วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu <p>วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นวารสารของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2524 ปัจจุบันได้ผ่านการรับรองโดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยให้อยู่ในระดับ TCI (Thai Citation Index) ระดับ 1 และ ACI (ASEAN Citation Index) จะรับบทความวิชาการและบทความวิจัยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ และนวัตกรรมทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ และเผยแพร่ความรู้การดูแลสุขภาพ โดยเน้นการดูแลต่อเนื่องและการใช้นวัตกรรมในการพยาบาล รวมทั้งการพยาบาลที่ผสมผสานภูมิปัญญาตะวันออก ที่ให้องค์ความรู้ใหม่ในการนําไปปรับปรุงการพยาบาลและสุขภาพของประชาชน จากนักศึกษา อาจารย์ พยาบาล และนักวิชาการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งต้นฉบับทุกเรื่องต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอกคณะฯ (internal and external reviewers) ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพยาบาลโดยเฉพาะ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญงานในสาขาต่าง ๆ ก่อนตีพิมพ์ <strong>อย่างน้อย </strong><strong>3 ท่าน ต่อ 1 บทความ (double-blind peer review)</strong> วารสารนี้เป็นวารสารราย 4 เดือน กําหนดออกปีละ 3 ฉบับ โดยเผยแพร่ตรงเวลาในรูปแบบออนไลน์ ดังนี้</p> <p> <strong> ฉบับที่ 1:</strong> มกราคม - เมษายน <br /> <strong>ฉบับที่ 2:</strong> พฤษภาคม - สิงหาคม<br /> <strong>ฉบับที่ 3:</strong> กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>ชื่อย่อวารสาร: JRN-MHS</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0061 (Online)</strong></p> <p><strong>หน่วยงาน</strong> : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทร.074-286452 E-mail: <a href="mailto:sjnpsu@gmail.com">sjnpsu@gmail.com</a></p> <p> </p> en-US <footer>บทความและรายงานวิจัยในวารสารพยาบาลสงขลานครินทร์เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน มิใช่ของคณะผู้จัดทำ และมิใช่ความรับผิดชอบของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์</footer> sjnpsu@gmail.com (Associate Professor Dr. Karnsunaphat Balthip) sjnpsu@gmail.com (Miss Chaloemwan Yokluan) Mon, 25 Aug 2025 17:26:15 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การนำทารกสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273451 <p>การสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ (SSC) ถูกนำมาใช้กับทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกคลอดครบกำหนด เนื่องจากมีความปลอดภัย และส่งผลด้านบวกต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการให้นมทารก ทั้งยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทารกกับมารดาและบิดา ปัจจุบันการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ เป็นมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติในการดูแลทารกแรกเกิด โดยทารกทุกรายต้องได้รับการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ เพราะเกิดประโยชน์อย่างมาก ได้แก่ ลดอัตราการเสียชีวิตของทารกคลอดก่อนกำหนด ช่วยให้หัวใจและปอดทารกทำหน้าที่ได้ปกติ ช่วยควบคุมอุณหภูมิกายทารก ลดความเจ็บปวดและความเครียดของทารก เพิ่มความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดา บิดา กับทารก ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของมารดาและบิดา</p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ให้พยาบาลผดุงครรภ์ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของการนำทารกสัมผัสเนื้อแนบเนื้อ นำความรู้ด้านการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อมาใช้สร้างเสริมสายสัมพันธ์และส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่มารดาหลังคลอด เนื้อหาประกอบด้วย ความหมาย ความสำคัญของการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ประโยชน์ของการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ หลักการดูแลให้มารดาและทารกได้รับการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ขั้นตอนปฏิบัติของการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ แนวทางส่งเสริมการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด และข้อเสนอแนะ ซึ่งการนำทารกสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ นอกเหนือจากจะช่วยสร้างความรักและผูกพันในทารกกับบิดามารดาแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำหรับมารดาหลังคลอด โดยมีเป้าหมายให้มารดาประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ; ปกป้อง ส่งเสริม และสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่; มารดาหลังคลอด</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> นพรัตน์ ธาระณะ, เยาวเรศ สมทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273451 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและประเมินผลหลักสูตรการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคจิตจากสารเสพติดสำหรับพยาบาลจิตเวช https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273857 <p> วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาและประเมินผลหลักสูตรการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคจิตจาก<br />สารเสพติดสำหรับพยาบาลจิตเวช วิธีการ: การวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 2 ระยะได้แก่ 1) พัฒนาหลักสูตรฯ ประกอบด้วย 1.1) การวิเคราะห์ปัญหาสถานการณ์ โดยการสนทนากลุ่มพยาบาลจิตเวช 10 คน บนพื้นฐานแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของ Tyler และทฤษฎีการเรียนรู้ของ Kolb และหลักการ Bloom’s Taxonomy ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมและข้อมูล เชิงคุณภาพ และ 1.2) การพัฒนาต้นแบบหลักสูตรฯ และ 2) ประเมินผลหลักสูตรฯ ประกอบด้วย 2.1) การตรวจสอบความตรงหลักสูตรฯและแบบประเมินสมรรถนะ (ความรู้ ทัศนคติ และทักษะ) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน ได้ค่า IOC เท่ากับ .83 ค่า CVI เท่ากับ .96, 1.0<br />และ .98 ตามลำดับ และ 2.2) การประเมินผลหลักสูตรฯ ด้วยการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างพยาบาลจิตเวช 10 คน และผู้ป่วยโรคจิตจากสารเสพติด 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Wilcoxon Signed Rank test และ Friedman Test ผลการศึกษา: 1) หลักสูตรฯประกอบด้วย 5 หน่วยการเรียนรู้ ทั้งอบรมภาคทฤษฎี และฝึกปฏิบัติ ระยะเวลา 3 สัปดาห์ ได้แก่<br />1) ทัศนคติ 2) ความรู้ 3) ฝึกทักษะ 4) ฝึกปฏิบัติ และ 5) สะท้อนคิดและสรุปผล 2) ค่ามัธยฐานสมรรถนะพยาบาลจิตเวช หลังได้รับ<br />การอบรม สูงกว่าก่อนได้รับการอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 (χ2=10.16, 6.97, 14.36) และ 3) ค่ามัธยฐานการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคจิตจากสารเสพติด หลังได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจฯ สูงกว่าก่อนได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .001 (Z = -5.51) สรุป: หลักสูตรฯ สามารถเพิ่มสมรรถนะพยาบาลจิตเวชในการเสริมสร้างพลังอำนาจฯ สำหรับผู้ป่วยส่งผลให้การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคจิตจากสารเสพติดดีขึ้น</p> กันตวรรณ มากวิจิต, อรวรรณ หนูแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273857 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็ก เพื่อทดแทนการฝึกปฏิบัติการพยาบาลในคลินิก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/267444 <p> วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กเพื่อทดแทนการฝึกปฏิบัติการพยาบาลในคลินิก วิธีการ: การวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์กลุ่มวิชาการพยาบาลเด็ก จำนวน 10 คน และนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 จำนวน 55 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กแบบผสมผสาน แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กแบบผสมสาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา: การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กแบบซับซ้อน ประกอบด้วย การออกแบบให้ผู้เรียนใช้กระบวนการพยาบาลตามสถานการณ์จำลองเป็นช่วงเวลาต่อเนื่อง<br />กลุ่มละ 2 ชั่วโมง โดยครอบคลุมการตรวจเยี่ยมและประเมินสภาพผู้ป่วย การรับเวร การประชุมปรึกษาก่อนให้การพยาบาล<br />ผู้ป่วย การปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลตามแผน การเขียนบันทึกทางการพยาบาล และการส่งเวร กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กแบบผสมผสานอยู่ในระดับมาก (M = 4.19, SD = .39) สรุป: รูปแบบการการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองทางการพยาบาลเด็กแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้นทำให้นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนมากโดยเฉพาะการเพิ่มความรู้และทักษะ โดยสามารถนำมาใช้แทนการฝึกปฏิบัติในคลินิกของนักศึกษาได้ในกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือในสถานการณ์อื่น ๆ ที่ไม่สามารถขึ้นฝึกปฏิบัติได้</p> ปิ่นสุดา สังฆะโณ, พิสมัย วัฒนสิทธิ์, จุฑารัตน์ คงเพ็ชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/267444 Mon, 25 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสบการณ์ความเสี่ยงทางจริยธรรมและการจัดการความเสี่ยงทางจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะและพิการ โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/269394 <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเสี่ยงทางจริยธรรมและการจัดการความเสี่ยงทางจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะและพิการ โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง วิธีการ: วิจัยเชิงคุณภาพแบบบรรยาย เก็บ<br />รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและแนวคำถามในการสัมภาษณ์ เกี่ยวกับความเสี่ยงทางจริยธรรมและประสบการณ์<br />ในการจัดการความเสี่ยงทางจริยธรรม วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ และข้อมูลการสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) ผลการศึกษา: พบว่าประสบการณ์ความเสี่ยงทางจริยธรรม มี 4 ประเด็น คือ 1) การให้ข้อมูลไม่เพียงพอทำให้ผู้ป่วยกังวล 2 ) ความล่าช้าในการช่วยเหลือบรรเทาความปวด 3) การเปิดเผยพื้นที่ของร่างกายที่ถูกตัดอวัยวะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอาย และ 4) การละเลยการดูแลด้านจิตใจเนื่องจากมุ่งทำกิจกรรมด้านร่างกาย และประสบการณ์การจัดการความเสี่ยงทางจริยธรรม 5 ประเด็นคือ 1) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บเมื่อไปเยี่ยมตรวจเพื่อให้ผู้ป่วยลดความวิตกกังวล 2) การแสวงหาความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะและพิการเพิ่มเติม 3) การแสดงออกถึงความเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีจิตใจที่เมตตา 4) การแสดงออกถึงการยอมรับและขอโทษด้วยความจริงใจ และ5) การดูแลด้านจิตใจในระยะสูญเสียเพิ่มเติมทันทีที่รู้ตัว สรุป: ผลการวิจัยเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลในการส่งเสริมและพัฒนาพฤติกรรมด้านจริยธรรมทางการพยาบาล</p> ภัทราวรรณ ทองตาล่วง, ปรัชญานันท์ เที่ยงจรรยา, ปราโมทย์ ทองสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/269394 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ทัศนคติของการดูแลแบบประคับประคองและส่วนประสม ทางการตลาดบริการต่อความตั้งใจใช้บริการการดูแล แบบประคับประคองในโรงพยาบาลพื้นที่ภาคใต้ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/270367 <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาทัศนคติของการดูแลแบบประคับประคองและส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อความ<br />ตั้งใจใช้บริการการดูแลแบบประคับประคองในโรงพยาบาลพื้นที่ภาคใต้ วิธีการ: กลุ่มตัวอย่างคือ ครอบครัวของผู้ป่วยระยะท้าย<br />ผู้ป่วยระยะท้าย และผู้ที่มีประสบการณ์เจ็บป่วยระยะวิกฤติ ที่มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลแบบประคับประคองและมีประสบการณ์ใช้บริการการดูแลแบบประคับประคองในโรงพยาบาลพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 400 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบ<br />สอบถาม และวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษา: พบว่า ทัศนคติและส่วนประสมทางการตลาดบริการด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical) และด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) มีผลต่อความตั้งใจใช้บริการการดูแลแบบประคับประคองในโรงพยาบาลพื้นที่ภาคใต้ สรุป: ผลของการศึกษาสามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคอง และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการส่งเสริมสุขภาพในระบบสุขภาพของประเทศไทยและในโรงพยาบาลพื้นที่ภาคใต้ได้ต่อไป</p> ฐานิตถี ทองเนื้อนวล, วรางคณา ตันฑสันติสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/270367 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะและความต้องการพัฒนาสมรรถนะ ของพยาบาลวิชาชีพในงานพยาบาลฉุกเฉินและนิติเวช ในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสงขลา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/272354 <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะในงานและความต้องการพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพงานอุบัติเหตุ<br />ฉุกเฉินและนิติเวชในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสงขลา วิธีการ: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพงาน<br />อุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสงขลา ยกเว้นหัวหน้างาน จำนวน 152 คน เครื่องมือวิจัย คือ<br />แบบสอบถามแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ระดับสมรรถนะในงาน และ 3) ความต้องการพัฒนาสมรรถนะ แบบสอบถามส่วนที่ 2 และ 3 ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (CVI = .97 และ 1.0) และค่าความเที่ยง (Cronbach’s alpha = .98) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่และร้อยละ ผลการศึกษา: 1) คะแนนเฉลี่ยของระดับสมรรถนะในงานของพยาบาลวิชาชีพอยู่ในระดับมาก (M = 4.10, SD = .50) โดยด้านการช่วยชีวิตผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.31, SD = .59) และ 2) ความต้องการพัฒนาสมรรถนะในงานอยู่ในระดับมาก (M = 4.10, SD = .50) โดยด้านที่มีความต้องการสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ การติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง (M = 4.30, SD = .67) การช่วยชีวิตผู้ป่วย<br />(M = 4.22, SD = .78) และการจำแนกประเภทผู้ป่วย (M = 4.22, SD = .69) สรุป: ควรวางแผนพัฒนาบุคลากรโดยใช้ข้อมูลการประเมินสมรรถนะด้วยตนเองของพยาบาล เพื่อยกระดับการดูแลในงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช</p> อารยา ตุวันปุเต๊ะ, ชุติวรรณ ปุรินทราภิบาล, ปราโมทย์ ทองสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/272354 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การใช้เฟซบุ๊กเพื่อทบทวนความรู้รายวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน และการรักษาพยาบาลขั้นต้นในการสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียน และรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273587 <p>วัตถุประสงค์: การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เฟซบุ๊กทบทวนความรู้รายวิชาการพยาบาลอนามัย<br />ชุมชนและการรักษาพยาบาลขั้นต้น ในการสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและ<br />การผดุงครรภ์ ได้แก่ ระดับความถี่ การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ความพึงพอใจและข้อคิดเห็นในการใช้เฟซบุ๊กทบทวนความรู้<br />วิธีการ: กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 112 คน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์<br />ปีการศึกษา 2562 เข้าสอบครั้งแรก ในเดือนกรกฎาคม 2563 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ โปรแกรมการทบทวนความรู้ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้เฟซบุ๊กทบทวนความรู้ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน<br />ค่า CVI = 1, .97 และ .81 ตามลำดับ วิเคราะข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา: พบว่า<br />กลุ่มตัวอย่างทุกคนสอบผ่านความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนฯ ในรอบแรก รายวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชนและการรักษาพยาบาลขั้นต้น<br />โดยร้อยละ 89.29 ของกลุ่มตัวอย่างใช้เฟซบุ๊กทบทวนความรู้ ความถี่โดยรวมมากที่สุด (M = 4.28, SD = 1.27) สำหรับ<br />วิธีการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย การแสดงความคิดเห็น การสอบถาม และการกลับมา<br />ทบทวนซ้ำ สำหรับความพึงพอใจโดยรวม ทั้งด้านเนื้อหา เทคนิคในการทำข้อสอบ การอำนวยความสะดวก และการสนับสนุน<br />กำลังใจ อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.38, SD = .56) สรุป: การทบทวนความรู้สามารถใช้เฟซบุ๊กเป็นแนวทางเตรียมผู้เรียน<br />ก่อนสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ได้</p> พิมพิศา ศักดิ์สองเมือง, วริศรา โสรัจจ์, ภัทรพร กิจเรณู, ผลิดา หนุดหละ, ศิริมาศ ภูมิไชยา, พิศมัย บุติมาลย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273587 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยทารก เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอห้วยยอด https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273352 <p>วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนา และศึกษาความเป็นไปได้ของการนำรูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยทารก<br />เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอห้วยยอดไปใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์จนถึงอายุ 2 เดือน วิธีการ: การวิจัย<br />และพัฒนา แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการณ์และความต้องการในการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยสนทนากลุ่มบุคลากรงานด้านเด็กปฐมวัย สัมภาษณ์มารดาระยะหลังคลอด และศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 2 พัฒนา<br />รูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยทารก และระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ ในมารดาและบุตรจำนวน 7 คู่ ในพื้นที่<br />เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยทารก ประกอบด้วย คู่มือการดำเนินงานของ<br />เจ้าหน้าที่ สมุดบันทึกการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก แบบประเมินทักษะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 2) แบบสอบถามพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย และ 3) แบบประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษา: รูปแบบประกอบด้วย 3 ระยะ 1) ระยะตั้งครรภ์ โดยสร้างทัศนคติเชิงบวกหญิงตั้งครรภ์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 2) ระยะหลังคลอด โดยฝึกทักษะมารดาในการส่งเสริมพัฒนาการตามคู่มือการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย และ 3) ระยะติดตาม โดยค้นหาปัญหาอุปสรรค และให้คำแนะนำมารดาที่บ้านอย่างต่อเนื่อง ผลการ<br />ทดลองใช้รูปแบบพบว่า พฤติกรรมส่งเสริมพัฒนาการของมารดา 7 วันและ 30 วันหลังคลอดอยู่ในระดับสูง (M = 2.62,<br />SD= .12; M=2.90, SD= .12 ตามลำดับ) พัฒนาการเด็กช่วงอายุ 1 และ 2 เดือนสมวัยทุกด้าน สรุป: รูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยทารกเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอห้วยยอด สามารถนำมาใช้เพื่อเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็ก </p> กมลวัลย์ สุขขาว, ปราณี คำจันทร์, พิสมัย วัฒนสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/273352 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700