วารสารแพทย์เขต 4-5
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45
<p>The Medical Journal of Regions 4-5 is a journal of the Medical Association of Regions 4-5. It aims to be a medium for exchanging knowledge, opinions, academic experiences in medicine and public health. and disseminating academic work to doctors, dentists, pharmacists and nurses of hospitals in the 5th health service network, namely hospitals in Nakhon Pathom, Ratchaburi, Suphan Buri, Kanchanaburi, Phetchaburi, Samut Songkhram, Samut Sakhon, Prachuap Khiri Khan. and other health fields</p>
ชมรมแพทย์ เขต 4-5
th-TH
วารสารแพทย์เขต 4-5
0125-7323
<p>ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียนบทความ แต่หากผลงานของท่านได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ลงวารสารแพทย์เขต 4-5 จะคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยเหตุที่บทความจะปรากฎในวารสารที่เข้าถึงได้ จึงอนุญาตให้นำบทความในวารสารไปใช้ประโยชน์ได้ในเชิงวิชาการโดยจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงชื่อวารสารอย่างถูกต้อง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์</p>
-
สารทดแทนเลือด
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274722
<p>เลือดและส่วนประกอบของเลือดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาผู้ป่วยโดยยังไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนได้ แต่ด้วยความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารทดแทนเลือดขยายวงกว้างขึ้น โดยในปัจจุบัน สารทดแทนเลือด มี 2 ประเภท คือ hemoglobin based oxygen carriers (HBOCs) และสารประกอบประเภท perfluorocarbons (PFCs) ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แต่มีหน้าที่คล้ายกันคือ การขนส่งออกซิเจนจากปอดไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อทำหน้าที่เสมือนเม็ดเลือดแดงในร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามสารทดแทนเลือดทุกตัวยังคงต้องรอผลการทดลองทางคลินิกเพื่อประเมินความปลอดภัย และการรับรองจากองค์การอาหารและยา สำหรับการนำไปใช้กับผู้ป่วย ซึ่งคาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้ สารทดแทนเลือดจะสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเม็ดเลือดแดงของผู้บริจาคและสามารถนำมาใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้</p>
วรางคณา แย้มเกต
สมรัก เพชรโฉมฉาย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
147
153
-
ความชุกของโรคอ้วนในผู้ป่วยเด็กโรคหืดและผลลัพธ์ของการรักษา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274756
<p>โรคหืดเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในเด็ก โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มความรุนแรงของโรค ในประเทศไทยพบความชุกของโรคหืดในเด็กสูงถึง ร้อยละ 12.5 ในเด็กอายุ 13–14 ปี และร้อยละ 14.6 ในเด็กอายุ 6–7 ปี ตามลำดับ โดยโรคหืดยังเป็นโรคเรื้อรังที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 แต่ยังขาดข้อมูลของผู้ป่วยเด็กโรคหืดและผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนร่วม ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาวิจัยนี้เพื่อพัฒนาการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของโรคอ้วนในผู้ป่วยเด็กโรคหืด และศึกษาผลลัพธ์ของการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยเด็กโรคหืดอายุ 7–15 ปี ที่เข้ารับบริการในคลินิกเด็กโรคหืดโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2566 เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ, เพศ, น้ำหนัก, ส่วนสูง, ภาวะน้ำหนักตัว, peak expiratory flow rate, predicted peak expiratory flow rate, จำนวนครั้งของการเข้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการหอบกำเริบ, และจำนวนครั้งของการนอนโรงพยาบาลด้วยหอบกำเริบ ระยะเวลาของการนอนโรงพยาบาล และวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการรักษาผู้ป่วยเด็กโรคหืด</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> มีผู้ป่วยเข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 48 คน พบความชุกของโรคอ้วนในผู้ป่วยเด็กโรคหืดร้อยละ 14.6 ผู้ป่วยเด็กโรคหืดที่มีโรคอ้วนร่วมด้วยมีการควบคุมโรคได้น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มีโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในด้านอื่น ๆ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเด็กโรคหืดที่มีโรคอ้วนร่วมด้วยมีการควบคุมโรคได้น้อยกว่าผู้ป่วยโรคหืดที่ไม่มีโรคอ้วน ควรมีการพัฒนาแนวทางการดูแลรักษาเฉพาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยเน้นการจัดการน้ำหนักควบคู่ไปกับการรักษาโรคหืด</p>
ตตินุช ตรียกาญจน์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
1
7
-
การผ่าตัดส่องกล้องโพรงมดลูกที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี: การบุกเบิกการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในชุมชนครั้งแรก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274705
<p> <strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการผ่าตัดผ่านกล้องส่องโพรงมดลูกที่ดำเนินการโดยสูตินรีแพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในโรงพยาบาลทั่วไปในส่วนภูมิภาค</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้ดำเนินการในโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยหญิง 65 ราย ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (AUB) ผู้ป่วยได้รับการตรวจเบื้องต้นด้วยการตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจคลื่นเสียงผ่านช่องคลอด (TVS) ก่อนเข้ารับการผ่าตัดผ่านกล้องส่องโพรงมดลูก ข้อมูลผลการวินิจฉัย ภาวะแทรกซ้อน และผลการตรวจชิ้นเนื้อได้รับการบันทึกและวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> การวินิจฉัยที่พบมากที่สุดคือ ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (ร้อยละ 52.3) รองลงมาคือโพรงมดลูกปกติ (normal endometrium) การผ่าตัดผ่านกล้องสามารถวินิจฉัยและรักษาภาวะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีภาวะแทรกซ้อนเพียงเล็กน้อย</p> <p><strong>สรุป:</strong> การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการผ่าตัดผ่านกล้องโพรงมดลูกสามารถนำมาใช้ในโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลส่วนภูมิภาคได้สำเร็จ ช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาทางนรีเวชขั้นสูง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าโมเดลการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในโรงพยาบาลส่วนภูมิภาคนี้สามารถเพิ่มการเข้าถึงและคุณภาพการรักษาในโรงพยาบาลส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียมทั่วประเทศ</p>
ประยงค์ศรี คำประพันธ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
9
19
-
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง: ผลการรักษาด้วยการผ่าตัดหนีบหลอดเลือดโป่งพอง ในโรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274706
<p><strong> วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลการรักษา ปัจจัยที่ทำนายผลการรักษา และภาวะแทรกซ้อนที่พบ ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยวิธีการผ่าตัดหนีบหลอดเลือดโป่งพอง (clipping) ในโรงพยาบาลราชบุรี</p> <p><strong> วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยย้อนหลังเชิงพรรณนา โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหนีบหลอดเลือดโป่งพอง ในโรงพยาบาลราชบุรี ตั้งแต่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ข้อมูลที่เก็บรวมถึงลักษณะทางประชากร อาการก่อนและหลังการผ่าตัด การประเมินผลด้วยเกณฑ์ WFNS (World Federation of Neurosurgical Societies) และ GOS (Glasgow Outcome Scale)</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยจำนวน 269 ราย ร้อยละ 75.4 ของผู้ป่วยมีผลการรักษาที่ดี (GOS 4–5) อัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 7 ผลการรักษาระหว่างผลลัพธ์ที่ดีและผลลัพธ์ที่ไม่ดีมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ<br>ระดับความรู้สึกตัวก่อนผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนที่พบส่วนใหญ่เป็นภาวะอ่อนแรงครึ่งซีกและเนื้อสมองขาดเลือด </p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การผ่าตัดหนีบหลอดเลือดโป่งพอง เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองโดยผลการรักษาขึ้นกับอาการก่อนผ่าตัดเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก่อนการเลือกวิธีการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย</p>
กิตติ สุวรรณประทีป
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
21
30
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกของผู้ป่วยหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกที่แสดงอาการอุดตันบริเวณรยางค์ล่าง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274708
<p> <strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกของผู้ป่วยหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกที่แสดงอาการอุดตันบริเวณรยางค์ส่วนล่าง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (retrospective descriptive study) เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โรงพยาบาลบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2561–กันยายน พ.ศ. 2567 จำนวน 177 ราย</p> <p> <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 73.4, มีอายุระหว่าง 61–80 ปี ร้อยละ 44.6, ดัชนีมวลกายปกติ ร้อยละ 33.3, ส่วนใหญ่ไม่ติดเตียง ร้อยละ 89.9, ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ 82.5, มีโรคประจำตัว ร้อยละ 58.2, ไม่เคยเข้ารับการผ่าตัด ร้อยละ 63.3, มีประวัติการบาดเจ็บโดยเฉพาะบริเวณขา/กระดูกสันหลัง ร้อยละ 18.6, ประวัติการรับประทานยาคุม ร้อยละ 9.6, ประวัติการเป็นโรคมะเร็ง/การได้รับเคมีบำบัดและการฉายแสง ร้อยละ 18.6, ตำแหน่งการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันที่พบมากที่สุดคือ เส้นเลือดดำส่วนต้นขา ร้อยละ 83.6 โดยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกของผู้ป่วยหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกที่แสดงอาการอุดตันบริเวณรยางค์ส่วนล่าง ได้แก่ อายุ (r = .057, p = .046); ดัชนีมวลกาย (r = .248, p = .047); ประวัติการเกิดซ้ำ (r = .098, p = .000); ประวัติการสูบบุหรี่ (r = .116, p = .036); ประวัติการรับประทานยาคุม (r = .245, p = . 001); ประวัติการเป็นโรคมะเร็ง/การได้รับเคมีบำบัดและการฉายแสง (r = .203, p = .020)</p> <p> <strong>สรุป:</strong> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกของผู้ป่วยหลอดเลือดดำอุดตันชั้นลึกที่แสดงอาการอุดตันบริเวณรยางค์ส่วนล่าง ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย ประวัติการเกิดซ้ำ ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติการรับประทานยาคุม และประวัติการเป็นโรคมะเร็ง/การได้รับเคมีบำบัดและการฉายแสง</p> <p> </p>
ธาม์ ดีสมุทร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
31
42
-
การศึกษาระยะเวลานัดตรวจติดตามอาการหลังออกจากโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันต่อการมารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก ณ คลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลนครปฐม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274709
<p><strong> วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>(1) เพื่อศึกษาผลของระยะเวลานัดตรวจติดตามอาการหลังออกจากโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน (acute stroke) ต่อการมารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก (outpatient rehabilitation); (2) เพื่อศึกษาอัตราการเข้ารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาล; และ (3) เพื่อศึกษาปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการมารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน</p> <p><strong> วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาแบบวิเคราะห์ย้อนหลัง (retrospective cohort study) สืบค้นและเก็บรวบรวมข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันออกจากโรงพยาบาลนครปฐม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566–31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ทุกราย บันทึกข้อมูลลงในแบบบันทึกข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย (case record form) โดยเก็บข้อมูล (1) จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลัน (2) จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันที่มารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาล เพื่อนำมาคำนวณอัตราการเข้ารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาล (3) ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาล ได้แก่ ระยะเวลานัดตรวจติดตามอาการ อายุ เพศ ประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง (type of stroke) ข้างของสมองที่เป็นโรค (side of hemispheric affectation) ระดับความรุนแรงของโรค (NIHSS) แรกรับนอนโรงพยาบาล และความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันดัชนีบาร์เธล (BI) ขณะจำหน่ายจากโรงพยาบาล นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสถิติ SPSS 26 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูล ใช้การทดสอบทางสถิติคือ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกทวิหนึ่งตัวแปร (univariate binary logistic regression) และนำปัจจัยที่น่าจะเกี่ยวข้องคือปัจจัยที่มีค่า p ≤ .20 ร่วมกับปัจจัยที่สนใจ มาวิเคราะห์ต่อด้วยการวิเคราะห์โลจิสติกหลายตัวแปรแบบถอยหลัง (multivariate analysis backward selection method) กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติ คือ p < .05</p> <p><strong> </strong><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันออกจากโรงพยาบาลนครปฐม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566–31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ทั้งหมด 1,324 ราย ผู้ป่วยที่มีนัดมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาล ณ คลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู 292 ราย ในจำนวนนี้มาตามนัด 170 ราย คิดเป็นอัตราการเข้ารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก ร้อยละ 58.2</p> <p>การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาล ด้วยการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกทวิหนึ่งตัวแปร (univariate binary logistic regression) และการวิเคราะห์โลจิสติกหลายตัวแปรแบบถอยหลัง (multivariate analysis backward selection method) พบว่าระยะเวลานัดตรวจติดตามอาการ (RR 1.00, p = .73) ไม่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ระยะเวลานัด 26 วัน ผู้ป่วยมาตรวจตามนัดหลังออกจากโรงพยาบาลได้ดีที่สุด โดยพบความไว (sensitivity) ร้อยละ 51 และ ความจำเพาะ (specificity) ร้อยละ 49 และประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง (RR 2.27, p = .01) ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองแตกเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาล ส่วนปัจจัยอื่น ได้แก่ อายุ (RR 0.99, p = .50); เพศ (RR 1.23, p = .39); ข้างของสมองที่เป็นโรค (RR 1.21, p = .44); ระดับความรุนแรงของโรคแรกรับนอนโรงพยาบาล (RR 0.98, p = .87); และความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันดัชนีบาร์เธลขณะจำหน่ายจากโรงพยาบาล (RR 1.02, p = .93) ไม่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ระยะเวลานัดตรวจติดตามอาการไม่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันหลังออกจากโรงพยาบาล แต่พบว่าประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง ชนิดหลอดเลือดสมองแตกเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมารักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอกหลังออกจากโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และอัตราการเข้ารับการรักษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้ป่วยนอก ณ คลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลนครปฐม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เท่ากับร้อยละ 58.2</p>
ศิริพร ชวาลตันพิพัทธ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
43
55
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่ม 1 ถึง 4 ตามการแบ่งแบบร็อบสัน ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274711
<p><strong> </strong><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาอัตราการผ่าตัดคลอด และวิเคราะห์ปัจจัยกับผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ที่มีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่ม 1 ถึง 4 ตามการแบ่งแบบร็อบสัน</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>แบบภาคตัดขวาง โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนในสตรีที่มาคลอดในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567 จำนวน 800 ราย เป็นข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลการคลอด และการดูแลขณะคลอด นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ด้านปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอดวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการถดถอยโลจิสติก ที่กำหนดความเชื่อมั่นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 95 และผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์วิเคราะห์ด้วย chi-square test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบว่าสตรีตั้งครรภ์กลุ่ม 1 ตามการแบ่งแบบร็อบสันมากที่สุด เป็นร้อยละ 41.3 ได้รับการผ่าตัดคลอด ร้อยละ 40 ข้อบ่งชี้ที่พบมากที่สุด คือภาวะช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของศีรษะทารก การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอดพบว่า ดัชนีมวลกายมีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอด กลุ่มที่มีดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดน้อยกว่า 0.61 เท่า (95% CI 0.45, 0.83; p = .002) และกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายน้ำหนักเกิน/ภาวะอ้วน (23–50 กิโลกรัม/ตารางเมตร) มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดน้อยกว่า 0.52 เท่า (95% CI 0.34, 0.81; p = .004) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายปกติสมส่วน ตามลำดับ สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดมากกว่าสตรีที่ไม่ได้เป็นโรค 6.66 เท่า (95% CI 1.06, 41.67; p = .043) และสตรีตั้งครรภ์ที่มีความกว้างของปากมดลูกขณะแรกรับ 4–5 เซนติเมตร มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดมากกว่า 3.73 เท่า (95% CI 1.94, 7.15; p < .001) เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีตั้งครรภ์ที่มีความกว้างของปากมดลูกขณะแรกรับน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เซนติเมตร ส่วนผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ที่มีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอด คือน้ำหนักของทารกแรกคลอด ทารกที่ต้องเข้าหออภิบาลทารกแรกเกิด ทารกที่มีภาวะขาดอากาศหายใจจากการคลอด ทารกมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทารกมีภาวะหายใจลำบาก และมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในทารกแรกเกิด ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการผ่าตัดคลอดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่ม 1 ถึง 4 ตามการแบ่งแบบร็อบสัน ได้แก่ดัชนีมวลกาย สตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวคือเบาหวาน และความกว้างของปากมดลูกขณะแรกรับ</p> <p> </p>
พัชรี เกษมภักดีพงษ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
57
69
-
อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค โรงพยาบาลชะอำ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274712
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อคที่โรงพยาบาลชะอำ จังหวัดเพชรบุรี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยนิ้วล็อคจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ป่วยโรงพยาบาลชะอำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558–30 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ผู้ป่วยทุกรายได้รับการวินิจฉัยโรคนิ้วล็อคโดยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูล ประกอบด้วย อายุ, เพศ, อาชีพ, ดัชนีมวลกาย, โรคประจำตัว, โรคร่วมพังผืดข้อมืออักเสบรัดเส้นประสาท (CTS), จำนวนนิ้วที่เป็นโรคนิ้วล็อค, นิ้วที่เป็นนิ้วล็อค, จำนวนครั้งในการฉีดสเตียรอยด์, และการได้รับการกายภาพบำบัด นำเสนอข้อมูลเป็นจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค ด้วยการวิเคราะห์ t test independent, chi-square test เปรียบเทียบสัดส่วนความเสี่ยง (odds ratio) ระหว่างกลุ่มที่ล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด กับกลุ่มที่ไม่ล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดด้วยการวิเคราะห์ binary logistic regression และการประมาณค่าขอบเขตความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95% confidence interval: 95% CI)</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> จำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 214 ราย อุบัติการณ์ของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค คือ ร้อยละ 35.5 พบว่าผู้ป่วยที่เป็นนิ้วโป้ง การไม่ได้รับการฉีดสเตียรอยด์ และการไม่ได้รับการกายภาพบำบัด มีความสัมพันธ์กับการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) และพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้ง มีโอกาสเกิดการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด สูงกว่าถึง 2.30 เท่า และผู้ที่ไม่ได้รับการกายภาพบำบัดมีโอกาสเกิดการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด สูงกว่าถึง 10.38 เท่า ส่วนปัจจัยอื่น ได้แก่ อายุ, เพศ, อาชีพ, ดัชนีมวลกาย, โรคประจำตัว, โรคร่วม CTS, และจำนวนนิ้วที่เป็นโรคนิ้วล็อค ไม่มีความสัมพันธ์กับการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค</p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> อุบัติการณ์ของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค คือ ร้อยละ 35.5 ผู้ป่วยที่เป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้ง และการไม่ได้รับการกายภาพบำบัด เป็นปัจจัยเสียงของการล้มเหลวในการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในผู้ป่วยโรคนิ้วล็อค ดังนั้นควรส่งเสริมให้มีการรักษาโดยการกายภาพบำบัดในผู้ป่วยนิ้วล็อคทุกราย และผู้ที่เป็นนิ้วล็อคโดยเฉพาะที่นิ้วโป้ง ควรได้รับทราบถึงการดำเนินโรคว่ามีโอกาสที่จะล้มเหลวจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดมากกว่านิ้วอื่น</p> <p> </p>
ณฐนันท์ เจนสัจวรรณ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
71
80
-
ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะ Metabolic Syndrome ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274713
<p><strong> วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะ metabolic syndrome ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โรงพยาบาลราชบุรี</p> <p><strong> วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลังแบบตัดขวางเชิงวิเคราะห์ (retrospective cross-sectional analytical study) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยนอกจากเวชระเบียนของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่เข้ารับการรักษาในแผนกผิวหนัง โรงพยาบาลราชบุรี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565–31 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 246 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่สถิติเชิงพรรณนา สถิติที่ใช้วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < .05</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยสะเก็ดเงินทั้งหมดจำนวน 246 ราย มีภาวะ metabolic syndrome ร่วมด้วยจำนวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ 48.8 (95% CI 42.4–55.2) และพบว่าผู้ป่วยสะเก็ดเงินกลุ่มที่มีภาวะ metabolic syndrome มีอายุมากกว่ากลุ่มที่ไม่มีภาวะ metabolic syndrome อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ผู้ป่วยกลุ่มที่เริ่มเกิดโรคในช่วงอายุมากกว่า 40 ปี มีภาวะ metabolic syndrome มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่เริ่มเกิดโรคในช่วงอายุน้อยกว่า 40 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .001) และผู้ป่วยกลุ่มที่มีความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินปานกลางถึงมากมีภาวะ metabolic syndrome มากกว่ากลุ่มที่ความรุนแรงน้อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .043)</p> <p><strong> สรุป</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้พบความชุกของภาวะ metabolic syndrome ในผู้ป่วยสะเก็ดเงินเป็น ร้อยละ 48.8 และพบว่าผู้ป่วยที่มีอายุมากและมีช่วงอายุที่เริ่มเกิดโรคอายุมากกว่า 40 ปี ร่วมกับมีความรุนแรงของโรคปานกลางถึงมากเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะ metabolic syndrome ในผู้ป่วยสะเก็ดเงิน</p> <p><strong> </strong></p>
ธนพงศ์ สุทธิพงศ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
81
91
-
อุบัติการณ์ของการเกิดภาวะไตวายของผู้ป่วยหลังได้รับสารทึบรังสีชนิด Low Osmolar ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274714
<p> <strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่า creatinine ในเลือดก่อนและหลังการได้รับสารทึบรังสีชนิด low osmolar ทางหลอดเลือดดำในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยนอก ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี อุบัติการณ์การเกิดไตวายหลังได้รับสารทึบรังสี และค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงของ creatinine ในผู้ป่วยที่มีโรค NCD จำแนกตามจำนวนโรค เพื่อปรับปรุงแนวทางการเตรียมผู้ป่วยก่อนได้รับสารทึบรังสีทางหลอดเลือดดำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (descriptive cross-sectional study) เก็บข้อมูลย้อนหลังจากระหว่าง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดยกลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยนอกที่มาเข้ารับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และได้รับการฉีดสารทึบรังสีทางหลอดเลือดดำ โดยมีการตรวจค่า creatinine ในเลือดก่อนและหลังฉีดสารทึบรังสี แล้วนำมาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ทางสถิติโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติอนุมาน ได้แก่ chi-square, ANOVA, และ Fischer exact test</p> <p> <strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่ามีอุบัติการณ์ไตวายหลังได้รับสารทึบรังสี ร้อยละ 0.6 จากกลุ่มตัวอย่าง 155 ราย โดยที่การเปลี่ยนแปลงของค่า creatinine ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติระหว่างผู้ป่วยที่ไม่มีโรค NCD กับมีโรค NCD (p = .293) และค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงของค่า creatinine ในเลือดหลังได้รับสารทึบรังสีไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างผู้ป่วยไม่มีกับมีโรค NCD (p = 1.12) โดยมีค่าลดลงอยู่ในช่วง 0.07–1.14 มิลลิกรัม/เดซิลิตร</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การใช้สารทึบแสงชนิด low osmolar นั้นก็สามารถใช้ได้อย่างมั่นใจว่าพบอุบัติการณ์การเกิดไตวายหลังได้รับสารทึบรังสีน้อย หากมีการเตรียมตัวผู้ป่วยที่ดีโดยการให้ normal saline เพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตวายหลังได้รับสารทึบรังสี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรค NCD มากกว่า 4 โรค หรืออายุมากกว่า 70 ปี </p> <p> </p>
เท็น อนันตลาโภชัย
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
93
103
-
เปรียบเทียบผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ระหว่างผู้ป่วยที่มีและไม่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274715
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน ระหว่างผู้ป่วยที่มีและไม่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และเพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน ในโรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรี</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเป็นแบบวิเคราะห์ย้อนหลัง โดยใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนของหญิงที่คลอดบุตรที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน จำนวน 323 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 67 คน (ร้อยละ 20.7) และกลุ่มที่ไม่มีภาวะเบาหวาน 256 คน (ร้อยละ 79.3)</p> <p> <strong>ผลการศึกษา:</strong> พบความชุกของภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน ร้อยละ 33.3 โดยกลุ่มที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีอายุเฉลี่ยมากกว่า มีดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงกว่า และมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวระหว่างตั้งครรภ์ต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็นเบาหวาน ผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์พบหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่า ได้แก่ ทารกมีน้ำตาลในเลือดต่ำ (ร้อยละ 14.9 เทียบกับ 3.5; p = .002) และทารกมีการบาดเจ็บจากการคลอด (ร้อยละ 9 เทียบกับ 2; p = .012) นอกจากนี้พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วนทั้งสองกลุ่มมีอัตราการผ่าคลอดที่สูงถึง ร้อยละ 63.8</p> <p> <strong>สรุป:</strong> ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทารกมีน้ำตาลในเลือดต่ำและทารกมีการบาดเจ็บขณะคลอด ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการควบคุมน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ รวมถึงการคัดกรองและการดูแลภาวะเบาหวานอย่างเหมาะสม</p>
ณัฐพร วลีธรชีพสวัสดิ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
105
116
-
ผลกระบวนการเรียนรู้การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของ คณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274716
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของกระบวนการเรียนรู้การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ จังหวัดสมุทรสาคร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา (research and development) ระหว่างเดือนมิถุนายน–พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นคณะกรรมการกองทุนฯ 140 คน ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ระยะที่สองเป็นการนำรูปแบบไปทดลองใช้และการประเมินผลกระบวนการเรียนรู้การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นคณะกรรมการกองทุนฯ 43 คน ซึ่งได้มาจากเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Wilcoxon signed rank test, paired t test, และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน แบบ stepwise multiple linear regression analysis</p> <p><strong> ผลการศึกษา:</strong> 1) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ จังหวัดสมุทรสาคร ประกอบด้วยกระบวนการดำเนินงาน 4 ขั้น ได้แก่ 1.1 วิเคราะห์สภาพปัญหาการปฏิบัติงาน, 1.2 การพัฒนาศักยภาพคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพ, 1.3 การติดตามประเมินผล, และ 1.4 สรุป ถอดบทเรียน และประชาสัมพันธ์; 2) ผลกระบวนการเรียนรู้หลังการพัฒนา พบว่า มีคะแนนค่ามัธยฐานความรู้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (z = - 5.345, p < .001) สมรรถนะการปฏิบัติงานโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -0.310, p = .008) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ซึ่งเป็นตามสมมุติฐาน มีจำนวน 6 ปัจจัย จาก 9 ปัจจัย โดยรวมมีความสามารถทำนายอิทธิพลต่อการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ร้อยละ 60.9 (Adj.R<sup>2</sup> = 0.609, p= .028) โดยพบว่าเรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ การร่วมปรึกษาหารือ การให้ข้อมูลข่าวสาร การตรวจสอบประเมินผล ทักษะการปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมดำเนินงาน และการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ตามลำดับ</p> <p><strong> สรุป:</strong> การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ ส่งผลให้คณะกรรมการ มีความรู้ ทักษะการปฏิบัติงาน การบริหารจัดการกองทุนฯ และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกองทุนฯ เพิ่มขึ้น</p>
นางสุคนธ์ ปัญจพงษ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
117
129
-
การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดสมุทรสงคราม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/274721
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน ศึกษาประสิทธิผล และเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้พัฒนาขึ้น กับแบบเดิม</p> <p><strong> วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 6 คน และ 2) ผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน จำนวน 90 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 45 คน กลุ่มทดลอง ใช้โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวานที่พัฒนา กลุ่มควบคุมใช้การดูแลแบบเดิม ทำการศึกษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมส่งสุขภาพตำบลบ้านปากลัด วัดดาวดึงษ์ และบางพรม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนาขึ้น แบบสอบถาม (ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเอง = 0.88 และแบบวัดความพึงพอใจต่อระบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน = 0.82) และแบบบันทึกภาวะสุขภาพ เก็บข้อมูลในเดือนกันยายน และธันวาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ การทดสอบทีคู่ และการทดสอบทีอิสระ</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวานที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) การแจ้งเตือนให้มารักษาตามนัด 2) การประเมินการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง 3) ให้การรักษาพยาบาลและคำแนะนำ 4) การติดตามและให้กำลังใจ และ 5) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผลการใช้โปรแกรม พบว่า ผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวม และด้านต่าง ๆ (ยกเว้นด้านการจัดการกับความเครียด) ดีขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือด และดัชนีมวลกายลดลง และดีกว่าการดูแลแบบเดิมในเรื่องพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมและด้านต่าง ๆ ระดับน้ำตาลในเลือด และดัชนีมวลกาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ทั้งนี้ โปรแกรมที่พัฒนานี้ทำให้ผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากกว่าการดูแลแบบเดิม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p> <p><strong> สรุป</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวานที่พัฒนาขึ้นนี้ มีประสิทธิผลที่ดี และผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากกว่าการดูแลแบบเดิม จึงควรนำไปใช้และขยายผลต่อไป</p> <p> </p>
พรรณี วัตราเศรษฐ์
วรารก์ หวังจิตต์เชียร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
44 1
131
145