วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat <p>วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ ผลการวิจัย ทางด้านการพัฒนาสุขภาพ อันเป็นกลไกให้ประชาชน มีสุขภาวะที่ดีและมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมเป็นแหล่งให้บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงประชาชนทั่วไป เปิดรับบทความวิจัยต้นฉบับ และบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับด้านการแพทย์สาขาเวชกรรมป้องกัน การสาธารณสุ ข การพยาบาล การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยบทความทุกเรื่องผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง (double blinded) อย่างน้อยจำนวน 3 ท่าน</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กระทรวงสาธารณสุข</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> journalkorat@gmail.com (ดร.สันติ ทวยมีฤทธิ์) journalkorat@gmail.com (นายกันตภณ แก้วสง่า) Mon, 22 Jan 2024 15:25:25 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความเครียดและการจัดการความเครียดในสตรีที่เป็นความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ชนิดรุนแรง ที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล: บทบาทพยาบาลผดุงครรภ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264672 <p><em>สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มักมีความเครียดที่ระดับสูง โดยเฉพาะคนที่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากรับรู้ว่าอาการของโรครุนแรงที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อตนเอง ได้แก่ รกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะชัก เลือดออกในสมอง และเสียชีวิต ภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ ภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด ขาดออกซิเจนในครรภ์ และเสียชีวิตในครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ต้องสูญเสียบทบาทที่เคยทำเมื่ออยู่ที่บ้าน เช่น บทบาทภรรยา และบทบาทมารดา รวมทั้งเผชิญกับบุคคลและแผนการรักษาที่ไม่คุ้นเคย การถูกจำกัดกิจกรรม และผลข้างเคียงจากการรักษา จากสถานการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นภาวะวิกฤตในชีวิต ทำให้เกิดความเครียดระดับสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความเครียดทำให้อาการของโรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์รุนแรงมากขึ้น และมีผลกระทบทั้งต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ รวมทั้งครอบครัว ดังนั้นพยาบาลผดุงครรภ์ต้องให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับความเครียดและ การจัดการความเครียดในสตรีที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงขณะตั้งครรภ์ ที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยการส่งเสริมความสุขสบาย ด้านร่างกาย ลดความเครียดด้านจิตใจ ลดปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นความเครียดและระดับความดันโลหิต ส่งเสริมการได้รับความรู้เรื่อง โรครวมทั้งส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคม เพื่อลดระดับความเครียด และป้องกันผลกระทบจากความเครียดที่จะเกิดขึ้น </em></p> ปาริชาติ วันชูเสริม, สิวาพร พานเมือง Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264672 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการพยาบาลและการนำไปใช้ในการวางแผนจําหน่ายผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีหลังผ่าตัดใส่ท่อระบายทางเดินน้ำดีผ่านผิวหนัง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265945 <p><em>โรคมะเร็งท่อน้ำดี (</em><em>cholangiocarcinoma) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของไทย พบอุบัติการณ์ การเกิดโรคในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุหลักคือเกิดจากการติดพยาธิใบไม้ตับทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในท่อน้ำดีและเกิดเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในที่สุด การรักษาโรคนี้ในปัจจุบันจะพิจารณาตามระยะของโรค ซึ่งการรักษาหลักคือวิธีการผ่าตัด ส่วนในผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายแล้วจะให้การรักษาโดยวิธีประคับประคองตามอาการเท่านั้น เช่น การใส่ท่อระบายน้ำดีในตับผ่านทางผิวหนัง (Percutaneous Transhepatic Biliary Drainage) การใส่ท่อระบายน้ำดีในตับผ่านทางผิวหนัง เป็นการรักษาที่สำคัญแบบประคับประคองที่ค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยระบายน้ำดีออกมาภายนอกร่างกายแต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการรักษาได้ เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะติดเชื้อในท่อทางเดินน้ำดี สายระบายเลื่อนหลุด และสายระบายอุดตัน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจและสังคมของผู้ป่วยส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น พยาบาลเป็นบุคลากรที่สำคัญมากต่อการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีทั้งขณะอยู่โรงพยาบาลและเตรียมตัวจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล ดังนั้น หากมีการวางแผนจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยให้ครอบคลุมทุกมิติโดย การประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาล</em><em>ทั้ง </em><em>5 ขั้นตอน </em><em>ร่วมกับการวางแผนจำหน่ายในรูปแบบ </em><em>D-M-E-T-H-O-D อย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพและแนวปฏิบัติการพยาบาลที่เหมาะสม อีกทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ภายหลังการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้ </em></p> จินตนา กิ่งแก้ว, ศิวิไล โพธิ์ชัย, ณัฐธยาน์ บุญมาก, วิริยะ โชติกุญชร Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265945 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 แรงจูงใจและการสนับสนุนจากองค์กรที่มีผลต่อการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261877 <p> <em>การศึกษาครั้งนี้เป็น การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและการสนับสนุนจากองค์กรที่มีผลต่อการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดนครราชสีมา ประชากรที่ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 348 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้ การสุ่มอย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ทุกข้อมีค่าความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และวิเคราะห์หาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาซ 0.96 และแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับเก็บข้อมูล เชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูล จำนวน <br />12 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2565–8 มกราคม 2566 สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและสถิติการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยกำหนดที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ระดับแรงจูงใจการสนับสนุนจากองค์กร และการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=3.8,S.D.=0.39), (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=3.9,S.D.=0.40) และ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=4.1,S.D.=0.63) ตามลำดับ และพบว่าภาพรวมแรงจูงใจและการสนับสนุนจากองค์กร มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.611,p-value&lt;0.001) ; (r=0.59,p-value&lt;0.001) ตามลำดับ ซึ่งตัวแปรทั้ง 3 ประกอบด้วย ปัจจัยค้ำจุนด้านความมั่นคงในการปฏิบัติงาน ปัจจัยจูงใจด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ และการสนับสนุนจากองค์กรด้านการบริหารจัดการ มีผลและสามารถร่วมกันพยากรณ์การดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 52.7 (R<sup>2</sup>=0.527,p-value&lt;0.001) ข้อเสนอแนะควรมี การกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบในการดำเนินงานให้มีความชัดเจนและควรมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มความรู้ทางวิชาการให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</em></p> ประวีณา สุมขุนทด, ประจักร บัวผัน Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261877 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261908 <p><em>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 522 คน ได้จาก การวิเคราะห์การถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน และใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 193 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และได้ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามเท่ากับ 0.96 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</em></p> <p><em> ผลการวิจัย พบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จ การสนับสนุนจากองค์การและการจัดการ มูลฝอยติดเชื้อ อยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=4.16, S.D.=0.30), (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=4.18, S.D.=0.34) และ(<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /></em><em>=4.42, S.D.= 0.46) ตามลำดับ โดยพบว่าภาพรวมปัจจัยแห่งความสำเร็จและการสนับสนุนจากองค์การโดยรวมมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.576, p-value&lt;0.001) และ(r=0.386, p-value&lt; 0.001) ตามลำดับ ทั้งนี้พบว่าตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปร ได้แก่ ปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือด้านหน่วยงานสนับสนุนทุกระดับมีแผนงานสนับสนุน และการสนับสนุนจากองค์การด้านการบริหารจัดการมีผลและสามารถพยากรณ์การจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดนครราชสีมา ได้ร้อยละ 61.1 (R<sup>2</sup>=0.611, p-value&lt;0.001) ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการประสานงานของเครือข่ายในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในโรงพยาบาลชุมชน</em></p> กนกอร ผิวเพชร, สุวิทย์ อุดมพาณิชย์, ประจักร บัวผัน Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261908 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 ตำรับอาหารกลางวันสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยาเขตแม่ฮ่องสอน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261902 <p><em>วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของเด็กก่อนวัยเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการด้านสติปัญญาและสุขภาพ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อปรุงอาหารกลางวันและประเมินความพึงพอใจตำรับอาหาร ใช้รูปแบบวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เลือกแบบเจาะจง ในกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นอนุบาล 1-3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยาเขตแม่ฮ่องสอน จำนวน 64 คน และกลุ่มบุคลากร ครู และผู้ปกครอง จำนวน </em><em>5 คน ในเดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม 2563 เก็บข้อมูล 2 ส่วน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ตำรับอาหารโดยผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และประยุกต์ใช้แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจตำรับอาหาร ได้ความเที่ยงเนื้อหาเท่ากับ 0.61 และความเชื่อมั่นค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค เท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยเปรียบเทียบปริมาณ ร้อยละกับค่าประมานการที่ควรได้รับอาหารหนึ่งมื้อในหนึ่งวันของเด็กก่อนวัยเรียน ก่อนและหลังปรุงอาหาร 7 ประเภท 56 ตำรับ</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า หลังปรุงอาหารมีค่าเฉลี่ยปริมาณความแตกต่างลดลง คือ น้ำตาล (39.2%) พลังงาน (33.8%) คาร์โบไฮเดรต (27.8%) ไขมัน (13.6%) โซเดียม (11.4%) ส่วนปริมาณที่เพิ่มขึ้น คือ ใยอาหาร ร้อยละ 31.1 และโปรตีน ร้อยละ 12.5 ความพึงพอใจตำรับอาหารโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับมาก การปรับสัดส่วนวัตถุดิบในท้องถิ่นตามฤดูกาลมาใช้ประกอบตำรับอาหารกลางวันส่งผลให้ความหวาน มัน เค็ม ลดลง และโปรตีน ใยอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เด็กก่อนวัยเรียนยอมรับตำรับอาหารมากขึ้น ข้อเสนอแนะในครั้งนี้พื้นที่ใกล้เคียงสามารถนำตำรับอาหารไปประยุกต์ใช้ให้เด็กก่อนวัยเรียนเกิดการยอมรับตำรับอาหารมากขึ้น และการวิจัยครั้งต่อไปอาจต้องปรุงสลับอาหารเฉพาะชาติพันธุ์กับอาหารนิยมทั่วไปเพื่อเพิ่มความหลากหลายการบริโภคมากขึ้น</em></p> อนาวิน ภัทรภาคินวรกุล Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/261902 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ในผู้สูงอายุ อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/262108 <p><em>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรม การป้องกันโรคโควิด 19 และ (2) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ในผู้สูงอายุ อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 363 คน ได้จากการคำนวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรการประมาณค่าเฉลี่ยของประชากรที่แน่นอน ใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลในช่วงเดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม 2565 โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า (1) ด้านปัจจัยนำพบว่า ความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง ทัศนคติเกี่ยวกับโรคโควิด 19 อยู่ในระดับปานกลาง การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรควิด 19 อยู่ในระดับสูงการรับรู้ความรุนแรงของโรคโควิด 19 อยู่ในระดับปานกลาง การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับปานกลาง ด้านปัจจัยเอื้อพบว่า ความสะดวกในการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง อุปกรณ์ในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง ด้านปัจจัยเสริมพบว่า การรับข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง แรงสนับสนุนทางสังคมต่อการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับ ปานกลาง และ (2) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ของผู้สูงอายุ ได้แก่ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน ฐานะทางการเงิน ความรู้ ทัศนคติ และการรับข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด 19 </em></p> มานะชัย จรูญไธสง, ธีระวุธ ธรรมกุล, อารยา ประเสริฐชัย Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/262108 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 การสำรวจการจัดการความเครียดของประชาชนวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานครที่เกิดจาก การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/262905 <p><em>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเครียดและการจัดการความเครียด รวมถึงการหาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการจัดการความเครียดของประชาชนวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดโรคระบาด </em><em>COVID-19 ของกลุ่มตัวอย่างประชากรในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานครจำนวน 407 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นค่าสถิติผลการวิจัย พบว่า ประชาการมีระดับความเครียดจากโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อยู่ในระดับปานกลาง และมีความกังวลมากที่สุดทางด้านความคุกคามซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านความท้าทายและด้านอันตราย/ความสูญเสีย ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ระดับการจัดการความเครียดในภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับมากทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ด้านการจัดการความเครียดโดยมุ่งแก้ไขปัญหา และด้านการจัดการความเครียดโดยมุ่งแก้ไขอารมณ์ </em></p> <p><em>ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าประชาชนชาวกรุงเทพมหานครวัยทำงานที่มี (1) เพศ และระดับการศึกษาต่างกันพบว่ามีการจัดการความเครียดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (2) อายุต่างกันมีการจัดการความเครียดในภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่มีการจัดการความเครียดโดยมุ่งแก้ไขอามรมณ์แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในคู่อายุ </em><em>26-35 ปี, 36-45 ปี (3) ประชาชนที่มีรายได้ต่อเดือนต่างกันมีการจัดการความเครียดในภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่มีการจัดการความเครียดด้านมุ่งแก้ไขอารมย์ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญของคู่ (15,000-25,000 บาท, มากกว่า 25,000 บาท) (4) ประชาชนที่ปฏิบัติงานในองค์กรที่กลุ่ม<strong>อุตสาหกรรม</strong>ต่างกันมีการจัดการความเครียดทั้งในด้านมุ่งแก้ไขอารมย์และมุ่งแก้ไขปัญหาในภาพรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <strong>และ (5) </strong>ประชาชนวัยทำงานในกรุงเทพมหานครมีความเครียดและการจัดการความเครียดที่สัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง โดยเมื่อมีความเครียดก็จะมีวิธีการจัดการความเครียดตามมาซึ่งเป็นความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันคือถ้าเครียดมากขึ้นก็จะมีวิธีการจัดการความเครียดที่เพิ่มขึ้นตามมา </em></p> ถกลรัตน์ ทักษิมา, พัฐคม อินทรกำธรชัย, ไกรสร อัมมวรรธน์ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/262905 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 สัดส่วนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 ที่เข้ารับการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้านในโรงพยาบาลตติยภูมิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/263656 <p><em>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ </em><em>เพื่อศึกษาสัดส่วนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เข้ารับการรักษาด้วยการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน</em> <em>รูปแบบการศึกษาเป็นแบบ </em><em>Retrospective case-control ประชากรในการศึกษา ได้แก่ ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้ารับการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน ในช่วงมกราคม-เมษายน พ.ศ.2565 จำนวน 6,362 ราย เก็บข้อมูลจากการทบทวนเวชระเบียนย้อนหลัง</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วย</em><em>ส่วนใหญ่รักษาแบบแยกกักตัวที่บ้านครบกำหนด 10 วัน จำนวน 6</em><em>,262 ราย (98.43%) ส่วนน้อยเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาลจำนวน 110 ราย (1.73%)</em><em> กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 36.18 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 15.66) และส่วนใหญ่ (82.73</em><em>%) ไม่มีโรคประจำตัว สาเหตุของการติดเชื้อหลักมาจากบุคคลในครอบครัวหรือญาติ (25.45%) และที่ทำงาน (20.73%) </em><em>ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล วิเคราะห์โดยใช้ </em><em>Multiple Logistic Regression พบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โรคหัวใจ (Adjusted OR = 9.54, 95%CI 2.18-41.71, p-value &lt; 0.01) โรคเบาหวาน (Adjusted OR = 3.43, 95%CI 1.43-8.22, p-value &lt; 0.01) อาการไข้ (Adjusted OR = 13.89, 95%CI 6.29-30.69, p-value &lt; 0.01) และอาการเหนื่อย/หายใจไม่อิ่ม (Adjusted OR = 7.14, 95%CI 2.54 -20.04, p-value &lt; 0.01)</em><em> การศึกษานี้ ชี้ให้เห็นประโยชน์ของ</em><em>การรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน ในการรักษาผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงที่มีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ และยังไม่พบ</em><em>ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม </em><em>ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงควรได้รับการติดตามอาการใกล้ชิดโดยแพทย์ </em><em>การเตรียมพร้อมในการรับผู้ป่วยที่มีอาการเปลี่ยนแปลงมารับการรักษาในโรงพยาบาลในภาวะฉุกเฉินมีความจำเป็นอย่างยิ่ง</em></p> คงฤทธิ์ ภิญโญวิวัฒน์, นวลฉวี เพิ่มทองชูชัย, รังสิมา บำเพ็ญบุญ, นภัค ด้วงจุมพล Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/263656 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยภาวะสุขภาพ การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะความดันโลหิตสูงของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264086 <p><em>ปัจจัยภาวะสุขภาพ การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะความดันโลหิตสูงของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (</em><em>cross-sectional analytical study) เก็บรวบรวบข้อมูลโดยใช้แบบวัดความรู้ การรับรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันโรค ตามทฤษฎีความเชื่อด้านสุขภาพ ในบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น จำนวน 65 คน ระยะเวลาในการศึกษา ระหว่างเดือน กันยายน 2565 – มีนาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงใช้การวิเคราะห์ทีละตัวแปร (univariate analysis) และการวิเคราะห์แบบคู่ (bivariate analysis) โดยใช้ตัวแบบถดถอยลอจิสติกอย่างง่าย (simple logistic regression) และการวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์แบบตัวแปร พหุนาม (multivariable analysis) โดยใช้ตัวแบบถดถอยพหุลอจิสติก (multiple logistic regression) </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ระดับไขมันในร่างกายและเส้นรอบเอว มากกกว่า </em><em>90 เซนติเมตร และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับโรค การรับรู้ความรุนแรง และพฤติกรรมการปฏิบัติในการป้องกันการเกิดโรคมีความสัมพันธ์ กับภาวะความดันโลหิตสูง ในบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น </em></p> จุรี แสนสุข, จริยา ศิริรส, อัจฉรา ข้อยุ่น, แสงดาว จันทร์ดา Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264086 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาแบบย้อนหลังเพื่อศึกษาลักษณะของการติดเชื้อโควิด 19 ในบุคลากร ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรณีศึกษา ระหว่างปี 2564 - 2565 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264833 <p><em>การศึกษานี้</em><em>เป็นการศึกษาเพื่อค้นหาสถานการณ์การติดโควิด-19 ในบุคลากร และการศึกษาพฤติกรรมของบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อ โควิด-19 รวมถึงการได้รับวัคซีน ส่งผลต่อการติดเชื้อโควิดหรือไม่ในการศึกษาครั้งนี้ได้รับ การสนับสนุนทุนจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2564 – พฤษภาคม 2565 โดยการใช้แบบคัดกรองเพื่อคัดแยกกระบวนการติดเชื้อทางเดินหายใจ </em><em> </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า พบบุคลากรที่ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้น จำนวน 285 คน ซึ่งผู้ติดส่วนมากเป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 69.7 มีช่วงอายุ 45-50 ปี คิดเป็นร้อยละ 22 รวมถึงมีการติดเชื้อจากการใกล้ชิดกับครอบครัวที่ติดเชื้อ คิดเป็นร้อยละ 63.5 สถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาล อยู่ที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน คิดเป็นร้อยละ 6.71 รองลงมาคือแผนกศัลยกรรมและศัลยกรรมกระดูกและข้อ คิดเป็นร้อยละ 5.22 รองลงมาคือแผนกผู้ป่วยวิกฤตคิดเป็นร้อยละ 4.85 ซึ่งวิชาชีพที่มีการติดเชื้อ โควิด-19 มากที่สุดคือ พยาบาล คิดเป็นร้อยละ 30.59 ผู้ช่วยพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 15.67 พนักงานช่วยเหลือผู้ป่วยคิดเป็นร้อยละ 12.68 แพทย์ คิดเป็นร้อยละ 3.73 ได้รับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับการติดเชื้อโควิด-19 นั้นไม่มีความแตกต่างโดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 (P&gt;0.05) โดยมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อมากที่สุดคือ กิจกรรมภายนอกโรงพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 51.11 รองลงมาคือการร่วมรับประทานอาหารร่วมกันในช่วงพักกลางวัน คิดเป็นร้อยละ 27.23 รองลงมาคือ การพูดคุยกันระหว่างการทำงานโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย คิดเป็นร้อยละ 20.52 และการปฏิบัติหน้าที่โดยการดูแลผู้ป่วย คิดเป็นร้อยละ 1.19 พฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้การแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่กระจายได้ภายในโรงพยาบาล นอกจากนี้ พฤติกรรมที่มีความหละหลวมในการสวมหน้ากากอนามัย ยังมีการนำหน้ากากอนามัยลงมาอยู่ใต้จมูก ส่งผลให้การป้องกันไม่สามารถแสดงประสิทธิผลได้สูงสุด </em></p> นันทนา พลสระคู, กิตติภูมิ สุวรรณโภคิน, ปณินันท์ ศรีนุชศาสตร์ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264833 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมันทรานส์ของประชาชน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264880 <p><em>การวิจัยแบบภาคตัดขวางเรื่องความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์และความสัมพันธ์ของความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์ของประชาชน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวน </em><em>167 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิสหสัมพันธ์เพียร์สัน ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงสุดอยู่ในระดับมัธยมศึกษาที่ </em><em>1-6 ร้อยละ 35.30 และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 65.30 ความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ทักษะการเข้าใจ ทักษะการสื่อสาร ทักษะ การตัดสินใจ ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะ การรู้เท่าทันสื่อ ภาพรวมคะแนนเฉลี่ย 3.64 อยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์ ภาพรวมคะแนนเฉลี่ย 3.51 อยู่ในระดับมาก และความรอบรู้ด้านสุขภาพพบว่าทักษะการตัดสินใจและทักษะการรู้เท่าทันสื่อมีความสัมพันธ์กันในระดับมากกับพฤติกรรม การบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ทักษะการเข้าใจ และทักษะการจัดการตนเอง มีความสัมพันธ์กันกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</em></p> นฤมล ดีกัลลา, ฐิติอาภา ตั้งค้าวานิช Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/264880 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรการจัดระบบอาหารปลอดภัยในชุมชนตำบลพุดซาอย่างยั่งยืน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265536 <p> </p> <p><em>อาหารที่สะอาดและปลอดภัยจะทำให้ห่างไกลโรค</em> <em>ส่งผลให้สุขภาพดี การวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาหลักสูตรการจัดระบบอาหารปลอดภัยในชุมชนพุดซาอย่างยั่งยืน</em> <em>วัดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร</em> <em>ดำเนินการวิจัยในรูปแบบการวิจัยและพัฒนา</em> <em>กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น </em><em>2 </em><em>กลุ่ม </em><em>(</em><em>1) </em><em>กลุ่มพัฒนาหลักสูตร</em> <em>จำนวน </em><em>10 </em><em>คน </em><em>(</em><em>2) </em><em>กลุ่มทดลองใช้หลักสูตร</em> <em>จำนวน </em><em>60 </em><em>คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย หลักสูตรฝึกอบรมและแบบทดสอบความรู้</em> <em> โดยแบบทดสอบความรู้มีความเชื่อมั่นเท่ากับ </em><em>0.85 </em><em>วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป นำเสนอข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</em> <em>ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลักสูตรด้วย </em><em>paired </em></p> <p><em>t- test </em></p> <p><em> </em><em>ผลการวิจัย</em> <em>พบว่า</em> <em> หลักสูตรการจัดระบบอาหารปลอดภัยในชุมชนพุดซาอย่างยั่งยืน</em> <em>ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ กิจกรรมและเนื้อหาสาระสำคัญ </em><em>(</em><em>1) </em><em>การผลิตผลผลิตทางการเกษตรให้ปลอดภัย </em><em>(</em><em>2) </em><em>การจัดการสิ่งแวดล้อม และ </em><em>(</em><em>3) </em><em>การปรุงประกอบอาหารที่ปลอดภัย เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบการฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ ประเมินผลและติดตามผล ผลอบรมประสิทธิภาพหลักสูตรมีค่าคะแนนความรู้ระหว่างการฝึกอบรม </em><em>(</em><em>E1) </em><em>และความรู้หลังการใช้กิจกรรมฝึกอบรม </em><em>(</em><em>E2) </em><em>เท่ากับ </em><em>85.0/98.0 </em><em>การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลังทดลองใช้หลักสูตรมีค่าคะแนนสูงกว่าก่อนทดลองใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ </em><em>0.05 </em><em>การจัดระบบอาหารปลอดภัยในชุมชนมีผลประเมินสูงกว่าเกณฑ์</em><em>85.0/98.0 </em><em>ที่กำหนดไว้ แต่ความยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็นต้องติดตามและนำไปขยายผลเพิ่มขึ้น เพื่อเฝ้าระวังสารเคมี เชื้อโรคต่าง ๆ ปนเปื้อนในแหล่งผลิต สิ่งแวดล้อม และกระบวนการปรุงประกอบอาหารต่อไป</em></p> วลัญช์ชยา เขตบำรุง, จิราภรณ์ ประธรรมโย Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265536 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 สภาพปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของแม่หลังคลอดในโรงพยาบาลช่วงโควิดในประเทศไทย : การวิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยาย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265777 <p><em>นมแม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทารกตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง </em><em>6 เดือนแรกและให้ต่อเนื่องถึง 2 ปีในประเทศไทย พ.ศ. 2562 และ 2565 มีรายงาน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรก ร้อยละ 14 และ 29 ตามลำดับ ในช่วงสถานการณ์ การระบาดของโควิด 19 ในประเทศไทย ระบบบริการในโรงพยาบาลเปลี่ยนแปลงคือ การกำหนดเวลา การเยี่ยมของญาติและงดการเฝ้าของสมาชิกในครอบครัว จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่ามารดาหลังคลอดมีปัญหาอย่างไรบ้างในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของแม่หลังคลอดในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย เป็น การวิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยาย เก็บรวบรวมข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การจดบันทึกภาคสนามและการบันทึกภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ให้ข้อมูลเป็นมารดาหลังคลอด </em><em>28 คน อายุ 18 – 38 ปีอายุเฉลี่ย 28 ปี พบปัญหามี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การต้องแยกห่างจากสมาชิกในครอบครัว (2) การพึ่งพาพยาบาลดุจดังบุคคลในครอบครัว ประเด็นย่อย (2.1) การสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (2.2) ความคงอยู่เพื่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง และ (3) การดูแลตนเองเพื่อประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ประเด็นย่อย (3.1) การจัดท่าอุ้มลูกของแม่เพื่อให้นมลูก (3.2) การจัดท่าของลูกเพื่อดูดนมแม่ ข้อเสนอแนะ เป็นข้อมูลสำหรับพยาบาล พยาบาลผดุงครรภ์และวิชาชีพด้านสุขภาพใช้ในการวิจัย การพัฒนาปฏิบัติการพยาบาลและเป็นหลักฐาน เชิงประจักษ์เพื่อการพัฒนาโปรแกรมการดูแลสุขภาพของแม่หลังคลอด </em></p> นงลักษณ์ คำสวาสดิ์, สมทรง บุตรตะ, ชุติมา อันเนตร์, วารินทร์ โยธาฤทธิ์ Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/265777 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการสุขภาพตนเองและครอบครัว ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/266063 <p><em>ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดส่งผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารก การพยาบาลที่ช่วยส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการจัดการสุขภาพตนเอง ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด สามารถยืดอายุครรภ์และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการสุขภาพตนเองและครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ศึกษาผลลัพธ์และความพึงพอใจในการนำรูปแบบไปปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน </em><em>20 ราย และหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จำนวน 15 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการส่งเสริมการจัดการสุขภาพตนเองและครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบประเมินความพึงพอใจของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3) แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล และ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม - เดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ</em> <em>Paired t-test</em></p> <p><em> ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการใช้รูปแบบฯ หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันการคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดี แต่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;.05) สามารถยืดอายุครรภ์ได้เพิ่ม 2 สัปดาห์ ทั้งหญิงตั้งครรภ์และพยาบาลวิชาชีพผู้ใช้รูปแบบฯ มีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบส่วนใหญ่ในระดับดี ผลการวิจัยนี้เสนอแนะให้พยาบาลผดุงครรภ์ นำรูปแบบไปใช้ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เพื่อให้สามารถตั้งครรภ์ต่อจนอายุครรภ์ครบกำหนดคลอด</em></p> พนิดา เชียงทอง, สุรัชนา พงษ์ปรสุวรรณ์, สมจิตร เมืองพิล, ศุจิรัตน์ ปัญญาแก้ว, ลักขณา ไชยนอก Copyright (c) 2024 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/266063 Mon, 22 Jan 2024 00:00:00 +0700