วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu <p>วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นวารสารด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของบุคลากรด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งนี้ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 2 (รอบประเมินที่ 4 พ.ศ. 2563-2567 ครั้งที่ 3) บทความในวารสารฯ ทุกเรื่องจะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ก่อนการเผยแพร่บทความ (Double blinded peer review) ผู้สนใจสามารถส่งบทความเพื่อขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ได้ทางระบบออนไลน์</p> <p> </p> <p>ISSN 2821-9856 (Online)</p> th-TH rotruedee@go.buu.ac.th (Asst.Prof.Dr. Rotruedee Chotigawin) yanin@go.buu.ac.th (Yanin Siranonthana) Fri, 25 Apr 2025 11:25:44 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การออกแบบและพัฒนาเครื่องนับเม็ดยาแบบอัตโนมัติเพื่อลดภาระงานด้านเวลาในการนับเม็ดยาของ เจ้าหน้าที่แผนกเภสัชกรรมในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ของจังหวัดกาญจนบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272710 <p>การนับเม็ดยาในโรงพยาบาลชุมชนใช้เวลานาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของ เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม และระยะเวลารอรับยาของผู้ป่วย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาเครื่องนับเม็ดยาอัตโนมัติ เพื่อลดภาระงานด้านเวลาในการนับเม็ดยาของ เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม ในโรงพยาบาลชุมชน โดยเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ใช้วิธีการเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้งาน (One group pretest-posttest) โดยประเมินระยะเวลาในการนับเม็ดยา และความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ เภสัชกรรม ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้การทดสอบ Mann-Whitney U Test วิเคราะห์ระยะเวลาในการนับเม็ดยาจำนวน 10 รายการ ผลการศึกษาพบว่าเครื่องนับเม็ดยาอัตโนมัติสามารถลดระยะเวลาในการนับเม็ดยาลงได้เฉลี่ยประมาณร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับการนับด้วยมือ และสามารถช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) ในทุกประเภทของยา ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมจำนวน 4 คนที่เข้าร่วมการศึกษาในครั้งนี้มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ทั้งในด้านประโยชน์ที่ได้รับ, ความเข้ากันได้กับระบบงาน และประสิทธิผลของเครื่องนับเม็ดยา โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 35.50 จาก 36 คะแนนและมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ± 0.58</p> ณัฐนันท์ ภูพิชฏาณัฏฐ์, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์, ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272710 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของวัสดุดูดซับเสียงในการลดระดับความดังของเสียงจากเครื่อง Cone Crusher ในโรงงานโม่หินแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273476 <p>เสียงดังจากเครื่อง Cone Crusher ในโรงงานโม่หิน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพพนักงานและสร้างความรำคาญต่อชุมชนใกล้เคียง การลดเสียงด้วยวัสดุดูดซับเสียงจึงเป็นวิธีที่สำคัญ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบและเลือกวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการลดเสียง เปรียบเทียบระดับเสียงก่อนและหลังการติดตั้งวัสดุ และลดระดับเสียงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด โดยทดลองกับวัสดุ 3 ประเภท ได้แก่ ฉากแกลบผสมโฟม ฉากโฟม และ ฉากโฟมทับด้วยแกลบผสมโฟม ในช่วงความถี่ 8–8000 Hz และระยะ 1, 3, 5, และ 7 เมตร ผลการทดลองพบว่า ฉากแกลบผสมโฟมลดระดับเสียงได้อยู่ระหว่าง 2.76–5.37 dB โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงความถี่ต่ำถึงปานกลาง (8–500 Hz) ฉากโฟมลดระดับเสียงได้ 2.97 dB ที่ระยะ 1 เมตร เหมาะสำหรับความถี่ปานกลางถึงสูง (250–8000 Hz) ฉากโฟมทับด้วยแกลบผสมโฟมลดระดับเสียงได้อยู่ระหว่าง 2.26-9.87 dB ครอบคลุมทุกช่วงความถี่ โดยลดเสียงในระยะใกล้ได้สูงสุด 9.87 dB โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะควรพัฒนาและทดลองวัสดุดูดซับเสียงทางเลือกใหม่ เช่น วัสดุรีไซเคิล หรือวัสดุธรรมชาติชนิดอื่น ๆ รวมถึงขยายการทดลองไปยังโรงงานประเภทอื่น และศึกษาความคุ้มค่าในการใช้งานระยะยาว เพื่อเพิ่มความยั่งยืนและการประยุกต์ใช้ในบริบทที่หลากหลาย</p> ธีรพล สุขวัฒนาสินิทธิ์, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์, ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273476 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272536 <p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องต่อการมองเห็น 2)พฤติกรรมการป้องกันดวงตา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 407 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ สถิติอ้างอิงด้วยวิธีทดสอบไค-สแควร์ ผลการศึกษาพบว่า การรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่อการมองเห็นของผู้สูงอายุภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 66.80 มีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 62.70 และระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมีความความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยการรับสัมผัสฝุ่นละออง จากเส้นทางการจราจร เขตก่อสร้าง ฝุ่นละอองที่เป็นมลพิษ (PM<sub>2.5</sub>) ระดับเสี่ยงสูงมีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมากกว่าระดับเสี่ยงต่ำ และการรับสัมผัสควันจาก บุหรี่ ท่อไอเสีย การเผาไหม้ระดับเสี่ยงสูงมีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมากกว่าระดับเสี่ยงต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยง ผลกระทบจากการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อม การหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อดวงตา และอุปกรณ์ป้องกันดวงตาให้กับผู้สูงอายุ รวมถึงการบำรุงดวงตา</p> ณัทธร สุขสีทอง, กุหลาบ รัตนสัจธรรม, วสุธร ตันวัฒนกุล, อนามัย เทศกะทึก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272536 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อการนันทนาการของผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272332 <p>การวิจัยภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ ความตระหนัก และพฤติกรรมการป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อการนันทนาการของบุตรหลาน ของผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกัน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองของนักเรียนมัธยมศึกษาจาก 5 โรงเรียน โรงเรียนละ 100 คน ทำการกำหนดสัดส่วนในแต่ละชั้นปี และสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 500 คน มีการใช้กัญชาและกระท่อมร้อยละ 2.2 และ 1.8 ตามลำดับ มีการปลูกกัญชาหรือกระท่อมเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ร้อยละ 4.3 และได้รับข้อมูลข่าวสารจากโรงเรียน ร้อยละ 52.4 กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ต่อกัญชาและกระท่อมในระดับต้องปรับปรุง ร้อยละ 41.9 และ 45.5 ตามลำดับ มีความตระหนักต่อกัญชาและกระท่อมในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.2 และ 49.2 ตามลำดับ และมีพฤติกรรมการป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมของบุตรหลานในระดับเหมาะสมร้อยละ 67.2 และพบว่าปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันของผู้ปกครอง ประกอบด้วย เพศหญิง, การได้รับข้อมูลโทษของกัญชา/กระท่อมที่มีต่อเด็ก, การได้รับข้อมูลจากโรงเรียน, การเป็นบิดา-มารดาของเด็ก, ความรู้ต่อโทษของกัญชาที่มีต่อเด็กระดับปานกลางถึงดี และความตระหนักต่อโทษของกัญชาที่มีต่อเด็กในระดับปานกลางถึงเหมาะสม โดยสามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 38.1 ข้อเสนอแนะคือ สถานศึกษาควรสนับสนุนให้ผู้ปกครองมีบทบาทในเชิงรุก เช่น การพูดคุยหรือแนะนำโทษของกัญชาและกระท่อม การเฝ้าระวังหรือสอดส่องพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงการร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมในเด็กและเยาวชน</p> อุษาวดี สุตะภักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272332 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270551 <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย 3) ประเมินและปรับปรุงรูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย และ 4) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหลังการทดลองใช้รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย โดยแบ่งการวิจัยเป็น 4 ระยะ โดยผลการศึกษาในระยะที่ 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ แรงจูงใจเกี่ยวกับการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ทัศนคติต่องานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ สามารถทำนายสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุร้อยละ 21.05 ระยะที่ 2 รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุ ตามกรอบทฤษฎีความสามารถของตนเอง (Self-efficacy model) จำนวน 22 แนวทาง ระยะที่ 3 รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุ จำนวน 57 แนวทาง และระยะที่ 4 ก่อนใช้รูปแบบฯ สมรรถนะในด้านความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ไม่มีความแตกต่างกัน หลังทดลองใช้รูปแบบฯ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีสมรรถนะในการปฏิบัติงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ และสมรรถนะภาพรวมเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> สุจินดา นันที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270551 Fri, 02 May 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270735 <p>การตัดสินใจมีความสำคัญมากต่อการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 287 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ผลการศึกษา พบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 86.1) มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 97.9) มีการสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 61.3) มีการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับตัดสินใจ (ร้อยละ 93.0) ส่วนด้านปัจจัย พบว่า ผู้ดูแลมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ( <em>x</em><sup>2</sup>= 5.386, p = 0.020) และพบว่าแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub> = 0.198, p&lt;0.001; r<sub>s</sub> = 0.240, p&lt;0.001) ดังนั้น ควรมีการส่งเสริมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและการสนับสนุนทางสังคม รวมถึงการเพิ่มพูนความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> รินรดา กอดิษฐ์, กานต์ธีรา เงินขำ, มัททรี เพ็ชรรัตน์, หทัยภัทร ศรีไชยวงค์, ชฏารัตน์ ทรัพย์เอนก, วรรณวิสา ส่งละออ, วิชญาดา พรอ้าย, พิมพ์ชนก สิงหะกำ, มณุเชษฐ์ มะโนธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270735 Wed, 07 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อลดการสูญเสียจากการทำงาน กรณีศึกษา โรงงานอาหารแปรรูปแห่งหนึ่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273634 <p>งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาประสิทธิผลของการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อลดการสูญเสียจากการทำงาน กรณีศึกษา โรงงานอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง โดยทำการรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ ก่อนและหลังการประยุกต์ใช้หลักการ WCM ในระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของบริษัทและประเมินประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้ระบบ WCM ด้วยทฤษฎีระบบของการจัดการในภาพรวมในช่วงปี 2563-พ.ศ.2566 ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการในการประยุกต์ใช้มีประสิทธิผลอยู่ในระดับดี มีค่าคะแนนส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีถึงดีมาก โดยการประเมินทั้ง 3 องค์ประกอบ คือปัจจัยเข้า (Input) แบ่งออกเป็น 5 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วยนโยบาย คณะทำงาน เวลา งบประมาณและ การอบรมให้ความรู้ กระบวนการ (Process) แบ่งออกเป็น 5 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วย วิเคราะห์หาสาเหตุรากเหง้าของปัญหา การประเมินความเสี่ยงเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาและจัดทำมาตรฐาน ตรวจติดตามมาตรการความปลอดภัย ขยายผลมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานต้นแบบไปยังทุกพื้นที่ในโรงงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงาน และผลผลิต (Output) แบ่งออกเป็น 4 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วย ค่าการความสูญเสีย สถิติด้านความปลอดภัย วัฒนธรรมความปลอดภัยขององค์กร และความสอดคล้องกับกฎหมายพบว่า คะแนนที่ได้ 25.01 21.84 และ 36.0 คะแนน ตามลำดับ สรุปผลการประเมินประสิทธิผลการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย ของบริษัท ได้ 82.85 คะแนน จาก 100 คะแนน อยู่ในระดับ ดี โดยผลการพบว่าการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมีการจัดการความปลอดภัย เป็นระบบแบบแผน อัตราความถี่ของการเกิดอุบัติเหตุลดลงและความรุนแรงของการเกิดอุบัติเหตุลดลง และทำให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุบัติเหตุลดลง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าความเสียหาย ตลอดจนเงินทดแทนที่ต้องจ่ายสมทบแก่กองทุนเงินทดแทนมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน</p> ปาจรีย์ สากำ, ธีรพันธ์ แก้วดอก, นิตย์ตะยา ผาสุขพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273634 Wed, 07 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของกล่องดูดซับเสียงในการลดเสียงดังจากเครื่อง STAMP LOT ของแผนกเชื่อมไฟฟ้า: กรณีศึกษาโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274171 <p>ปัญหาเสียงดังจากเครื่อง Stamp Lot เกิดเนื่องจากลักษณะการทำงานของเครื่อง Stamp Lot เป็นการปั๊มสัญลักษณ์โดยใช้หัวเข็มที่เป็นโลหะ ปั๊มลงบนชิ้นงานที่เป็นโลหะจึงทำให้เกิดเสียงดังที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบกล่องดูดซับเสียงและติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงที่จะใช้ในการลดระดับความดังของเสียงจากเครื่อง Stamp Lot ให้อยู่ในเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด โดยศึกษาเปรียบเทียบระดับความดังของเสียงจากเครื่อง Stamp Lot ระหว่างก่อนและหลังการใช้กล่องดูดซับเสียง ในการวิจัยนี้ผู้ทำการวิจัยและหน่วยงานวิศวกรรมของโรงงานกรณีศึกษา ได้ร่วมกับออกแบบกล่องดูดซับเสียง ให้สอดคล้องกับวิธีการทำงานของเครื่องจักร และเพื่อความแข็งแรงได้ติดตั้งกล่องดูดซับเสียงโดยยึดติดกับเครื่อง Stamp Lot ให้เป็นชิ้นเดียวกัน รวมทั้งบุผนังด้านในด้วยวัสดุดูดซับเสียงชนิดโพลียูรีเทน (Polyurethane) ที่มีรูปร่างแบบรังไข่ โดยเป็นการศึกษาวิจัยแบบทดลอง 1 กลุ่ม (Experimental one group) โดยเปรียบเทียบผลการตรวจวัดเสียงแบบก่อน-หลัง การปรับปรุง ซึ่งผลการศึกษาพบว่าค่าระดับเสียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทำการบันทึกข้อมูล (LAeq) หลังการติดตั้งกล่องลดเสียงและติดตั้งวัสดุดูดซับเสียง มีค่าอยู่ระหว่าง 88.7-91.6 dB(A) ซึ่งลดลงจากค่าระดับเสียงเฉลี่ยก่อนการติดตั้งกล่องดูดซับเสียงเสียงที่มีค่าอยู่ระหว่าง 100.4-100.7 dB(A) ข้อเสนอแนะในการออกแบบกล่องดูดซับเสียงจะต้องออกแบบโครงสร้างกล่องดูดซับเสียงให้เหมาะสมกับเครื่อง Stamp Lot แต่ละเครื่อง ให้มีรูปร่างและขนาดที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน มีรูปลักษณ์ลักษณะที่แข็งแรง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและพึงพอใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน</p> เนติศาสตร์ ไชยบุตร, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์ , ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274171 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงงานผลิตวัคซีนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273744 <p>อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีน มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีความต้องการใช้ทั้งพลังงานและทรัพยากรสิ้นเปลือง ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก (GHGs) และเพื่อเสนอแนะมาตรการในการลดการปล่อย GHGs ให้กับโรงงานผลิตวัคซีนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี โดยประยุกต์ใช้หลักการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรเป็นเครื่องมือในการศึกษา ผลจากการศึกษาพบว่า ปริมาณการปล่อย GHGs ของโรงงานผลิตวัคซีน มีค่าเท่ากับ 6,974,252.99 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (kgCO<sub>2</sub>e/y) การปล่อย GHGs ทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อปริมาณการปล่อย GHGs สูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 67.43 รองลงมาเป็นการปล่อย GHGs ทางอ้อมอื่น ๆ และการปล่อย GHGs ทางตรง คิดเป็นร้อยละ 23.08 และ 9.49 ตามลำดับ กิจกรรมที่ส่งผลต่อการปล่อย GHGs สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การใช้และการได้มาซึ่งไฟฟ้า การใช้และการได้มาซึ่ง LPG การใช้ไข่ไก่ฟัก การใช้สารทำความเย็น และการกำจัดของเสียทั่วไป (ปริมาณการปล่อย GHGs เท่ากับ 5,631,207.39, 576,488.71, 244,821.55, 224,268.00 และ154,771.24 kgCO<sub>2</sub>e/y ตามลำดับ) ขณะที่ปริมาณการดูดกลับ GHGs จากการปลูกไม้ยืนต้น มีค่าเท่ากับ 21,907 kgCO<sub>2</sub>e/y ดังนั้นคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจึงมีค่าเท่ากับ 6,952,345.99 kgCO<sub>2</sub>e/y แนวทางในการลดการปล่อย GHGs สำหรับโรงงานฯ สามารถลดได้เพิ่มเติมจากกิจกรรมการคัดแยกของเสียรีไซเคิลและของเสียอินทรีย์ ทดแทนการกำจัดโดยวิธีฝังกลบ โดยจะสามารถลดการปล่อย GHGs ได้เท่ากับ 23,215 และ 30,954 kgCO<sub>2</sub>e/y ตามลำดับ</p> รุ่งนภา จิรวัฒน์สมพร , บุษราคัม ฐิตานุวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273744 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274070 <p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 371 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มีค่า Item Objective Congruence Index (IOC) เท่ากับ 0.67-1.00 ค่า Kuder-Richardson (KR-20) เท่ากับ 0.87 และค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคของทัศนคติและพฤติกรรมเท่ากับ 0.82 และ 0.89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไค-สแควร์ และสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (Mean=6.64, S.D. = 2.13) ทัศนคติและพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์อยู่ในระดับสูง (Mean=3.79, S.D.=0.72), (Mean=4.12 , S.D.= 0.73) ความรู้และทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001; r = 0.340 และ r = 0.611) นอกจากนี้คณะและรายได้ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (χ2 = 30.513 และ χ2 = 67.970) งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยควรมีการดำเนินการจัดกิจกรรมโครงการเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และอนามัยการเจริญพันธุ์ เพื่อส่งเสริมความรู้และทัศนคติเชิงบวก รวมถึงพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม และส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์</p> อัมมันดา ไชยกาญจน์, ปฏิภาณี ขันธโภค, เนตรนภา สาสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274070 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคความดันโลหิตสูง ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273932 <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม <br />2) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลกับ<br />กลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามตามปกติ 3) ศึกษาระดับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 23 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ สถิติที่ใช้ได้แก่ <br />ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสถิติ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มทดลอง ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพ ก่อนทดลอง มีพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ = 3.39, S.D. = .49) และหลังการทดลอง มีพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ในระดับดี ( x̄ = 3.86, S.D. = .34) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) 2) กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกล มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) 3) กลุ่มทดลอง ส่วนใหญ่มีระดับพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ในระดับดี จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 73.9 จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านการพยาบาลทางไกลสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ทุกด้าน พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์สามารถนำโปรแกรมไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถจัดการตนเองผ่านการใช้การพยาบาลทางไกลช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล</p> อุบลรัตน์ สุขทรัพย์, แพรภัทรา เขียวชะอุ่ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273932 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 พฤติกรรมเนือยนิ่งและภาวะอ้วนลงพุงในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274558 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมเนือยนิ่งกับภาวะอ้วนลงพุง และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 140 คน ซึ่งถูกคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม คุณลักษณะส่วนบุคคล พฤติกรรมเนือยนิ่ง และกิจกรรมทางกาย ภาวะอ้วนลงพุงถูกตัดสินจากการมีเส้นรอบเอวเกินมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกทวิ ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อความบันเทิงในวันหยุดสูงที่สุด เฉลี่ย 297.39 นาที หรือประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์พบว่า การมีดัชนีมวลกายตามเกณฑ์อายุในเกณฑ์น้ำหนักเกินหรืออ้วน (OR=42.73; 95%CI=12.72-143.56) การนอนหลับในวันธรรมดามากกว่า 8 ชั่วโมง (OR=5.25; 95%CI=1.53-18.01) และการดูโทรทัศน์ในวันหยุดมากกว่า 4 ชั่วโมง (OR=4.71; 95%CI=1.59-13.99) มีความสัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาสามารถใช้เป็นนโยบายลดพุง หรือพัฒนาเป็นแนวทางในการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งในสถานศึกษา เพื่อป้องกันการเกิดภาวะอ้วนลงพุง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ในอนาคต</p> จิรวรรณ ปัญญาสาร, ชญาดา อึ้งนภารัตน์, พรหมพร มะลิเผือก, ปริยากร สงวนกิตติพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274558 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้การลดเค็มในอาหารต่อพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสเค็มในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ตำบลท่าบุญมี อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/275355 <p>การวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุ่มวัดผลก่อนและหลังทดลองครั้งนี้ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้การลดเค็มในอาหารซึ่งประยุกต์แนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสเค็ม กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 38 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมฯ 8 สัปดาห์ ประกอบด้วย กิจกรรมรู้ตัวเลข รู้เสี่ยง เลี่ยงความดันโลหิตสูง กิจกรรมรู้เท่าทันความรุนแรง กิจกรรมวงล้อพิชิตเค็ม กิจกรรมบอกเล่าก้าวผ่านอุปสรรค ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับบริการจากสถานบริการสุขภาพตามปกติ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ pair t-test และ independent t-test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้การลดเค็มในอาหาร พฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสเค็มเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนการทดลองและมากกว่ากลุ่มควบคุม โดยระดับความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงกว่าก่อนการทดลองและลดลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt; 0.01) สรุปได้ว่า โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้การลดเค็มในอาหารเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิผล เพราะทำให้มีกลุ่มตัวอย่างรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการลดเค็ม พฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสเค็มดีขึ้น และระดับความดันโลหิตลดลง สามารถเป็นแนวทางในการพัฒนาโปรแกรมสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่อไป</p> พัชนา เฮ้งบริบูรณ์พงศ์ ใจดี, กุลธิดา ภูวงศ์ษา, กนกนิภา มูลตรีภักดี, กฤติยากร นิ่มนุช, รพีพรรณ วรรณทวี, ชวลิต พิรกิตติวรกุล, อรอนงค์ พุทธิพร, วัลลภ ใจดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/275355 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart เพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ ด้านพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274727 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการปฏิบัติตามโปรแกรมการดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart เพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ด้านพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยเป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม ทำการวัดผลก่อนและหลัง มีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุเทศบาลเมืองบ้านสวน อายุระหว่าง 65-75 ปี จับสลากเลือกชมรมผู้สูงอายุชมรมที่ 1 เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และจับสลากเลือกชมรมผู้สูงอายุชมรมที่ 2 เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart กลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลสุขภาพตามปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลในระยะก่อนการทดลองและหลังการทดลอง โดยใช้แบบสัมภาษณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และแบบสัมภาษณ์การดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;0.05 ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมดังกล่าว มีประสิทธิผลในการสร้างเสริมความรอบรู้สุขภาพ และการดูแลสุขภาพตนเองตามแนวคิด 4 smart สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ</p> พริมรตา ทัศนมณเฑียร, ดนัย บวรเกียรติกุล , เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, วัลลภ ใจดี, ธนียา เจติยานุกรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/274727 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานของเกษตรกรสูงอายุที่เลี้ยงโคนม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/275764 <p>เกษตรกรสูงอายุที่เลี้ยงโคนมเป็นแรงงานนอกระบบที่อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการเกิดอุบัติเหตุและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานของเกษตรกรสูงอายุที่เลี้ยงโคนม เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรสูงอายุที่เลี้ยงโคนมในพื้นที่ตำบลลำพญากลาง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป จำนวน 136 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน และแบบทดสอบความสามารถในการทรงตัว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติไค-สแควร์ และ Fisher’s exact test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาร้อยละ 63.24 พบมากในเพศหญิง ร้อยละ 59.30 อุบัติเหตุที่พบมากที่สุดคือการถูกกระแทก/ชน ร้อยละ 44.19 สาเหตุเกิดจากโคนมตื่นตัวทำให้โดนถีบเตะ โดนหางฟาด โดนเหยียบเท้าและไล่ขวิด ร้อยละ 34.88 บริเวณร่างกายที่ได้รับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดที่มือและแขนร้อยละ 30.23 สถานที่เกิดจะเกิดภายในบริเวณโรงรีดนม ร้อยละ 68.60 โดยสภาพพื้นที่จะมีลักษณะเปียกลื่น ร้อยละ 66.28 และส่วนใหญ่ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บอยู่ในขั้นปฐมพยาบาล ร้อยละ 69.77 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในด้านปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ (<em>p</em>=0.001) อายุ (<em>p</em> = 0.008) ค่าดัชนีมวลกาย (<em>p</em>=0.001)&nbsp; ประสบการณ์จากการทำงาน (<em>p</em>=0.001) ด้านปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงาน ได้แก่ โรงเรือนที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน (<em>p</em>=0.018)&nbsp; และการไม่ทำความสะอาดโรงรีดนม (<em>p</em>=0.004)&nbsp; ในด้านปัจจัยพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน ได้แก่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ (<em>p</em>=0.001) ไม่มีการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักร/อุปกรณ์ก่อนปฏิบัติงาน (<em>p</em>=0.001)&nbsp; การเข้าไปทำงานในบริเวณที่มีสภาพพื้นที่เปียกลื่นหรืออาจมีคราบน้ำมัน (<em>p</em>=0.001) และในด้านปัจจัยด้านร่างกาย ความบกพร่องด้านการทรงตัวของผู้สูงอายุ (<em>p</em>=0.001)&nbsp;&nbsp; ทั้งนี้พบการเกิดอุบัติเหตุของเกษตรกรสูงอายุที่เลี้ยงโคนมค่อนข้างสูง ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการจัดทำแนวทางมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย&nbsp; รวมถึงควรมีการส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกายด้านการทรงตัวของเกษตรกรผู้สูงอายุที่เลี้ยงโคนมเพื่อลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการทำงานต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> พรทิพย์ เย็นใจ, ภัทรวรินทร์ สิงขรอาจ, สุพัตรา หวังครกลาง, รุจิรา แร่เพชร, ปนัดดา ทองนุ่ม, ขนิษฐา มารุ่งเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/275764 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700