วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu
<p>วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นวารสารด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของบุคลากรด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งนี้ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 2 (รอบประเมินที่ 4 พ.ศ. 2563-2567 ครั้งที่ 3) บทความในวารสารฯ ทุกเรื่องจะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ก่อนการเผยแพร่บทความ (Double blinded peer review) ผู้สนใจสามารถส่งบทความเพื่อขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ได้ทางระบบออนไลน์</p> <p> </p> <p>ISSN 2821-9856 (Online)</p>
th-TH
rotruedee@go.buu.ac.th (Asst.Prof.Dr. Rotruedee Chotigawin)
yanin@go.buu.ac.th (Yanin Siranonthana)
Fri, 25 Apr 2025 11:25:44 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
การออกแบบและพัฒนาเครื่องนับเม็ดยาแบบอัตโนมัติเพื่อลดภาระงานด้านเวลาในการนับเม็ดยาของ เจ้าหน้าที่แผนกเภสัชกรรมในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ของจังหวัดกาญจนบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272710
<p>การนับเม็ดยาในโรงพยาบาลชุมชนใช้เวลานาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของ เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม และระยะเวลารอรับยาของผู้ป่วย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาเครื่องนับเม็ดยาอัตโนมัติ เพื่อลดภาระงานด้านเวลาในการนับเม็ดยาของ เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม ในโรงพยาบาลชุมชน โดยเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ใช้วิธีการเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้งาน (One group pretest-posttest) โดยประเมินระยะเวลาในการนับเม็ดยา และความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ เภสัชกรรม ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้การทดสอบ Mann-Whitney U Test วิเคราะห์ระยะเวลาในการนับเม็ดยาจำนวน 10 รายการ ผลการศึกษาพบว่าเครื่องนับเม็ดยาอัตโนมัติสามารถลดระยะเวลาในการนับเม็ดยาลงได้เฉลี่ยประมาณร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับการนับด้วยมือ และสามารถช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ในทุกประเภทของยา ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมจำนวน 4 คนที่เข้าร่วมการศึกษาในครั้งนี้มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ทั้งในด้านประโยชน์ที่ได้รับ, ความเข้ากันได้กับระบบงาน และประสิทธิผลของเครื่องนับเม็ดยา โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 35.50 จาก 36 คะแนนและมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ± 0.58</p>
ณัฐนันท์ ภูพิชฏาณัฏฐ์, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์, ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272710
Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ประสิทธิผลของวัสดุดูดซับเสียงในการลดระดับความดังของเสียงจากเครื่อง Cone Crusher ในโรงงานโม่หินแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273476
<p>เสียงดังจากเครื่อง Cone Crusher ในโรงงานโม่หิน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพพนักงานและสร้างความรำคาญต่อชุมชนใกล้เคียง การลดเสียงด้วยวัสดุดูดซับเสียงจึงเป็นวิธีที่สำคัญ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบและเลือกวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการลดเสียง เปรียบเทียบระดับเสียงก่อนและหลังการติดตั้งวัสดุ และลดระดับเสียงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด โดยทดลองกับวัสดุ 3 ประเภท ได้แก่ ฉากแกลบผสมโฟม ฉากโฟม และ ฉากโฟมทับด้วยแกลบผสมโฟม ในช่วงความถี่ 8–8000 Hz และระยะ 1, 3, 5, และ 7 เมตร ผลการทดลองพบว่า ฉากแกลบผสมโฟมลดระดับเสียงได้อยู่ระหว่าง 2.76–5.37 dB โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงความถี่ต่ำถึงปานกลาง (8–500 Hz) ฉากโฟมลดระดับเสียงได้ 2.97 dB ที่ระยะ 1 เมตร เหมาะสำหรับความถี่ปานกลางถึงสูง (250–8000 Hz) ฉากโฟมทับด้วยแกลบผสมโฟมลดระดับเสียงได้อยู่ระหว่าง 2.26-9.87 dB ครอบคลุมทุกช่วงความถี่ โดยลดเสียงในระยะใกล้ได้สูงสุด 9.87 dB โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะควรพัฒนาและทดลองวัสดุดูดซับเสียงทางเลือกใหม่ เช่น วัสดุรีไซเคิล หรือวัสดุธรรมชาติชนิดอื่น ๆ รวมถึงขยายการทดลองไปยังโรงงานประเภทอื่น และศึกษาความคุ้มค่าในการใช้งานระยะยาว เพื่อเพิ่มความยั่งยืนและการประยุกต์ใช้ในบริบทที่หลากหลาย</p>
ธีรพล สุขวัฒนาสินิทธิ์, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์, ธีรยุทธ เสงี่ยมศักดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273476
Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272536
<p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องต่อการมองเห็น 2)พฤติกรรมการป้องกันดวงตา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 407 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ สถิติอ้างอิงด้วยวิธีทดสอบไค-สแควร์ ผลการศึกษาพบว่า การรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่อการมองเห็นของผู้สูงอายุภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 66.80 มีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 62.70 และระดับการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น กับพฤติกรรมป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมีความความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยการรับสัมผัสฝุ่นละออง จากเส้นทางการจราจร เขตก่อสร้าง ฝุ่นละอองที่เป็นมลพิษ (PM<sub>2.5</sub>) ระดับเสี่ยงสูงมีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมากกว่าระดับเสี่ยงต่ำ และการรับสัมผัสควันจาก บุหรี่ ท่อไอเสีย การเผาไหม้ระดับเสี่ยงสูงมีพฤติกรรมการป้องกันดวงตาของผู้สูงอายุมากกว่าระดับเสี่ยงต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยง ผลกระทบจากการรับสัมผัสสิ่งแวดล้อม การหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อดวงตา และอุปกรณ์ป้องกันดวงตาให้กับผู้สูงอายุ รวมถึงการบำรุงดวงตา</p>
ณัทธร สุขสีทอง, กุหลาบ รัตนสัจธรรม, วสุธร ตันวัฒนกุล, อนามัย เทศกะทึก
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272536
Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อการนันทนาการของผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272332
<p>การวิจัยภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ ความตระหนัก และพฤติกรรมการป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อการนันทนาการของบุตรหลาน ของผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกัน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองของนักเรียนมัธยมศึกษาจาก 5 โรงเรียน โรงเรียนละ 100 คน ทำการกำหนดสัดส่วนในแต่ละชั้นปี และสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 500 คน มีการใช้กัญชาและกระท่อมร้อยละ 2.2 และ 1.8 ตามลำดับ มีการปลูกกัญชาหรือกระท่อมเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ร้อยละ 4.3 และได้รับข้อมูลข่าวสารจากโรงเรียน ร้อยละ 52.4 กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ต่อกัญชาและกระท่อมในระดับต้องปรับปรุง ร้อยละ 41.9 และ 45.5 ตามลำดับ มีความตระหนักต่อกัญชาและกระท่อมในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.2 และ 49.2 ตามลำดับ และมีพฤติกรรมการป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมของบุตรหลานในระดับเหมาะสมร้อยละ 67.2 และพบว่าปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันของผู้ปกครอง ประกอบด้วย เพศหญิง, การได้รับข้อมูลโทษของกัญชา/กระท่อมที่มีต่อเด็ก, การได้รับข้อมูลจากโรงเรียน, การเป็นบิดา-มารดาของเด็ก, ความรู้ต่อโทษของกัญชาที่มีต่อเด็กระดับปานกลางถึงดี และความตระหนักต่อโทษของกัญชาที่มีต่อเด็กในระดับปานกลางถึงเหมาะสม โดยสามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 38.1 ข้อเสนอแนะคือ สถานศึกษาควรสนับสนุนให้ผู้ปกครองมีบทบาทในเชิงรุก เช่น การพูดคุยหรือแนะนำโทษของกัญชาและกระท่อม การเฝ้าระวังหรือสอดส่องพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงการร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อป้องกันการใช้กัญชาและกระท่อมในเด็กและเยาวชน</p>
อุษาวดี สุตะภักดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/272332
Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270551
<p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ 2) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย 3) ประเมินและปรับปรุงรูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย และ 4) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหลังการทดลองใช้รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ จังหวัดเลย โดยแบ่งการวิจัยเป็น 4 ระยะ โดยผลการศึกษาในระยะที่ 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุในระบบปฐมภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ แรงจูงใจเกี่ยวกับการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ทัศนคติต่องานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ สามารถทำนายสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุร้อยละ 21.05 ระยะที่ 2 รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุ ตามกรอบทฤษฎีความสามารถของตนเอง (Self-efficacy model) จำนวน 22 แนวทาง ระยะที่ 3 รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่องานสุขภาพผู้สูงอายุ จำนวน 57 แนวทาง และระยะที่ 4 ก่อนใช้รูปแบบฯ สมรรถนะในด้านความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ไม่มีความแตกต่างกัน หลังทดลองใช้รูปแบบฯ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีสมรรถนะในการปฏิบัติงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ และสมรรถนะภาพรวมเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
สุจินดา นันที
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270551
Fri, 02 May 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270735
<p>การตัดสินใจมีความสำคัญมากต่อการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 287 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ผลการศึกษา พบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 86.1) มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 97.9) มีการสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 61.3) มีการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับตัดสินใจ (ร้อยละ 93.0) ส่วนด้านปัจจัย พบว่า ผู้ดูแลมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ( <em>x</em><sup>2</sup>= 5.386, p = 0.020) และพบว่าแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r<sub>s</sub> = 0.198, p<0.001; r<sub>s</sub> = 0.240, p<0.001) ดังนั้น ควรมีการส่งเสริมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและการสนับสนุนทางสังคม รวมถึงการเพิ่มพูนความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
รินรดา กอดิษฐ์, กานต์ธีรา เงินขำ, มัททรี เพ็ชรรัตน์, หทัยภัทร ศรีไชยวงค์, ชฏารัตน์ ทรัพย์เอนก, วรรณวิสา ส่งละออ, วิชญาดา พรอ้าย, พิมพ์ชนก สิงหะกำ, มณุเชษฐ์ มะโนธรรม
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/270735
Wed, 07 May 2025 00:00:00 +0700
-
ประสิทธิผลของการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อลดการสูญเสียจากการทำงาน กรณีศึกษา โรงงานอาหารแปรรูปแห่งหนึ่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273634
<p>งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาประสิทธิผลของการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อลดการสูญเสียจากการทำงาน กรณีศึกษา โรงงานอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง โดยทำการรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ ก่อนและหลังการประยุกต์ใช้หลักการ WCM ในระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของบริษัทและประเมินประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้ระบบ WCM ด้วยทฤษฎีระบบของการจัดการในภาพรวมในช่วงปี 2563-พ.ศ.2566 ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการในการประยุกต์ใช้มีประสิทธิผลอยู่ในระดับดี มีค่าคะแนนส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีถึงดีมาก โดยการประเมินทั้ง 3 องค์ประกอบ คือปัจจัยเข้า (Input) แบ่งออกเป็น 5 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วยนโยบาย คณะทำงาน เวลา งบประมาณและ การอบรมให้ความรู้ กระบวนการ (Process) แบ่งออกเป็น 5 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วย วิเคราะห์หาสาเหตุรากเหง้าของปัญหา การประเมินความเสี่ยงเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาและจัดทำมาตรฐาน ตรวจติดตามมาตรการความปลอดภัย ขยายผลมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานต้นแบบไปยังทุกพื้นที่ในโรงงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงาน และผลผลิต (Output) แบ่งออกเป็น 4 ตัวชี้วัดหลัก ประกอบด้วย ค่าการความสูญเสีย สถิติด้านความปลอดภัย วัฒนธรรมความปลอดภัยขององค์กร และความสอดคล้องกับกฎหมายพบว่า คะแนนที่ได้ 25.01 21.84 และ 36.0 คะแนน ตามลำดับ สรุปผลการประเมินประสิทธิผลการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย ของบริษัท ได้ 82.85 คะแนน จาก 100 คะแนน อยู่ในระดับ ดี โดยผลการพบว่าการประยุกต์หลักการ World Class Manufacturing (WCM) ในระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมีการจัดการความปลอดภัย เป็นระบบแบบแผน อัตราความถี่ของการเกิดอุบัติเหตุลดลงและความรุนแรงของการเกิดอุบัติเหตุลดลง และทำให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุบัติเหตุลดลง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าความเสียหาย ตลอดจนเงินทดแทนที่ต้องจ่ายสมทบแก่กองทุนเงินทดแทนมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน</p>
ปาจรีย์ สากำ, ธีรพันธ์ แก้วดอก, นิตย์ตะยา ผาสุขพันธุ์
Copyright (c) 2025 วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/phjbuu/article/view/273634
Wed, 07 May 2025 00:00:00 +0700