วารสารแพทย์เขต 4-5 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45 <p>The Medical Journal of Regions 4-5 is a journal of the Medical Association of Regions 4-5. It aims to be a medium for exchanging knowledge, opinions, academic experiences in medicine and public health. and disseminating academic work to doctors, dentists, pharmacists and nurses of hospitals in the 5th health service network, namely hospitals in Nakhon Pathom, Ratchaburi, Suphan Buri, Kanchanaburi, Phetchaburi, Samut Songkhram, Samut Sakhon, Prachuap Khiri Khan. and other health fields</p> ชมรมแพทย์ เขต 4-5 th-TH วารสารแพทย์เขต 4-5 0125-7323 <p>ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียนบทความ แต่หากผลงานของท่านได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ลงวารสารแพทย์เขต 4-5 จะคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยเหตุที่บทความจะปรากฎในวารสารที่เข้าถึงได้ จึงอนุญาตให้นำบทความในวารสารไปใช้ประโยชน์ได้ในเชิงวิชาการโดยจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงชื่อวารสารอย่างถูกต้อง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์</p> กรณีศึกษา: ภาวะใบหน้าอัมพาตครึ่งซีกภายหลังการฉีดยาชาเฉพาะที่ก่อนทำหัตถการทางทันตกรรม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278150 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ภาวะเส้นประสาทคู่ที่ 7 อัมพาตเป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อย แต่ก็สามารถพบได้ในการฉีดยาชาเฉพาะที่ทางทันตกรรม โดยอาจจะไม่ได้มีรายงานอุบัติการณ์การเกิดที่มากนัก ในบทความนี้เป็นรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะเส้นประสาทคู่ที่ 7 อัมพาตภายหลังการฉีดยาชาสกัดเส้นประสาทอินฟีเรียอัลวีโอลาร์ และอภิปรายถึงขั้นตอนการจัดการเมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้น โดยภาวะอัมพาตของใบหน้าครึ่งซีกอาจเกิดขึ้นได้เพียงชั่วคราวในระยะเวลาอันสั้น จึงอาจยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้การรักษา หรือไปจนกระทั่งเกิดภาวะนี้อยู่นานจนต้องให้การรักษาด้วยยาหรือการทำกายภาพบำบัด โดยในขณะเกิดภาวะนี้มักทำให้การหลับตาทำได้ไม่สนิทในข้างที่เส้นประสาทมีปัญหา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใส่แผ่นปิดดวงตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อและแผลของดวงตา การเข้าใจขั้นตอนการฉีดยาชาสกัดเส้นประสาทอินฟีเรียอัลวีโอลาร์ที่ถูกวิธีและจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้</p> สุรชัย เพชรอาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 469 478 อัตราการกลับเป็นซ้ำของต้อเนื้อหลังผ่าตัดโดยวิธีวางเยื่อหุ้มรกเปรียบเทียบกับวิธีวางเยื่อหุ้มรกและสารมัยโตมัยซินซี ที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278135 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดเป็นซ้ำของต้อเนื้อของการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรก (amniotic membrane transplantation: AMT) กับการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรกร่วมกับสารมัยโตมัยซินซี (mitomycin C: MMC) เพื่อศึกษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด และหาแนวทางในการรักษาต้อเนื้อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (retrospective descriptive study) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยต้อเนื้อที่โรงพยาบาลบ้านโป่งที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรก (pterygium excision with AMT) กับการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรกร่วมกับสารมัยโตมัยซินซี (pterygium excision with AMT with MMC) เป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2566 ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จำนวน 55 ราย โดยเป็นกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรก 30 ราย และการผ่าตัดแบบใช้เยื่อหุ้มรกร่วมกับสารมัยโตมัยซินซี 25 ราย โดยเปรียบเทียบอัตราการกลับเป็นซ้ำที่ 1, 3, และ 6 เดือน และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติพรรณนา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติอ้างอิง Fisher’s exact test</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา:</strong> ทั้งสองกลุ่มมีข้อมูลทั่วไปที่คล้ายคลึงกัน พบว่าที่ 1, 3, และ 6 เดือน อัตราการกลับเป็นซ้ำของการผ่าตัดต้อเนื้อแบบใช้เยื่อหุ้มรก (pterygium excision with AMT) และการผ่าตัดต้อเนื้อแบบใช้เยื่อหุ้มรกร่วมกับสารมัยโตมัยซินซี (pterygium excision with AMT with MMC) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &gt; .99; p-value = .112; และ p-value = .092 ตามลำดับ) ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดพบภาวะกระจกตาบาง 2 ราย ในกลุ่มผ่าตัดต้อเนื้อโดยใช้เยื่อหุ้มรก ที่ 1 เดือน และหายเมื่อติดตามที่ 3 และ 6 เดือน ซึ่งภาวะแทรกซ้อนของทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = .495)</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สรุป: </strong>อัตราการกลับเป็นซ้ำของการผ่าตัดต้อเนื้อแบบใช้เยื่อหุ้มรก (pterygium excision with AMT) และการผ่าตัดต้อเนื้อแบบใช้เยื่อหุ้มรกร่วมกับสารมัยโตมัยซินซี (pterygium excision with AMT with MMC) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ภาวะแทรกซ้อนของทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ การใช้สารมัยโตมัยซินซี ไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ลูกตาขาวทะลุ หรือติดเชื้อในลูกตา</p> อลิษา ผลวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 321 332 ลักษณะทางคลินิกและผลลัพธ์ของภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นเฉียบพลันในผู้ป่วยสูงอายุ: การศึกษาแบบศูนย์เดียวจากโรงพยาบาลสมุทรสาคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278136 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกของการเกิดเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นเฉียบพลันในผู้สูงอายุ ผลของอายุต่อลักษณะทางคลินิก และผลของการส่องกล้อง อีกทั้งค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาเชิงสังเกตทางคลินิก โดยเก็บข้อมูลจากการซักประวัติและแบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นเฉียบพลัน ที่มานอนรักษาที่หอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร ร่วมกับผลรายงานการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น ตั้งแต่ พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2568</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นเฉียบพลัน ทั้งหมด จำนวน 236 ราย พบเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 112 ราย มีอายุเฉลี่ย 71 ± 8.1 ปี เป็นเพศชาย 76 ราย (ร้อยละ 67.6) BMI เฉลี่ย 24.2 ± 5.3 กิโลกรัม/เมตร<sup>2</sup> เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 60 ปี พบอาการที่มาโรงพยาบาล คือ อาเจียนเป็นเลือด (ร้อยละ 21.4 vs 42.9; p = .001) ตามลำดับ และมีอาการอาเจียนเป็นสีดำ (ร้อยละ 39.2 vs 24.3; p = .013) ส่วนอาการแสดงที่พบมากที่สุด คือ ชีพจรมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ร้อยละ 30.3 vs 45.4; p = .020) พบมีโรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 72.1 vs 21.9; p &lt; .001) ร่วมด้วยมากที่สุด รองลงมา คือ มีโรคไขมันในเลือดสูง (ร้อยละ 43.6 vs 10.5; p &lt; .001) มีโรคเบาหวาน (ร้อยละ 40.9 vs 17; p &lt; .001) นอกจากนี้ มีประวัติการสูบบุหรี่ (ร้อยละ 28.5 vs 54.3; p &lt; .001) มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์ (ร้อยละ 36.5 vs 68; p &lt; .001) มีประวัติได้รับยากลุ่มแอสไพริน (ร้อยละ 24 vs 1.6; p &lt; .001) และมีประวัติได้รับยา warfarin (ร้อยละ 5.3 vs 0; p = .009) ผลส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นพบเป็น กระเพาะอาหารอักเสบมากที่สุด (ร้อยละ 91.7 vs 85.9; p = .119) แผลในกระเพาะอาหาร (ร้อยละ 49 vs 34.8; p = .025) หลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร (ร้อยละ 6.2 vs 22.7; p &lt; .001) เมื่อติดตามผลของการรักษา UGIB พบว่า มีการเกิดเลือดออกซ้ำใน 7 วัน (ร้อยละ 3.6 vs 1.6; p = .341) และการเสียชีวิตใน 30 วัน (ร้อยละ 6.2 vs 0.8; p = &nbsp;.021)</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุป: </strong>ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วยและมีประวัติการใช้ยาต่าง ๆ มีผลโดยตรงต่อโอกาสการเกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่สำคัญของอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มมากกว่าในกลุ่มที่อายุน้อย แต่หากได้รับการรักษาด้วยการส่องกล้องและควบคุมปัจจัยอื่น ๆ ได้ดี น่าจะมีผลต่อการรักษาที่ดีขึ้นได้</p> วิชิต กาจเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 333 348 การเปรียบเทียบอุบัติการณ์ภาวะหนาวสั่นระหว่างการใช้ยา Parecoxib ร่วมกับ Ondansetron และการใช้ยาเดี่ยวในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดคลอดด้วยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278137 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>ภาวะหนาวสั่น (shivering) เป็นผลแทรกซ้อนที่พบบ่อยหลังการผ่าตัด โดยพบสูงถึงร้อยละ 10–66 ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเลือดเป็นกรดและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้เนื่องจากร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มถึง ร้อยละ 500–600 วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบอุบัติการณ์หนาวสั่นหลังการใช้ parecoxib ร่วมกับ ondansetron (OP) เทียบกับกลุ่ม parecoxib (P) และกลุ่ม ondansetron (O) รวมถึงศึกษาอุบัติการณ์หนาวสั่นในการผ่าตัดคลอดด้วยวิธีการระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>วิจัยเชิงทดลองแบบไปข้างหน้าในการผ่าตัดคลอดด้วยวิธีระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายของโรงพยาบาลทองผาภูมิและสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 จัดกลุ่มด้วยวิธีสุ่มจับสลากอย่างง่าย จำนวน 278 คน โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ เครื่องวัดอุณหภูมิ, เกณฑ์หนาวสั่น, และคะแนนความเจ็บ ดำเนินวิจัยในเดือนพฤษภาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติวิเคราะห์ ได้แก่ one-way ANOVA และ binary logistic regression</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามลักษณะพื้นฐานของผู้ป่วย, ข้อมูลในห้องผ่าตัด, และพักฟื้นในแต่ละกลุ่มต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบอุบัติการณ์ของแต่ละกลุ่มกับกลุ่มอ้างอิง (OP) พบว่ากลุ่ม P กับกลุ่ม OP ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p-value = .021) โดยกลุ่ม P มีโอกาสเกิดสูงกว่ากลุ่ม OP ถึง 4.62 เท่า ส่วนกลุ่ม O กับกลุ่ม OP ต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ (p-value = .060) โดยกลุ่ม O มีโอกาสเกิดสูงกว่ากลุ่ม OP อยู่ 3.57 เท่า ส่วนอุบัติการณ์หนาวสั่นรวมพบ ร้อยละ 9.03 โดยพบมากที่สุดในกลุ่ม P, รองมาคือกลุ่ม O, และน้อยที่สุดในกลุ่ม OP โดยคิดเป็นร้อยละ 13.3, 10.6, และ 3.2 ตามลำดับ</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุป</strong><strong>: </strong>กลุ่ม OP พบอุบัติการณ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแสดงถึงการเสริมฤทธิ์กันโดยผ่านกลไกที่ต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาร่วมกันให้ผลป้องกันภาวะหนาวสั่นดีกว่าการใช้ยาเพียงลำพังและปลอดภัย</p> เอกวิฑูรย์ บุญศิริปิยโชค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 349 363 ปัจจัยที่มีผลต่ออาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคหืดที่มารับบริการที่โรงพยาบาลมะการักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278138 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ออาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคหืดที่มารับบริการ ณ โรงพยาบาลมะการักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้า โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยโรคหืดที่มารับบริการ ที่โรงพยาบาลมะการักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี ในระยะเวลาตั้งแต่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2568 เป็นระยะเวลา 8 เดือน เครื่องมือที่ใช้ทำการวิจัย คือ แบบบันทึกเก็บข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคหืดที่มารับบริการ นำเสนอข้อมูลเป็นจำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่ออาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคหืดด้วยการทำ t test independent, chi-square test</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 140 ราย พบปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดกำเริบเฉียบพลัน ได้แก่ ค่า FEV<sub>1</sub> %predicted ที่น้อย (p = .006); การมีประวัติเคยกำเริบรุนแรงใน 12 เดือนที่ผ่าน (p &lt; .001); การควบคุมโรคหืดตาม “Asthma Control Test” (ACT) ที่คุมอาการไม่ได้ (p &lt; .001); การไม่ได้รับการสั่งจ่าย inhaled corticosteroids (ICS), (p = .002); เทคนิคการพ่นสูด ICS (p &lt; .001); และมีการใช้ SABA เกินขนาด (มากกว่าเท่ากับ 1 หลอดต่อเดือน), (p = .038) ส่วนปัจจัยอื่น ได้แก่ เพศ, โรคอ้วน, ระดับ eosinophil ในเลือด, โรคจมูกและไซนัสอักเสบจากภูมิแพ้ชนิดเรื้อรัง, โรคซึมเศร้า, ประวัติเคยใส่ท่อช่วยหายใจหรือการนอนในหอผู้ป่วยวิกฤติเนื่องจากการกำเริบของโรคหืดมาก่อน, การสัมผัสควันบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า, และความร่วมมือในการใช้ยา ตาม “The Adherence to Asthma Medication Questionnaire” (AAMQ-13) พบว่าไม่มีผลต่อการเกิดอาการกำเริบเฉียบพลัน</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่มีผลต่อการกำเริบเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคหืด ได้แก่ คะแนน Asthma Control Test (ACT), FEV<sub>1</sub>%predictedที่น้อย, การมีประวัติเคยกำเริบรุนแรงใน 12 เดือนที่ผ่าน, การได้รับการสั่งจ่าย ICS, และมีการใช้ SABA เกินขนาด</p> อนันญา เสรีลัดดานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 365 380 การศึกษาเปรียบเทียบการใส่ท่อช่วยหายใจในหุ่นทารกแรกเกิดด้วยเครื่องช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ชนิดวีดิทัศน์ โดยการดัดปลายท่อสองลักษณะ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278140 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การใส่ท่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิดถือเป็นหัตถการทางวิสัญญีวิทยาที่มีความซับซ้อนและท้าทายเนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของทารกแรกเกิดที่มีความแตกต่างจากช่วงวัยอื่น ๆ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดออกซิเจนในระหว่างการทำหัตถการ การใส่ท่อช่วยหายใจโดยใช้อุปกรณ์ช่วยชนิดวีดิทัศน์มีประโยชน์ในการมองเห็นกล่องเสียงได้แม่นยำและชัดเจนยิ่งขึ้น และส่งผลให้โอกาสในการประสบความสำเร็จในการใส่ท่อช่วยหายใจสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับลักษณะการดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจที่จะช่วยให้สามารถใส่ท่อช่วยหายใจผ่านกล่องเสียงด้วยกล้องวีดิทัศน์ชนิดด้ามมิลเลอร์ (Miller blade) เพื่อให้โอกาสในการประสบความสำเร็จในการใส่ท่อช่วยหายใจสูงขึ้น ดังนั้นการศึกษาวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการเพื่อเปรียบเทียบระยะเวลา และโอกาสประสบความสำเร็จ ในการใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างลักษณะการดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจให้เป็นรูปไม้ฮอกกี้ (hockey stick) และรูปทรงโค้งตัว C (C-curved shape) ในหุ่นทารกแรกเกิดด้วยกล้องวีดิทัศน์ชนิดด้ามมิลเลอร์</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลา และโอกาสประสบความสำเร็จ ในการใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างลักษณะการดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจให้เป็นรูปไม้ฮอกกี้ (hockey stick) และรูปทรงโค้งตัว C (C-curved shape) ในหุ่นทารกแรกเกิดด้วยกล้องวีดิทัศน์ชนิดด้ามมิลเลอร์</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>ทำการศึกษาวิจัยโดยมีกลุ่มประชากรเป็นวิสัญญีแพทย์และวิสัญญีพยาบาลทั้งหมด 37 คน โดยแบ่งกลุ่มแบบสุ่มเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเริ่มจากการใส่ท่อช่วยหายใจโดยดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจให้เป็นรูปไม้ฮอกกี้ กลุ่มที่สองแรกเริ่มจากการใส่ท่อช่วยหายใจโดยดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจให้เป็นรูปทรงโค้งตัว C โดยแต่ละกลุ่มจะได้ทำหัตถการครั้งที่สองโดยเปลี่ยนรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจเป็นอีกชนิดหนึ่ง ในหุ่นทารกแรกเกิด ผลลัพธ์หลักคือระยะเวลาการใส่ท่อช่วยหายใจทั้งหมด ผลลัพธ์รองคือตำแหน่งปลายท่อเริ่มต้นและคะแนนความพึงพอใจของกลุ่มประชากร</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ระยะเวลาเฉลี่ยในการใส่ท่อช่วยหายใจของกลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบรูปไม้ฮอกกี้คือ 25 ± 3 วินาที ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบรูปทรงโค้งตัว C ที่ 25.5 ± 5 วินาที (p = .326) อัตราการประสบความสำเร็จในการใส่ท่อช่วยหายใจ ร้อยละ 100 ในทั้งสองกลุ่มการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความพึงพอใจต่อการทำหัตถการพบว่า กลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบรูปไม้ฮอกกี้มีความพึงพอใจเฉลี่ย 8.54/10 ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบรูปทรงโค้งตัว C 8.05/10 (p = .137)</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป</strong><strong>: </strong>การใส่ท่อช่วยหายใจในหุ่นทารกแรกเกิดด้วยกล้องวีดิทัศน์ชนิดด้ามมิลเลอร์ระหว่างลักษณะการดัดรูปร่างของปลายท่อช่วยหายใจให้เป็นรูปไม้ฮอกกี้ (hockey stick) และรูปทรงโค้งตัว C (C-curved shape) ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาในการทำหัตถการ อัตราความสำเร็จ และความพึงพอใจ</p> ชนิดา เอี่ยมแสงชัยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 381 390 ปัจจัยทำนายความเสี่ยงการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278142 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถทำนายความเสี่ยงการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบภาคตัดขวางจากผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อายุ 35 ปีขึ้นไป ที่รับการรักษาด้วยยาชนิดรับประทานเท่านั้น จำนวน 270 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่คุมไม่ได้และคุมได้ด้วย Fisher’s exact test test, odds ratio โดยนำปัจจัยที่มีค่า p-value น้อยกว่า .05 มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแบบหลายตัวแปรด้วยสถิติการถดถอยพหุลอจิสติก</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่สามารถทำนายความเสี่ยงการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คือ อายุ 40–59 ปี มีความเสี่ยงเป็น 3.99 เท่า (p &lt; .05) หากน้อยกว่า 40 ปี มีความเสี่ยงเป็น 6.76 เท่า (p &lt; .05) และหากมีความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับปานกลาง มีความเสี่ยงเป็น 2.73 เท่า (p &lt; .05) นอกจากนี้การมีความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำ มีความเสี่ยงเป็น 4.33 เท่า (p &lt; .05) &nbsp;</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป:</strong> ปัจจัยที่สามารถทำนายความเสี่ยงการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คือ อายุน้อยกว่า 60 ปี และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำและปานกลาง ดังนั้นควรเฝ้าระวังการควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำและปานกลางอย่างใกล้ชิด</p> จุฬานี ฟักแฟง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 391 402 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดในผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลราชบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278143 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคซ้ำในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด ณ โรงพยาบาลราชบุรี</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วิธีการศึกษา: </strong>โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดครั้งแรก อายุ 18 ปี ขึ้นไป ที่เข้ารับการรักษาระหว่าง เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2566 และมีการติดตามอย่างน้อย 12 เดือน จำนวน 120 ราย จำแนกเป็นกลุ่มที่เกิดโรคซ้ำ 60 ราย และไม่เกิดซ้ำ 60 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาข้อมูล และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ chi-square test หรือ Fisher’s exact test, independent t test, Mann–Whitney U test, และ logistic regression</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มที่เกิดโรคซ้ำมีอายุเฉลี่ยสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (67.15 ± 11.41 เทียบกับ 56.5 ± 10.30 ปี; p &lt; .01) และมีคะแนน Barthel ADL แรกรับต่ำกว่า (4.18 เทียบกับ 8.21; p &lt; .01) รวมทั้งมีการฟื้นฟูต่ำกว่า (ΔADL 4.4 เทียบกับ 6.63, p &lt; .01) ค่าคะแนน Functional Ambulation Category (FAC) ก่อนจำหน่ายต่ำกว่า (1.68 เทียบกับ 3.4, p &lt; .01) ผลการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุคูณพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดโรคซ้ำ ได้แก่ อายุ ≥65 ปี (adjusted OR = 8.38; 95% CI: 2.86–24.53; p &lt; .01) และ Barthel ADL index ณ วันจำหน่าย ≤11 คะแนน (adjusted OR = 14.14; 95% CI: 4.9–40.30; p &lt; .01)</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีอายุ ≥65 ปี และมีระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันต่ำ (Bathel ADL &lt;11) ณ วันจำหน่าย มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดซ้ำ การประเมินและฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคซ้ำได้</p> อนล สถาพรสถิต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 403 146 ความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ทางคลินิกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย ที่รับบริการในคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลวัดเพลง จังหวัดราชบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278145 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ทางคลินิกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่รับบริการในคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลวัดเพลง</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยายความสัมพันธ์ (descriptive correlation research design) เพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิก ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์ทางคลินิกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ประชากรที่ศึกษาคือผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ที่รับบริการในคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลวัดเพลงทั้งเพศชายและหญิง ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบสะดวก (convenience sampling) ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 342 คน โดยใช้แบบประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก ดัดแปลงมาจากชุดมาตรการวัดผลลัพธ์ทางคลินิกของ ICHOM และแบบสอบถามของกองสุขศึกษา ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value น้อยกว่า .05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับดี พฤติกรรมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ผลลัพธ์ทางคลินิกอยู่ในระดับดีมาก และผลลัพธ์ทางคลินิกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; .01) แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>สรุป:</strong> ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความเชื่อมโยงกับทั้งพฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์ทางคลินิก แม้จะอยู่ในระดับต่ำ จึงควรมีการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมและอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้นในระยะยาว</p> ธนสกล ณฐนันวานิชธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 417 429 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มวัยทำงานที่เข้ามารับบริการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานและตรวจสุขภาพประจำปีที่คลินิกอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278146 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของความเครียดและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มวัยทำงานที่มาตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานและตรวจสุขภาพประจำปีที่คลินิกอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากแบบฟอร์มการคัดกรองและประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพกายและจิต ในกลุ่มวัยทำงานที่เข้ามาตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานและตรวจสุขภาพประจำปีที่คลินิกอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 30 เมษายน 2567 จำนวน 898 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่มีระดับความเครียดน้อย ร้อยละ 91.2 มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า ร้อยละ 10.4 และมีอาการของโรคซึมเศร้า ร้อยละ 4.8 ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการของโรคซึมเศร้าระดับน้อย ร้อยละ 90.7 ปัจจัยภายในบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ กลุ่มคน เพศ และดัชนีมวลกาย รวมถึงปัจจัยภายนอกบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดและภาวะซึมเศร้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด ได้แก่ ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ กัญชา และแอมเฟตามีน</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป</strong><strong>: </strong>ถึงแม้ว่ากลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่มีระดับความเครียดน้อย และความชุกของการเกิดภาวะซึมเศร้าน้อย อย่างไรก็ตามควรมีการจัดการด้านอาชีวอนามัย กำหนดนโยบาย จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต และให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มวัยทำงานที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดและภาวะซึมเศร้า เพื่อลดและป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่อไป</p> ธัญพร วุฑฒยากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 431 442 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278148 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>1) ศึกษาแรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนเอง และพฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเอง 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 3) หาความสัมพันธ์ระหว่างแรงสนับสนุนทางสังคม และการรับรู้ความสามารถของตนเองกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยนี้ใช้การศึกษาเชิงพรรณนา โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี จำนวน 347 ราย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล ประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนเอง และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าความถี่, ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, การทดสอบ t test<em>,</em> ANOVA, และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s product moment)</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>แรงสนับสนุนทางสังคมและการรับรู้ความสามารถของตนเองอยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับดีมาก อายุและตำบลที่อยู่อาศัยมีผลต่อพฤติกรรม และพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างแรงสนับสนุนทางสังคมและการรับรู้ความสามารถของตนเองกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป</strong><strong>: </strong>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นแรงสนับสนุนทางสังคมและการรับรู้ความสามารถของตนเอง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง อีกทั้งปัจจัยด้านอายุและตำบลที่อยู่อาศัยมีผลต่อพฤติกรรม ข้อเสนอแนะคือ ควรมีการพัฒนากลยุทธ์เพื่อสนับสนุนผู้ป่วยให้สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วิจิตรา เพ็ญปภาสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 443 456 การประเมินภาพรังสีเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะอุ้งเท้าและกระดูกงอกที่ส้นเท้าส่วนล่างกับโรครองช้ำในผู้ใหญ่ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/reg45/article/view/278149 <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะอุ้งเท้ากับโรครองช้ำ และอุบัติการณ์การเกิดกระดูกงอกที่ส้นเท้าส่วนล่างในผู้ป่วยที่เป็นโรครองช้ำ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรครองช้ำจากภาพถ่ายรังสี</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เก็บข้อมูลภาพถ่ายรังสีลักษณะของอุ้งเท้าและประเมินเรื่องของภาวะกระดูกงอกที่ส้นเท้าส่วนล่างในผู้ป่วย จำนวน 106 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่เป็นโรครองช้ำ (plantar fasciitis) จำนวน 53 ราย เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรครองช้ำ (control) จำนวน 53 ราย</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>เมื่อประเมินแนวของอุ้งเท้า (foot arch alignment) พบว่า Meary’s angle, calcaneal inclination angle, และ medial cuneiform-fifth metatarsal height ในกลุ่มผู้ป่วยโรครองช้ำ มีค่าบ่งบอกไปทางลักษณะอุ้งเท้าสูง (pes cavus) มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรครองช้ำอย่างมีนัยยะสำคัญ (p-value &lt; .001 ทุก parameter) ขณะเดียวกันผู้ป่วยโรครองช้ำมีโอกาสพบกระดูกงอกที่ฝ่าเท้า (plantar calcaneal spur) มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรครองช้ำอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ (p-value = .006) และผู้ป่วยโรครองช้ำที่มีกระดูกงอกที่ฝ่าเท้ามีโอกาสที่จะมีอาการปวดจากกระดูกงอกที่ฝ่าเท้ามากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรครองช้ำอย่างมีนัยสำคัญ (p-value &lt; .001)</p> <p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สรุป: </strong>คนที่มีลักษณะอุ้งเท้าสูงมีความสัมพันธ์กับโรครองช้ำมากกว่าคนที่มีอุ้งเท้าปกติหรืออุ้งเท้าแบน รวมถึงผู้ป่วยโรครองช้ำสามารถพบภาวะกระดูกงอกที่ส้นเท้าส่วนล่างมากกว่าคนที่ไม่เป็นโรครองช้ำ และในกลุ่มนี้มีโอกาส ร้อยละ 77 ที่จะมีอาการปวดจากกระดูกงอกที่ส้นเท้าส่วนล่างร่วมด้วย</p> อรรถพร ศิริบูรณานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-07 2025-10-07 44 3 457 467