https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/issue/feed เวชสารแพทย์ทหารบก 2025-09-30T17:28:27+07:00 พ.อ.ผศ.นพ.ศราวุธ จินดารัตน์ rtamedj@pcm.ac.th Open Journal Systems <p>The Royal Thai Army Medical Journal is an academic journal in military medicine with the objective of disseminating research and knowledge related to the medical and nursing services for personnel under the Royal Thai Army Medical Department. It accepts submissions of various types of articles in both Thai and English and is published quarterly, four issues per year (January–March, April–June, July–September, and October–December).</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/265911 ผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ในประเทศไทย ต่อการดูแลผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล 2023-10-16T19:28:34+07:00 ภานุวงส์ แสนสำราญใจ chudhabhorn@gmail.com นภัสนันท์ นิยมธรรมรัตน์ chudhabhorn@gmail.com ธราธร ดุรงค์พันธุ์ chudhabhorn@gmail.com จุฑาภรณ์ เบ็ญจเลาหรัตน์ chudhabhorn@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong>: ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ โอกาสรอดชีวิตขึ้นกับการทำงานของทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย (COVID-19 outbreak) อาจส่งผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มนี้<br /><strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาผลกระทบของ COVID-19 outbreak ต่อโอกาสรอดชีวิตในผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล<br /><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่ และได้รับการรักษาโดยหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 198 ราย ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2561 ถึง 31 ธ.ค. 2564 กำหนดให้วันที่ 13 ก.พ. 2563 เป็นวันเริ่ม COVID-19 outbreak ในประเทศไทย ข้อมูลผู้ป่วยก่อนและหลังการระบาด จะถูกรวบรวมและวิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยแบบพหุปัจจัย<br /><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 68.21) อายุเฉลี่ย 59.63±16.70 ปี การกลับมาฟื้นคืนชีพและมีชีพจร การรอดชีวิตที่ 48 ชั่วโมง การรอดชีวิตจนกลับออกจากโรงพยาบาล คิดเป็น ร้อยละ 39.29, 4.59 และ 3.06 ตามลำดับ ผลการศึกษาไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง COVID-19 outbreak ต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วย ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นคืนชีพ ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ shockable rhythm เวลาที่ใช้ในจุดเกิดเหตุ และ ระยะเวลาในการช่วยฟื้นคืนชีพ<br /><strong>สรุป</strong>: COVID-19 outbreak ในประเทศไทย ไม่ส่งผลกระทบต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/274629 แนวโน้มของลักษณะผู้ป่วย อุบัติการณ์ แนวทางการรักษา และผลการรักษาของผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในโรงพยาบาลสระบุรี: การศึกษาย้อนหลัง 15 ปี 2025-09-25T13:18:22+07:00 ณัฐณิชา เกิดวิชัย plnatni@outlook.com <p>มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาเป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลาโนไซต์ และเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งผิวหนังที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ซึ่งจากการศึกษาในปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งผิวหนังเมลาโนมากำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลกแต่อัตราการรอดชีวิตก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินแนวโน้มลักษณะของผู้ป่วยอุบัติการณ์อาการแสดงลักษณะทางพยาธิวิทยาระยะของโรคการแพร่กระจายการรักษาและผลการรักษาของผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในโรงพยาบาลสระบุรีตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2566 โดยศึกษาย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาด้วยชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 50 รายนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าเป็นเพศหญิงจำนวน 33 รายเพศชาย 17 ราย ในช่วงปีที่มีการะบาดของโควิดร่วมกับมาตรการปิดเมืองพบว่ามีจำนวนนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาลดลงและกลับมาเพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์การระบาดดีขึ้น โดยสัดส่วนของผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายในเกือบทุกช่วงปีส่วนค่ามัธยฐานอายุของผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ได้รับการวินิจฉัยค่อนข้างคงที่อาการแสดงที่พบได้บ่อยเป็นรอยโรคที่มีสีดำ (Blackish lesion) และรอยแผล (Ulcer) ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รยางค์ส่วนล่างและประเภทมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่พบบ่อยคือ acral lentiginous ข้อมูลทางพยาธิวิทยาพบว่ามี Breslow thickness มากกว่า 4 มิลลิเมตรและ Clarke level 4 มากที่สุด 5 year-survival rate ของการศึกษานี้อยู่ที่ 10% สัดส่วนผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในระยะที่ 3 สัดส่วนผู้ป่วยที่รอดชีวิตภายในระยะเวลา 5 ปี หลังวินิจฉัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและสัดส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาภายในระยะเวลา 5 ปีลดลง</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/277038 สถานะของปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อในกำลังพลกองทัพบก 2025-08-13T02:31:20+07:00 บุญทรัพย์ ศักดิ์บุญญารัตน์ boonsub1991@pcm.ac.th จาตุรนต์ ภูเวียง Boonsub1991@pcm.ac.th <p>โรคไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ปัจจัยเสี่ยงร่วมสำหรับโรคไม่ติดต่อ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ด้านการใช้ชีวิตและด้านเมแทบอลิซึม บทความนี้แสดงสถานะของปัจจัยเสี่ยงโรคไม่ติดต่อในกำลังพลกองทัพบก โดยรวบรวมหลักฐานทางวิชาการซึ่งใช้ข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปีของกำลังพลทั่วประเทศ สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 28.4% (2560) เป็น 33.2% (2565) การขาดการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 6.5% (2561) เป็น 8.5% (2565) การดื่มแอลกอฮอล์ลดลงจาก 67.9% เหลือ 61.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านเมตาบอลิซึม ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกาย ≥25 กก./ม.<sup>2</sup>) เพิ่มจาก 42.1% (2560) เป็น 44.2% (2564) ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นจาก 29.3% (2560) เป็น 30.6% (2564) ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (≥126 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 9.6% (2560) เป็น 10.4% (2565) ภาวะคอเลสเตอรอลรวมสูง (≥240 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นจาก 22.9% (2563) เป็น 26.4% (2565) ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (≥150 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นจาก 40.3% (2563) เป็น 41.0% (2564) ความชุกของผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะ 10 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 24.9% (2560) เป็น 29.5% (2564) โดยสรุป ปัจจัยเสี่ยงการใช้ชีวิตและเมแทบอลิซึมต่อโรคไม่ติดต่อ ยังเป็นปัญหาสำคัญในกำลังพลกองทัพบก การเพิ่มความตระหนักและความรอบรู้ด้านสุขภาพ รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก