เวชสารแพทย์ทหารบก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj <p>The Royal Thai Army Medical Journal is an academic journal in military medicine with the objective of disseminating research and knowledge related to the medical and nursing services for personnel under the Royal Thai Army Medical Department. It accepts submissions of various types of articles in both Thai and English and is published quarterly, four issues per year (January–March, April–June, July–September, and October–December).</p> แผนกเผยแพร่วิทยาการแพทย์ กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารบก เลขที่ 8 ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ th-TH เวชสารแพทย์ทหารบก 3057-1448 <p>บทความในวารสารนี้อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ <a href="https://amed.rta.mi.th/" target="_blank" rel="noopener">กรมแพทย์ทหารบก</a> และเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</p> <p>ท่านสามารถอ่านและใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา และทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัย หรือการอ้างอิง โดยต้องให้เครดิตอย่างเหมาะสมแก่ผู้เขียนและวารสาร</p> <p>ห้ามใช้หรือแก้ไขบทความโดยไม่ได้รับอนุญาต</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น <br />ผู้เขียนเป็นผู้รับผิดชอบต่อเนื้อหาและความถูกต้องของบทความของตนอย่างเต็มที่</p> <p>การนำบทความไปเผยแพร่ซ้ำในรูปแบบสาธารณะอื่นใด ต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</p> การปรับแต่งแบบจำลอง 3 มิติ เพื่อดัดโลหะยึดกระดูกล่วงหน้าสำหรับบูรณะความผิดปกติของขากรรไกรล่าง : รายงานผู้ป่วย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/262694 <p>การผิดปกติของรูปร่างใบหน้าที่เกิดจากการขยายขนาดของถุงน้ำในขากรรไกร ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติ และรูปร่างใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป เป้าหมายของการรักษานอกจากเพื่อนำถุงน้ำออก ควรแก้ไขเพื่อลดความผิดปกติของใบหน้าที่ผิดรูป การผ่าตัดเป็นการกำจัดรอยโรคออกร่วมกับกรอแต่งกระดูกเพื่อแก้ไขรูปร่างใบหน้าให้มีลักษณะเหมาะสมในปัจจุบันมีการพัฒนา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบและพิมพ์แบบบจำลอง 3 มิติของผู้ป่วย เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ทำให้สามารถนำมาใช้ร่วมกับการรักษาได้</p> <p>รายงานผู้ป่วยฉบับนี้กล่าวถึงผู้ป่วยที่มีถุงน้ำ Dentigerous cyst ขนาดใหญ่สาเหตุจากฟันฝังบริเวณขากรรไกรล่าง ถุงน้ำมีการทำลายกระดูกส่งผลให้จากภาพรังสีพบความสูงกระดูกขากรรไกรล่างเหลือ 5 มิลลิเมตร การรักษาโดยการผ่าตัดควักถุงน้ำออก ทำให้กระดูกที่เหลือมีความเสี่ยงจะเกิดกระดูกหัก ต้องใช้โลหะยึดกระดูกชนิดมีหัวสกรูพยุง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกรที่เหลือ โดยก่อนผ่าตัดมีการเตรียมแบบจำลอง 3 มิติ ที่ทำการกรอแต่งบริเวณที่เป็นถุงน้ำที่ถูกทำลายและปรับรูปรูปร่างชากรรไกรให้เหมาะสมกับใบหน้าโดยใช้เรชินอะคริลิก ชนิดบ่มด้วยตัวเองทดแทนบริเวณที่สูญเสียไป แล้วไข้แบบจำลอง 3 มิติ ที่มีการปรับแต่งนำมาเป็นต้นแบบสำหรับดัดโลหะยึดกระดูกล่วงหน้าให้มีรูปร่างที่เหมาะสมไว้ก่อนผ่าตัด การเตรียมโลหะยึดกระดูกไว้ก่อนผ่าตัดทำให้ลดเวลาการผ่าตัดที่ต้องดัดปรับแต่งโลหะยึดกระดูกในห้องผ่าตัด ผ่าตัดได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีรูปร่างใบหน้าหลังผ่าตัดที่เหมาะสม ลดความเสียงที่ต้องผ่าตัดแก้ใขในภายหลังในกรณีที่รูปร่างใบหน้าไม่เหมาะสม และผู้ป่วยหลังผ่าตัดครั้งนี้ไม่พบการกลับช้ำ มีลักษณะใบหน้าปกติ ร่วมกับสามารถบดเคี้ยวอาหารได้</p> ปรีดา วันสุข บัณฑูรย์ สิทธิกรสวัสดิ์ เวทัส ศักดิ์เดชยนต์ ธีรธวัช ศรีธวัช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-07 2025-12-07 78 3 231 241 ผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ในประเทศไทย ต่อการดูแลผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/265911 <p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong> : ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ โอกาสรอดชีวิตขึ้นกับการทำงานของทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย (COVID-19 outbreak) อาจส่งผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มนี้ <strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาผลกระทบของ COVID-19 outbreak ต่อโอกาสรอดชีวิตในผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล <strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่ และได้รับการรักษาโดยหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 198 ราย ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2561 ถึง 31 ธ.ค. 2564 กำหนดให้วันที่ 13 ก.พ. 2563 เป็นวันเริ่ม COVID-19 outbreak ในประเทศไทย ข้อมูลผู้ป่วยก่อนและหลังการระบาด จะถูกรวบรวมและวิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยแบบพหุปัจจัย <strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 68.21) อายุเฉลี่ย 59.63±16.70 ปี การกลับมาฟื้นคืนชีพและมีชีพจร การรอดชีวิตที่ 48 ชั่วโมง การรอดชีวิตจนกลับออกจากโรงพยาบาล คิดเป็น ร้อยละ 39.29, 4.59 และ 3.06 ตามลำดับ ผลการศึกษาไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง COVID-19 outbreak ต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วย ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นคืนชีพ ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ shockable rhythm เวลาที่ใช้ในจุดเกิดเหตุ และ ระยะเวลาในการช่วยฟื้นคืนชีพ <strong>สรุป</strong>: COVID-19 outbreak ในประเทศไทย ไม่ส่งผลกระทบต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล</p> ภานุวงส์ แสนสำราญใจ นภัสนันท์ นิยมธรรมรัตน์ ธราธร ดุรงค์พันธุ์ จุฑาภรณ์ เบ็ญจเลาหรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 78 3 209 216 แนวโน้มของลักษณะผู้ป่วย อุบัติการณ์ แนวทางการรักษา และผลการรักษาของผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในโรงพยาบาลสระบุรี: การศึกษาย้อนหลัง 15 ปี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/274629 <p><strong>บทนำ:</strong> มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาเป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลาโนไซต์ และเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งผิวหนังที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ซึ่งจากการศึกษาในปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งผิวหนังเมลาโนมากำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลกแต่อัตราการรอดชีวิตก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินแนวโน้มลักษณะของผู้ป่วยอุบัติการณ์อาการแสดงลักษณะทางพยาธิวิทยาระยะของโรคการแพร่กระจายการรักษาและผลการรักษาของผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในโรงพยาบาลสระบุรีตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2566 <strong>วิธีการศึกษา:</strong> โดยศึกษาย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาด้วยชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 50 รายนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติ <strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าเป็นเพศหญิงจำนวน 33 รายเพศชาย 17 ราย ในช่วงปีที่มีการะบาดของโควิดร่วมกับมาตรการปิดเมืองพบว่ามีจำนวนนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาลดลงและกลับมาเพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์การระบาดดีขึ้น โดยสัดส่วนของผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายในเกือบทุกช่วงปีส่วนค่ามัธยฐานอายุของผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ได้รับการวินิจฉัยค่อนข้างคงที่อาการแสดงที่พบได้บ่อยเป็นรอยโรคที่มีสีดำ (Blackish lesion) และรอยแผล (Ulcer) ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รยางค์ส่วนล่างและประเภทมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่พบบ่อยคือ acral lentiginous ข้อมูลทางพยาธิวิทยาพบว่ามี Breslow thickness มากกว่า 4 มิลลิเมตรและ Clarke level 4 มากที่สุด 5 year-survival rate ของการศึกษานี้อยู่ที่ 10% <strong>สรุปผล:</strong> สัดส่วนผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาในระยะที่ 3 สัดส่วนผู้ป่วยที่รอดชีวิตภายในระยะเวลา 5 ปี หลังวินิจฉัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและสัดส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาภายในระยะเวลา 5 ปีลดลง</p> ณัฐณิชา เกิดวิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 78 3 217 230 การศึกษาหาความชุกของเชื้อไวรัสเดงกีในยุงลาย และการสำรวจความหนาแน่นของจำนวนประชากรยุงลายและแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายในพื้นที่กรมการสัตว์ทหารบก ค่ายทองฑีฆายุ จังหวัดนครปฐม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/275973 <p><strong>ที่มาและความสำคัญ : </strong>เชื้อไวรัสเดงกีเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน โรคนี้มักเกิดการระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี และสามารถแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่น จังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อไข้เลือดออกในแต่ละปีอยู่ในเกณฑ์ที่สูงและอยู่ในระดับต้นของประเทศ จึงเป็นที่น่าสนใจที่จะศึกษาอัตราการติดเชื้อไวรัสเดงกีในยุงลายในพื้นที่ <strong>ระเบียบวิธีการวิจัย : </strong>เป็นการวิจัยสำรวจ โดยดำเนินการสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และวางเครื่องดักจับยุงชนิด BGS (Biogents Sentinel Traps) ที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (น้ำแข็งแห้ง) โดยเครื่องดักจับยุงนี้ถูกติดตั้งในบริเวณที่พักอาศัยของกำลังพล ตั้งแต่เวลา 0800 น. ถึง 1500 น. จำนวนทั้งสิ้น 20 เครื่องต่อวัน รวมทั้งสิ้น 2 วัน ระหว่างวันที่ 5-6 มิถุนายน 2567 เพื่อสำรวจและเก็บยุงตัวเต็มวัย จากนั้น จำแนกชนิดของยุงจากลักษณะทางสัณฐานวิทยา แล้วนำส่วนหัว-อก ตรวจวิเคราะห์หาไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก ด้วยวิธี Multiplex Real time PCR <strong>ผลการศึกษา : </strong>ดำเนินการเก็บตัวอย่างยุงได้ทั้งสิ้น 338 ตัว แบ่งออกเป็น 4 สกุล ได้แก่ <em>Aedes</em>, <em>Anopheles</em>, <em>Culex</em> และ <em>Mansonia </em>ตัวอย่างยุงส่วนใหญ่ (83.1%) ที่เก็บได้โดยรอบบริเวณบ้านพักอาศัยของกำลังพลเป็นสกุล <em>Aedes </em>ได้แก่ <em>Ae. aegypti</em> 278 ตัว (ตัวเมีย 162 ตัว ตัวผู้ 116 ตัว) และ <em>Ae. albopictus </em>3 ตัว (ตัวเมีย 3 ตัว) <em>Aedes</em> ตัวเมียจำนวน 165 ตัว (<em>Ae. aegypti</em> 162 ตัว และ <em>Ae. albopictus </em>3 ตัว) นำมาตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีทั้งหมด หลังการตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีครั้งนี้ไม่พบการติดเชื้อ อาคารสถานที่ที่สำรวจ 19 อาคาร พบลูกน้ำยุงลายจำนวน 9 อาคาร คิดเป็นค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้าน (House Index: HI) เท่ากับ 47.3 โดยพบว่า บ้านพักมีค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายในบ้านสูงที่สุด ผลการสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายจำนวน 176 ภาชนะ พบลูกน้ำยุงลายจำนวน 32 ภาชนะ คิดเป็นค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (Container Index: CI) เท่ากับ 18.2 เมื่อจำแนกภาชนะที่สำรวจพบว่า ภาชนะที่พบมากที่สุด คือ อ่างน้ำ โอ่งน้ำ แทงค์น้ำ คิดเป็นร้อยละ 38.1<strong>สรุป : </strong>ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่กรมการสัตว์ทหารบกนั้นปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออก แต่ยังคงมีความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดโรคไข้เลือดออกและโรคอื่น ๆ ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรคได้จากความหนาแน่นของประชากรยุงลายตามแหล่งเพาะพันธุ์ที่พบในพื้นที่ จึงได้มีการให้ความรู้เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกแก่กำลังพลและครอบครัว และนำรายงานการตรวจนี้เสนอให้ นตร.กส.ทบ. ทราบต่อไป<strong> </strong></p> ชิดชนก แสนคำ ดรุณี อุเทนนาม อลงกต พลวัฒน์ ขวัญอนงค์ ยังพะกูล มณีรัตน์ สมศรี เกียรติศักดิ์ สมศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 78 3 109 208 บรรณาธิการแถลง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/268871 ศราวุธ จินดารัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 78 3 197 197 สถานะของปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อในกำลังพลกองทัพบก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/277038 <p>โรคไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ปัจจัยเสี่ยงร่วมสำหรับโรคไม่ติดต่อ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ด้านการใช้ชีวิตและด้านเมแทบอลิซึม บทความนี้แสดงสถานะของปัจจัยเสี่ยงโรคไม่ติดต่อในกำลังพลกองทัพบก โดยรวบรวมหลักฐานทางวิชาการซึ่งใช้ข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปีของกำลังพลทั่วประเทศ สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 28.4% (2560) เป็น 33.2% (2565) การขาดการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจาก 6.5% (2561) เป็น 8.5% (2565) การดื่มแอลกอฮอล์ลดลงจาก 67.9% เหลือ 61.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับปัจจัยเสี่ยงด้านเมตาบอลิซึม ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกาย ≥25 กก./ม.2) เพิ่มจาก 42.1% (2560) เป็น 44.2% (2564) ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นจาก 29.3% (2560) เป็น 30.6% (2564) ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (≥126 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 9.6% (2560) เป็น 10.4% (2565) ภาวะคอเลสเตอรอลรวมสูง (≥240 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นจาก 22.9% (2563) เป็น 26.4% (2565) ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (≥150 มก./ดล.) เพิ่มขึ้นจาก 40.3% (2563) เป็น 41.0% (2564) ความชุกของผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะ 10 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 24.9% (2560) เป็น 29.5% (2564) โดยสรุป ปัจจัยเสี่ยงการใช้ชีวิตและเมแทบอลิซึมต่อโรคไม่ติดต่อ ยังเป็นปัญหาสำคัญในกำลังพลกองทัพบก การเพิ่มความตระหนักและความรอบรู้ด้านสุขภาพ รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง</p> บุญทรัพย์ ศักดิ์บุญญารัตน์ จาตุรนต์ ภูเวียง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เวชสารแพทย์ทหารบก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 78 3 248 255