วารสารแพทย์เขต 4-5
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45
<p>The Medical Journal of Regions 4-5 is a journal of the Medical Association of Regions 4-5. It aims to be a medium for exchanging knowledge, opinions, academic experiences in medicine and public health. and disseminating academic work to doctors, dentists, pharmacists and nurses of hospitals in the 5th health service network, namely hospitals in Nakhon Pathom, Ratchaburi, Suphan Buri, Kanchanaburi, Phetchaburi, Samut Songkhram, Samut Sakhon, Prachuap Khiri Khan. and other health fields</p>
ชมรมแพทย์ เขต 4-5
th-TH
วารสารแพทย์เขต 4-5
0125-7323
<p>ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียนบทความ แต่หากผลงานของท่านได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ลงวารสารแพทย์เขต 4-5 จะคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยเหตุที่บทความจะปรากฎในวารสารที่เข้าถึงได้ จึงอนุญาตให้นำบทความในวารสารไปใช้ประโยชน์ได้ในเชิงวิชาการโดยจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงชื่อวารสารอย่างถูกต้อง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์</p>
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST Elevation Myocardial Infarction (STEMI) ที่ได้รับการรักษาสวนหัวใจที่โรงพยาบาลนครปฐม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271343
<p><strong> วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST elevation myocardial infarction (STEMI) ที่ได้รับการรักษาสวนหัวใจในโรงพยาบาลนครปฐม</p> <p><strong> วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลัง (retrospective study) ในผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและ/หรือการใส่ขดลวดค้ำยัน (primary PCI) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2566</p> <p><strong> ผลการศึกษา:</strong> ได้รับการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดค้ำยัน (primary PCI) ทั้งหมด 252 ราย พบอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาล ร้อยละ 12.3 (31 ราย) อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยคือ 63 ปี เป็นเพศชาย ร้อยละ 73 มีภาวะช็อกจากหัวใจล้มเหลวเมื่อแรกรับ ร้อยละ 19 ค่ามัธยฐานของระยะเวลาตั้งแต่วินิจฉัยจนถึงการขยายหลอดเลือด (diagnosis-to-device time) คือ 91 นาที ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ภาวะช็อกจากหัวใจล้มเหลวเมื่อแรกรับ (OR 5.11, 95% CI 2.02–12.91, p < .001); การไหลเวียนเลือดสุดท้ายหลังทำหัตถการในระดับ TIMI 0/1 (OR 16.43, 95% CI 1.39–13.02, p = .011); และค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายน้อยกว่าร้อยละ 40 (OR 2.71, 95% CI 1.11–6.77, p = .029) นอกจากนี้ยังพบว่าอายุมากกว่า 60 ปีมีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (OR 2.32, 95% CI 0.81–6.65, p = .12)</p> <p><strong> สรุป:</strong> จากการศึกษานี้ พบว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากหัวใจล้มเหลว การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีหลังทำหัตถการ และการบีบตัวของหัวใจที่ลดลง เป็นปัจจัยสำคัญที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและ/หรือการใส่ขดลวดคำยัน (primary PCI) ในโรงพยาบาลนครปฐม</p>
ณัฐพงศ์ กาญจนะโกมล
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
319
332
-
ประสิทธิผลของการนวดไทย ร่วมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐานต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง: การวิจัยนำร่อง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271346
<p><strong> วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการนวดไทย ร่วมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐาน เทียบกับการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง โดยมีผลลัพธ์หลัก คือความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ผลลัพธ์รอง คือ การฟื้นตัวของการทำงานแขนและขา และระดับความรุนแรงของโรค</p> <p><strong> วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม และปกปิดผู้ประเมิน คัดผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลางที่มารับบริการแบบผู้ป่วยนอกที่แผนกเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง จำนวน 10 คน รักษาด้วยการนวดไทยร่วมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐาน โดยแยกการรักษาอย่างละ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมได้รับการรักษา 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และกลุ่มควบคุม จำนวน 10 คน รักษาด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐานเพียงอย่างเดียว จำนวน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ทั้ง 2 กลุ่มได้รับการรักษาต่อเนื่องจนครบ 3 เดือน และประเมินด้วยแบบประเมิน Barthel index (BI); Fugl-Meyer motor assessment scale (FMA-motor); และ National Institute of Health Stroke Scale, Thai version (NIHSS-T) เปรียบเทียบก่อน และหลังการรักษา 3 เดือน</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าร่วมวิจัย ได้แก่ เพศ, อายุ, ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง, ข้างที่อ่อนแรง, คะแนน BI, FMA-motor, และ NIHSS-T ก่อนการรักษา ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการรักษา 3 เดือน พบว่า ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างมีคะแนน BI, FMA-motor เพิ่มขึ้น และมีคะแนน NIHSS-T ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงคะแนนของแบบประเมินทั้ง 3 เดือน ก่อนและหลังการรักษา พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในทุกแบบประเมิน</p> <p><strong> สรุป</strong><strong>:</strong> การวิจัยนำร่องในครั้งนี้ ไม่พบหลักฐานว่า การนวดไทยร่วมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐานดีกว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดมากเพียงพอ เพื่อยืนยันผลการศึกษาที่แน่ชัดยิ่งขึ้น</p> <p> </p>
สุทธิกิตติ์ พิพัฒน์ศรีสวัสดิ์
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
333
344
-
ความชุกของแอลลีล HLA-B*58:01 ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271347
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของแอลลีล HLA-B*58:01 ในผู้ป่วยที่มารับบริการในโรงพยาบาลราชบุรี และศึกษาข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยที่มีผลตรวจแอลลีล HLA-B*58:01 เป็นบวกเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่มีผลตรวจแอลลีล HLA-B*58:01 เป็นลบ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง โดยศึกษาในผู้ป่วยที่มารับบริการในโรงพยาบาลราชบุรี และได้รับการตรวจเลือดเพื่อส่งตรวจหาแอลลีล HLA-B*58:01 ทุกราย ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยรวมถึงผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง และใช้โปรแกรมทางสถิติสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยโดยการระบุจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยการใช้วิธีทดสอบไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบผู้ป่วยในการศึกษาทั้งสิ้น 144 ราย อายุเฉลี่ย 62.2 ± 14.6 ปี มีผู้ป่วยตรวจพบ แอลลีล HLA-B*58:01 ทั้งสิ้น 25 ราย คิดเป็นความชุกของแอลลีล HLA-B*58:01 ในผู้ป่วย ร้อยละ 17.4 และพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจพบแอลลีล HLA-B*58:01 มีอายุมากกว่า มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า และมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการ เป็นข้อบ่งชี้ในการใช้ยาอัลโลพูรินอล มากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบแอลลีล HLA-B*58:01 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในทางตรงกันข้ามพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจพบแอลลีล HLA-B*58:01 มีโรคเกาต์เป็นโรคร่วมและเป็นข้อบ่งชี้ในการใช้ยาอัลโลพูรินอล น้อยกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบแอลลีล HLA-B*58:01 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ความชุกของผู้ป่วยที่มีแอลลีล HLA-B*58:01 ในผู้ป่วยที่มารับบริการในโรงพยาบาลราชบุรีอยู่ที่ ร้อยละ 17.4</p>
สุมงคล แตงกลับ
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
345
354
-
ปัจจัยทำนายการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ในจังหวัดเพชรบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271349
<p><strong> วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ในจังหวัดเพชรบุรี</p> <p><strong> วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาย้อนหลัง (retrospective study) หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อภาวะคลอดก่อนกำหนด ที่คลอดในโรงพยาบาลเขตจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างมกราคม พ.ศ. 2565 ถึง เมษายน พ.ศ. 2567 สุ่มอย่างเป็นระบบ จำนวน 165 ราย วิเคราะห์โดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยทำนายโดยใช้การถดถอยลอจิสติก (logistic regression)</p> <p> <strong>ผลการศึกษา: </strong>ปากมดลูกสั้น ภาวะซีด และการฝากครรภ์ครั้งแรกหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ สามารถร่วมกันทำนายการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้ ร้อยละ 29.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 โดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีปากมดลูกสั้นมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเป็น 11.27 เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่มีปากมดลูกปกติ (95% CI: 3.66–34.77) หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะซีดมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเป็น 3.56 เท่า ของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะซีด (95% CI: 1.52–8.33) และหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรกหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเป็น 4.01 เท่า ของหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรกก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ (95% CI: 1.82–8.84) และสถานที่ฝากครรภ์ไม่สามารถทำนายการคลอดก่อนกำหนดได้</p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปากมดลูกสั้น ภาวะซีด และการฝากครรภ์ครั้งแรกหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ สามารถทำนายการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดในจังหวัดเพชรบุรีได้</p>
รุ่งนภา ไวยนิกรณ์
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
355
364
-
ผลการรักษาโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันในเด็กในโรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271350
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลการรักษาโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (newly diagnosed immune thrombocytopenia; nITP) และอุบัติการณ์การเกิดโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันเรื้อรัง (chronic ITP; cITP) ในผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนในผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยโรค nITP ที่มีอายุ 3 เดือน ถึง 15 ปี ในโรงพยาบาลราชบุรี ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรค nITP ทั้งหมด 86 ราย อายุมัธยฐาน 4 ปี 5 เดือน (0.3–13.3 ปี) เป็นเพศชายต่อเพศหญิง 1.3:1 มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรค ITP ได้แก่ การติดเชื้อร้อยละ 20.9 และการได้รับวัคซีน ร้อยละ 8.1 ส่วนใหญ่มีเลือดออกเล็กน้อยระดับ 1 ถึง 2 ร้อยละ 53.5 ค่ามัธยฐานปริมาณเกล็ดเลือดเมื่อแรกวินิจฉัย 7 x 10<sup>9</sup>/ลิตร (2–98 x 10<sup>9</sup>/ลิตร) ผู้ป่วยได้รับการรักษาต่างกันแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการสังเกตอาการ (Observation) ร้อยละ 7; กลุ่มที่ได้รับเพรดนิโซโลนขนาด 1–2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน (Pred 2) ร้อยละ 20.9; กลุ่มที่ได้รับเพรดนิโซโลนขนาด 4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน (Pred 4) ร้อยละ 11.6; กลุ่มที่ได้รับเมทิลเพรดนิโซโลนแบบ pulse (MP) ร้อยละ 48.8; และกลุ่มที่ได้รับ intravenous immunoglobulin (IVIg) ร้อยละ 11.6; พบว่ากลุ่มที่ได้รับ IVIg ตอบสนองต่อการรักษาเร็วกว่ากลุ่ม Observation อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = .008) แต่ไม่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่ม Observation กับกลุ่ม Pred 2, Pred 4, และ MP (p-value = .061, .487, และ .250 ตามลำดับ) เมื่อติดตามหลังการรักษา 1 ปี มีผู้ป่วย ร้อยละ 19.8 ได้รับการวินิจฉัยเป็น cITP โดยเป็นกลุ่ม Observation ร้อยละ 50, Pred 2 ร้อยละ 33.3, Pred 4 ร้อยละ 20, MP ร้อยละ 11.9, และ IVIg ร้อยละ 10 โดยไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = .079) ระหว่างกลุ่มรักษา</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยโรค nITP มีระยะเวลาตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แตกต่างกัน ผู้ที่ได้รับ IVIg มีแนวโน้มตอบสนองต่อการรักษาเร็วกว่าวิธีอื่น และอุบัติการณ์การเกิด cITP พบในผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการสังเกตอาการมากกว่ากลุ่มอื่น สามารถนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมมาปรับใช้ในผู้ป่วยที่มีสภาวะแตกต่างกันได้</p> <p> </p>
สุดารัตน์ ทัศนสุวรรณ
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
365
377
-
การศึกษาประสิทธิภาพของการฉีดยาชาระงับความรู้สึกเฉพาะส่วนที่ Adductor Canal ร่วมกับ การฉีดยาในข้อเข่าและเนื้อเยื่อบริเวณผ่าตัดเทียบกับการฉีดยาในข้อเข่าและเนื้อเยื่อบริเวณผ่าตัดอย่างเดียว เพื่อลดปวดหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271351
<p><strong> วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการทำ adductor canal block (ACB) ร่วมกับ local infiltration analgesia (LIA) เทียบกับ การทำ LIA อย่างเดียว ในการลดปวดผู้ป่วยที่มาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKA) โดยวัดผลจากการได้รับยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioids) ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด คะแนนความปวดขณะพักและขณะเคลื่อนไหวเข่า ที่เวลา 6, 12, 18, และ 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด เวลาที่ได้รับยากลุ่มโอปิออยด์ครั้งแรกหลังผ่าตัด ระยะเวลานอนโรงพยาบาล ผลข้างเคียงของโอปิออยด์ และความพึงพอใจของผู้ป่วย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุม ในกลุ่มผู้ป่วยที่มาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ทำการสุ่มแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 27 ราย รวม 54 ราย กลุ่มที่หนึ่ง ที่ได้รับการทำ ACB ร่วมกับ LIA (ACB + LIA) และกลุ่มที่สอง ได้รับการทำ LIA อย่างเดียว</p> <p><strong> ผลการศึกษา:</strong> คะแนนความปวดขณะพักที่ 6 ชั่วโมง ACB + LIA = 3.59 ± 3.05: LIA = 6.81 ± 2.74; 12 ชั่วโมง ACB + LIA = 3.70 ± 3.16: LIA = 6.59 ± 2.87; และ 18 ชั่วโมง ACB + LIA = 4.07 ± 3.08: LIA = 5.74 ± 2.53 คะแนนความปวดขณะเคลื่อนไหวเข่า ที่ 6 ชั่วโมง ACB + LIA = 4.40 ± 3.46: LIA = 7.75 ± 2.77; 12 ชั่วโมง ACB + LIA = 5.11 ± 3.05: LIA = 7.33 ± 2.71 ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < .01) และคะแนนความพึงพอใจของทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = .04) เมื่อเปรียบเทียบ ปริมาณการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ เวลาที่ได้รับยากลุ่มโอปิออยด์ครั้งแรกหลังผ่าตัด ผลข้างเคียงของโอปิออยด์ คะแนนความปวดขณะพักที่ 24 ชั่วโมง คะแนนความปวดขณะเคลื่อนไหวเข่าที่ 18 ชั่วโมง และ 24 ชั่วโมง ระยะเวลานอนโรงพยาบาล พบว่าทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การฉีดยาชาที่ adductor canal ร่วมกับการฉีดยาในข้อเข่าและเนื้อเยื่อบริเวณผ่าตัด (LIA) เทียบกับการทำ LIA อย่างเดียว ไม่พบความแตกต่างของปริมาณการได้รับยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (TKA) แต่ช่วยลดคะแนนความปวด และผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากกว่า</p>
สวรรยา ทวีปัญญายศ
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
379
391
-
ความชุกของเชื้อก่อโรคในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่มีภาวะไข้ร่วมกับระดับเม็ดเลือดขาวต่ำหลังได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271352
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของเชื้อก่อโรคในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่มีภาวะไข้ร่วมกับระดับเม็ดเลือดขาวต่ำ (febrile neutropenia; FN) หลังได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลราชบุรี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และมีภาวะ FN หลังจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง 92 คน และมีภาวะ FN จำนวน 195 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่เกิดในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือด ร้อยละ 92.8 พบสาเหตุจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด ร้อยละ 22.5 รองลงมาเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด ร้อยละ 13.8 การติดเชื้อทางเดินหายใจ ร้อยละ 13.6 และการติดเชื้อทางเดินอาหาร ร้อยละ 11.8 จากการส่งเพาะเชื้อทั้งหมด 551 ตัวอย่าง พบเชื้อก่อโรค 220 ตัวอย่าง เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ร้อยละ 68.4 (<em>Escherichiae coli</em> ร้อยละ 24.5, <em>Klebsiella pneumoniae</em> ร้อยละ 23.1, และ <em>Pseudomonas aeruginosa</em> ร้อยละ 11.9); แบคทีเรียแกรมบวก ร้อยละ 31.6 (<em>Enterococcus faecium</em> ร้อยละ 31.8, <em>Staphylococcus haemolyticus</em> ร้อยละ 19.7, coagulase negative staphylococci ร้อยละ 12.1); และพบเชื้อรา ร้อยละ 5 ผลการรักษามีอัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 12 และพบปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะเวลาไข้ร่วมกับเม็ดเลือดขาวต่ำนานเกิน 7 วัน (OR 5.3, 95% CI: 1.5–18.4, p-value = .03); ใส่สายสวนหลอดเลือดดำใหญ่ (OR 55.7, 95% CI: 6.9–452.5, p-value < .001); ใส่สายสวนปัสสาวะ (OR 9.5, 95% CI: 2.1–43.7, p-value = .004); ใส่ท่อช่วยหายใจ (OR 62.7, 95% CI: 13.8–285.4, p-value < .001); และเป็นผู้ป่วยกลุ่มความเสี่ยงสูง (OR 5.3, 95% CI: 1.5–18.4, p-value = .009)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> สาเหตุการติดเชื้อในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งหลังการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและมีภาวะ FN พบการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากที่สุด รองลงมาเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ได้แก่ ระยะเวลาไข้ร่วมกับเม็ดเลือดขาวต่ำนานเกินกว่า 7 วัน ใส่สายสวนต่างๆ และเป็นผู้ป่วยกลุ่มความเสี่ยงสูง สามารถนำผลการศึกษามาปรับใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะ FN ให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong> </strong></p>
ปริวันท์ ศรีพัฒนธาดาสกุล
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
393
404
-
การเกิดภาวะแทรกซ้อนเลือดออกหลังการผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคปในผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271353
<p> <strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ศึกษาหาความชุกและปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนเลือดออกหลังการผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป ในผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2560–2566 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา โดยใช้ข้อมูลจากการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ได้รับการผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป ตั้งแต่ พ.ศ. 2560–2566 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติในการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์คือ odds ratio (OR) ด้วยวิธีของ Mantel-Haenszel และใช้ Fisher’s exact test ในการทดสอบสมมติฐาน</p> <p> <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ได้รับการผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป ตั้งแต่ปี 2560–2566 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 จำนวน 82 ราย พบผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนเลือดออกหลังการผ่าตัดที่ต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมจำนวน 4 ราย ความชุกของการเกิดภาวะแทรกซ้อนเลือดออกหลังผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคปในผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง ร้อยละ 4.9 ปัจจัยที่พบร่วมกับการเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง, Lund-Mackay score ≥ 12, และริดสีดวงจมูก แต่ไม่พบว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ภาวะเลือดออกหลังผ่าตัดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดในการผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป จากการศึกษาพบความชุกของการเกิดภาวะแทรกซ้อนเลือดออกหลังผ่าตัดไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคปในผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังเท่ากับ ร้อยละ 4.9 ผู้ป่วยทุกรายได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมทันท่วงทีและไม่เกิดผลเสียร้ายแรงต่อผู้ป่วย</p>
เหมือนฝัน คุ้มภัย
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
405
418
-
อุบัติการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาโคลิสติน ของผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลสมุทรปราการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271355
<p> <strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาต้านจุลชีพกลุ่มโคลิสติน ในผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสมุทรปราการ</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลังแบบมีกลุ่มเปรียบเทียบ ใช้อัตราส่วนกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุมเป็น 1:2 กลุ่มศึกษา คือ ผู้ป่วยที่มีผลเพาะเชื้อยืนยันการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อโคลิสติน จำนวน 136 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ป่วยที่มีผลเพาะเชื้อยืนยันการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาต้านจุลชีพกลุ่มอื่น ยกเว้นโคลิสติน จำนวน 272 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์และผลเพาะเชื้อจากห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนาและหาความสัมพันธ์ด้วยสถิติเชิงอนุมาน multiple logistic regression กำหนดนัยสำคัญทางสถิติ p < .05</p> <p> <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาพบอุบัติการณ์การติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาโคลิสติน 0.36 ต่อ 1,000 วันนอน ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาโคลิสติน ได้แก่ อายุเกิน 70 ปี; มีโรคร่วมเบาหวาน, ไตวายเรื้อรังระยะ 3 ขึ้นไป; ใส่สายสวนปัสสาวะ, สายสวนทางหลอดเลือดดำ; วันนอนโรงพยาบาลมากกว่า 7 วัน; มีประวัติได้รับยาต้านจุลชีพมาก่อนใน 1 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มเซฟาโลสปอริน, ฟลูโอโรควิโนโลน, และคาร์บาพีเนม พบมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยา โคลิสติน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ควรมีมาตรการในการดูแลผู้ป่วย เพื่อควบคุมป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาต้านจุลชีพกลุ่มโคลิสติน</p>
พรวิมล ลี้ทอง
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
419
432
-
ความชุกและการวิเคราะห์ปัจจัยของการเกิดรอยโรคในช่องปากโดยใช้ PRECEDE Model ในเด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลสังขละบุรี อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271356
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยการเกิดรอยโรคในช่องปากในเด็กปฐมวัยโดยใช้ PRECEDE Model </p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบภาคตัดขวาง <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบรอยโรคในช่องปากในเด็ก 86 คน (ร้อยละ 47.5) ลิ้นมีฝ้าขาวบาง ร้อยละ 17.6 ลิ้นมีฝ้าขาวหนา ร้อยละ 15.5 ลิ้นแผนที่และลิ้นผิวเรียบอย่างละ ร้อยละ 3.4 และอื่นๆ ผู้ปกครองที่มีความรู้สูง ผู้ที่มีรายได้พอเพียง-มีเหลือเก็บ/ไม่เหลือเก็บ จะพบรอยโรคในช่องปากเด็กต่ำกว่ากลุ่มที่มีความรู้ปานกลาง/ต่ำและมีรายได้ไม่พอเพียง-มีหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เด็กหญิงพบรอยโรคได้มากกว่าเด็กชาย และเด็กที่ชอบกินเครื่องดื่มรสหวานพบรอยโรคในช่องปากมากกว่าเด็กที่ไม่ชอบกิน ส่วนปัจจัยนำอื่นๆ ของผู้ปกครอง คือ เพศ อายุ ความสัมพันธ์กับเด็ก อาชีพ ระดับการศึกษา ปัจจัยนำของเด็กคือ อายุ การเจ็บป่วยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โรคประจำตัว พฤติกรรมการกินขนมหวาน (ประเภทแป้ง ประเภทที่อมน้ำตาลอยู่ในปากหลายนาที ประเภทติดร่องฟันง่าย) การชอบกินผักผลไม้ และการแปรงฟัน ปัจจัยเสริมคือ ช่องทางการรับความรู้ข้อมูลข่าวสารสุขภาพช่องปาก และปัจจัยเอื้อคือ การตรวจฟันโดยผู้ปกครองและการรับบริการทันตกรรม ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดรอยโรคช่องปาก <strong> </strong></p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การบริโภคเครื่องดื่มรสหวานทุกประเภท และเพศหญิง มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยโรคในช่องปาก</p>
เมธ์ ชวนคุณากร
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
433
447
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการทันตกรรมของผู้ประกันตนสิทธิประกันสังคม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271358
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการทันตกรรมของผู้ประกันตนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการทันตกรรมของผู้ประกันตนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตามปัจจัยด้านประชากร และ 3) เปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการทันตกรรมของผู้ประกันตนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตามพฤติกรรมการใช้บริการทันตกรรม </p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ประกันตนสิทธิประกันสังคมที่เคยใช้บริการทันตกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 195 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยสถิติ t test และ F test</p> <p> <strong>ผลการศึกษา:</strong> 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการใช้บริการทันตกรรมของผู้ประกันตนสิทธิประกันสังคมในคลินิกหรือโรงพยาบาล มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือปัจจัยด้านบุคลากรทางการแพทย์ รองลงมาคือด้านบริการ ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ </p> <ol start="2"> <li class="show">ปัจจัยทางด้านประชากรคือ เพศ อายุ ค่าใช้จ่าย การศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้บริการทันตกรรมแตกต่างกัน</li> <li class="show">ผู้ประกันตนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานพยาบาลทันตกรรมแตกต่างกัน</li> </ol> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยด้านบุคลากรทางการแพทย์แพทย์ บริการ ลักษณะทางกายภาพ กระบวนการ ปัจจัยด้านประชากร และปัจจัยด้านพฤติกรรม มีผลต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการทันตกรรมของผู้ประกันตนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p>
ทิฐสรินทร์ มานะกิจ
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
449
461
-
ปัจจัยทำนายความเสี่ยงการเกิดโรค NCDs (โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง) ของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271359
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานร่วมกับโรคความดันโลหิตสูงของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง (retrospective analytic study) โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากเวชระเบียนโรงพยาบาลของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงานที่มารับบริการ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 1,342 คน นำเสนอข้อมูลเป็นจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลและทำนายความเสี่ยงการเกิดโรค NCDs (โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง) ด้วยสถิติอ้างอิง ได้แก่ t test independent และ chi-square test และเปรียบเทียบสัดส่วน ความเสี่ยง (odds ratio) ระหว่างกลุ่มที่เกิดกับไม่เกิดโรค NCDs ด้วยการวิเคราะห์ binary logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงานมีอายุเฉลี่ย 43.69 ปี เป็นเพศชาย ร้อยละ 23.8 เพศหญิง ร้อยละ 76.2 ค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ยที่ 24.17 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ระดับค่าความดันโลหิตซิสโทลิก เฉลี่ยเท่ากับ 120.37 มิลลิเมตรปรอท ระดับค่าความดันโลหิตไดแอสโทลิก เฉลี่ยเท่ากับ 73.14 มิลลิเมตรปรอท ทั้งนี้ผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่มีพฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย ร้อยละ 96.6 มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ร้อยละ 2.5 และมีพฤติกรรมการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ร้อยละ 3.7 ผลการวิเคราะห์ พบว่า 1) ปัจจัยทำนายความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงาน ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ อายุ (OR = 1.107, p < .001), ดัชนีมวลกาย (OR = 1.182, p < .001), ระดับค่าความดันโลหิตซิสโทลิก (OR = 1.028, p = .033), และพฤติกรรมการออกกำลังกาย ได้แก่ พฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย (OR = 12.657, p < .001), และพฤติกรรมออกกำลังกายเป็นบางครั้ง (OR = 8.337, p = .013); 2) ปัจจัยทำนายความเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูงของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงาน ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ อายุ (OR = 1.128, p < .001), ดัชนีมวลกาย (OR = 1.097, p < .001) และระดับความดันโลหิต ได้แก่ ระดับค่าความดันโลหิตซิสโทลิก (OR = 1.061, p < .001) และ ระดับค่าความดันโลหิตไดแอสโทลิก (OR = 1.031, p = .022); และ 3) ปัจจัยทำนายความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานร่วมกับโรคความดันโลหิตสูงของผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงาน ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ อายุ (OR = 1.161, p < .001), ดัชนีมวลกาย (OR = 1.237, p < .001), ระดับค่าความดันโลหิตซิสโทลิก (OR = 1.057, p = .004), และพฤติกรรมการออกกำลังกาย ได้แก่ พฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย (OR = 17.184, p < .001) และพฤติกรรมออกกำลังกายเป็นบางครั้ง (OR = 13.035, p = .037)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>อายุ ดัชนีมวลกาย ระดับค่าความดันโลหิต และพฤติกรรมการออกกำลังกาย สามารถทำนายความเสี่ยงการเกิดโรค NCDs (โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง) ในผู้รับบริการกลุ่มวัยทำงานได้</p> <p> </p>
นันทวัน ธัญปราณีตกุล
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
463
478
-
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเอง ในสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการตรวจคัดกรองความยาวของปากมดลูก ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271360
<p> <strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเอง ในสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการตรวจคัดกรองความยาวของปากมดลูกที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร</p> <p> <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนแผนกฝากครรภ์ของสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการตรวจคัดกรองความยาวปากมดลูกทางช่องคลอดและมีปัจจัยเสี่ยง ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เป็นระยะเวลา 6 ปี กลุ่มตัวอย่างถูกเลือกแบบเจาะจงทั้งหมดตามเกณฑ์คัดเข้า เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป ประวัติการตั้งครรภ์ ปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ผลการคลอด และการได้รับยาเหน็บโปรเจสเตอโรน แจกแจงข้อมูลเป็นจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเองด้วยสถิติ multiple logistic regression กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p < .05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 264 ราย เป็นกลุ่มคลอดก่อนกำหนด 68 ราย (ร้อยละ 25.8) และกลุ่มคลอดครบกำหนด 196 ราย (ร้อยละ 74.2) พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ 1) ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (Adj. OR = 11.39, 95% CI = 2.44–53.10, p = .002), 2) ประวัติแท้งและขูดมดลูก (Adj. OR = 6.01, 95% CI = 1.08–33.45, p = .040), และ 3) กลุ่มที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนดและได้รับยาโปรเจสเตอโรนเหน็บทางช่องคลอด พบว่ามีการคลอดก่อนกำหนดน้อยกว่ากลุ่มที่มีประวัติและไม่ได้เหน็บยา ร้อยละ 97.0 (Adj. OR = 0.03, 95% CI = 0.01–0.16, p < .001)</p> <p> <strong>สรุป:</strong> ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเอง ได้แก่ ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และมีประวัติแท้งและขูดมดลูก ส่วนปัจจัยที่ลดความเสี่ยงคือ กลุ่มที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนดและได้รับยาโปรเจสเตอโรนเหน็บทางช่องคลอด ดังนั้นบุคลากรที่เกี่ยวข้องจึงต้องให้ความสำคัญในการซักประวัติคัดกรองความเสี่ยงตั้งแต่ระยะแรกที่ฝากครรภ์เพื่อให้การดูแลรักษาได้ครบถ้วนและต่อเนื่อง ร่วมกับการส่งเสริมสุขภาพการดูแลตนเอง และการบริการฝากครรภ์คุณภาพต่อไป </p>
วริน กิตตินภดล
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
479
492
-
วารสารแพทย์ เขต 4-5 ปีที่ 43 ฉบับที่ 3
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/271361
<p>.</p>
วารสารแพทย์ เขต 4-5
Copyright (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-27
2024-09-27
43 3
319
492