทำงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลระดับ ตติยภูมิแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ประชากรศึกษาได้แก่ พนักงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่เข้ารับการประเมินความพร้อมในการทำงาน ณ คลินิกอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ในช่วงปีงบประมาณ 2566 (1 ตุลาคม 2565 - 30 กันยายน 2566) จำนวน </em><em>86 ราย นำมาศึกษาทั้งหมด โดยอาศัยข้อมูลจากแฟ้มประวัติ เครื่องมือ ได้แก่ แบบเก็บข้อมูล ซึ่งเก็บข้อมูลทั่วไปและผลการตรวจประเมินความพร้อม นำเสนอด้วยความถี่และร้อยละ ผลการศึกษา พบว่า จากผู้ขับขี่ที่ได้รับการประเมินจำนวน 86 ราย พบว่าร้อยละ 98.8 ของพนักงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์มีสุขภาพที่เหมาะสมต่อ การทำงาน ขณะที่มีเพียงร้อยละ 1.2 ที่ไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงระดับ 3 อย่างไรก็ตาม พบภาวะสุขภาพที่ผิดปกติในพนักงานขับขี่ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน การได้ยินผิดปกติ และการมองเห็นผิดปกติ ซึ่งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน FMCSA (Federal Motor Carrier Safety Administration) ของสหรัฐอเมริกา และ DVLA (Driver and Vehicle Licensing Agency) ของสหราชอาณาจักร จึงสามารถทำงานได้ ข้อมูลจากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพอย่างครอบคลุมและการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินสุขภาพเพื่อเพิ่มความปลอดภัยทั้งในสถานที่ทำงานและบนท้องถนน</em></p>
รังสิมันตุ์ จุนถิระพงศ์
กันต์กมล ภัสสรานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
35
48
-
ประสิทธิผลของโรงเรียนหวานน้อยวิทยาในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกชุมชนอบอุ่นมหาชัย จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/272107
<p><em>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนทดลองและหลังการทดลอง (</em><em>Two-group pretest-posttest design) เพื่อประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนหวานน้อยวิทยาในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกชุมชนอบอุ่นมหาชัย จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มป่วยด้วยโรคเบาหวาน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 32 คน ได้รับโปรแกรมสุขศึกษาซึ่งประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคและกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 32 คน ไม่ได้รับโปรแกรมใด ๆ ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบสอบถาม ประกอบด้วย คุณลักษณะทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน การรับรู้ความคาดหวังในสามารถของตนเองในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน การปฏิบัติตัวในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และแบบบันทึกการตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด และค่าต่ำสุด วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนของผลลัพธ์ด้วยสถิติ Paired t-test และ ANCOVA โดยควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อน ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานก่อนทดลอง อายุ ระดับการศึกษา</em></p> <p><em>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของผลลัพธ์ในด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากการเกิดโรคเบาหวาน ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ความคาดหวังในความสามารถของตนเองในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และการปฏิบัติตัวในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ลดลงกว่าก่อน การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน (p-value<0.001) การศึกษาครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานครั้งนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดความกลัวต่อภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานมีประสิทธิผลในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพได้เป็นอย่างดี</em></p>
วิษณุ ปิ่นคำ
หาญชัย พันธุ์งาม
ยรรยง ผลพอตน
อมร โรจนวราพงษ์
สุนารี ยอดวงษา
กิตติยา คงทวีเลิศ
ภัทราภรณ์ ยื่นกระโทก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
49
68
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กอายุ 2 เดือน ถึง 5 ปี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/272563
<p><em>ปัจจุบันพบปัญหาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กจำนวนมาก ผู้วิจัยจึงศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กอายุ 2 เดือน ถึง 5 ปี เพื่อจะลดปัญหาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็ก การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยและเชื้อก่อโรคที่สัมพันธ์กับโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และศึกษาความไวของเชื้อก่อโรคต่อยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยเด็กอายุ 2 เดือน ถึง 5 ปี เป็นการศึกษาเวชระเบียนข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยในเด็กอายุ 2 เดือน ถึง 5 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึง 30 มิถุนายน 2565 ณ แผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จำนวน 77 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และสถิติอนุมาน ได้แก่ </em><em>Chi-square test, Fisher’s exact test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 </em></p> <p><em>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้แก่ อาการบ่งชี้ถึงโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีไข้ตั้งแต่ก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อุณหภูมิสูงสุดขณะนอนโรงพยาบาล และการตรวจพบปริมาณเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ ในขณะที่เชื้อ </em><em>E.coli ยังเป็นเชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุดในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กมีความไวของเชื้อต่อยา Aminoglycoside สูงที่สุด</em></p>
กาญจน์ณภัทร แอบอิง
รัชฎาภรณ์ รัตนะ
อดิศักดิ์ แลสันกลาง
พรศิริ สุธาเบญจาประดิษฐ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
69
82
-
ความรู้และพฤติกรรมการใช้น้ำมันทอดซ้ำในอาหารแปรรูปประเภทลูกชิ้นทอดของผู้ประกอบการขายอาหารริมบาทวิถีโรงเรียน ในเขตอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/273406
<p> <em>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (</em><em>1) </em><em>ความรู้และพฤติกรรมการใช้</em><em>น้ำมันทอดซ้ำ และ (</em><em>2) </em><em>ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรู้และพฤติกรรมการใช้</em><em>น้ำมันทอด</em><em>ซ้ำ</em><em>ในอาหารแปรรูป</em><em>ประเภทลูกชิ้นทอด</em><em>ของผู้ประกอบ การ</em><em>ขายอาหารริมบาทวิถีโรงเรียน</em> <em>กลุ่มตัวอย่างเป็น</em><em>ผู้ประกอบการจำหน่ายอาหารทอดแปรรูปประเภทลูกชิ้นทอดบริเวณริมบาทวิถีโรงเรียน ในเขตอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำนวน </em><em>45 ราย โดย การเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และพฤติกรรมการใช้</em><em>น้ำมันทอด</em><em>ซ้ำของผู้ประกอบ การด้วยการทดสอบไคสแควร์ กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ </em><em>.05 </em></p> <p><em>ผลการวิจัยพบว่า (</em><em>1) </em><em>ผู้ประกอบการขายอาหาร</em><em>แปรรูป</em><em>ประเภทลูกชิ้นทอดริมบาทวิถีโรงเรียนในเขตอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ส่วนใหญ่มีความรู้ระดับสูง ทั้ง </em><em>4 ด้าน ได้แก่ ด้านลักษณะของน้ำมันทอด ด้านอันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำ ด้านกฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับน้ำมันทอดซ้ำ และด้านการจัดการน้ำมันทอดซ้ำ (2) ระดับความรู้เกี่ยวกับการใช้</em><em>น้ำมันทอด</em><em>ซ้ำทุกด้านมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้</em><em>น้ำมันทอด</em><em>ซ้ำของผู้ประกอบการขายอาหารแปรรูปประเภทลูกชิ้นทอดริมบาทวิถีโรงเรียน</em><em> ในเขตอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่า</em><em>ไคสแควร์ </em><em>( </em><em>χ</em><em>²</em><em> ) อยู่ระหว่าง</em> <em>40.39 - 43.62 ค่า p-value เท่ากับ 0.000</em></p>
อรอุมา ปราชญ์ปรีชา
พจนีย์ พุฒนา
ทศพล ปราชญ์ปรีชา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
83
99
-
ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับความเข้มแข็งทางใจของสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/273496
<p><em>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์เพื่อศึกษาความเข้มแข็งทางใจ และความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับความเข้มแข็งทางใจของสามเณร กลุ่มตัวอย่างเป็นสามเณรจำนวน </em><em>121 รูป โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา สังกัดสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ และแบบวัดความเครียด ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .82 และ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบ สเปียร์แมน และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเข้มแข็งทางใจอยู่ในระดับปกติ (ร้อยละ </em><em>71.07) ความเครียดมีความสัมพันธ์ทางลบกับความเข้มแข็งทางใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = -.531, p= .001) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อายุ ระดับการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ ระดับการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และระยะเวลาบรรพชา มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเข้มแข็งทางใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .224, p = .015; r<sub>s </sub>= .264, p = .003; r<sub>s</sub> = .234, p = .010; r<sub>s</sub> = .357, p = .000; r<sub>s</sub> = .247, p = .006 ตามลำดับ) ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความเข้มแข็งทางใจ เพื่อลดการเกิดความเครียดในประชากรกลุ่มนี้ต่อไป</em></p>
ภรณ์ทิพย์ ผลกระโทก
สุหทัย โตสังวาล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
100
117
-
การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวและการบริการสุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปราจีนบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/274403
<p><em>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวและการบริการ</em><em>สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และประเมินผล</em><em>การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวและการบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปราจีนบุรี ทำการศึกษาในช่วงเดือนธันวาคม 2566 - ธันวาคม 2567 กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย บุคลากรเครือข่ายดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 165 คน ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 145 คนและผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 145 คน โดยใช้</em><em>แบบบันทึกการสนทนากลุ่มและ</em><em>แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย</em><em>สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ</em><em>สถิติเชิงอนุมาน</em><em> </em><em>ได้แก่ </em><em>Wilcoxon signed ranks test และ paired t-test</em></p> <p><em>ผลการศึกษา</em><em> พบว่า</em> <em>การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงด้วยวงจร </em><em>PDCA 5 มาตรการ ได้แก่ (1) กำหนดบทบาทเครือข่าย <br />(2) พัฒนาศักยภาพบุคลากร</em><em> (</em><em>3) พัฒนาระบบการจัดการงบบริการ (4) พัฒนา</em><em>บริการสุขภาพ และ(5) พัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุ ภายหลังพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวและการบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ พบว่า บุคลากรเครือข่ายดูแลผู้สูงอายุมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการจัดบริการสุขภาพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</em><em>p </em><em>=</em><em>0.007)</em><em> มีการคัดกรองภาวะสุขภาพและการดูแลรักษาผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</em><em>p </em><em>=</em><em>0.025) </em><em>สำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทาง</em><em>สถิติ (</em><em>p< 0.001) </em><em>ผลการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง พบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีภาวะ</em><em>สุขภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ </em><em>< 0.05 ได้แก่ ดัชนีมวลกาย, อัตราการหายใจ,</em> <em>อัตราการเต้นของหัวใจ</em><em>, ความดันโลหิต</em> <em>และระดับน้ำตาลในเลือด คุณภาพชีวิตด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุโดยรวมดีขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มที่ 1 จากร้อยละ 64.1 เป็นร้อยละ 74.5 รองลงมาคือ กลุ่มที่ 2 จากร้อยละ 23.5 เป็นร้อยละ 17.2 และน้อยที่สุดคือ ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 3 จากร้อยละ 12.4 เป็นร้อยละ 8.3 ตามลำดับ</em> <em>ข้อเสนอแนะ</em><em>ควรส่งเสริมให้มีการจัดอบรมพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพของบุคลากร</em><em>เครือข่ายดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง รวมถึง</em><em>ผู้ดูแลผู้สูงอายุ</em><em>ที่มีภาวะพึ่งพิง</em></p>
ทนงค์ ดวงมุกพะเนาว์
ชวลิต ศรีสมพจน์
รัศมิ์ชญาณ์ จิระพงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
118
132
-
กลยุทธ์เชิงบูรณาการในการขับเคลื่อนโครงการ “ครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี” ของเขตสุขภาพที่ 9 นครชัยบุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/274492
<p><em>การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การพัฒนากลยุทธ์ เชิงบูรณาการ การประเมินกลยุทธ์เชิงบูรณาการในการขับเคลื่อนโครงการครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดีของเขตสุขภาพที่ </em><em>9 นครชัยบุรินทร์ โดยกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารฯที่เกี่ยวข้อง จำนวน 24 คน ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 24 คน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จำนวน 16 คน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้หลักการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจุบัน ผู้บริหารทุกระดับ มีประสบการณ์ในการดำเนินงานในระดับดี มุ่งเน้นนโยบายการดูแลประชาชนตามกลุ่มวัยที่ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ในด้านสุขภาพ สังคม ความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การส่งเสริมอาชีพ และ การพัฒนาครอบครัว โดยพบปัจจัยที่สำคัญ เช่น การบริหารจัดการ การจัดทำแผนปฏิบัติการ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่าย เป็นต้น สามารถพัฒนากลยุทธ์เชิงบูรณาการฯ ประกอบด้วย </em><em>1 วิสัยทัศน์ 3</em> <em>พันธกิจ </em><em>1 เป้าหมาย 8 กลยุทธ์ 16 มาตรการ 13 ตัวชี้วัด โดย 8 กลยุทธ์ ได้แก่ (1) เร่งรัดขับเคลื่อน การพัฒนากิจกรรม นวัตกรรม ครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี</em> <em>แบบบูรณาการ (</em><em>2) เสริมสร้างกลไก การขับเคลื่อนครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี (3) พัฒนาระบบข้อมูลด้วยเทคโนโลยี โปรแกรม &แอปพลิเคชัน ครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี ที่เข้าถึงได้</em> <em>(</em><em>4) พัฒนาระบบงบประมาณแบบบูรณาการ</em><em> (</em><em>5) พัฒนาพื้นที่ต้นแบบ ครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี (6) พัฒนาระบบการสื่อสารประชาสัมพันธ์และการตอบโต้ข่าว (7) พัฒนาระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ (8) พัฒนาปรับปรุงระบบควบคุมกำกับประเมินผลแบบบูรณาการ ผลการประเมินกลยุทธ์เชิงบูรณาการฯ พบว่า ความถูกต้องอยู่ในระดับมาก (</em><em>= </em><em>4</em><em>.</em><em>25, S</em><em>.</em><em>D</em><em>= </em><em>0</em><em>.</em><em>54) ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (</em><em>= </em><em>4</em><em>.</em><em>20, S</em><em>.</em><em>D</em><em>= </em><em>0</em><em>.</em><em>54) ความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก (</em><em>= </em><em>4</em><em>.</em><em>41, S</em><em>.</em><em>D</em><em>= </em><em>0</em><em>.</em><em>60) การประเมินผลสำเร็จตามตัวชี้วัดที่สามารถเก็บได้จากระบบรายงานปกติ จำนวน 8 เรื่อง มีผลงานเพิ่มขึ้นในทุกตัวชี้วัด ข้อเสนอแนะ ควรนำกลยุทธ์เชิงบูรณาการฯ ไปกำหนดเป็นนโยบายหรือมาตรการในการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนโครงการ ครอบครัวมั่นคง สังคมสุขภาพดี ของประเทศไทยต่อไป </em></p>
อัจฉรา วิไลสกุลยง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
133
151
-
การแปลและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือประเมินอาการสำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งศีรษะ และลำคอ©ที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/274860
<p><em>ผู้ที่เป็นมะเร็งศีรษะและลำคอที่ได้รับการฉายรังสีอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ การประเมินอาการเหล่านี้ได้ถูกต้องและครอบคลุม</em> <em> เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปล</em> <em>The Head and Neck Symptom Checklist<sup>©</sup> และตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือฉบับแปลภาษาไทย ด้านความตรงเชิงเนื้อหาและความเที่ยง การวิจัยแบ่งเป็น ระยะที่ 1 การแปลเครื่องมือซึ่งมี 2 ด้านคือ ความถี่ จำนวน 18 ข้อ และการรบกวน จำนวน 18 ข้อ คำตอบเป็นมาตรวัดแบบประมาณค่า 5 ระดับ คือ ไม่มี (1 คะแนน) ถึง มาก (5 คะแนน) ใช้เทคนิคการแปลแบบย้อนกลับ โดยผู้แปลอาชีพจากสถาบันภาษา ในมหาวิทยาลัย 2 แห่ง ที่แปลอิสระจากกัน และระยะที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่แปลฉบับภาษาไทย ด้านความตรงเชิงเนื้อหาด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน และด้านความเที่ยงในกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่เป็นมะเร็งศีรษะและลำคอที่ได้รับการฉายรังสี ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และได้รับการฉายรังสีตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป จำนวน 30 คน ที่มารับ การรักษา ณ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในเดือนธันวาคม 2567 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Cronbach's alpha </em></p> <p><em>ผลการศึกษา พบว่า การแปลเครื่องมือประเมินอาการสำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งศีรษะและลำคอที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีมีความหมายทัดเทียมกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ในเกณฑ์ดี (</em><em>Content validity index </em><em>= </em><em>0.88) กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 73.3 อายุเฉลี่ย 58.3 (</em><em>SD </em><em>= </em><em>14) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 70.0 และเป็นมะเร็งที่ช่องปาก ร้อยละ 43.3 ความเที่ยงของเครื่องมือประเมินด้านความถี่ของอาการอยู่ในระดับต่ำ (</em><em>Cronbach's alpha </em><em>= </em><em>0.59) ในขณะที่ด้านการรบกวนจากอาการ อยู่ในระดับพอยอมรับได้ (</em><em>Cronbach's alpha </em><em>= </em><em>0.66) โดยสรุป เครื่องมือประเมินอาการดังกล่าวมีคุณภาพในด้านความตรงเชิงเนื้อหา และมีความเที่ยงด้านการรบกวนจากอาการ อย่างไรก็ตาม ความเที่ยงด้านความถี่ของอาการควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลายมากขึ้น</em></p>
จตุพร เลิศอนันต์สิทธิ์
ศิรินภา จิตติมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
152
165
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระบบธรรมาภิบาลกระทรวงสาธารณสุข : กรณีศึกษาระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/275289
<p><em>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระบบธรรมาภิบาลของกระทรวงสาธารณสุข ในมิติของระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน และธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อระบุปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดของระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในที่ส่งผลต่อธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน </em><em>242 คน ซึ่งคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 และสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สำหรับแบบสอบถาม และสุ่มแบบเจาะจง สำหรับการสัมภาษณ์และการอภิปรายกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความคิดเห็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระบบธรรมาภิบาลกระทรวงสาธารณสุข : กรณีศึกษา ระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน แบบสัมภาษณ์ และแบบเก็บข้อมูลจากการอภิปรายกลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระบบธรรมาภิบาลของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งด้านระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในในระดับมาก (2) ระบบธรรมาภิบาลกับระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน โดยภาพรวมมีค่าความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ส่งผลต่อธรรมาภิบาล ได้แก่ การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ข้อจำกัดด้านจำนวนและศักยภาพของบุคลากร กระบวนการที่ขาดความโปร่งใสบางขั้นตอน การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยังมีน้อย การประเมินความเสี่ยงยังไม่เป็นระบบและต่อเนื่อง และวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลและการรายงานปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลที่ยั่งยืนในกระทรวงสาธารณสุข</em></p>
วรกมล อยู่นาค
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
166
186
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการคงอยู่ของทันตแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในประเทศไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/273753
<p><em>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการคงอยู่และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการคงอยู่ในองค์การของทันตแพทย์ที่ปฏิบัติงานประจำในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นทันตแพทย์</em><em> ที่ปฏิบัติงานประจำในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั้งหมด 76 จังหวัด จำนวน 217 คน โดยใช้แบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างตอบด้วยตนเอง ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน วิเคราะห์ความเที่ยงโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค มีค่าเท่ากับ 0.902 จัดทำเป็นแบบสอบถามออนไลน์ในรูปแบบ Google form เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 7-23 มิถุนายน พ.ศ. 2565 โดยคัดเลือกวิเคราะห์แบบสอบถามเฉพาะผู้ที่มีระยะเวลาปฏิบัติงานอย่างน้อย 1 ปีเต็มขึ้นไปจำนวน 163 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน </em></p> <p><em>ผลการศึกษาพบว่า (</em><em>1) ความพึงพอใจในงานด้านปัจจัยกระตุ้นจูงใจและปัจจัยค้ำจุน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (</em><em>𝑥̅</em><em>= </em><em>3.85, S.D.= .51 และ </em><em>𝑥̅</em><em>= </em><em>3.82, S.D.= .59 ตามลำดับ) (2) ความผูกพันต่อองค์การในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (</em><em>𝑥̅</em><em>= </em><em>3.25, S.D.= .46) (3) การคงอยู่ในองค์การในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (</em><em>𝑥̅</em><em>= </em><em>3.35, S.D.= .44) และ (4) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับ การคงอยู่ในองค์การได้แก่ ความพึงพอใจในงานทั้งปัจจัยกระตุ้นจูงใจ และปัจจัยค้ำจุน ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = .649 และ .647 ตามลำดับ) ส่วนความผูกพันต่อองค์การมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับการคงอยู่ในองค์การของทันตแพทย์ที่ปฏิบัติงานประจำในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = .809)</em></p>
สุเมธ กาญจน์กระสังข์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
187
201
-
ผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมกิจกรรมทางกายโดยใช้แนวคิดการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เชิงระบบแบบ 4PC ที่มีต่อความรอบรู้ทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/274429
<p><em>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์</em><em>เพื่อ (</em><em>1) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรอบรู้ทางกายก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ(2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรอบรู้ทางกาย หลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม</em> <em>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ </em><em>4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนระดับประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน และกลุ่มควบคุม 20 คน วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) เตรียมการทดลอง (2) </em><em>ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล (</em><em>3) วิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมกิจกรรมทางกาย</em><em>โดยใช้แนวคิดการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบแบบ </em><em>4PC</em><em> และ แบบประเมินความรอบรู้ทางกายสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 </em><em>ดำเนินการจัดโปรแกรมการส่งเสริมกิจกรรมทางกายฯ ให้กับนักเรียนกลุ่มทดลองเป็นเวลา </em><em>8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง</em><em> วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย (</em> <em>) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (</em><em>SD) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบค่าที (t-test)</em></p> <p><strong><em> </em></strong><em>ผลการศึกษา พบว่า (</em><em>1) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ทางกายของกลุ่มทดลองหลังการทดลอง มีคะแนนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) มีผลต่างของค่าเฉลี่ย (Mean Difference) เท่ากับ 1.98 (95% CI = 1.25-2.71) และคะแนนความรอบรู้ทางกายของกลุ่มควบคุมหลังการทดลองไม่แตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) มีผลต่างของค่าเฉลี่ย (Mean Difference) เท่ากับ 0.46 (95% CI = 0.12-1.04) (2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรอบรู้ทางกายหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ทางกายหลังการทดลองมีคะแนนแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) มีผลต่างของค่าเฉลี่ย (Mean Difference) เท่ากับ 1.48 (95% CI = 0.82-2.14)</em></p>
พงศธร ไพจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
202
215
-
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดนครราชสีมา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/275981
<p><em>การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์สถานการณ์ และความพร้อมในการดำเนินงาน 30 บาท รักษาทุกที่ (2) พัฒนารูปแบบการดำเนินงานการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว (3) ประเมินผลรูปแบบการดำเนินงาน การขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 25 คน ผู้ปฏิบัติงานระดับจังหวัด จำนวน 26 คน ผู้ปฏิบัติงานระดับอำเภอ จำนวน 32 คนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน 413 คน และผู้รับบริการ จำนวน 600 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการจำแนก แยกแยะ จัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นข้อค้นพบ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เพื่อหาจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า (1) นโยบาย </em><em>30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เป็นนโยบายที่ได้ให้ความสำคัญในการลดความแออัดการเข้ารับบริการของประชาชน ความพร้อมในด้านกำลังคน มีความพร้อมในการดำเนินงาน ด้านทรัพยากร อุปกรณ์ไม่เพียงพอในการดำเนินงาน ด้านงบประมาณได้รับ การสนับสนุนจากหน่วยบริการสาธารณสุขระดับพื้นที่ และด้านการจัดการ รูปแบบการดำเนินงานยังไม่ชัดเจน ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหา เช่น บุคลากรยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ การแก้ไขปัญหา หน่วยบริการสาธารณสุขจัดอบรมเพิ่มความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ให้กับบุคลากรในสังกัด เป็นต้น (2) ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบ การดำเนินงานการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดนครราชสีมาร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิด KORAT </em><em>5</em><em>G Model </em><em>ประกอบด้วย</em> <em>(2.1) </em><em>good access </em><em>(2.2) </em><em>good data </em><em>(2.3) </em><em>good service </em><em>(2.4) </em><em>good governance </em><em>(2.5) </em><em>good collaboration (3) ผลจากการดำเนินงาน โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ที่ระดับมาก (<strong>=</strong>4.11, S.D. =.62) และความต้องการโดยภาพรวมอยู่ที่ระดับมากที่สุด (<strong>=</strong>4.25, S.D. =.62) รูปแบบการดำเนินงานฯ ที่พัฒนาขึ้น สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้จริง ทำให้การทำงานมีความรวดเร็วมากขึ้น ข้อเสนอแนะ ควรพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ที่เข้าใจง่าย และควรมีการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างสม่ำเสมอ</em></p>
จตุรงค์ ปานใหม่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-08
2025-07-08
11 1
216
236