วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp <p>วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้และข้อมูลข่าวสารด้านวิชาการ โดยกำหนดเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ ( Original Article) บทบรรณาธิการ (Editorial) บทความหรือรายงานเหตุการณ์สำคัญ (Report) ตลอดจนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพ</p> สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม (Nakhon Phanom Provincial Health Office) th-TH วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม 3056-9966 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง</p> การพัฒนากระบวนการให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมลำไส้ก่อนส่องกล้องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทวารหนัก: การเปรียบเทียบผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/276167 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: เพื่อพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการให้คำปรึกษาผู้ป่วยในการเตรียมลำไส้ก่อนการส่องกล้องตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม</strong></p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong><strong>การวิจัยแบบผสมผสาน (</strong><strong>Mixed Methods Research) </strong></p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong><strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจำนวน 1</strong><strong>,358 ราย ที่เข้ารับการส่องกล้องระหว่างปี พ.ศ.2565–2568 โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ Chi-square</strong></p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong><strong>ผู้ป่วยในมีระดับความสะอาดของลำไส้ในเกณฑ์ </strong><strong>Adequate ร้อยละ 80.6 ขณะที่ผู้ป่วยนอก มีร้อยละ 73.7 (<em>P </em>&lt; 0.001) โดยผู้ป่วยนอกมีอัตราการตรวจซ้ำสูงกว่าผู้ป่วยใน การสนทนากลุ่มพบว่า ปัญหาหลักคือการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ และเสนอให้ใช้ checklist และการติดตามทางโทรศัพท์เพื่อเสริม การเตรียมลำไส้</strong></p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong><strong>การพัฒนากระบวนการให้คำปรึกษาผู้ป่วยด้วยการใช้ข้อมูลเปรียบเทียบผลลัพธ์และข้อเสนอแนะจากบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมลำไส้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยนอก</strong></p> Kanokwan Boonkuea ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-01 2025-09-01 3 2 ประสิทธิผลการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวานเปรียบเทียบระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/276519 <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี2560 ประชากรโลกป่วยเป็น โรคเบาหวานถึง 425 ล้านคน<sup>1</sup> มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 783 ล้านคน<sup>2 </sup> ส่งผลให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลภาครัฐโดยกระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายพัฒนาหน่วยบริการปฐมภูมิ ให้มีบทบาทในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน<sup>4</sup> ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาประสิทธิผลของการควบคุมระดับน้ำตาลและภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเรื้อรังเปรียบเทียบกันระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ตรวจรักษาโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบบริการการดูแลผู้ป่วย ในหน่วยบริการปฐมภูมิ ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน</p> <p>เปรียบเทียบกันระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมในเวลา 1 ปี</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาในรูปแบบ Retrospective cohort study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยจากฐานข้อมูล Ihospital@KKH และ Java Health Center Information System (JHCIS) ตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2565 – ธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยเป็นกลุ่มที่ตรวจรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น 2 จำนวน 75 คน และกลุ่มที่ตรวจรักษา ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม จำนวน 66 คน ประมวลผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเป็นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และสถิติเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างเชิงสถิติด้วย Chi-square test Independence t-test และ Mantel-Haenszel test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาล (FBS) (p=0.502) ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) (p=0.966) ค่าการทำงานของไต (eGFR) (p=0.48) ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) (p=0.678) และค่าระดับไขมัน LDL (p=0.481) ของทั้งสองกลุ่มการศึกษาไม่แตกต่างกัน ในด้านการเกิดภาวะแทรกซ้อน พบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษา ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> <p> </p> <p> </p> <p>และผลลัพธ์ภาวะแทรกซ้อนทางเท้า พบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม เกิดภาวะแทรกซ้อนทางเท้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) และภาวะแทรกซ้อนทางไต พบว่า ทั้งสองกลุ่มการศึกษาไม่แตกต่างกัน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c), FBS, eGFR, BMI และระดับไขมัน LDL ระหว่างทั้งสองกลุ่มศึกษาไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม พบว่า ผลตรวจภาวะแทรกซ้อนทางตาและเท้าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มที่รับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมมีภาวะแทรกซ้อนทางตาและทางเท้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งสามารถพัฒนาระบบคัดกรองภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตั้งแต่แรกเริ่มวินิจฉัยในหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อจะได้ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้</p> CHAYANIN SRICHOMPOO ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-20 2025-10-20 3 2 ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รูปแบบผู้ป่วยในที่บ้าน โรงพยาบาลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/275208 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รูปแบบผู้ป่วยในที่บ้าน โรงพยาบาลแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> : เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดสองครั้งก่อนหลัง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รับบริการคลินิกโรคเรื้อรังแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลแวงใหญ่ระหว่าง กันยายน ถึง ตุลาคม 2567 ที่มีคุณสมบัติ คือเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบัน และมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง DTX&gt; 250-400 mg% HbA1C&gt;11% และไม่มีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน (DKA, HHS) หรือภายหลังจากรักษาภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันเรียบร้อยแล้ว อาศัยอยู่อำเภอแวงใหญ่ และรับบริการโรงพยาบาลแวงใหญ่ ทั้งเพศชาย และเพศหญิง ดูแลตนเองได้ หรือมีสมาชิกในครอบครัวให้การดูแล มีโทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ใช้งานได้ดี มี และใช้อุปกรณ์ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานได้ อ่านออก เขียนได้ มีความสามารถในการมองเห็นไม่มีปัญหาสายตา จำนวน 45 คน เข้าร่วมโปรแกรม 6 ขั้นตอน ตั้งเป้าหมาย รวบรวมข้อมูล ประมวลผล ตัดสินใจ ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ระหว่างธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่า IOC เท่ากับ 0.78 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาด้านความรู้เท่ากับ 0.81 ด้านทัศนคติ เท่ากับ 0.82 ด้านพฤติกรรมเท่ากับ 0.81 ด้านความพึงพอใจเท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>พบว่า กลุ่มตัวอย่างภายหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้สูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) มีทัศนคติต่อการดูแลตนเอง และพฤติกรรมการดูแลตนเอง หลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ </strong><strong>:</strong> การจัดโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยแบบผู้ป่วยในที่บ้าน ที่เน้นส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการจัดการตนเองตามบริบทของผู้ป่วยโดยมีบุคลากรสาธารณสุขคอยให้การสนับสนุนจะส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความรู้ มีทัศนคติ และมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่สูงขึ้นได้</p> ทิพวรรณ ชมบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-14 2025-08-14 3 2 ประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ในนักเรียนมัธยมศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/275209 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพก่อนและหลังได้รับโปรแกรม ในนักเรียนมัธยมศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong>: เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประจำปี การศึกษา 2567 จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยประยุกต์แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของนัทบีม และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความพึงพอใจ ตรวจสอบความตรง ได้ค่า IOC เท่ากับ 0.78 ค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.82 ดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน คือ Paired Sample t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ของกลุ่มตัวอย่าง หลังรับโปรแกรม พบว่า อยู่ในระดับมาก ทั้งโดยรวมและรายด้าน และมีความแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05)</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> ควรแยกกลุ่มนักเรียนชายและหญิงในการจัดกิจกรรม เพื่อให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเพศศึกษา</p> จะเด็ด ชมบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-14 2025-10-14 3 2 ประสิทธิผลการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวานเปรียบเทียบระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nkp/article/view/275403 <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี2560 ประชากรโลกป่วยเป็น โรคเบาหวานถึง 425 ล้านคน<sup>1</sup> มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 783 ล้านคน<sup>2 </sup> ส่งผลให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลภาครัฐโดยกระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายพัฒนาหน่วยบริการปฐมภูมิ ให้มีบทบาทในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน<sup>4</sup> ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาประสิทธิผลของการควบคุมระดับน้ำตาลและภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเรื้อรังเปรียบเทียบกันระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ตรวจรักษาโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบบริการการดูแลผู้ป่วย ในหน่วยบริการปฐมภูมิให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน</p> <p>เปรียบเทียบกันระหว่างโรงพยาบาลขอนแก่น 2 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมในเวลา 1 ปี</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาในรูปแบบ Retrospective cohort study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยจากฐานข้อมูล Ihospital@KKH และ Java Health Center Information System (JHCIS) ตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2565 – ธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยเป็นกลุ่มที่ตรวจรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น 2 จำนวน 75 คน และกลุ่มที่ตรวจรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม จำนวน 66 คน ประมวลผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเป็นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และสถิติเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างเชิงสถิติด้วย Chi-square test Independence t-test และ Mantel-Haenszel test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาล (FBS) (p=0.502) ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) (p=0.966) ค่าการทำงานของไต (eGFR) (p=0.48) ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) (p=0.678) และค่าระดับไขมัน LDL (p=0.481) ของทั้งสองกลุ่มการศึกษาไม่แตกต่างกัน ในด้านการเกิดภาวะแทรกซ้อน พบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> <p> </p> <p> </p> <p>และผลลัพธ์ภาวะแทรกซ้อนทางเท้า พบว่า ผู้ป่วยที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูม เกิดภาวะแทรกซ้อนทางเท้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) และภาวะแทรกซ้อนทางไต พบว่า ทั้งสองกลุ่มการศึกษาไม่แตกต่างกัน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c), FBS, eGFR, BMI และระดับไขมัน LDL ระหว่างทั้งสองกลุ่มศึกษาไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม พบว่า ผลตรวจภาวะแทรกซ้อนทางตาและเท้าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มที่รับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตูมมีภาวะแทรกซ้อนทางตาและทางเท้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งสามารถพัฒนาระบบคัดกรองภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตั้งแต่แรกเริ่มวินิจฉัยในหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อจะได้ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้</p> CHAYANIN SRICHOMPOO ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-20 2025-10-20 3 2