วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon <p>วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี เป็นวารสารที่รับบทความวิชาการหรือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานป้องกันควบคุมโรคและภัยคุกคามสุขภาพ ทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการและรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับงานป้องกันควบคุมโรคแก่หน่วยงานและบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข (2) เพื่อรายงานความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (3) เพื่อเป็นสื่อกระชับความสัมพันธ์ทางแนวคิดและปฏิบัติงานระหว่างสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 สำนักงานสาธารณสุข ศูนย์วิชาการเขต และกรมกองต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี th-TH วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี 2730-194X <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานีและบุคลากรท่านอื่นๆในสำนักงานฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> การศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร ต่อค่าดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอว ในผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/275591 <p>การศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารต่อค่าดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอวในผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ใช้การเปรียบเทียบแบบ pretest-posttest control group กลุ่มตัวอย่างจำนวน 70 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 ราย ดำเนินการศึกษานาน 12 สัปดาห์ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ประยุกต์จากสูตรอาหารต้นทางร่วมกับทฤษฎีลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีระดับความรู้เฉลี่ยเพิ่มจากมัธยฐาน 7.00 เป็น 10.00 คะแนน และพฤติกรรมสุขภาพเพิ่มจาก 1.00 เป็น 1.60 คะแนน ในขณะที่กลุ่มควบคุมเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ค่าดัชนีมวลกายของกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 28.32 ± 3.47 เป็น 26.44 ± 2.91 (p&lt;0.001) และเส้นรอบเอวลดลงจาก 93.51 ± 9.47 ซม. เป็น 88.34 ± 9.18 ซม. ขณะที่กลุ่มควบคุมมีค่าดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวเพิ่มขึ้น นำมาสู่ข้อเสนอแนะเรื่องโปรแกรมที่มีประสิทธิผลในการลดความเสี่ยงของภาวะอ้วนลงพุง ควรส่งเสริมให้นำไปขยายใช้ในพื้นที่อื่น และดำเนินการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของพฤติกรรมสุขภาพ</p> ทิพาพร ราชาไกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 10 22 การศึกษาวิธีการใช้สารที่เหมาะสมในการลดปริมาณฟอร์มาลีนตกค้างในสไบนาง หมึกกรอบ ปลาหมึก และแมงกะพรุน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/275686 <p>การศึกษาเชิงทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการลดสารฟอร์มาลีนตกค้างในสไบนาง หมึกกรอบ ปลาหมึก และแมงกะพรุน ด้วยด่างทับทิม ผงถ่าน น้ำส้มสายชู และเกลือ ผลการทดลองพบว่าด่างทับทิมและผงถ่านสามารถลดปริมาณสารฟอร์มาลีนในอาหารได้ดีที่สุดรองลงมาคือ น้ำส้มสายชูและเกลือ ตามลำดับ ผลการทดลองลดปริมาณสารฟอร์มาลีนในสไบนาง หมึกกรอบ ปลาหมึกสด และแมงกะพรุน พบว่า ด่างทับทิมและผงถ่านสามารถลดปริมาณสารฟอร์มาลีนจากระดับความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 41 ppm ให้อยู่ในระดับความเข้มข้นน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.5 ppm ในระยะเวลาการแช่ 10 20 และ 30 นาที น้ำส้มสายชูสามารถลดปริมาณฟอร์มาลีนจากระดับความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 41 ppm ให้อยู่ในระดับความเข้มข้นน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.5 ppm ในหมึกกรอบและปลาหมึก แต่ในสไบนางและแมงกะพรุนสามารถลดปริมาณสารฟอร์มาลีนได้เพียง 1 ระดับ คือจากระดับความเข้มข้นมากกว่า 41 ppm เหลือระดับความเข้มข้น 21-40 ppm ในระยะเวลาการแช่ 10 20 และ 30 นาที และพบว่า เกลือสามารถลดปริมาณสารฟอร์มาลีนในสไบนางและปลาหมึกสดได้ 1 ระดับ คือจากระดับความเข้มข้นมากกว่า 41 ppm เหลือระดับความเข้มข้น 21-40 ppm ในระยะเวลาการแช่ 20 และ 30 นาที อย่างไรก็ตามด่างทับทิมและผงถ่านส่งผลต่อสีอาหารทำให้อาหารเปลี่ยนเป็นสีดำไม่น่ารับประทาน จึงอาจไม่เหมาะในการนำมาใช้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภคจากการวิจัยนี้เสนอแนะว่าควรใช้น้ำส้มสายชูแช่อาหารเป็นเวลา 20-30 นาที และล้างด้วยน้ำเปล่า 2-3 ครั้ง ก่อนนำไปประกอบอาหาร เป็นวิธีการที่เหมาะสม สามารถลดสารฟอร์มาลีนในอาหารได้ และไม่ทำให้อาหารเปลี่ยนสี</p> ณลินทร โกศล นูรฟาติน สระโพธิ์ นูรุลฮูดา เล็งฮะ พาดีละห์ อาแว ธารินี ลีละทีป ศิริวรรณ วัฒนภักดี ขวัญฤทัย โสมสัย เหลืองแก้ว โกยทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 23 35 ผลการประยุกต์ใช้โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียของอาสาสมัครสาธารณสุข พื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดสุรินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/274512 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการประยุกต์ใช้โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางด้านสุขภาพในการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรีย ของอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 แบ่งเป็นจากพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูง จำนวน 45 คน และเสี่ยงต่ำ จำนวน 45 คน เครื่องมือวิจัย คือ โปรแกรมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการควบคุมและกำจัดโรคไข้มาลาเรียของ อสม.หมอประจำบ้าน อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ การรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรีย ของอาสาสมัครสาธารณสุข เป็นเวลา 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบ t-test </p> <p>ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างในพื้นที่เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 91.1 และ 88.5 สถานภาพสมรส ร้อยละ 71.1 และ 68.8 ระดับการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ 51.2 และ 48.9 ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 91.1 และ 84.4 ระยะเวลาการเป็น อสม. อยู่ระหว่าง 11 - 20 ปี ร้อยละ 42.9 และ 21.8 และประวัติการเจ็บป่วย มีโรคประจำตัว ร้อยละ 29.2 และ 28.9 ตามลำดับ การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 ทั้งในกลุ่มพื้นที่เสี่ยงสูงและในกลุ่มพื้นที่เสี่ยงต่ำ โดยกลุ่มพื้นที่เสี่ยงสูง พบว่า มีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม เท่ากับ 133.06 หลังเข้าร่วมโปรแกรม เท่ากับ 144.02 และพื้นที่เสี่ยงต่ำมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม เท่ากับ 131.93 และหลังเข้าโปรแกรม เท่ากับ 146.29 จึงสรุปได้ว่าโปรแกรมสามารถพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ และควรดำเนินกิจกรรม ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะๆ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาพบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลง และกระตุ้นให้มีความคงอยู่ของความรอบรู้ ในการเร่งรัดกำจัดมาลาเรียทั้งในพื้นที่อำเภอเสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามควรมีการวัดผลในเรื่องของพฤติกรรมสุขภาพด้วยสำหรับแผนการพัฒนาในครั้งถัดไป</p> ศรเพชร มหามาตย์ สุนันทา พันขุนคีรี สุริยา ไหมทอง กัลยา วีระวงศ์สวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 36 48 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารในบุคลากรสาธารณสุข กรณีศึกษาโรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/275490 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารในบุคลากรด้านสาธารณสุขของโรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรด้านสาธารณสุขจำนวน 154 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามแผนกที่ให้บริการผู้ป่วย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ครอบคลุมปัจจัยด้านบุคคล ลักษณะงาน และสิ่งแวดล้อมร่วมกับการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคารด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ และการระบายอากาศ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาเพื่อแสดงค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับการเกิดกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคาร ผลการศึกษาพบความชุกของกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารร้อยละ 28.6 (ค่าความเชื่อมั่นที่ 95% = 21.4–35.7) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคคล คือ การมีโรคประจำตัว (OR<sub>adj</sub> = 2.85, 95% CI: 1.32-6.14) และปัจจัยด้านลักษณะงาน คือ ความคิดเห็นด้านอากาศในที่ทำงาน (OR<sub>adj</sub> = 3.50, 95% CI: 1.60-7.64) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังสุขภาพในกลุ่มบุคลากรด้านสาธารณสุขที่มีโรคประจำตัวควบคู่กับการปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งส่งเสริมการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้อาคารต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคารโดยเฉพาะด้านคุณภาพอากาศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการป้องกันและลดความชุกของกลุ่มอาการป่วยเหตุอาคารในสถานพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ชัชนันท์ ปู่แก้ว สร้อยสุดา เกสรทอง นนท์ธิยา หอมขำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 49 63 ระบาดวิทยาและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติ เขตสุขภาพที่ 1 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/276906 <p>โรคไข้มาลาเรียยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางระบาดวิทยาและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติ เขตสุขภาพที่ 1 ตั้งแต่ปี 2563 - 2567 โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากระบบมาลาเรียออนไลน์ กรมควบคุมโรค จำนวน 5,747 ราย วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบไคสแควร์ (p &lt; 0.05) ผลการศึกษาพบผู้ป่วยต่างชาติมากกว่าผู้ป่วยชาวไทยประมาณ 1.4 เท่า ผู้ป่วยชาวไทยเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2.5 เท่า ส่วนใหญ่อายุ 25 - 44 ปี ส่วนผู้ป่วยต่างชาติเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 1.9 เท่า ส่วนใหญ่อายุ 15 - 24 ปี และเป็นชาวเมียนมาร้อยละ 96.7 ผู้ป่วยชาวไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 19.7 ผู้ป่วยต่างชาติส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 48.6 พบผู้ป่วยมากสุดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบการติดเชื้อ <em>Plasmodium vivax</em> มากที่สุด โดยพบการระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - สิงหาคม) ผู้ป่วยชาวไทยส่วนใหญ่ติดเชื้อในกลุ่มบ้านที่ผู้ป่วยอาศัย ร้อยละ 36.7 ส่วนผู้ป่วยต่างชาติส่วนใหญ่ติดเชื้อจากต่างประเทศ ร้อยละ 47.1 ผู้ป่วยชาวไทยมีพฤติกรรมการนอนในมุ้งและใช้ยาทากันยุงมากกว่าผู้ป่วยต่างชาติ สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อมาลาเรียในกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติพบว่า เพศ อายุ การไปพักแรมก่อนเป็นไข้ อาชีพ แหล่งติดเชื้อ การมีมุ้งใช้ การนอนในมุ้ง การใช้ยาทากันยุง การพ่นสารเคมีในแหล่งติดเชื้อ การพ่นสารเคมีในบ้านของผู้ติดเชื้อ การเจาะโลหิตค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ และการติดตามการรักษา มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อมาลาเรียอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคไข้มาลาเรียได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุตามเป้าหมายการกำจัดโรคไข้มาลาเรียของประเทศไทยต่อไป</p> กรรณิการ์ แก้วจันต๊ะ รุจิรา ต๊ะจันทร์ ดนัยพร กันธวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 64 77 การพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวังป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก อำเภอเมืองอุบลราชธานี ด้วยกระบวนการเทคนิคการสร้างการมีส่วนร่วมแบบพหุภาคี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/275523 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และประเมินผลการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อำเภอเมืองอุบลราชธานี ด้วยกระบวนการเทคนิคการสร้างการมีส่วนร่วมแบบพหุภาคี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กลุ่มตัวอย่างที่ร่วมพัฒนาศักยภาพ ได้แก่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และตัวแทนประชาชน จำนวน 15 คน 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินผล ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 45 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวิเคราะห์บริบท 2) แนวคำถามในการสนทนาแบบมีส่วนร่วม 3) แบบประเมิน ความรู้ พฤติกรรมและการมีส่วนร่วมมีค่าความเชื่อมั่น 0.86, 0.86 0.88 และ 4) แบบประเมินค่าดัชนีความชุกลูกน้ำยุงลาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Paired Sample T-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการพัฒนาศักยภาพ อสม. ประกอบด้วย 1) ศึกษาสภาพการณ์ วิเคราะห์ปัญหาการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน 2) วิเคราะห์ความต้องการของพื้นที่โดยการระดมสมองแบบกลุ่มภาคีเครือข่าย โดยผู้มีส่วนร่วม 3) สร้างเครือข่ายการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน 4) ขับเคลื่อนการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมของทีมระบบสุขภาพอำเภอในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก 5) พัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 6) เสริมสร้างสมรรถนะชุมชนในการแก้ไขปัญหาโรคไข้เลือดออกโดยใช้ Technology of Participation: TOP และ 7) จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันไข้เลือดออก โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) เป็นกลไกกลางในการประสานงานและขับเคลื่อนนโยบาย จากการพัฒนาศักยภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ พฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก และการมีส่วนร่วม ดีขึ้นกว่าก่อนการพัฒนาศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value&lt;0.001) มีค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (HI) เท่ากับ 13.10 และ Container Index (CI) เท่ากับ 4.17</p> อัจฉราภรณ์ ยะฮาด มณฑิชา รักศิลป์ นพรัตน์ ส่งเสริม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 78 92 ผลการดำเนินงานรักษาวัณโรคระยะแฝงในกลุ่มผู้สัมผัสวัณโรคในเขตสุขภาพที่ 11 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/277731 <p>การศึกษาครั้งนี้ใช้การวิจัยรูปแบบ Descriptive Retrospective Cohort Study โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังจากโปรแกรมรายงานข้อมูลวัณโรคของประเทศไทย (NTIP) และแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) ประเมินผลการดำเนินงานการรักษาวัณโรคระยะแฝงในกลุ่มผู้สัมผัสวัณโรค (2) ค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการติดเชื้อและความสำเร็จของการรักษาวัณโรคระยะแฝงของผู้สัมผัสวัณโรค ในเขตสุขภาพที่ 11 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สัมผัสวัณโรคที่เข้ามารับการคัดกรองวัณโรคจากฐานข้อมูลโปรแกรม NTIP ปีงบประมาณ 2564-2566 จำนวน 27,374 ราย ผลการศึกษา พบว่าเป็นผู้สัมผัสร่วมบ้าน 17,335 ราย (63.32%) ผู้สัมผัสใกล้ชิด 10,039 ราย (36.67%) สัดส่วนผู้ป่วยวัณโรคต่อ ผู้สัมผัสวัณโรคร่วมบ้าน เท่ากับ 1 : 2.2 มีภาพรังสีทรวงอกผิดปกติ 1,930 ราย (7.05%) และวินิจฉัยเป็นวัณโรค 696 ราย (2.54%) ผู้สัมผัสอายุ ≥5 ปี ตรวจพบมีการติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง ร้อยละ 26.28 ได้รับการรักษาวัณโรคระยะแฝง 1,768 ราย กลุ่มอายุ ≥5 ปี สมัครใจรักษา ร้อยละ 96.37 และกลุ่มอายุ &lt;5 ปี ร้อยละ 58.36 ผลการรักษา มีอัตรารักษาครบร้อยละ 89.48 โดยมีสูตรยา 1HP รักษาครบทุกราย รองลงมาคือ 4R และ 3HP ร้อยละ 97.85 และ 92.15 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พบ เพศชายมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่าเพศหญิง ร้อยละ 23.9 กลุ่มอายุ พบกลุ่มอายุ 5–14 ปี และ 25-44 ปี มีโอกาสติดเชื้อวัณโรคระยะแฝงสูงกว่ากลุ่ม ≥65 ปี ถึง 2.11 เท่า และ 1.3 เท่า และพบผู้สัมผัสร่วมบ้านมีโอกาสติดเชื้อวัณโรคระยะแฝงสูงกว่าผู้สัมผัสใกล้ชิดประมาณ 4.87 เท่า และกลุ่มที่ได้รับยาสูตรอื่นๆ (3HR, 1HP, 4R) พบมีโอกาสรักษาครบน้อยกว่าผู้ที่ได้รับ 6-9H ประมาณร้อยละ 48 ดังนั้นการค้นหาผู้สัมผัส ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อให้ตรวจพบได้เร็ว ลดการแพร่กระจายของวัณโรคในพื้นที่และการป่วยเป็นวัณโรคในอนาคต</p> กมลวรรณ อิ่มด้วง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 93 107 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันวัณโรค ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/273685 <p>วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก ถูกกำหนดเป็นเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านโรคติดเชื้อของประเทศไทย จังหวัดกาฬสินธุ์มีผู้ป่วยวัณโรคที่ต้องขึ้นทะเบียนรักษายังไม่ครอบคลุมเมื่อเทียบกับค่าเป้าหมายร้อยละ 90 และการขับเคลื่อนงานป้องกันควบคุมโรคเชิงรุกต้องใช้กลไกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจระดับและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันวัณโรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 200 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ประยุกต์จากเครื่องมือมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติไคสแควร์ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า อสม.ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 168 คน คิดเป็นร้อยละ 84.00 อายุน้อยกว่า 60 ปี 134 คนคิดเป็นร้อยละ 67.00 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า จำนวน 128 คน คิดเป็นร้อยละ 64.00 ระยะเวลาการเป็น อสม. เฉลี่ย 17.08 ปี (S.D. ±10.32) ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันวัณโรคของ อสม. ภาพรวมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 50.67 และทุกองค์ประกอบส่วนใหญ่มีความรอบรู้อยู่ในระดับสูง อายุและระดับการศึกษาเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P-value=0.016 และ P-value=0.004 ตามลำดับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานวัณโรคในพื้นที่ควรมีการออกแบบโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับวัณโรคที่เหมาะสมกับกลุ่มอายุและระดับการศึกษาของ อสม. เพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันและควบคุมวัณโรคให้สูงขึ้น นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์สุขภาพเกี่ยวกับวัณโรคต่อไป</p> ประณิตา แก้วพิกุล ภัทราวดี ภักดีแพง ธเนศ นนท์ศรีราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 108 118 การประเมินผลการจัดบริการอาชีวอนามัยและเวชกรรมสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 3 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/odpc10ubon/article/view/277160 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการจัดบริการอาชีวอนามัยและเวชกรรมสิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 3 ตามเกณฑ์และแนวทางการตรวจประเมินการจัดบริการอาชีวอนามัยฯ กรมควบคุมโรค ปี 2565-2567 โดยคัดเลือกโรงพยาบาลที่สมัครเข้าร่วมแบบเฉพาะเจาะจง 48 แห่งจากทั้งหมด 54 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 88.88 และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและอนุมาน ผลการศึกษาพบว่า จำนวนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีโรงพยาบาลเข้าร่วมมากที่สุด 29 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป มีผลการประเมินระดับดีมากถึงดีเด่น ผลรายองค์ประกอบส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์ ยกเว้นองค์ประกอบที่ 4 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 2 แห่ง ซึ่งเป็นเรื่องการจัดบริการอาชีวอนามัยฯ เชิงรับ ส่วนโรงพยาบาลชุมชนมีผลการประเมินตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงดีมาก โดยผลรายองค์ประกอบที่ 1 และ 2 ผ่านเกณฑ์ทุกปี องค์ประกอบที่ 3 การจัดบริการเชิงรุก บางแห่งไม่ผ่านเกณฑ์ในปี 2565 และองค์ประกอบที่ 4 ทุกแห่งยังไม่ผ่านเกณฑ์ สำหรับค่าคะแนนเฉลี่ยต่ำในรายข้อของ รพศ./รพท. ได้แก่ การจัดการความรู้ การเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และการจัดบริการเชิงรับ ส่วนใน รพช. ที่มีผลค่าคะแนนเฉลี่ยต่ำเป็นเรื่องการวิจัย การจัดทำคู่มือ/แนวทางปฏิบัติ การรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน การจัดการความเสี่ยงสภาพแวดล้อมในการทำงาน การเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การคัดกรองสุขภาพจากมลพิษสิ่งแวดล้อม และการจัดบริการเชิงรับ ผลการศึกษาในรพ. 15 แห่ง ที่มีการประเมินต่อเนื่องในปี 2565 และ 2567 พบว่าร้อยละคะแนนเฉลี่ยในองค์ประกอบที่ 1 2 3 และ 5 สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาที่ดีขึ้นหากมีการประเมินต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามควรมีการพัฒนาเรื่องการจัดบริการอาชีวอนามัยฯ เชิงรับ (องค์ประกอบที่ 4) รวมถึงควรทบทวนหรือปรับเกณฑ์จากผลการประเมินโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับมาตรฐานและการดำเนินงานของโรงพยาบาลในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายในการจัดทำเกณฑ์คุณภาพการจัดบริการอาชีวอนามัยฯ ตาม พ.ร.บ. ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562</p> หรรษา รักษาคม ยุพิน อินพิทักษ์ อรัญตา สมานกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 23 2 119 134