วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้และข้อมูลข่าวสารด้านวิชาการ โดยกำหนดเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ ( Original Article) บทบรรณาธิการ (Editorial) บทความหรือรายงานเหตุการณ์สำคัญ (Report) ตลอดจนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p> สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม (Nakhon Phanom Provincial Health Office) th-TH วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม 3056-9966 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง</p> คำสำคัญ: การประเมินพัฒนาการ; เด็ รูปแบบการประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัย (36-60 เดือน) โดยมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก และครูศูนย์เด็กเล็ก โรงพยาบาลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/271806 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล และครูศูนย์เด็กเล็ก ในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยในชุมชนก่อนและหลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล และครูศูนย์เด็กเล็กของเด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3-5 ปี &nbsp;ในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จำนวน 48 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 24 คน และกลุ่มเปรียบเทียบจำนวน 24 คน</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) สื่อวิดีทัศน์ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการปฏิบัติของครอบครัวในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Paired t-test และ Independent t-test โดยการกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และคำนวณช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95% CI)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่าค่าเฉลี่ยการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยของผู้ปกครองหรือผู้ดูแล และครูศูนย์เด็กเล็กของกลุ่มทดลอง หลังจากการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลอง และหลังจากการให้โปรแกรมฯ ในกลุ่มทดลองค่าเฉลี่ยการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การมีส่วนร่วมของในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทำให้ผู้เข้าร่วมโปรแกรมฯ มีความเข้าใจและมีทักษะในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่ถูกต้อง มีความมั่นใจในการปฏิบัติมากขึ้น นำไปสู่การลงมือปฏิบัติประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยตามคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสถานการณ์จริง มีความตระหนักต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย และสนใจที่จะประเมินพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การประเมินพัฒนาการ; เด็กปฐมวัย; การมีส่วนร่วม</p> kanyachat chuthanitchaya Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-14 2025-03-14 3 1 (มกราคม-มิถุนายน) ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองญาติ จังหวัดนครพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/272216 <p><strong>Abstract</strong></p> <p>This quasi–experimental research aims to study breastfeeding promotion program and to compare breastfeeding behavior between before and after operation in Nong Yat Subdistrict Health Promoting Hospital Nakhon Phanom Province. Between March 2024 – October 2024, sample group consisted of 44 mothers. Research tools included a general information questionnaire CVI=1, a complete questionnaire alpha= 0.83, data were analyzed with descriptive statistics and paired samples T-Test.</p> <p><strong>Results</strong>: found that breastfeeding promotion programs at least 6 months 5 activities as follows: 1) provide knowledge on how to prepare mothers for breastfeeding, 2) provide knowledge during pregnancy about 10 steps to success in breastfeeding, 3) provide knowledge on postpartum period to start breastfeeding, 4) provide knowledge on postpartum period for children to start breastfeed as soon as possible, 5) evaluation. After receiving the program, mothers' awareness of breastfeeding increased significantly (MD= 14.03, 95%CI: 10.61-17.45, P&lt;0.001). After receiving program, mothers' overall breastfeeding behavior increased significantly (MD= 6.87, 95%CI: 3.45-10.29, P&lt;0.001). After receiving the program, mothers had statistically significant increase in family support for breastfeeding (MD= 5.93, 95%CI: 2.88-8.98, P&lt;0.001).</p> <p><strong>Suggestions:</strong> A program to promote breastfeeding should be implemented. To promote mothers' awareness of breastfeeding and overall breastfeeding behavior.</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>Keywords</strong>: Breastfeeding Promotion Programs, Perception, Behavior, Family Support</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>Expert professional nurse</strong></p> <p><strong>Nong Yat Health Promoting Hospital</strong></p> Monsicha Tangphaiboon Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-14 2025-03-14 3 1 (มกราคม-มิถุนายน) การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในตำบลศรีสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/268378 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชน อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> <strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 364 คน ใช้แบบสอบถามมาตรวัด 3 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ลักษณะทางประชากร พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.10 อายุน้อยกว่า 30 ปี ร้อยละ 33.20 อายุเฉลี่ย 39.76±13.38 ครอบครัวไม่มีบุคคลกลุ่มเปราะบาง ร้อยละ 72.00 มีการรับรู้โอกาสเสี่ยงการเกิดโรคคะแนนเฉลี่ย 2.77±0.48 การรับรู้ความรุนแรงของโรคคะแนนเฉลี่ย 2.49±0.55 การรับรู้ภาวะคุกคามคะแนนเฉลี่ย 2.74±0.48 การรับรู้สิ่งชักนำ/สิ่งกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติคะแนนเฉลี่ย 2.71±0.52 การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรคคะแนนเฉลี่ย 2.69±0.52 และการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรคคะแนนเฉลี่ย 2.77±0.44 ซึ่งอยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คะแนนเฉลี่ย 2.53±0.51 อยู่ในระดับสูง</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบการสร้างการเรียนรู้ในการป้องกันตนเองและชุมชนลดการแพร่กระจายเชื้อ ในชุมชนและการใช้ชีวิตตามชีวิตวิถีใหม่ต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การรับรู้ด้านสุขภาพ; พฤติกรรมป้องกันตนเอง; โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> เซี่ยมหงส์ พรหมประกาย จิราภรณ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-19 2025-02-19 3 1 (มกราคม-มิถุนายน) สัดส่วนการใช้สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ณ ศูนย์ชุมชนสุขภาพเขตตำบลศรีสงคราม โรงพยาบาลศรีสงคราม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/272267 <p>การศึกษานี้เป็นวิจัยแบบตัดขวางเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาสัดส่วนข้อมูลการใช้สมุนไพร ความสัมพันธ์การใช้สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ในพื้นที่ของศูนย์สุขภาพชุมชนเขตตำบลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม โดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มประชากรผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้าคัดออก จำนวน 75 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ตัวแปรเชิงเดี่ยว Chi-Square Test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างใช้สมุนไพรในการรักษาเบาหวานร้อยละ 42.7 แหล่งที่มาเป็นญาติหรือคนรู้จักแนะนำร้อยละ 50 สมุนไพรที่ใช้คือมะระขี้นก ร้อยละ 37.5 เคยมีผลข้างเคียงจากการใช้ร้อยละ 4.2 ไม่แน่ใจขนาดสมุนไพรที่ชัดเจนร้อยละ46.8 ไม่แน่ใจว่าการใช้สมุนไพรแล้วจะดีขึ้นร้อยละ 46.8 และไม่แน่ใจจะแนะนำการใช้สมุนไพรต่อคนอื่นร้อยละ 62.5 เหตุผลที่ไม่ใช้สมุนไพรเพราะการใช้ยาแผนปัจจุบันนั้นดีอยู่แล้วร้อยละ 34.8 ไม่พบปัจจัยด้านข้อมูลพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างการใช้หรือไม่ใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเบาหวาน ค่าระดับน้ำตาลสะสมไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ซึ่งบุคลากรสาธารณสุขควรให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการใช้สมุนไพรแก่ผู้ป่วยเบาหวานต่อไป</p> jirawat ornmanee Copyright (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-19 2025-02-19 3 1 (มกราคม-มิถุนายน)