สรรพสิทธิเวชสาร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/sanpasit_medjournal
<p>สรรพสิทธิเวชสาร เป็นวารสารวิชาการของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี มีกำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม-เมษายน พฤษภาคม-สิงหาคม และกันยายน-ธันวาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <ol> <li class="show"> เผยแพร่องค์ความรู้ การค้นคว้า และผลงานวิจัย ทางด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> <li class="show">เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นำเสนอข้อเสนอแนะและแนวความคิดใหม่ ในประเด็นปัญหาและการบริหารจัดการด้านสาธารณสุข</li> <li class="show">นำเสนอผลงาน องค์ความรู้ แนวความคิด ทางด้านแพทยศาสตร์ศึกษา การพัฒนาและการส่งเสริมการเรียนการสอนด้านสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ</li> </ol>
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
th-TH
สรรพสิทธิเวชสาร
0125-653X
-
การศึกษาอัตราการรอดชีวิตกับตำแหน่งก้อนมะเร็งในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะแพร่กระจายที่ได้รับยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/sanpasit_medjournal/article/view/268317
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>ความสำคัญและที่มา</strong><strong>: </strong>มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมด โดยพบว่าตำแหน่งของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่สัมพันธ์กับพยากรณ์โรคที่แตกต่างกัน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกลายพันธ์ของยีนส์ที่แตกต่างกัน ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายแนะนำให้ใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับยาชีววัตถุ (Biologic agent) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา โดยแนวทางเวชปฏิบัติปัจจุบันแนะนำให้ใช้ตำแหน่งก้อนมะเร็งในการพิจารณาเลือกการให้ยาชีววัตถุร่วมกับเคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วยแต่ละราย แต่เนื่องจากปัจจุบันประชากรไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงยาชีววัตถุ (Biologic agent) ได้ ทำให้การรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเป็นหลักเพียงอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของการจัดทำงานวิจัยนี้ขึ้นเพื่อศึกษาอัตราการรอดชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการรักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัดอย่างเดียวในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ และศึกษาตำแหน่งของก้อนมะเร็งว่ามีความสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตหรือไม่ และมีปัจจัยใดบ้างที่สัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายเพื่อเป็นองค์ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายและอาจนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ต่อไปในอนาคต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาอัตราการรอดชีวิตโดยรวมและอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา รวมทั้งปัจจัยที่สัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาแบบ Retrospective cohort study ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อายุตั้งแต่ 18-90 ปี มีผลชิ้นเนื้อ ยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และอาการทางคลินิกเข้าได้ โดยมีการเก็บข้อมูลจากการทบทวนเวชระเบียนและยืนยันการเสียชีวิตโดยฐานข้อมูลมรณบัตรในทะเบียนราษฎร์ เพื่อวิเคราะห์อัตราการรอดชีวิต และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเสี่ยงการเสียชีวิตโดยใช้ Kaplan-Meier method และ Cox proportional hazard regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>จากการเก็บข้อมูลย้อนหลังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแพร่กระจายที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์จำนวน 119 คนพบว่า ผู้ป่วยมีระยะเวลาการรอดชีวิตเฉลี่ย </p>
วิภานันท์ สันติเพชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 สรรพสิทธิเวชสาร
2025-11-27
2025-11-27
45 3
113
126
-
ผลของการให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิดช่วงก่อนคลอด ต่ออัตราการเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาวในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ : การศึกษาทดลองแบบสุ่มแบบมีกลุ่มเปรียบเทียบ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/sanpasit_medjournal/article/view/274526
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิดช่วงระยะก่อนคลอด ต่อการตัดสินใจเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาว ในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong>: ทำการศึกษาทดลองแบบสุ่มในอาสาสมัคร สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ ในช่วงอายุครรภ์ มากกว่าหรือเท่ากับ 28 สัปดาห์ขึ้นไป โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่1) ได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิด แบบตัวต่อตัว เป็นระยะเวลาประมาณ 15 นาที เพิ่มเติมในช่วงระยะก่อนคลอด หรือ กลุ่มที่2) ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดตามมาตรฐานในช่วงระยะหลังคลอดเท่านั้น เก็บข้อมูลผลลัพธ์วิธีคุมกำเนิดที่อาสาสมัครเลือกใช้จริงที่ 4 สัปดาห์หลังคลอด รวมถึงสอบถามเหตุผลของการเลือก หรือ ไม่เลือกใช้วิธีคุมกำเนิด</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: การเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาว ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดช่วงระยะก่อนคลอดเพิ่มเติม กับกลุ่มที่ได้รับความรู้แค่ในช่วงหลังคลอด (ร้อยละ83.3 เทียบกับ ร้อยละ71.4 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม P=0.192) กลุ่มอาสาสมัครสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นส่วนมาก (ร้อยละ61.9) เลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยตัวเอง เหตุผลหลักสามข้อที่ทำให้กลุ่มอาสาสมัครเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาว ได้แก่ ระยะเวลาในการคุมกำเนิดได้ยาวนาน ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดี และสะดวก ส่วนเหตุผลหลักสามข้อที่ทำให้อาสาสมัครไม่เลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาว ได้แก่ กังวลเรื่องความเจ็บปวด ผลข้างเคียงเรื่องเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด และ เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวระยะยาว</p>
หทัยพร ล้ำเลิศปัญญา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สรรพสิทธิเวชสาร
2025-11-27
2025-11-27
45 3
127
139
-
ประสิทธิภาพของการส่งเสริมความรู้การให้นมบุตรแก่มารดาในช่วงฝากครรภ์ ต่อการเพิ่มอัตราการให้นมแม่อย่างเดียวหลังคลอดที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/sanpasit_medjournal/article/view/264791
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมพิเศษด้านการให้ความรู้นมแม่แก่สตรีตั้งครรภ์ในช่วงฝากครรภ์ต่อการเพิ่มอัตราการให้นมแม่อย่างเดียวที่ระยะเวลา 4, 8 และ 12 สัปดาห์หลังคลอด</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> ทำการศึกษาแบบสุ่มในอาสาสมัครหญิงตั้งครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์ของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อายุ 15-45 ปี และอายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึง 9 กันยายน พ.ศ. 2563 อาสาสมัครแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มทดลอง จะได้รับการให้ความรู้นมแม่เพิ่มเติมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่เป็นเวลา 15 นาทีและได้รับเอกสารประกอบความรู้เกี่ยวกับนมแม่ กลุ่มที่ 2 กลุ่มควบคุม จะได้รับความรู้เกี่ยวกับนมแม่เป็นกลุ่มโดยพยาบาลตามปกติของทางโรงพยาบาล ทำการเปรียบเทียบอัตราการให้นมแม่อย่างเดียวหลังคลอด 4, 8 และ12 สัปดาห์ระหว่างทั้งสองกลุ่มโดยใช้สถิติ Chi-square test รวมถึงศึกษาปัจจัยการหยุดให้นมแม่</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: จากจำนวนอาสาสมัครทั้งหมด 208 คนเข้าร่วมโครงการ ผลการศึกษาไม่พบความแตกต่างทางสถิติของอัตราการให้นมแม่อย่างเดียวที่ 4 และ 8 สัปดาห์หลังคลอดระหว่างสองกลุ่ม แต่พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของอัตราการให้นมแม่อย่างเดียวที่ 12 สัปดาห์หลังคลอดอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้ความรู้ในโปรแกรมพิเศษเรื่องนมแม่โดยผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ฝากครรภ์ตามปกติ (58.8% และ 40.2%, p=0.02) นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการหยุดให้นมแม่อย่างเดียวก่อน 12 สัปดาห์ คือ น้ำนมไม่เพียงพอ ต้องกลับไปทำงาน และอากาศที่ร้อนตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong>: โปรแกรมพิเศษเพื่อให้ความรู้เรื่องนมแม่โดยผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ในช่วงฝากครรภ์ช่วยเพิ่มอัตราการให้นมแม่อย่างเดียว 12 สัปดาห์หลังคลอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: การให้ความนมแม่ในช่วงฝากครรภ์, ผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่, การให้นมแม่อย่างเดียว</p>
พสุกานต์ มะโนขันธุ์
พงษ์สันต์ พันธะไชย
ปริญญา ชำนาญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สรรพสิทธิเวชสาร
2025-11-27
2025-11-27
45 3
141
151